The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
พระราชวังกลางสายรุ้ง: เท็นซิน โชดรัค

เล่มนี้ซื้อมาจากบูธสวนเงินมีมา

และตอนนี้กำลังกึ่ง ๆ จะคลั่งหนังสือของสวนเงินมีมา คิดว่าอาจจะไปยกชุด Asian Thought ( ใช่ชื่อนี้หรือเปล่าหว่า ) มา อ่านความคิดแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนมองเห็นโลกกว้างขึ้น เราคิดว่าช่วงนี้เราอยู่ในโลกแคบ ๆ เกินไปแล้ว เรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง กังวลกับวิถีทาง และในที่สุดก็กังวลกับความคาดหวังของคนอื่น แต่เอาเข้าจริง เราก็ไม่ได้กลายเป็นอะไรอื่นนอกจากตัวเราเอง และก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเติมภาชนะของเราเองอย่างที่มันเป็น

ที่จริงเราก็รู้มานานแล้วว่าเราเป็นยังไง ตั้งแต่ก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น เราก็เป็นอย่างนี้ ทำไมพอมีอะไรเกิดขึ้น เราต้องกลายเป็นอย่างอื่น ทำไมเราต้องวิ่งวุ่นวาย ทั้งที่สิ่งที่ทำให้เกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้นตอนนี้ ก็คือหลักฐานความคิดเก่าของเรานั่นเอง เราค้นหาอะไรหลายอย่าง ทำไมเราต้องเลิกค้นหา ทำไมเราต้องคิดว่าต้องเหมือนใคร ต้องหนีอะไร ต้องทำอะไรเพื่อจะสร้างอะไรให้ตัวเอง

หนังสือของท่านเท็นซินทำให้เราคิดอย่างนี้

###

พระราชวังกลางสายรุ้ง ( The Rainbow Palace ) หมายถึงวังโปตาลา ( วังเดิมของทะไลลามะ ) แต่บางที เราก็คิดว่ามันหมายถึงอดีตทิเบตที่จะไม่หวนกลับมาอีก หนังสือเล่มนี้เกิดจากการสัมภาษณ์ลามะชื่อท่านเท็นซิน โชดรัค ซึ่งอยู่ในตำแหน่งลาเมนปะ ( แพทย์ส่วนพระองค์ของทะไลลามะ ) เล่าเรื่องทิเบตทั้งก่อนและหลังการยึดครองจีน เรื่องเริ่มราว ๆ 1922 คือตอนที่ท่านเท็นซินเกิด และจบลงในปี 1989 เราคิดว่าป่านนี้ท่านเท็นซินคงจะสิ้นไปแล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะแพร่หลายไปถึงไหนหรือไม่ แต่เราคิดว่าการอ่านทำให้เรารู้สึกเคารพท่านเท็นซิน ท่านเป็นลามะที่ดี และเป็นมนุษย์ที่ดี

เรามักจะคิดว่าทุกครั้งที่มนุษย์ทำอะไรได้เลวอย่างไม่น่าเชื่อ ก็จะมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ดีอย่างไม่น่าเชื่ออยู่เสมอ มันไม่สมดุลหรอก และคนอื่นก็จะหัวเราะเยาะเรา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์ควรจะดีเท่าที่เขาควรดีแล้ว "ความดี" เป็นของตกยุค ฝันเฟื่อง และต้องจับแต่งตัวใส่เสื้อผ้าอื่นเพื่อให้น่าสนใจ

ลามะคนหนึ่งถูกขังอยู่ในคุก ทารุณในค่ายกักกัน ทำงานไม่มีที่สิ้นสุดในเหมืองหิน เคยอดอยากขนาดจะไม่มีแรงยกหัว ถูกทุบตี ถูกเอาไฟฟ้าจี้ ถูกเพื่อนทรยศ ตลอด 21 ปี

เราอ่านหนังสือแบบนี้มาหลายเล่ม ทั้งเรื่องในค่ายกักกันยิว ( ที่ถูกบังคับให้อ่าน ) เรื่องการปฎิวัติวัฒนธรรมจีน เรื่องในค่ายรัสเซีย ทุกครั้งที่อ่าน เรารู้สึกเสมอว่ามีความเกลียดชัง มีความแค้น มีความโมโหโกรธา หรือไม่อย่างนั้น ก็มีความเย็นชา สิ้นหวัง เรารู้ว่าถ้าเราตกอยู่ในสภาพนั้น ตัวเราเองก็คงเป็นอย่างเขา หรือไม่อย่างนั้นก็คงยิ่งกว่าเขา เพราะเราต้องยอมรับว่าเราเกิดมาสบาย ไม่เคยมีความเจ็บปวดเดือดร้อนอะไรยิ่งไปกว่าเหตุประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ

ทุกครั้งที่เราอ่านเรื่องแบบนี้ เรารู้สึกโมโห เราไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน เรารู้สึกถึงความเย็นชาและเจ็บปวดของคนที่เขียน เรามักจะได้ฟังทีหลังเสมอว่าคนเขียนประสบการณ์แบบนี้ บางคนก็ฆ่าตัวตาย เป็นบ้า หนีออกนอกประเทศทั้งสภาพจิตที่บอบช้ำ พยายามต่อสู้กับปีศาจร้ายที่หลอกหลอนไม่มีที่สิ้นสุด

แต่เราอ่านพระราชวังกลางสายรุ้ง รู้สึกได้แต่ความสงบของท่านเท็นซิน

เวลาที่เล่า เรารู้สึกว่าท่านเท็นซินพูดถึงทุกอย่างเป็น matter of fact ใช่...มีเรื่องนี้เกิดขึ้น และใช่ ฉันผ่านเรื่องนี้มา ฉันเล่าให้เธอฟังได้ว่ามีความโหดร้ายแบบนี้ และฉันจะเล่า เพราะฉันจะต้องบอกความจริงให้เธอรู้

