The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

pure soul of pure age

จขบ.เป็นโอตาคุมหาภารตะ (เหมือนพูดมาหลายครั้งแล้ว)

แต่เพิ่งไม่นานมานี้ที่ตระหนักรู้ขึ้นมาว่า ที่จริงแล้วชีวิตของตัวเองผูกพันกับหนังสือขนาดไหน ในขณะที่เด็กคนอื่นอาจจะมี role model เป็นคนมีตัวตนจริง ดารา หรือบุคคลสำคัญ role model ของข้าพเจ้าคือตาแก่ (และไม่แก่) ที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตจริงไหม คือหมายความว่าในช่วงวัยที่รับเอาภาพประทับเข้าไปนั้น อีนี่ได้รับภาพประทับจากหนังสือ ซีรีย์ และการเล่า สูบคนเหล่านั้นเข้าไปเป็น ideal ของตัวเอง

ความเข้าใจนั้นทำให้รู้สึกพิลึก เหมือนตัวเองอยู่ในโลกกึ่งจริงกึ่งฝันตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึก grateful กับบรรดาตัวละครที่ "เติบโตมาด้วยกัน" ไม่น้อย ตัวละครเหล่านั้นยังคงเป็นผู้นำทาง และสอนอะไรต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้า ตลอดจนทำให้ข้าพเจ้า "เห็นตัวเอง" เสมอมา ความเข้าใจเพิ่มพูนขึ้นตามวัย ตัวละครก็ไม่ได้เพอร์เฟ็คหรือเท่เฉย ๆ อีกต่อไป แต่ก็ยังคงมีบางอย่างที่ทำให้อยากไปให้ถึงอยู่เหมือนเดิม

เร็ว ๆ นี้ดูมหาภารตะอีกครั้ง ดูตอนภีษมะถูกยิง (ยิงจนพรุนขนาดที่ล้มไม่ลงเพราะลูกศรที่ทะลุตัวค้ำไว้ เรียกว่า "นอนบนเตียงลูกศร" แต่ตายไม่ได้เพราะเขาได้พรให้เลือกเวลาตายของตัวเองได้ และเขายังไม่ต้องการตายตอนนั้น)

ภีษมะเป็นหนึ่งในตัวละคร ideal ที่ติดแน่นอยู่ในใจมาก ๆ แม้ว่าทีหลังจะมาคิดดูแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็มีข้อบกพร่องเยอะ เพราะยึดถือคำสาบานของตัวเองมากเกินไป จนเกิดปัญหาใหญ่โตขึ้นมาทีหลังเยอะแยะ ตอนที่ดูคราวนี้ ตัวละครอีกตัว (วิทูร ซึ่งเป็นคนฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่อง) ก็วิพากษ์ว่า ปิตามหะ (grandsire/ท่านปู่ใหญ่) ทำผิด เพราะคิดเอาเองมาตลอดว่าบัลลังก์ของแคว้นคือ "พ่อ" มีภาพติดใจว่าต้องรับใช้ "พ่อ" ให้ดีที่สุด โดยไม่ยอมมองว่าในความเป็นจริง คนบนบัลลังก์นั้นไม่ใช่พ่ออีกแล้ว แต่เป็นพระราชาที่อ่อนแอ เพราะปิตามหะทำอย่างนี้ ตัวเองก็เลยต้องตายอย่างทรมานมากในสภาพที่น่าอนาถ

แต่วิทูรวิเคราะห์ชัดขนาดนี้แล้ว ก็ยังว่าไปร้องไห้ไป เพราะใน flaw อย่างยิ่งของภีษมะนั้น มีความ grand อย่างยิ่ง majestic อย่างยิ่ง วิทูรพูดออกมาเลยว่า ภีษมะเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สุดท้าย ซึ่งมาจากยุคสมัยอันบริสุทธิ์ที่กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว และทั้งที่เห็นความผิดทั้งหมดของภีษมะ วิทูรก็ร้องไห้ให้ปู่จะขาดใจ เพราะว่าโดยตัวตนของภีษมะเอง ไม่มีอะไรให้ตำหนิได้ ภีษมะเป็นคนดี (ควรว่าดีมาก pure มาก และแข็งแกร่งมากด้วย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่)

