The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

ลูกไพร : น้อย อินทนนท์

เล่มนี้เป็นหนึ่งใน "หนังสือรัก" เห็นควรเขียนถึงเพราะเพิ่งได้เวอร์ชั่นพิมพ์ใหม่มา จริง ๆ คือพิมพ์ใหม่ตั้งแต่ปี 45 แล้ว แต่ตอนนั้นคิดว่าเขาจะพิมพ์ใหม่เฉพาะล่องไพร เลยไม่ได้ตาม พอมารู้ตัวอีกทีก็ขาดตลาดเสียแล้ว เพิ่งเจอในร้านออนไลน์วันก่อนเลยสั่งซะ

ของเก่าที่บ้านก็มี เป็นหนังสือปกแข็งรุ่นโบราณที่ผ่านศึกโชกโชน เพราะจขบ.ชอบมากเกินไปหน่อย ต่อไปคาดว่าจะปลดระวางให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสงบสุขบนชั้น ให้เล่มใหม่นี่มารับหน้าที่แทน

เรื่อง "ลูกไพร" เขียนโดย น้อย อินทนนท์ คนเขียนล่องไพร น้อย อินทนนท์ก็คือ มาลัย ชูพินิจ คือ "เรียมเอง" คือ "แม่อนงค์" ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์และนักเขียนรุ่นบุกเบิกชั้นแนวหน้าของเมืองไทย

เรื่องนี้เขียนสมัยที่ป่าเมืองไทยยังมากกว่านี้ และประดาชายไทยใจหาญทั้งหลายนิยมเข้าป่าผจญภัย แต่เรื่องนี้ต่างจากเรื่องอื่นนิดหน่อยตรงที่คนเข้าป่าไม่ใช่ "พรานไพรใจหาญ" แต่เป็นหนุ่มน้อยอายุสิบสี่สองคน คนหนึ่งชื่อแสน เด็กกรุงของแท้มาเที่ยวป่ากับพ่อ อีกคนชื่อเขิ่งเป็นเด็กกะเหรี่ยงคนนำทาง วันหนึ่งสองคนไปเที่ยวป่าด้วยกัน เอามีดพรานไปคนละเล่มเดียว เดินเลยเขตที่คุ้นเคย แถมเจอฝนตกห่าใหญ่ทำให้รอยต่าง ๆ หายไปหมด ก็เลยหลงอยู่ในป่านั้น หาทางออกมาไม่ได้

แน่นอน เด็กกรุงคือเจ้าแสนไม่มีประโยชน์อะไรเลย ( เสียใจด้วยนะแสน เผอิญมันไม่ใช่ถิ่นของเอ็งน่ะ ) แต่โชคดีว่าเด็กกะเหรี่ยงคือเจ้าเขิ่งนั้นเก่ง ต่อให้หลงป่าก็ไม่อดตาย ระหว่างที่ตุหรัดตุเหร่ไปเรื่อย ๆ เขิ่งก็ใช้วิชาป่าทั้งหลายจัดการเรื่องราวในชีวิตประจำวันเพื่อให้เพื่อนกับตัวเองรอด มีซีนที่จับ "บึ้ง" มาปิ้งกิน ( เขาว่าคล้าย ๆ แมงมุมยักษ์แต่รสเหมือนกุ้ง ) ซีนที่หาอะไรไม่ได้ต้องกินเต่า แล้วแสนรู้สึกไม่ดีเพราะคุณยายบอกว่าฆ่าเต่าจะบาป เขิ่งก็ว่าคุณยายของนายน้อยไม่เคยกินน่ะสิ ถ้าได้เคยกินรับรองลืมเรื่องบาปไปเลยแน่ ๆ ( เรียลลิสติกมากนะเขิ่ง )

