The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
ทางไร้ดอกไม้

ก่อนนี้ได้ยินคนบอกและอ่านจากบล็อคอื่นว่าทางไร้ดอกไม้ ของ ว.วินิจฉัยกุล เป็นเรื่องนักเขียน จึงหมายไว้ในใจว่าจะหามาอ่านให้ได้สักครั้ง เมื่อวานคนว่าง ๆ (ที่จริงก็ไม่ว่างเท่าไรนัก) เลยไปซื้อมาจากบูธอักษรโสภณ ที่จริงงานหนังสือคราวนี้จัดว่าซื้อหนังสือค่อนข้างน้อยมากถึงน้อยที่สุด และไม่ใช่เพราะจขบ.ต้องเฝ้าบูธ ที่จริงการเฝ้าบูธควรหมายถึงการได้เห็นหนังสือมากและซื้อมาก แต่บางทีงานนี้อาจจะไม่อยากอ่านอะไรเป็นพิเศษ (ยกเว้นเกมลูกแก้ว) และเหนื่อยกับบรรยากาศของงานหนังสือ เลยไม่ได้ซื้ออะไร

ทางไร้ดอกไม้เป็นหนังสือแบบที่อ่านแล้วก็อ่านต่อไปจนจบ หมายความว่า pleasant to read สำหรับ จขบ. แต่ถ้าถามว่าเป็นเรื่องนักเขียนไหม ที่จริงแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ คือจะว่าใช่ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องใน "วงการ" และสภาพคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในวงการนี้ ซึ่งเนื่องจากหนังสือเขียนมาเกือบจะเท่าอายุจขบ. "วงการ" จึงมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควร แต่อะไรหลาย ๆ อย่างที่ยังเหมือนเดิมก็เหมือนเดิม บางทีควรว่าต่อให้อะไรรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนแปลงไป "ความเป็นคน" ก็ยังเหมือนเดิมกระมัง

อ่านเรื่องในวงการนั้นสนุกดี ได้เห็นคนแบบต่าง ๆ และพัฒนาการแบบต่าง ๆ คนที่จขบ.ชอบคือคุณนาถมณี ซึ่งโผล่ไม่มาก แต่ร้ายแสนร้าย จขบ.คิดว่าว.วินิจฉัยกุลเป็นนักเขียนที่เขียนตัวร้ายได้แสบไส้และเห็นภาพมาก คือเป็นจริง มีคนอย่างนี้จริง ๆ และมันฟาดลงไปถึงใจจริง ๆ

แต่ถ้าถามว่าจริง ๆ ได้อ่านสิ่งที่อยากอ่านไหม ก็บอกไม่ได้เต็มปาก เพราะจขบ.เป็นคนเขียนหนังสือ อยากอ่านเรื่องของคนเขียนหนังสือ ว่าอีกทีคือจขบ.อยากเข้าใจเส้นทางของคนที่เดินไปข้างหน้า คาดว่าคงเหมือนหาแผนที่ แต่บอกอยากนั้น ไม่ได้หมายความว่าแผนที่เช่นว่า เป็นพนักงานแล้วสักวันจะเป็นหัวหน้าแผนก จบลงตรงที่ได้ตำแหน่งสูง ๆ ก่อนจะเกษียณ เพราะนักเขียนเป็นอาชีพที่ไต่เต้าไม่ได้ หรือแม้ไต่เต้าได้ ก็ด้วยสิ่งอื่น ในความหมายอื่น

###

พูดอย่างนี้ บางทีอาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าไม่คิดว่าเป็นคนเขียนหนังสือ แต่เป็นคนเล่นไอกิโ้ด้ (หรือยูโด) หรืออะไรอย่างอื่น จะเข้าใจง่ายกว่าไหม