ความกระจ่างอย่างยิ่ง บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ชัดเจนอย่างยิ่ง มั่นคงอย่างยิ่ง แกร่งอย่างยิ่ง ของภีษมะนั้นติดใจ จขบ.มาตลอด คุณสมบัติซึ่งทำให้อยากไปให้ถึง อยากเป็นคนอย่างนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็เขียนถึงคนอย่างนั้น มันนำทาง จขบ.ให้ทำบางอย่างและไม่ทำบางอย่าง ว่ากันตรง ๆ คนอาจจะว่าเอาอะไรกับนิทาน แต่หลังจากผ่านการคิดอะไรแบบนั้น (และแบบอื่น ๆ) มามากแล้ว จขบ.ก็เห็นว่าเบื้องหลังนิทานนั้นคือ pure force ของภาวะหนึ่ง ในขณะที่ตัวละครบางตัวไม่มีจริง แต่ pure force นั้นมีจริง ในขณะที่เราไม่สามารถเห็นความดี ความงาม ความจริง ได้ด้วยตาเสมอไป แต่ความดี ความงาม ความจริง สามารถถูกแสดงออกผ่านการกระทำของตัวละครได้ และทำให้เรารู้สึกได้

พอตระหนักแบบนี้แล้วก็นึกว่า ใครคนอื่นอีกไหมที่เข้ามา "นำ" ชีวิตตู ทำให้เกิดทัศนคติบางอย่าง หรือไม่เกิดทัศนคติบางอย่าง ใครอีกบ้างทั้งที่มีจริงและไม่มีจริงที่ทำให้กลายเป็นคนแบบนี้




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2554    
Last Update : 7 ธันวาคม 2554 15:29:32 น.
Counter : 1165 Pageviews.  

กระบวนการเรียนรู้

อ่านหนังสือของคนอื่น พระเอกมันคิดว่า มันก็คงมีชีวิตไปตามอัตภาพ เช่น อยู่ ๆ ไปจนอายุสัก 50 แล้วเกิดป่วย หันมาสนใจชีวจิตและทางธรรม ป่วยอีกสองสามครั้งแล้วก็ตาย อะไรแบบนี้ อ่านไปคราวแรกก็คิดว่าเออจริง ชีวิตคนกลุ่มหนึ่งก็ประมาณนี้ แต่ไม่รู้ทำไม มันหงุดหงิดอยู่ในใจ

มาคิดอีกทีก็คิดว่า ที่หงุดหงิดเพราะสิ่งที่พูดนั้นเป็นสิ่งที่ "แค่ตาเห็น" แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ข้างใน ซึ่งหมายความว่าตูมีความเห็นว่าสิ่งที่ได้พบเจอเหล่านั้น ไม่ว่าเหมือนกันหรือไม่เหมือนกัน ล้วนเป็นบทเรียนมาให้เรียน เมื่อใช้ร่างกายอย่างไม่ถนอมมัน (เช่นที่ตูทำ) มันก็มาแก้แค้นเอาคืน แต่ว่าในกระบวนการที่โดนแก้แค้นแบบนั้น มันก็คือการเรียนรู้ มันคือการได้เห็นว่าบางสิ่งมันมีค่าแค่ไหน เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกายกับใจ (และวิญญาณ?) เมื่อก่อนตูไม่สนใจหรอก ร่างกายตู ไม่สนใจแม้แต่จะสวยด้วยซ้ำ (ในเวลาที่จิตนิ่ง ไม่มีความกลัวใด ๆ) ตูมีชีวิตในโลกของตู โลกแห่งความคิดของตูกว้างใหญ่ไพศาล มันน่าสนุกกว่าโลกที่เห็นด้วยตา และร่างกายที่มีข้อจำกัดของตูเอง

แต่ตอนนี้ก็เห็นแล้วว่า ตูจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ให้เกียรติร่างกาย และอีกอย่าง มันก็ส่งผลถึงกัน ตูเป็นต้นไม้ สนใจแต่ยอด คนเขามาฟันโคน ตูก็ตาย