หลงไปหลงมา ก็มีการไปเจอเผ่าประหลาด ทั้งพวกว้าและพวกอะแจ ชอบทั้งสองเผ่ามาก เพราะคนเขียนเขียนตื่นเต้นดี ประมาณก่อนเจอว้าก็ขู่คนอ่านว่าเนี่ย ว้ามันน่ากลัวโคตร ชอบกินคน ทำให้เราระทึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป พวกอะแจนี่ยิ่งแล้วเข้าไปอีก คนเขียนเล่าว่าอะแจกินแต่เลือดแต่นม ไม่กินเนื้อเพราะหาว่าไม่บริสุทธิ์ จำได้ว่าอะแจอยู่กันเป็นเมืองเกือบ ๆ จะเป็นอาณาจักร ( ไซส์มินิ ) มีเจ้าปกครอง หลุดเข้าไปในเมืองอะแจแล้วยังกะหลุดเข้าไปในอาณาจักรเหนือกาลเวลา

เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ แม่ไม่ให้อ่านเพชรพระอุมา บอกว่าอ่านแล้วจะใจแตก ( อะเฮ้อ~ ) เลยได้อ่านเรื่องนี้เป็นนิยายป่าเรื่องแรก ( ล่องไพรก็มีนะ แต่สมัยนั้นเห็นหลายเล่มเลยเกิดขี้เกียจขึ้นมาดื้อ ๆ ) ถ้าถามว่าเรื่องนี้กับเพชรพระอุมาต่างกันยังไง ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้เรียลลิสติกกว่า ( ในบางความหมาย ) แน่นอน มันไม่ได้ตื่นเต้นผจญภัยขนาดเพชรพระอุมา แต่สำหรับเรา ก็ถือเป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ( เมื่อเทียบกับนิยายป่าเรื่องอื่น ) ที่สวยดี

นอกจากความสนุกของมันแล้ว เราชอบก็ปรัชญาแบบชาวป่าที่สื่อในเรื่อง ในเมื่อไม่มีปืน ไม่มีอำนาจบาตรใหญ่ในมือ มนุษย์ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ไม่ได้แยกขาดจากธรรมชาติ มีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณและความสามารถของตัวเอง ฆ่าเท่าที่กิน ช่วยเหลือกันเพื่อให้อยู่รอดด้วยกันได้ทุกคน

วรรณกรรมเยาวชนไทยรุ่นเก่า ๆ ดี ๆ มีเยอะนะ แต่บางทีกาลเวลากับอะไรอีกหลายอย่างก็ทำให้มันถูกลืมไปเหมือนกัน




 

Create Date : 06 มกราคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:54:32 น.
Counter : 4126 Pageviews.  

คุยเรื่อง "น้ำหอม" กันดีกว่า หนังจะลงโรงแล้ว

Das Parfum ของ Patrick Suskind เขียนปี 1985 หนังกำลังจะลงโรงวันที่ ๔ มกรา ใครใคร่ดูเทรลเลอร์เชิญที่ official site นะจ๊ะ //www.perfumemovie.com/

เรื่องนี้แปลไทยโดย "สีมน" ลงสตรีสารเป็นตอน ๆ ช่วงปี 2532 - 33 สมัยนั้นจขบ.อ่านแต่สตรีสารภาคเด็กเลยไม่ได้อ่านเรื่องนี้ มาได้อ่านตอนที่รวมเล่มแล้ว เรื่องนี้พิมพ์ซ้ำสามครั้ง ครั้งแรกกับครั้งที่สอง สนพ.ดอกหญ้า ครั้งที่สาม สนพ.ดับเบิ้ลนายน์ ของดับเบิ้ลนายน์ยังพอหาได้บ้าง เคยเห็นในงานหนังสือ แต่คาดว่านอกงานคงหายากเต็มทีแล้ว

คัดเอาโปรยปกหลังมาให้ดู

ชายผู้ถือกำเนิดมาโดยปราศจากกลิ่นกายตัว
ฝังชีวิตคับแค้นแต่วัยเยาว์
บนซากกองปฏิกูลเน่าเหม็น
พรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวที่มี
คืออัจฉริยภาพของนาสิกประสาท

บรรดาสิ่งทั้งหลายบนพื้นพิภพ
ล้วนแฝงกลิ่นอายอบร่ำล้ำลึก
ทั้งเร้นลับ และน่าตื่นตา
ผิดแผกแตกต่างกันไป
นี่คือสิ่งที่เขาเสาะแสวงหาอยู่ชั่วชีวิต
ในฐานะ...ผู้เนรมิตกลิ่นสุคนธ์ที่ยิ่งใหญ่