การศึกษาศิลปะและศาสตร์ทุกอย่าง จะมีขั้นตอนเส้นทางของมันเอง จะมีอุปสรรคในแต่ละช่วง จะมีปัญหา จะมีสิ่งที่ต้องผ่าน เพื่อให้ไปถึงขั้นต่อไปได้ แน่นอนว่าอุปสรรคพวกนี้ในมนุษย์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน และไม่มีแพทเทิร์นที่ชัดเจนพอจะบอกได้ว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ แต่นี่คือความจริงของชีวิต และเป็นความจริงของการเขียนหนังสือด้วย แต่บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัว เพราะมนุษย์มักเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นคือความเป็นจริง ส่วนสิ่งที่ไม่เห็นนั้นไม่จริง ดังนั้นเมื่อพูดถึงการประสบความสำเร็จในการเขียน จึงคิดเอาว่าอยู่ที่มีคนอ่านมาก อยู่ที่มีเงินมาก เทียบกับการทำงานออฟฟิศซึ่งมีระดับขั้นชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่เทียบไม่ได้ และรังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดเสียใจ รวมทั้งดูถูกคนอื่น

ให้ยกตัวอย่างว่าเป็นไปได้อย่างไร ก็เช่นในหนังสือเรื่องทางไร้ดอกไม้ มักพูดเรื่องอุดมการณ์กับเรื่องตลาด เรื่องอุดมการณ์กินไม่ได้ และในที่สุดทุกคนต้องปรับตัวเข้ากับ "ตลาด" ต้องไปเขียนเรื่อง "น้ำเน่า" เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญขึ้นมาในชีวิต ในนิยายพูดเป็นนัย ๆ ว่าก็ล้วนแล้วแต่พวกกลืนน้ำลายตัวเอง

จขบ.ไม่ได้คิดอย่างนั้น

ที่จริง จขบ.คิดว่าคนทุกคนในเรื่องล้วนแต่กำลังอยู่ในช่วง torment of soul อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นช่วง "ติดบล็อค" รวมทั้งตัวนางเอกด้วย และทุกคนก็ไม่มีใครผ่านบล็อคของตัวเองได้เลยสักคนเดียว เป็นต้นว่า นางเอกนั้นมาถึงจุดที่เขียนเรื่องป้อนนิตยสารมากมาย จนไม่มีเวลาให้กับที่บ้าน และเขียนมากจนล้า เรื่องไม่ดีไม่ฟิตเท่าเก่าแล้ว เขียนเพื่อเอาใจคนอ่านเท่านั้นแล้ว ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเลิกเขียน หันไปสนใจลูกกับสามีแทน อย่างน้อยจนกว่าลูกจะโต

ตัวละครคนหนึ่งที่ทำหนังสือกินอุดมการณ์ ก็ติดบล็อคสุดโต่งระหว่างขั้วอุดมการณ์กับขั้วตลาด (บางทีคงติดบล็อคนายทุนด้วยกระมัง) เพื่อนนางเอกที่เป็นนักเขียนแบบอารมณ์อ่อนไหว ก็ติดบล็อคระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนของตัวเอง นักเขียนใหญ่นิสัยไม่ดีที่นางเอกต้องไปทวงต้นฉบับ ก็ติดบล้อคอีโก้ และที่สุดแล้ว คนอื่น ๆ ที่ถูกเอ่ยถึงแบบผ่าน ๆ ในเรื่องก็ติดบล็อคเรื่องตลาดกับไม่ตลาด เรื่องน้ำเน่ากับเรื่องเพื่อชีวิต ในเรื่องเต็มไปด้วยสองขั้วสองข้างมากมาย

(หมายเหตุ: เรื่องติดบล็อคนี้ บางคนอาจไม่เห็นว่าเป็นบล็อค แค่เห็นว่า "มันก็หมดไฟแค่นั้นนี่หว่า" หรือ "ชีวิตก็ต้องเคลื่อนต่อไปนี่หว่า" แต่ตัวจขบ.เห็นว่ามันเป็นบล็อค เพราะมันทำให้หยุดเดินหรือเปลี่ยนทาง แน่นอนว่าทางนี้อาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากันสำหรับทุกคน เหมือนไม่ใช่ทุกคนอยากจะวาดรูปสวย แต่การเลิกก็คือการเลิกอยู่ดี)

สิ่งที่จขบ.เสียใจก็คือ ไม่มีใครในเรื่องพ้นบล็อคออกมาได้แม้แต่คนเดียว ทุกคนก็ยังคงอยู่ใน torment of soul ของตัวเอง คนที่ไม่เลิกก็ทนทุกข์ ส่วนคนที่เลิกไปเพราะไม่เห็นทางแล้ว ก็เลิก