ตอนที่ตูเด็กกว่านี้ ตูมีแต่ lip service เกี่ยวกับความเป็นความตายอันโคตรเท่ แต่พออยู่มาถึงตอนนี้ เห็นความพังไปบ้างของร่างกายของตัวเอง ตลอดจนสภาพบางอย่างของจิตใจที่มากับความเป็น "ผู้ใหญ่" ความเข้าใจเรื่อง mortality ก็มาแบบ...อืม กรูต้องตาย บางสิ่งจะต้องสูญไป ความเข้าใจมาอีกระดับชั้นที่ไม่ใช่แค่รู้เฉย ๆ ตูเกือบจะเข้าใจบรรดาตัวร้ายที่อยากเป็นอมตะ อยากเป็นหนุ่มสาวตลอดไปขึ้นมาในอีกระดับทีเดียว มันไม่ใช่ความดาด ๆ หรอก มันคือ quest แห่ง archetype มันคือสิ่งที่มนุษย์ทั้งปวงแสวงหา ตลอดไป ตลอดไป

แต่พูดตามจริง ตูมองเห็นว่ามัน "ดี" ดีแล้วที่เจอ แน่นอนว่าตอนที่เป็น มันไม่มีทางดีได้ การที่คิดว่าอายุ 50 แล้วเกิดป่วยเลยเข้าทางธรรม ในฐานะ rite of passage โดยเอ่ยถึงในเชิงกึ่งเสียดสีนั้น เป็นคำพูดที่ดูถูกจิตใจของมนุษย์มากไปสักหน่อย แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏจะดาด ๆ กระนั้น ๆ แต่สิ่งที่ส่งผลกับจิตใจในกระบวนการอันกระนั้น เป็นสิ่งที่คนไม่เคยพบเจอไม่อาจเข้าใจได้ (ได้แต่มองจากข้างนอก) คนเราเติบโตขึ้นมาก็ด้วยอะไรแบบนี้ จิตใจมีการเติบโตที่หยั่งวัดได้ยากกว่าร่างกาย บางคนก็เติบโตมาก บางคนก็ฟรีซอยู่ที่ไหนสักแห่งตลอดไป และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การเติบโตก็ต้องผ่านความเจ็บปวดเสมอแหละ ไม่ว่าทีหลังจะหายหรือไม่หายเจ็บก็ตาม




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2554    
Last Update : 3 ธันวาคม 2554 21:37:20 น.
Counter : 1315 Pageviews.  

เปลี่ยนที่

มีคนฝรั่ง ใครไม่รู้จำไม่ได้แล้ว บอกว่าการท่องเที่ยวคือการแสวงหาความแปลกใหม่ของชนชั้นกลาง ซึ่งในชีวิตไม่มีอะไร เลยไปเที่ยวเพื่อหาความ exotic เช่น ความลำบากกว่าที่เคยเป็นอยู่ หรือความแปลกจากที่เคยเป็นอยู่

อนึ่ง จขบ.ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเมิงจะจองล้างจองผลาญชนชั้นกลางไปทำไม แต่จขบ.คิดว่าคนวิจารณ์น่าจะเป็นชนชั้นกลาง ด้วยว่าสังคมฝรั่งนั้นมีวัฒนธรรมการวิจารณ์ จึงมีคนที่ออกมาพูดว่า (ตามความคิดของคนนั้น) สังคมกำลังเดินไปทางที่ผิด จงไปทางใหม่

แต่นะ ถ้าไม่ให้เที่ยวให้ทำไรเหรอ ตูสงสัย คือจะให้ดีต้องอยู่เฉย ๆ อย่าขยับมากหรือไง แต่ในความเป็นจริงคือแม้ไม่ทำไรเลยก็ด่าได้อยู่ดี ถ้าอยาก จขบ.ไม่นิยมการกระทำเช่นนี้ เพราะไม่มีประโยชน์ จะมีประโยชน์บ้างก็ในฐานะ glitch ที่เข้ามาทำให้ชีวิตที่ดำเนินไปไม่ได้คิดมีจุดสะดุด และเมื่อประสบจุดสะดุดนั้นก็ทำให้หวนกลับมาคิดว่า เราทำอะไรเพราะอะไร