กลิ่นดอกไม้ กลิ่นความกล้าหาญ
กลิ่นความรัก กลิ่นมนุษย์

ความหอมหวานคงกรุ่นกำจาย
มายาหมอกหนาคลี่ขจายคลุมครอบ
ดุจคำสาปส่งในวาระสุดท้าย
ตอบได้หรือไม่
มีความหอมใดที่ชื่นใจและยั่งยืน


เรื่องนี้เป็นเรื่องโปรด เลยมีสองเล่ม เป็นเล่มพิมพ์ครั้งที่สองกับครั้งที่สาม ( แต่พิมพ์ห่างกันเกือบสิบปีละมั้ง ) เล่มพิมพ์ครั้งที่สองเน่ามากเพราะอ่านตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ไม่ค่อยรักษาหนังสือ เล่มพิมพ์ครั้งที่สามสภาพดี แต่อยู่มาไม่กี่ปีกระดาษก็เหลือง - -'' ( ใจร้ายที่สุด ) เหลืองอ๋อยเลย โมโหนะเนี่ย

ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แม่เล่าให้ฟัง ( ซื้อสตรีสารมาแล้วแม่ก็ดึงภาคเด็กให้ลูก ตัวเองเอาเล่มหลักไปอ่าน ) แม่เล่าแล้วฟังดูโรคจิตจัง แต่จะบอกตามจริง หลังจากนั้นมา เราเล่าเรื่องนี้ให้ใคร ๆ ฟังเขาก็ว่าทำไมเราอ่านเรื่องโรคจิตเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเลยต้องบอกว่า เสน่ห์ของเรื่องนี้อย่างหนึ่งคือ มันโรคจิต แต่เวลาอ่านจะไม่รู้สึกถึงความจิตเลย

เรื่องนี้เป็นเรื่องของเกรอนุย ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง และก็เป็นเรื่องของ "กลิ่น" ด้วย คนเขียน imply ว่าที่จริงแล้วมนุษย์รับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านกลิ่นมากเสียยิ่งกว่าประสาทอื่น ๆ แต่เราไม่รู้สึกตัว กลิ่นของคนแต่ละคนจะทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู กำลังสุขหรือทุกข์ กลิ่นเป็นเครื่องประกอบสำคัญยิ่งกว่ารูปโฉมที่จะทำให้เรารักหรือเกลียดใครบางคน แต่ทั้งหมดนี้เราไม่รู้ตัวเลย

ในฝรั่งเศส คริสตศตวรรษที่สิบแปด ตัวเอกของเรื่องชื่อเกรอนุยได้ถือกำเนิดขึ้นในปารีส เกรอนุยเป็นคนประหลาดที่เกิดมาไม่มีกลิ่นตัว แต่กลับมีพรสวรรค์ทางด้านนาสิกสูงมาก สามารถจำแนกแยกแยะ จดจำ และผสมผสานกลิ่นต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างซับซ้อนไม่จำกัด ต่อมาเกรอนุยมีความประสงค์จะสร้างและครอบครองกลิ่นที่ดีที่สุดในโลก จึงได้ไปเรียนเป็นช่างทำน้ำหอม

แต่กลิ่นที่เกรอนุยปรารถนาจะครอบครองนั้นไม่ใช่กลิ่นของเครื่องหอม หรือกลิ่นที่เราจินตนาการว่าเป็นน้ำหอมปรกติ แต่เป็นกลิ่นของมนุษย์ผู้หญิง เกรอนุยพบว่ากลิ่นที่วิเศษที่สุดในโลกคือกลิ่นของเด็กผู้หญิงรุ่นกำดัด ด้วยเหตุนี้ ภายหลังเกรอนุยจึงได้ทำการฆาตกรรมต่อเนื่อง ฆ่าเด็กสาวจำนวนมาก เพื่อสร้างน้ำหอมจากกลิ่นของพวกเธอ

