วันแรกที่ถึงเมืองผู้ดีความรู้ภาษาอังกฤษที่ติดตัวมามีแค่เพื่อทำคะแนนตอนสอบวิชาภาษาอังกฤษให้ได้ดีที่สุด ไม่ได้รวมถึงการใช้งานฟัง และพูด หรือพูดอีกนัยคือพูด และฟังเป็นศูนย์ (เคยเล่าไปในบล็อกก่อน ๆ บ้างแล้ว) ดังนั้นวันแรกที่เหยียบแผ่นดินเมืองผู้ดี พูดก็ไม่เป็น ฟังก็ไม่ออก อย่างกับมายังโลกมนุษย์ต่างดาวยังไงอย่างงั้น….
เกือบ 3 ปีในเมืองผู้ดี ภาษาอังกฤษเริ่มดีขึ้น ๆ ตามลำดับ ความมั่นใจในการพูด และฟังมากขึ้นตามมา แม้ว่าจะพูดถูก ๆ ผิด ๆ แต่ก็คล่องกว่าเดิมเยอะ
แบบที่ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่เข้าใจคนอังกฤษพูด (ยกเว้นพวกวัยรุ่น ที่ยังไงก็ยังไม่เข้าใจ) แม้จะไม่ทั้งหมด
ในวันนี้มีเพื่อน(กลุ่มแม่บ้านอินเตอร์)เกือบทั่วมุมโลก คุณสามีเคยเปรยว่า “เธอหน่ะโชคดี ที่มีโอกาสได้รู้จักคนจากทั่วโลก” และอีกอย่างที่อยากบอกคือ พวกแม่บ้านกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา เพราะพวกเธอเป็นหลังบ้านของคนเก่งทั่วมุมโลกเลยล่ะ บางคนสามีจบเอกจากทุนของมหา’ลัยแห่งนี้ และก็ได้เป็นอาจารย์ต่อที่นี่ บางคนกำลังรอลุ้นรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ที่ค้นพบบางอย่างที่กำลังจะพลิกโลกใบนี้ บางคนเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้าคณิตศาสตร์ในประเทศนอรเวย์ บางคนเป็นหนึ่งไม่รองใครในประเทศของตน ดังนั้นพวกหลังบ้านอย่างเราก็มีโอกาสได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมไปถึงในอนาคตด้วย เช่นถ้าคุณสามีต้องการเชิญเพื่อนว่าที่รางวัลโนเบลมาเมืองไทยเพื่อพูดเรื่องงานวิจัยก็ทำได้ โดยที่เขาจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด เพราะด้วยความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของหลังบ้านอย่างเรา….
ในกลุ่มแม่บ้านต่างแดนอย่างเรามักเมาท์กันถึงเรื่องภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะแม่บ้านฝั่งเอเซีย(ยกเว้นอินเดีย) ที่มีปัญหากับการฟัง และพูดอย่างมาก วันนี้ได้มีโอกาสเมาท์กับแม่บ้านคนอเมริกา เขาเกิดในแคนนาดา แต่ไปโตที่อริโซน่า ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องภาษาอังกฤษ แต่พอมาอยู่ในเมืองผู้ดี ชีพูดว่า “โอ้ มาย ก็อดเนส” กันเลยทีเดียว ดังนั้นภาษาอังกฤษแบบอิแม่ จึงหึกเหิมทันที…. ^_^
แต่พี่กุล ก็ได้รับโอกาศนี้แล้ว ดีจริงๆเลยค๊า