เร็ว ๆ นี้ จขบ.ไปเชียงราย จุดประสงค์ที่แท้จริงคือ ชีวิตตอนนี้มันเหี่ยวแห้งและกรูเหงา การมาอยู่คนเดียวห่างไกลบ้าน ในจังหวัดที่มีคนรู้จักนับได้ด้วยนิ้วมือ และในจำนวนนั้นไม่มีคนที่คุยได้ทุกเรื่องเลย (ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเขา และว่ากันอีกทีก็ไม่ใช่ความผิดของจขบ. เป็นแต่เราต่างกัน) เป็นโลกที่บั่นทอนชีวิตจิตใจได้มากในบางชั่วขณะ โดยเฉพาะเมื่อมือท่านเจ็บเป็นออฟฟิศซินโดรม ท่านออนไลน์ไม่ได้ เพราะต้องลดการใช้ (ตอนนี้ยังเป็นอยู่) และเพื่อนท่านต้องทำการงาน ไม่ได้ว่างมานั่นฟังท่านพิมพ์ฟุ้งในเอ็ม

การไปพบสิ่งใหม่ ไปพบเพื่อนใหม่ ไปพบพลังใหม่ ก็เติมอะไรให้จขบ.ได้ประมาณหนึ่ง การไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็เป็น "ปัญญา" เพราะทำให้ทราบว่าขอบฟ้าที่เราเคยคิดว่าเป็นขอบฟ้านั้นเป็นสมมุติมายา ก่อนจขบ.จะมาอยู่เชียงใหม่ จขบ.ไม่เคยตระหนักด้วยซ้ำว่าจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศไทยมีหมายเลขโทรศัพท์หกตัว ไม่ใช่เจ็ดตัวอย่าง กทม.

ดังนั้น จขบ.จึงเห็นว่าบางครั้งคนเราก็ต้องเปลี่ยนที่เพื่อรักษาบางอย่างในจิตใจของตัวเอง และเพื่อให้เป็นคนที่ไม่แคบเท่าเดิม และจขบ.เห็นว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์เหมือนกัน ถอดแล้วสุดท้ายในแก่นบางอย่างก็เหมือนกัน




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2554 21:28:26 น.
Counter : 810 Pageviews.  

ความจริง

บางครั้งพออ่านหนังสือ/ฟังคนคนหนึ่งที่ฉลาดมาก ๆ หรือมีสายตาดีมาก ๆ ก็อดเชื่อไม่ได้ว่าสิ่งที่อ่าน/ฟัง เขามานั้นเป็น "ความจริง"

หรือแม้ไม่ใช่คนฉลาดมาก แต่เป็นคนที่เรารัก หรือผู้คนที่แวดล้อมเราอยู่พากันเชื่อเช่นนั้น เราก็อดเชื่อไม่ได้เหมือนกัน

ในบางกรณี ตกจนผ่านไปพักหนึ่ง พ้นจากรัศมีของบุคคล/กลุ่มดังกล่าวมาแล้ว ก็จะสามารถคิดใคร่ครวญ และเริ่มคิดว่า "บางอย่างคงจริง บางอย่างคงไม่จริง"

แน่นอนว่ามีความเชื่อบางอันที่ต่อให้คิดใคร่ครวญแล้ว ก็ยังคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น "จริง" อยู่ แต่ถ้าหากได้คิด ความจริงดังกล่าวก็จะไม่ครอบงำเราอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าเรามีสิทธิ์จะคิดไปอีกทางหนึ่งได้ และความจริงทั้งสองความจริง (หรือเกินกว่านั้น) ก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขพอสมควร

พอเราปีกกล้าขาแข็งขึ้น คนที่จะมามีอิทธิพลกับเราก็จะมีน้อยลง เพราะเราเซ็ตอัพ "ความจริง" ของเราไปแล้ว อนึ่ง ในโลกนี้ย่อมมีพวกที่แม้ยังไม่ปีกกล้าขาแข็งแต่เสือกเชื่อว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้ว และไม่เชื่อชาวบ้านเลยจนกระทั่งตกบันไดหัวทิ่มตายบ้างเหมือนกัน (อ่านแล้วคงรู้ว่า จขบ. หมั่นไส้คนพรรค์นี้ ซึ่งอีกทีหนึ่งก็อาจจะหมายความว่า จขบ. มีเศษเสี้ยวของนิสัยพรรค์นี้อยู่ในตัวเช่นกัน เพราะเราหมั่นไส้คนอยู่สองจำพวกเท่านั้น คือคนที่ต่างจากเรามากเกินไป กับคนที่มีความอ่อนแอประเภทเดียวกับเราอยู่มากเกินไป)