###

สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้มีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือวิธีให้รายละเอียดกับสิ่งต่าง ๆ ในเรื่อง ตั้งแต่วิชาชีพทำน้ำหอม "การทดลองทางวิทยาศาสตร์" แบบประหลาด ๆ วิธีการทำหนัง หมักหนัง หรือรายละเอียดเกี่ยวกับสังคมในสมัยนั้น ( ซึ่งจงใจเขียนให้ดาร์ค ) ทั้งหมดที่พูดมานี้รีเสิร์ชดีมาก ๆ และสอดแทรกในเรื่องได้ลงตัวมาก ๆ จนไม่น่าเบื่อเหมือนอ่านตำรา ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตาม รู้สึกเหมือนได้เข้าไปในโลกที่ไม่รู้จักมาก่อน และน่าค้นหาจริง ๆ

อย่างที่สองที่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือวิธีเล่าเรื่องที่เหมือนนั่งฟังคนเล่า และคนเล่านั้นหน้าตาย แต่เล่าเรื่องสนุกเป็นบ้า เนื้อเรื่องคลี่ขยายออกโดยไม่มีติดขัด ไม่มีเยิ่นเย้อ ( เว้นแต่บางคนจะไม่ชอบรายละเอียด ) ทุกอย่างสอดรับกันลงตัวตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ตามอ่านไปเรื่อย ๆ ( หรือถูกหลอกให้อ่านไปเรื่อย ๆ หนอ ) รู้ตัวอีกที อ้าว..จบแล้ว กรี๊ด ยังไม่อิ่มเลย มาเล่าต่อเดี๋ยวนี้นะ

เราชอบเรื่องแบบนี้นะ คงเพราะเราชอบ "ช่างฝีมือ" ด้วย ( "ช่างฝีมือ" ของเรานี่หมายถึงทุกอาชีพที่ใช้ "ฝีมือ" และมีเวิร์ลของตัวเองน่ะนะ...เพราะงั้นคนทำดิกชั่นนารีในศจ.กับปราชญ์วิกลจริตเลยนับด้วย )

ที่จริงเรื่องนี้ก็มีแง่มุมเกี่ยวกับมนุษย์ด้วย แต่เนื่องจากเราเป็นมนุษยนิยม ส่วนคนเขียนเป็นพวกเสียดสีมนุษย์ ( ออกจะมาก ) ก็เลยมีหลายตรงที่ไม่เห็นด้วยกับเขาเหมือนกัน

ไว้หารูปปกได้แล้วจะเอามาลงนุ




 

Create Date : 02 มกราคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:03:33 น.
Counter : 708 Pageviews.  

เทรลเลอร์เรื่องน้ำหอม ( Perfume: the story of a murderer )

ตามลิ้งค์ไปดูแล้วกันเนอะ

https://www.youtube.com/watch?v=9WQD7mC_skw

รู้สึกว่าหนังจะฉายในไทยวันที่ 4 มกรา

ในฐานะหนึ่งในหนังสือเล่มโปรด มันช่างเต็มไปด้วยไดเลมม่า เช่น

- ถึงจะชอบหนังสือขนาดไหน แต่ดูเทรลเลอร์แล้วน่ากลัวโคตร หนูกลัวหนังสยองขวัญ - -'' ( แต่ก็ยังอยากดูว่าจะทำตามหนังสือได้แค่ไหน )

- ถ้าจะดูจริง ๆ ควรดูโรงหรือดูแผ่น แต่หนังพรรค์นี้จะมีคนทำแผ่นดี ๆ ออกมาหรือเปล่าหว่า ซับนรกไม่เอานะ

- ถ้าไปดูโรงใครจะไปดูกะตู ( พยายามหลอกเพื่อนให้ชอบน้ำหอม แต่หลอกไม่สำเร็จสักที ) ถ้าไม่มีคนดูกะตู ตูจะสลบคาโรงไหมเนี่ย มันดูน่ากลัวจัง

T^T โฮ...

###

มาเติมลิ้งค์ official site

//www.perfumemovie.com/

ดู ๆ ไปแล้วคิดว่าช่วงแรกของหนังคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ฉากสวยดี

อย่าลืมดู film clip ตรงหัวข้อ video ด้วยนุ ชอบดัสติน ฮอฟแมนเล่นเป็นกีเซปป์ บาลดินีจัง ( ซีนแยกกลิ่นน้ำหอม ) ดูกระแดะดี




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:04:08 น.
Counter : 618 Pageviews.  