น่าเสียดาย เพราะที่จริงคนหลายคนในเรื่องนี้ ทนไปต่ออีกสักหน่อย ก็อาจจะพบจุดบาลานซ์ของตัวเองได้ คนที่ดูเหมือนจะเจอจุดบาลานซ์ได้เร็วกว่าคนอื่น น่าจะเป็นตาคนกินอุดมการณ์ แต่จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคนกินอุดมการณ์นั้นบทจะหลุดจากบล็อคมักจะหลุดได้เร็ว แต่บทจะไม่หลุด ก็อาจจะติดแต่หนุ่มจนแก่ไปจนตายอย่างขม ๆ ขื่น ๆ จขบ.หวังว่าแกจะไม่เป็นอย่างนั้น

ส่วนนางเอก จขบ.เดาไม่ถูกว่าเธอหลุดจากบล็อคหรือยัง เพราะความที่เธอนึกเอาเองว่าชีวิตฉันจืดชืดสิ้นดี และสะกิดจิตตัวเองอยู่นั่นแล้วว่าจืดว่าจืด ทั้งที่จริง จขบ.คิดว่าเธอเป็นคนน่าสนใจ จขบ.คิดว่ามนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งน่าสนใจ จขบ.อยากรู้ว่า revelation ของนางเอกตอนที่เขียนเรื่องแรกที่ได้ตีพิมพ์นั้นคือคิดอะไรได้ อยากรู้ว่าเธอเขียนเรื่องอะไร เรื่องที่ว่าเธอรู้ดีที่สุดนั้นคือเรื่องอะไร จขบ.อยากจะเห็น revelation ขั้นต่อไปของเธอ ว่าการที่เธอไปเขียนเรื่องผีสางนั้น เธอเข้าใจไหมว่าทำไมเธอจึงเขียนเรื่องอย่างนั้น เธอเห็นความจริงในใจของตัวเองไหม เธอรู้ไหมว่าเธอรู้สึกว่าตัวเองจืด เธอจึงเขียนเรื่องพลิกเสียให้เป็นอีกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองจืด เรื่องของเธอจึงเป็นไปในทางคิดมากกว่าทางแอคชั่น เธอเข้าใจไหม รู้ไหม เธอรู้ไหมว่าการเขียนหนังสือนั้น คนแรกที่ตัวเองจะได้พบก็คือตัวเอง

ที่จริง จขบ.อยากรู้เรื่องเหล่านี้เสียยิ่งกว่าอยากรู้ว่านางเอกถูกโกงค่าเรื่องที่หลังอย่างไร อยากรู้ยิ่งกว่านางเอกจะรักกับพระเอกหรือไม่ จะมีหึงสากันอย่างไรบ้าง บางทีจขบ.อาจจะต้องการเห็นแผนที่มากเกินไป แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเขียนหนังสือ ก็หวังจริง ๆ ว่าจะได้อ่านเรื่องคนเขียนหนังสือ และคนเขียนหนังสือในฐานะคนเขียนหนังสือจริง ๆ บล็อคและความปรารถนา สิ่งที่คิดและสิ่งที่เห็นตอนทำงาน ตอนที่เขียนไม่ออก ตอนที่นอนไม่หลับ ตอนที่เขียนซ้ำเขียนซากฉีกต้นฉบับแล้วฉีกต้นฉบับอีก จขบ.อยากเห็นสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน

จขบ.รู้ว่าการเขียนหนังสือมันบรรยายออกมายาก ปราศจากแอคชั่น แต่ที่จริง มันน่าเสียดาย คนอย่างเพื่อนนางเอกซึ่งแยกโลกความจริงกับโลกเสมือนไม่ออกนั้น เขาจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือ จขบ.อยากรู้ เขาจะเจอตัวเองไหม จะมีใครเหลือบนเส้นทางนี้บ้าง จะมีใครไปต่อ จะมีใครหวนกลับมา จะมีใครไม่กลับมา

จขบ.ไม่เคยคิดเลยว่าทางนี้ไม่มีดอกไม้ ที่จริง บางที่จขบ.ไม่ได้หวังดอกไม้คือเกียรติยศและคำชมเชยอย่างเดียว (แต่ในฐานะมนุษย์ยังมีกิเลสคนหนึ่งก็ย่อมหวังเหมือนกัน) สิ่งที่จขบ.ได้ คงเท่ากับความชื่นชมยินดีที่คนทำงานศิลปะอื่น ๆ ทำ บางที อาจจะเท่ากับที่โชตะทำซูชิได้ดีสักชิ้น หรือโจนาธาน ลิฟวิงสตัน บินได้ดี มันเป็น way มันเป็นทางที่เราเดินอยู่ มันเป็นทางที่เรารู้ว่าเราจะไป