และแน่นอนว่ามีบาง "ความจริง" ที่เราอยากจะเชื่อ เลยเสือกเชื่อกอดไว้อย่างนั้น เพราะไม่เชื่อแล้วมันเจ็บมันปวด ไม่ว่าเมื่อลองนึกดูแล้ว มันจะจริงหรือไม่จริง หรือจริงเพียงบางส่วนก็ตาม (แต่ประเด็นนี้ยังต้องโยงกับวิธีมองความจริงอีก ซึ่งยาวเกินไปเลยช่างมัน)

อย่างไรก็ตาม "ความจริง" ในที่นี้ ก็ใส่เครื่องหมายคำพูดไว้ เพราะมันหาใช่ความจริงไม่ และชาวพุทธเชื่อกันว่า ความจริงที่จริง ๆ นั้นจะไม่มีใครเห็นได้เลย เว้นแต่บรรลุนิพพานแล้วเท่านั้น ส่วนคนอื่นแม้แต่พระอนาคามีก็ยังมีเลนส์สีอยู่เล็กน้อยอยู่ดี

"ความจริง" ของเรา จะบงการตัวเราอย่างยิ่ง จะจำกัดกรอบให้เราเดิน จะให้พลังและจะปล้นพลังไปจากเรา จะทำให้โลกนี้น่าอยู่โคตร และจะทำให้โลกเป็นดงหนามมืดและดึ๋ยที่ไม่น่าเดิน "ความจริง" อันนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ (และคนที่สะเออะมาเถียงว่าเปลี่ยนไม่ได้ คือคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวใส่เลนส์สี) แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเปลี่ยนนั้นมีขอบเขตประมาณหนึ่ง แต่อันนี้ก็อาจจะเป็นแค่ความไม่รู้ของตูก็ได้

ที่น่าแปลกอีกอย่าง ซึ่งตูก็พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ คือคนเรามักคิดไปเองว่าการมองให้เห็นความจริง คือการมองโลกในแง่ร้าย

มองโลกในแง่ร้ายไปมาก ๆ ก็เหนื่อยไปเอง เช่นมองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเลว ประกอบด้วยความโลภ โกรธ หลง อิจฉาริษยา เลยพาลไม่เชื่อมนุษย์ขึ้นมา โลกนี้ก็เลยกลายเป็นดงหนามอันมืดและดึ๋ย

แต่ถ้าเชื่อว่ามนุษย์ดีเลิศประเสริฐศรีเกินเหตุนัก ก็จะพาลเสียใจ ถูกหลอกลวง เอาเปรียบ ตกเป็นเหยื่อ กดขี่ สุดท้ายถ้าไม่ฉลาดขึ้นมา (ซึ่งอาจหมายถึงได้ทั้งกลายเป็นอย่างข้างบน หรือแข็งแกร่งขึ้นและสามารถคงการมองโลกในแง่ดีไว้ได้โดยไม่อ่อนแอ) ก็จะเกิดความซวยแก่ตัวเอง

ทั้งหมดนี้ก็เป็น "ความจริง" ของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังคงเห็นว่ามันจริง




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2554    
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 9:49:55 น.
Counter : 873 Pageviews.  

ไม่รู้

จขบ.มาอยู่เชียงใหม่จะสามปีแล้ว บางเรื่องก็พัฒนาขึ้น บางเรื่องก็ไม่ได้พัฒนาอะไร อาจจะมีอะไรถอยหลังไปบ้าง และอาจจะมีอะไรที่เดินหน้าโดยไม่รู้ตัว

จขบ.ไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนเชียงใหม่ เพราะว่าถึงอย่างไรก็คงกลับบ้านสักวัน มันมากเกินไปที่จะอยู่ที่นี่ตลอดกาล เพราะจขบ.ไม่ใช่คนสร้างเพื่อนใหม่ได้ง่าย อีกอย่างหนึ่ง มันมีระยะห่างและช่องว่าง ซึ่งถึงจะพยายามขนาดไหน บางทีก็ยังต่างอยู่ดี จขบ.ก็อยากเป็นคนคบไหนคบได้เหมือนกัน แต่บางเรื่องก็เป็นความจริงว่าได้มาแค่นี้ ก็คือได้มาแค่นี้