Asterix the Gaul

แอสเตอริกซ์ เป็นการ์ตูนฝรั่งเศส เขียนโดย René Goscinny และ Albert Uderzo เริ่มลงตีพิมพ์ในวารสารฝรั่งเศสชื่อ Pilote ในปี 1959 รวมเล่มครั้งแรกปี 1961 ตอนแรกชื่อ Asterix the Gaul (Astérix le Gaulois), ส่วนเล่มล่าสุดเพิ่งออกเมื่อปี 2005 ชื่อ Asterix and the Falling Sky (Le ciel lui tombe sur la tête)

เนื้อหาโดยรวม ๆ จับความช่วงหลังสงครามเกลลิค ซึ่งจูเลียส ซีซาร์เอาชนะพวกกอล ( ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส ) และยึดครองเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน

แม้ซีซาร์จะยึดกอลได้ แต่ก็ยังยึดหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลแห่งหนึ่งไม่ได้ เพราะหมู่บ้านนี้มีดรูอิด ( พ่อหมอ ) ที่สามารถปรุงยาวิเศษที่ทำให้มีพลังเหนือมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พอโรมันบุกมา คนในหมู่บ้านก็กินยาวิเศษ แล้วออกไปตื้บโรมัน ( ทหารโรมันเรื่องนี้มีไว้ให้คนในหมู่บ้านและเพื่อน ๆ ตื้บ )

เนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่องจะเกี่ยวข้องกับตัวเอกสองตัวชื่อแอสเตอริกซ์ และ โอบีลิกซ์ ( Obelix ) ซึ่งออกไปผจญภัย หรือประสบกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องแก้ปัญหา โทนของเรื่องตลกน่ารัก เสียดสีหยิกแกมหยอก ประเด็นที่เอามาจิกกัดเล็ก ๆ มีตั้งแต่ stereotype ของคนในชาติ คนต่างชาติ ไปจนกระทั่งถึง ประวัติศาสตร์ social issues การตลาด เฟมินิสต์ ฯลฯ แต่ก็ทำไปแบบน่ารักดี เป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน

อย่างอื่นในเรื่องเล่าไม่ได้ เพราะเล่าแล้วไม่ได้อารมณ์เท่าอ่านเอง

และขอบคุณที่โลกนี้มีวิกิพีเดีย

###

เมื่อก่อนนี้ ประเทศไทยก็มีการแปลเรื่องแอสเตอริกซ์เหมือนกัน ( คาดว่าไม่มีลิขสิทธิ์ ) แต่แปลประมาณสิบตอน แล้วก็ไม่ได้แปลต่ออีก ผิดกับเรื่องตินติน ( การ์ตูนเบลเยี่ยม ซึ่งภายหลังมีคนพยายามอ่านให้ถูกต้องว่าแตงแตง ) ที่น่าจะแปลครบชุดกว่า

จำได้ว่าหนังสือแปลทั้งแอสเตอริกซ์และตินตินนั้นเล่มเล็กกว่าของจริง ทำให้ตัวหนังสือค่อนข้างบีบมาก แอสเตอริกซ์สันสีฟ้าสลับขาว ส่วนตินตินสันสีชมพูสลับขาว ตอนเด็ก ๆ อ่านทั้งสองเรื่อง แต่ชอบแอสเตอริกซ์มากกว่า ( เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบแอสเตอริกซ์มากกว่า )

หลังจากอ่านแอสเตอริกซ์ชุดแปลไทยจนยับเยินไปแล้วหลายปี จึงค่อยได้มาเห็นในเอเชียบุ๊คว่ามีแอสเตอริกซ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นตอนที่ "ไม่มีมาก่อน" ทำให้ได้อารมณ์เหมือนเห็นโดเรม่อนตอนที่ "ยังไม่ได้อ่าน" ( เมื่อก่อนนี้โดเรม่อนเป็นการ์ตูนไพเรท จึงมีตอนซ้ำอยู่เสมอ การซื้อโดเรม่อนถือเป็นการเสี่ยงดวง เพราะบางทีซื้อมาใหม่ แต่ทั้งเล่มอาจจะมีแต่ตอนที่อ่านแล้วก็ได้ )