###

มีอีกประเด็นที่น่าพูด คือเรื่องอุดมการณ์กับเรื่องตลาด

แต่แรกมา จขบ.ไม่ได้อ่านนิยายไทยมากมายนัก ส่วนใหญ่อ่านเรื่องแปลและเรื่องเด็ก ไม่อย่างนั้นก็หนังสือเก่า ๆ ไปเลย จขบ.จึงไม่มีความรู้สึกอะไรกับเรื่องที่คนเขาเรียกว่า "น้ำเน่า" เป็นพิเศษ ต่อมาจนโตแล้ว เข้ามาอยู่ใน "วงการ" นี้ จขบ.จึงมักได้ฟังเรื่องน้ำเน่าและน้ำดี ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งสรุปเอาแล้วก็คือตั้งแต่คุณหญิงเขียนเรื่องทางไร้ดอกไม้มาจนถึงเดี๋ยวนี้ และบางทีคงก่อนหน้านั้นสักหลายพันปี และล่วงไปในอนาคตจากนี้สักหลายพันปี ก็คงจะยังมีการปะทะสังสรรค์ระหว่างน้ำเน่ากับน้ำดี อุดมการณ์อันเจ็บปวด และน้ำเน่าซึ่งแลดูไม่สร้างสิ่งใดให้บังเกิดไปจนตลอดกาลนาน คนที่สุดโต่งทั้งสองด้าน และคนที่ร้องไห้เสียใจอยู่ตรงกลางนั้นก็คงจะยังมีอยู่

ตอนนี้ จขบ.ไม่เห็นความสุดโต่งนั้นแล้ว จขบ.ไม่เห็นมาตั้งแต่แรกว่าเขียนเรื่องสลดรันทดใจ พ่อตายแม่ตายเมียถูกขมขื่นลูกพิการไปแล้วจะช่วยให้อะไรในโลกดีขึ้น อันนี้จขบ.มิได้ว่าคนที่มีความปรารถนาดี อยากจะแก้ไขอะไรบางอย่าง แต่จขบ.มีความเห็นว่าเขียนไปอย่างนั้นแล้วก็คืออีโก้ ชอบแต่จะบงการให้โลกเป็นอย่างใจตน เช่นเดียวกับที่เขียนให้โลกดีวิเศษเลิศเลอนั่นเอง ถ้าหากเป็นอย่างนี้ จขบ.ไม่เข้าใจ จขบ.เข้าใจคนอย่างมุราคามิ ซึ่งซื่อสัตย์กับโลกประหลาดพิกลที่ตัวแกเองเห็นเองมากกว่า จขบ.คิดว่าเพราะมุราคามิซื่อสัตย์กับความเพี้ยนของตัวเองขนาดนั้น คนอื่นถึงต้องยอมแก ถึงต้องชอบแก

อาจจะฟังดูแปลก ๆ สักหน่อย แต่จขบ.เริ่มมีความเชื่อว่า บางที เราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งที่เราคิดว่าเราควรจะทำ เช่นมนุษย์เบอร์หนึ่งอยากกระทำความดีแก่โลก ดังนั้นจึงเขียนเรื่องเพื่อชีวิต เพราะเชื่อว่าเพื่อชีวิตคือความดีกับโลก (หรือมนุษย์เบอร์หนึ่งอาจคิดว่าเขียนเพื่อชีวิตแล้วเท่ เลยเขียน) แต่ที่จริง มนุษย์เบอร์หนึ่งอาจจะไม่ได้อินกับเรื่องเพื่อชีวิต สิ่งที่ออกมามันก็ยังไม่ใช่ และวัตถุที่ยังไม่ใช่ ก็ไม่มีวันทำอะไรให้ดีกับโลกได้

วัตถุที่ใช่เท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ถึงจะมีผลจริง ๆ ได้ วัตถุที่ยังไม่ใช่อาจจะขายได้ แต่มันจะไม่ได้ผลจริง ๆ