อย่างไรก็ตาม การมาอยู่ที่นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะมีเรื่องมากมายที่ไม่รู้ ก็ได้รู้ขึ้นมา เรื่องบางเรื่องเชื่อว่าอยู่ กทม. ไปจนตายก็ไม่รู้ ต่อให้ไปทำงานและเผชิญอะไรต่อมิอะไร มันก็ไม่เข้าใจเหมือนมาอยู่ "จังหวัดอื่น" และเห็นความจริงในคำที่คนเขาพูดว่า "กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย"

ช่วงนี้จขบ.มีปัญหาที่แขน ตั้งแต่ข้อมือจรดไหล่ เพราะใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปเป็นเวลานาน ก็ไปหาทั้งนักกายภาพบำบัด และไปนวดด้วย จขบ.ฟังหมอนวดเล่าชีวิตให้ฟัง แกเป็นคนตรง ๆ ก็เล่าว่าสามีตาย เลี้ยงลูกมาสองคน คนโตเรียน ปวช. กำลังจะลองสอบเข้าเทคโน

แกภูมิใจในลูกชายคนนี้ เป็นเด็กดี รักแม่ และเรียนเก่ง แต่เรื่องที่แทรกอยู่ระหว่างนั้น บางทีก็ไม่รู้จะทำยังไง เช่น ลูกชายขอค่าเรียนพิเศษสามพัน (สำหรับตลอดฤดูร้อน) แม่ยังไม่รู้จะหาจากไหนให้ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่ลูกชายเอามาเล่าให้แม่ฟัง บอกว่าพวกเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ท้องแล้วกินยารีดลูกไม่ออก เพื่อนเลยช่วยกันเอามือล้วงดึงออกมา

ว่าไงดี ไม่ใช่ จขบ.ไม่รู้ว่ามีอะไรแบบนี้ แต่บางครั้งมันก็ไกลแสนไกล โลกของจขบ. มันเป็นอีกแบบหนึ่ง พี่หมอนวดอีกคนในนั้นเขาอยากไปเป็นแรงงานเถื่อนที่เกาหลี เขาว่าอยู่นี่ไม่พอกินแล้ว มีหมอนวดมากเกินไป แต่ครอบครัวไม่ให้ไป เขาว่าไปเกาหลีแล้ว ได้ถึงเดือนละสามหมื่น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีลูกค้าหนุ่มกับแฟนมานวดฝ่าเท้า พูดว่าตัวเองไปตีกอล์ฟทั้งวันจนปวดเมื่อย พูดถึงการซื้อดีลเอนโซโก้ไปเที่ยว ที่มี breakfast ให้ด้วย

เขาว่าชนชั้นกลางมักเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

แต่ในความเป็นจริง การที่คนอื่นมองว่าเรา "รวย" ก็เป็นเหตุให้เขาคิดว่าเอาเปรียบเราแล้ว "ไม่ผิด" เหมือนกัน เหมือนเราไปสมัครฟิตเนส เทรนเนอร์ก็พยายามมาเรียกคะแนนสงสารว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้านที่อีสานมาสองปีแล้วเพราะเงินไม่พอ ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่จขบ.รู้สึกว่า โลกนี้มันซับซ้อนจังเว้ยเฮ้ย (หรือเราคิดกับมันมากเกินไปเอง) จขบ.ก็ไม่ได้รวยอะไรถ้าเทียบกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็รวยฉิบหายถ้าเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่ง

ที่นี่เป็นเมืองเจริญอันดับสองของประเทศละมัง ไม่แน่ใจ แต่ไม่สามารถมีรถประจำทางได้ ถนนที่พังไปไม่สามารถซ่อนได้ ปล่อยให้พังไว้อย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเป็นอัมพาตในหลาย ๆ แง่ และผู้คนก็อยู่ด้วยการช่วยเหลือตัวเอง หากว่ามันพังนานนัก รัฐไม่มาซ่อมสักที ชาวบ้านก็ช่วยกันเอง