แต่ว่าทิเบตก็ยังมีนิทาน...และท่านเท็นซินก็ยังเล่านิทานเรื่องนี้ กาลครั้งหนึ่ง มีลามะผ่านไปเห็นหญิงกำลังบดหัวแพะ นางเหลือบดูลูกด้วยความเป็นห่วงบ่อย ๆ ระหว่างนั้นมีสุนัขมาด้อม ๆ มอง ๆ นางจึงเอาก้อนหินที่บดหัวแพะนั้นขว้างสุนัข ตวาดขับไล่มันไป

ลามะยิ้ม เพราะว่าท่านเห็นสิ่งที่หญิงนั้นไม่รู้ นางบดหัวแพะที่ชาติก่อนเป็นมารดา นางขว้างสุนัขซึ่งชาติก่อนเป็นบิดา และนางยิ้มให้บุตร ซึ่งชาติก่อนเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจ

ในห้วงแห่งการเกิดและตาย มีอะไรแน่นอน

มันยาก...ที่จะยอมรับกระแสของการเกิดและตาย นึกถึงคนที่ทุบตีทารุณเราในภาวะอื่นที่ไม่ใช่ภาวะนี้ และในที่สุดแล้ว ก็นึกถึงทุกคนในฐานะที่วนเวียนอยู่ในการเกิดตายไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน

ท่านเท็นซินไม่ได้ submissive เพราะไม่อย่างนั้น ท่านก็คงไม่เล่าเรื่องนี้ เพราะว่าถึงจะให้อภัยได้ แต่ที่สิ่งจีนทำลงไปมันก็ไม่ได้ "ถูกต้อง" และประชาคมโลกก็ควรจะรู้ แต่ว่า ท่านก็ไม่ได้เล่าด้วยความโกรธแค้น ท่านเพียงแต่ถามว่าทำไมล่ะ ทำไมต้องทำอย่างนี้

เรารู้สึกเคารพท่าน รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของคนที่ผ่านวิกฤติมาโดยที่จิตใจยังสงบและมั่นคง เชื่อในสิ่งที่เชื่อ และยังคงสามารถรักษาจรรยาแพทย์ไม่มีด่างพร้อย รักษาทั้งมิตร ศัตรู หรือแม้กระทั่งสัตว์

มีคนที่เคยอ่านเรื่องนี้บอกว่าอ่านแล้วหดหู่ เราก็รู้ เพราะเท่าที่เห็น เราก็ไม่คิดหรอกว่าทิเบตจะได้กลับเป็นไท

แต่ถึงอย่างนั้น เวลาเราอ่านเราก็ยังคงรู้สึกดี...ดีที่ว่ามีคนแบบนี้อยู่ ดีที่ความเชื่อของเราเป็นจริง ว่าคนเราสามารถฝึกตัวเองจนกระทั่งตั้งอยู่ในความนิ่งได้ เหมือนก้อนหินที่ถูกน้ำกระแทกชะครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นเหลี่ยมคม

###

เรา...ไม่เคยลำบาก ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น เราเป็นแค่คนที่สุขสบาย อยู่ในโลกที่สุขสบายกว่าคนจำนวนมาก เราไม่รู้ สักวันความสุขสบายของเราอาจจะพังครืนลงมาก็ได้ สักวันเราอาจจะกลายเป็นอย่างอื่น อาจจะได้เจอประสบการณ์ที่ไม่นึกว่าชาตินี้จะต้องมาเจอ

แต่ถึงอย่างนั้น เราที่เป็นอย่างนี้ก็หวังอยู่เสมอว่าจะสามารถทำบางอย่างเพื่ออะไรบางอย่างได้ เพราะอย่างนั้นเราจึงได้เขียนสิ่งที่เราเขียน และตั้งแต่แรกเราก็ทำมันเพราะอย่างนั้น

ก็ทำไปเถอะ ตั้งตัวไม่ได้ ไม่มีที่ไป หลงทางอยู่ในกระแส สับสน ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีคนเข้าใจ หวังอะไรในเมื่อควบคุมคนอื่นไม่ได้

แต่ว่านี่นะ โลกนี้มีอะไรแน่นอนบ้าง

และถ้าเราไม่ทำอะไรเท่าที่เราอยากทำในวันนี้แล้ว

อะไรจะประกันว่าพรุ่งนี้เราจะได้ทำมันบ้าง


Create Date : 20 ตุลาคม 2548
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 22:47:30 น. 3 comments
Counter : 690 Pageviews.

 
cแวะมาอ่านคนแรกเลยค่ะ


โดย: Batgirl 2001 วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:13:07:51 น.  

 
งานหนังสือคราวหน้าต้องไปด้อมๆมองๆตามบูธแปลกๆแบบปันมั่งแล้ว เผื่อจะได้เจอหนังสือดีๆที่หลงมาแบบนี้บ้าง


โดย: ouiya IP: 58.11.42.33 วันที่: 20 ตุลาคม 2548 เวลา:20:26:18 น.  

 
บางครั้งเรารู้สึกมั่นใจในอะไรบางอย่าง แม้จะไม่เข้าใจ ยังมัวๆ มึนๆ แต่ก็มั่นใจ
ทำให้มีเรี่ยวแรงที่จะทำ จะดู จะเดิน
ตัวหนังสือของคุณเคียวให้ความรู้สึกอย่างนั้น


โดย: คุณม้าม วันที่: 25 ตุลาคม 2548 เวลา:1:46:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.