ด้วยเหตุนี้ จึงได้ซื้อแอสเตอริกซ์ภาษาอังกฤษมาเก็บไว้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ outrageous มาก เพราะในตอนนั้น มันถือว่าแพงนรกมากสำหรับพวกเรา ( เราและน้องชาย ) อีกอย่างหนึ่งคืออ่านก็ไม่ค่อยจะออก เรียกว่าเป็นการ์ตูนที่ต้องใช้ความพยายามมาก แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเอกซ์เมนที่มีแต่แสลงอเมริกา ถ้าสมมุติว่าแอสเตอริกซ์มีแสลงอ่านไม่รู้เรื่องมากเท่าเอกซ์เมน คงถอดใจเลิกอ่านไปแล้ว

ถึงจะอ่านเรื่องแอสเตอริกซ์มานาน แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่อง "เบื้องหลัง" ของการ์ตูนเรื่องนี้เท่าไหร่ และหลังจากที่ซื้อครบทุกเรื่อง ( เท่าที่มีตอนนั้น ) แล้วก็ไม่ได้อัพเดทอีก เล่มสุดท้ายที่ซื้อคือเรื่อง Asterix and the Actress (Astérix et Latraviata) ซึ่งออกในปี 2001 ( แต่ตัวเองซื้อเมื่อไหร่จำไม่ได้ )

อย่างที่บอกไว้ในบล็อคก่อน คือได้เข้าเว็บ pramool แล้วเห็นซีดีอีบุ๊ครวมแอสเตอริกซ์สามสิบสามเล่มโดยไม่ได้เจตนา เนื่องจากไปประมูลกับเขาไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกชั้นดี จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าป่านนี้แอสเตอริกซ์สหายเก่าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ทำให้ต้องเช็ควิกิและเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็หายโง่และรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของการ์ตูนชุดนี้มากขึ้น

ปีนี้ Uderzo อายุ 78 เข้าไปแล้ว ( Goscinny หัวใจวายตายตั้งแต่ปี 1977 ) ดังนั้นสองสามตอนหลังนี้ ในแง่เนื้อเรื่องจึงออกจะแลคไปมาก แต่ลายเส้นนั้นยังสวยอยู่ เราได้ยินเรื่อง Goscinny ตายมาพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้สนใจค้นคว้าต่อ และไม่รู้ว่าแกเป็นคนเขียนเรื่องหรือเป็นคนวาดรูป เพิ่งมารู้รายละเอียดทีหลัง บอกว่าแกตายขณะที่ Asterix in Belgium ยังเป็นฉบับร่างอยู่ และ Uderzo เศร้ามากจนคิดจะไม่เขียนต่อ แต่ถูกบ.ก.ฟ้องร้องบังคับให้เขียน

ที่จริงตอนหลัง ศาลตัดสินให้ประโยชน์กับทาง Uderzo มากกว่า แต่แกคงกลัวความจะร้ายแรง ก็เลยเขียนจนเสร็จไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ออกมาทำให้ Uderzo นึกได้ว่ายังมีคนอ่านรออยู่อีกมาก แกก็เลยเขียนเรื่องต่อมาอีก จนถึงปัจจุบันนี้ ตอนที่ Uderzo เขียนคนเดียวมี 8 ตอน

ในจำนวน 33 ตอนที่ออกมา ตอนที่เราชอบที่สุดก็มี
Asterix the Gladiator (Astérix gladiateur)
Asterix the Legionary (Astérix légionnaire)
Asterix in Corsica (Astérix en Corse)
Asterix and the Great Divide (Le Grand fossé)
Asterix and the Black Gold (L'Odyssée d'Astérix)

แต่นอกจากนี้ก็เรียกได้ว่าชอบทุกตอน เพราะถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร ตัวละครในเรื่องนี้ก็น่ารักมาก ๆ และมุกที่ใช้ก็ฮาตลอดศกจริง ๆ



ลิ้งค์วิกิ //en.wikipedia.org/wiki/Asterix




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:04:37 น.
Counter : 4325 Pageviews.  