บางทีก็คิดว่า คนแถวนี้คิดสั้นชะมัด ก่อสร้างร้านขึ้นมาโดยที่รู้ว่าซ้ำกับคนอื่น ล้วนแต่ร้านกาแฟ ผับ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ครั้นแล้วถ้าสายป่านไม่ยาวพอหรือไม่มีความเด่นพอสู้คนอื่นได้ ก็เจ๊งไป ในขณะที่ร้านหน้าตาสวยงาม ฟุตบาทกลับทุเรศอย่างยิ่ง และสำหรับคนไทย เมื่อคิดว่าเป็นของสาธารณะ ไม่ใช่ของข้า ก็ไม่มีใครทำอะไร รวมทั้งฝ่ายบ้านเมืองที่ทำทุกอย่างแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

ทุกครั้งที่ก่อสร้างอะไรใหม่ พื้นที่สีเขียวก็หายไปเรื่อย ๆ อย่างไร้สาระ จขบ. ก็รู้ว่าที่มันแพง ควรทำให้เป็นเงินเป็นทอง แต่ไอ้การตัดทุกอย่างเรียบราบแล้วเทปูนหมดสิ้น จากนั้นก็ปล่อยไว้เป็นลานร้าง ๆ ปีหนึ่งมีงานอย่างมากสักห้าหกครั้ง ครั้งละอย่างมากสี่ห้าวัน หลังจากนั้นล้วนเป็นลานปูนไม่มีอะไร มันคืออะไรละหวา

มันเหมือนกับทุกอย่างเป็นอัมพาตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไปต่อไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ควรไปได้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จขบ.เคยเล่าอย่างตื่นเต้นในการเสวนาหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ว่าคนไต้หวันนั้นปริมาณประชากรเท่า ๆ กับเรา แต่จำนวนพิมพ์เยอะกว่าเรามาก บางครั้งมากกว่าถึงสิบเท่า ผลที่ได้รับคือพิธีกรพูดเบา ๆ กับ จขบ. (อย่างไม่ค่อยพอใจ) ทำนองว่าก็ไปเป็นคนไต้หวันเสียสิ

จขบ.ไม่ได้ต้องการบอกว่าเมืองอื่นเขาดีกว่าเรา แต่เชื่อว่าเราเองก็ไปได้ จขบ.รำคาญที่สุดพวกที่พอพูดแบบนี้เข้าแล้วก็น้อยใจ ไสส่งคนพูดไปเป็นฝรั่งบ้าง ไต้หวันบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง แน่นอนว่า จขบ. ไม่ได้ชอบคนที่ "เห็นเขาดีกว่าเรา" เหมือนกัน แต่เราควรสามารถดูเขา และนึกหาทางทำให้เราดีบ้างได้ ทางใดทางหนึ่ง

จขบ.ก็ไม่รู้ มันอาจจะใหญ่เกินไป และมันอาจจะเลวร้ายเกินไป เกินกว่าที่คนจะมองไปพ้นตัวเอง ความสุข ความร่ำรวยของตัวเอง เราอาจจะถูกหลอกลวงมากเกินไป ในทุกระดับชั้น ว่าการมีเงินมากนั้นจะเติมเต็มรูกลวงเปล่าของเราได้ ว่าการมีเงินมากและมีของมาก เป็นความสุข เป็นความปลอดภัย (แม้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ข้างในที่ไหนสักแห่งก็คิดอยู่ดี เพราะทุกอย่างมันพากันกระทำไปในทางนี้)

จขบ.ยังเห็นความไม่รู้อีกเยอะแยะล้ำไปนอกจากนี้ รวมทั้งความไม่รู้ของตัวเองด้วย

ว่ากันตามตรง จขบ.ก็เป็นพวกแบบพอเห็นปัญหาแล้วก็อยากแก้ให้ได้ตรงนั้น อยากให้มันง่าย แต่บางทีมันก็เป็นไปไม่ได้ บางทีก็เลยจำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกระมัง แต่ก็ถ้าหากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นนานเกินไป ก็จะกลายเป็นคนเย็นชา จขบ.เห็นว่าไม่ว่าจะมีนรกหรือสวรรค์หรือไม่ ไม่ว่าจะมีกรรมจริงไหม หรือชาตินี้และชาติหน้าจริงไหม เราก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเย็นชาต่อกัน เราก็ไม่เกิดมาเพื่อทำร้ายกัน

แต่บางอย่างมันก็เป็นไปไม่ได้




 

Create Date : 24 กันยายน 2554    
Last Update : 24 กันยายน 2554 22:33:18 น.
Counter : 815 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.