ที่จริง เวลาที่จขบ.อ่านเรื่องทางไร้ดอกไม้แล้วมีนักเขียนที่เปลี่ยนจากเพื่อชีวิตมาเขียนเรื่อง "น้ำเน่า" (ขอออกตัวว่าจขบ.มีความเชื่อเรื่องน้ำเน่าต่างจากชาวบ้าน ดังนั้นที่เขียนนี่คือเขียนตามหนังสือ) จขบ.จะมีความตระหนกเป็นอันมาก เพราะจขบ.เป็นมนุษย์ที่เปลี่ยนแนวไม่ได้ คือจขบ.รู้ว่าตัวเองมีความสามารถกินพื้นที่อยู่ในบริเวณไหน และรู้ว่าถ้าข้ามเลยจากบริเวณนี้ไปแล้ว จะแทบทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่พัฒนาตัวเองในจุดที่ตัวเองอยู่ ดังนั้นพอได้ยินว่าไอ้คนนั้นในเรื่องเปลี่ยนได้แบบฉีก ๆ จขบ.มีความทึ่งเป็นอันมาก ไม่ได้นึกเลยว่าอีนี่เลวทิ้งอุดมการณ์ แต่คิดว่าเก่งจังเลยค่ะพี่ ทำได้ไง แถมเขียนแล้วฮิตอีกต่างหาก ว่าอีกทีหนึ่ง จขบ.แอบคิดว่าตานี่แกคงเจอแนวทางที่แท้จริงของแกแล้วกระมัง ส่วนที่ทำก่อนนี้ คงทำเพราะคิดว่าเท่เฉย ๆ เท่านั้นเอง

บางทีคงด้วยเหตุนี้ จขบ.จึงไม่คิดว่าเขียนเรื่องเพื่อชีวิตจึงควรเป็นปมเขื่อง และในทางเดียวกัน จขบ.ก็ไม่คิดด้วยว่าเขียนเรื่องตลาดเป็นปมด้อย ว่าไปแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จขบ.พยายามเข้าใจเรื่องตลาดเป็นอย่างมาก เพราะมีอะไรหลายอย่างที่จขบ.ไม่เข้าใจ เช่นว่าทำไมคนจึงชอบเรื่องตบจูบ ทั้งที่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่ได้ชอบให้คนตบจูบกันจริง ๆ (อาจจะมีคนซาดิสม์ชอบก็ได้มั้ง) คือที่จริงแล้ว ตบจูบนั้นเป็นแฟนตาซี (ในความหมายว่าเป็นการคิดคำนึง) ใช่ไหม แล้วแฟนตาซีนี้สะท้อนอะไรในใจมนุษย์หรือ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว จขบ.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมาย เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ความหมายที่เราจะเข้าใจได้โดยตรง เพราะใจคนเป็นเรื่องซับซ้อนและมีลักษณะปัจเจกสูง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ถูกใจคนหมู่มาก (= สิ่งที่ถูกเรียกว่าเรื่อง "ตลาด") แสดงว่าต้องสะท้อนอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ในใจคนหมู่มากด้วย หรือพูดอีกอย่างคือมันเป็น archetype

เช่น ตัวนางอิจฉา ช่วงหลัง ๆ นี้ บางทีจขบ.ก็คิดว่านางอิจฉาคือเหยื่อทางอารมณ์อย่างหนึ่งทั้งของคนเขียนและคนอ่าน บางที เธอคงเป็นบางสิ่งที่เรากลัวหรือเคยกลัว ดังนั้นเราจึงมีความสุขที่จะ debase เธอ หรือให้เธอปรากฏในเรื่องเพื่อจะได้ควบคุมเธอไว้ได้ เมื่อคิดอย่างนี้ จขบ.จึงเห็นว่าการที่ตัวอิจฉาจะจริงหรือไม่จริงนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว แ่ต่จขบ.ประสงค์จะรู้ว่ามันสะท้อนอะไร มันก็เป็นแต่เพียงกระจกเงา มันสะท้อนอะไรในตัวพวกเราทุกคน จขบ.เห็นด้วยกับคำของเฮสเสที่จขบ.เขียนไว้หัวบล็อค คือเราเข้าใจผิดว่าโลกจริงคือโลกที่เราเห็นได้จับต้องได้ แต่เราใส่ใจกับโลกในตัวเราเองน้อยเต็มที ดีแต่ตอบสนองมันอย่างเปะปะเท่านั้นเอง