ได้อ่าน ไม่ได้อ่าน และเคยได้อ่าน

สองสามวันก่อน คลิกเข้าไปในเว็บ pramool โดยไม่ได้เจตนา ( คือว่าไปร้านเน็ตแล้วคนที่เล่นคนก่อนเขาเข้าเว็บประมูลไว้ ) ทำให้ได้เห็นว่าในหมวดหนังสือ มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

ไอเท็มแรกที่น่าสนใจมาก ๆ คือซีดีอีบุ๊คส์เรื่องแอสเตอริกซ์ ( การ์ตูนฝรั่งเศส ) ทั้งชุดสามสิบห้าเล่ม ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแอสเตอริกซ์เป็นซีดีอีบุ๊คส์แบบนั้น แต่เนื่องจากจขบ.เป็นแฟนแอสเตอริกซ์มาแต่จำความได้ ( แม่มีฉบับแปลไทยเก่า ๆ ) ก็เลยอยากได้มาก ๆ

แต่ปรากฏว่าเจ้าซีดีนั่นดันเป็น "สินค้าพิเศษ" อะไรสักอย่าง ที่รีเควสต์ว่าต้องเป็นสมาชิก และประพฤติตัวดีเท่านั้นถึงจะประมูลได้ ก็เลยอดไปตามระเบียบ

ได้แต่ปลอบตัวเองว่าเท่าที่บำเพ็ญตบะหยอดกระปุกซื้อสะสมมาจนถึงป่านนี้ ถ้าไม่ได้ครบเท่าซีดีก็คงเกือบ ๆ จะครบแล้ว ( ละมั้ง - -' )

ไอเท็มสองที่น่าสนใจ คือมีคนประมูลหนังสือชื่อ "ร้านขายผักของหนุ่มโสด"

เห็นชื่อน่าสนใจดี ก็เลยเสิร์ชต่อ พบว่าเป็นหนังสือธุรกิจ ( จะเรียกว่าฮาวน์ทูก็ไม่ค่อยถูกนัก... ) ที่วางขายเมื่อปีกว่า ๆ ก่อนหน้านี้ เรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มเกาหลีผู้ลาออกจากบริษัทเพราะถูกรุ่นพี่ขโมยผลงาน จากนั้นก็ค้นหาตัวเองจนมาเปิดร้านขายผัก ตอนปีที่หนังสือตีพิมพ์ในเกาหลี ( 2003 ) ร้านขายผักนั้นมีเข้าไปแปดสาขาแล้ว กิจการรุ่งเรืองดี เจ้าของเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็ยังคงบ้างาน ตื่นตีสอง ทำงานวันละเกือบสิบแปดชั่วโมง เลือกผัก ขายผัก ประชุมงาน วางแผนการอย่างสนุกสนานทุกวัน

ไปหามาอ่านเรียบร้อยแล้ว ค่อนข้างชอบมากทีเดียว แต่รู้สึกงุงิกับสนพ.เล็กน้อย เพราะอุตส่าห์สั่งกับเว็บสนพ. ( หาหน้าร้านไม่เจอแล้ว ) แต่สนพ.กลับส่งหนังสือแบบตกคิวซีมาให้ ปกหน้ารั้ง ปกหลังยาวเกินออกมา อืมม์...ถึงจะบอกว่าเพราะซื้อในเว็บได้ลดราคา แต่ไม่ค่อยดียังไงอยู่นะ - -''

เล่มนี้อาจจะเขียนถึงอีกในโอกาสหน้า ช่วงนี้กำลังชอบหนังสือเกี่ยวกับการตลาด พวกน่านน้ำสีคราม ปลาเล็กกินปลาใหญ่ รู้สึกว่าอ่านอะไรที่ไม่เคยอ่านมาก่อนนี่สนุกดี เหมือนได้เห็นอีกชิ้นส่วนนึงของโลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เติมเต็มโลกที่เป็นอยู่ด้วย

###

นานแล้วไปร้านคิโนะกับแอล และได้ดูหนังสือภาพสำหรับเด็ก แอลพลิกผ่าน ๆ เราดูเหลือบ ๆ เห็นเป็นเรื่องคุณยายที่มาสอนเด็กผู้ชายคนนึงว่าอย่าฟุ่มเฟือย ของอันนี้เอาไปทำแบบนั้นแบบนี้ได้อีก เช่นเปลือกส้มเอาไปตามแห้งแล้วแช่ในน้ำอาบจะได้น้ำกลิ่นส้ม ดินสอสั้น ๆ เอามาต่อกันก็จะได้ดินสอยาวขึ้น

อ่านไปจนจบหน้าสุดท้าย คุณยายโบกมือบ๊ายบายเด็กผู้ชาย แล้วกลับไปที่บ้าน ปรากฏว่าบ้านจริง ๆ ของคุณยายจน คุณยายนอนห่มผ้าห่มขาด ๆ อยู่ตัวคนเดียว

พระเจ้า ฉันถูกไอ้ที่อาจารย์วรรณกรรมญี่ปุ่นเรียกว่า "โมโนโนะอาวาเหระ" เล่นงานแล้วใช่มั้ยเนี่ย มันช่างน่ารัก ช่างมีชีวิตชีวาร่าเริง เพื่อที่จะมาเศร้าล้ำลึกในหน้าสุดท้าย โดยไม่ต้องใช้อะไรอธิบายมากเลย

ความรู้สึกเศร้ามันยังอยู่มาจนตอนนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงก็ยังคงรู้สึกแปลบ ๆ

เราคิดว่ามัน bitter sweet ( ในความหมายหนึ่ง ) เราคิดว่าบางทีก็จริง ที่บอกว่าเรื่องร่าเริงอย่างเดียวมันไม่ทำให้โตและ "เข้าใจ" อะไร ๆ ได้ นึกถึงเรื่องปีเตอร์แพน คนเขียนปีเตอร์แพนบอกว่าเด็ก ๆ นั้น heartless เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของความไร้เดียงสา ( เหมือนคำเต็ม ๆ จะบอกว่า as long as children are naive, innocent, and heartless )

###

มีเรื่องเด็กอยู่สองเรื่องที่เกิดคิดอยากอ่านขึ้นมาอีก แต่หาไม่เจอ เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องตุ๊กตากะลาสีกับตุ๊กตานางฟ้า จำไม่ได้ถนัด แต่ดูเหมือนตุ๊กตานางฟ้าจะประสบความซวยอะไรสักอย่าง ทำให้ไปตกในลังถ่าน กว่าจะช่วยออกมาซักฟอก ตัดเสื้อให้ใส่ใหม่ได้ก็เกือบแย่ ยังจำได้ว่าตุ๊กตากะลาสีชอบร้องเพลงที่ขึ้นต้น "โย้โห่" ซึ่งตอนเด็ก ๆ ที่อ่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร

อีกเรื่องที่อยากอ่านเป็นเรื่องของจอมโจรจากหนังสือภาพ คือว่าคุณพ่อในเรื่องพยายามจะขู่เด็กตัวเอกว่าโจรในหนังสือนี่มันชั่วจริง ๆ ระวังให้ดี แต่เด็กไม่เชื่อ แล้วก็บอกว่าจริง ๆ โจรใจดี ซึ่งทำให้คุณโจรโมโหเดือดดาลว่าตัวเองถูกดูถูก เลยออกมาจากหนังสือเพื่อโฮกแฮ่ใส่เด็ก และพยายามทำเรื่องชั่วทุกคืน จำได้ว่าน่ารักดี เพราะโจรมันพยายามทำเลวสุดความสามารถ แต่ทนไม่ไหว ( จริง ๆ ก็เป็นโจรขี้สงสาร ) ต้องทำดีจนได้ทุกหนไป ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์กลับมาเล่าเรื่องโกหกหลอกเด็กตัวเอกว่าตัวเองไปทำชั่วมา ประมาณฉันชั่วนะ...ชั่วจริง ๆ นะเออ ทุกที

###

ว่าแต่เคยมีใครไปฟิลิปปินส์บ้างไหมคะ มีคนบอกว่าร้านหนังสือที่ฟิลิปปินส์ใหญ่กว่าร้านหนังสือทุกร้านในไทย และหนังสือภาษาฝรั่งก็ถูกมาก ๆ หนังสือมือสองราคาขายทั่วไปแค่ประมาณ 40 บาท มันจริงหรือเปล่า...อยากรู้จริง ๆ




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:05:10 น.
Counter : 615 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.