เพราะอย่างนั้น จขบ.จึงเริ่มมีความรู้สึกว่าเรื่องซึ่งคนเห็นว่า "น้ำเน่า" นั้นมีความหมายเพิ่มมากขึ้นอย่างยิ่ง และมีอะไรให้อ่านระหว่างบรรทัดเยอะไม่น้อยไปกว่าเรื่องแบบอื่น ๆ แต่แน่นอนว่าหนังสือก็มีเขียนดีเขียนไม่ดีเป็นเรื่องธรรมดาโลก ดังนั้นจึงเอาเป็นว่า จขบ.เลิกเห็นว่าน้ำเน่ามีอะไรสู้เรื่องเพื่อชีวิตไม่ได้ ว่าไป ก็เหมือนกับที่จขบ.ไม่เห็นว่าการ์ตูนสู้นิยายไม่ได้ เรื่องเด็กสู้วรรณคดีไม่ได้ จขบ.สูญเสียมิเตอร์วัดคุณค่าวรรณกรรมมานานมากแล้ว มิเตอร์เดียวที่ใช้การได้อยู่คือเรื่องนี้ "เขียนดี" ไหม เขียนดีก็คือเขียนดี ไม่ว่าเขียนอะไร ก็คือเขียนดีเหมือนกัน และหากว่าเขียนไม่ดี ไม่ว่าคืออะไรเป็นมาอย่างไร จขบ.ก็ยังว่าไม่ดี

แต่บางทีสิ่งที่ทำให้โลกของการเขียนหนังสือซับซ้อนมากขึ้น คงจะเป็นเรื่องเงินทองชื่อเสียงกระมัง บางทีถ้าเราสามารถทำได้อย่างฝึกไอกิโด้ ฝึกก็เพียงเพื่อแค่ฝึก เรื่องอาจจะง่ายกว่านี้

ดังนั้นด้วยสติปัญญาในตอนนี้ของจขบ. จขบ.คิดว่าขั้วตรงข้ามระหว่างอุดมการณ์กับน้ำเน่านั้นเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด เอาเรื่องที่เป็นคนละเรื่อง คือ ชื่อเสียงเงินทอง กับการเขียนหนังสือดี มาปะปนกัน แต่จะว่าไป ในความคิดของพวกเราซึ่งอยู่ในระบบทุนนิยมแบบนี้มาตั้งแต่แรก ในโลกที่คิดว่าการไต่เต้าทางอาชีพล้วนมีลักษณะคล้ายกับออฟฟิศ ทุกคนควรได้เงินเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา โลกที่การได้เงินจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางอาชีพ (มันบอกได้หลายอย่าง แต่บอกไม่ได้ทุกอย่าง) มันก็แยกจากกันยากจริง ๆ

แต่เงินทองกับคำชมเชยไม่ใช่ดอกไม้ประเภทเดียวบนทางนี้หรอก

###

ที่จริงควรจะเขียนอีกบล็อค แต่มันยาวเต็มทีแล้ว ไว้จะขึ้นบล็อคใหม่แล้วกัน


Create Date : 07 เมษายน 2552
Last Update : 3 มกราคม 2553 20:58:30 น. 4 comments
Counter : 676 Pageviews.

 
รออ่านต่อ ^_^


โดย: นักรบ IP: 74.193.243.254 วันที่: 7 เมษายน 2552 เวลา:21:09:08 น.  

 
น่าสนใจ

รอตอนต่อเช่นกันจ๊ะ ^^


โดย: wanderer IP: 125.25.105.152 วันที่: 7 เมษายน 2552 เวลา:21:52:41 น.  

 
น่าสนใจตามอ่านบล็อกต่อไป


โดย: แก้วกังไส วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:22:03 น.  

 
รออ่านต่อ(ด้วย)ค่ะ

แต่เห็นด้วยกับตรงนี้นะคะ บางทีหนังสือมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า "เขียนดี" หรือเปล่า และ "เราชอบ" หรือเปล่า เท่านั้นเอง

ป.ล. เขาชอบอ่านน้ำเน่านะ เพลินดีออก


โดย: piccy IP: 124.120.99.227 วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:15:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.