หลังจาก check out จากโรงแรมแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่สัตหีบ เพื่อไปยังเรือจักรีนฤเบศรที่จอดตระหง่านให้คนเข้าชม
แม้ว่าแดดจะร้อนแสนร้อนเราก็สู้ไม่ถอย เพราะไหน ๆ ก็มาจนถึงแล้ว แต่คุณย่ากับคุณป้าขอหลบแดดไปก่อน
ความเป็นมาของเรือจักรีนฤเบศร
สืบเนื่องมาเมื่อปี พ.ศ 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่ยเกย์ ขึ้นในอ่าวไทยจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ประชาชน และชาวประมงที่ประสบเหตุหรือผู้ที่อยู่อาศัยใกล้พื้นที่ต้องบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก
ทั้งในด้านต่างๆอันได้แก่ การคมนาคมและการสื่อสาร ต้องถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังทางทะเล ได้ใช้ความสามารถต่างๆอาทิเช่นกองกำลังทางทะเล และเครื่องบิน
ถึงกระนั้นยังไม่สามารถต้านทานต่อสภาพเลวร้ายทางทะเลในครั้งนั้นได้ และนี่คือแนวคิดในการจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรืออากาศยานที่มีลักษณะเด่นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือและค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลได้ดี
อีกทั้งประเทศไทยเราประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปอีก 200 ไมล์ทะเล
ดังนั้นยังมีภารกิจอีกอย่างคือ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอีกทางหนึ่งด้วย
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลจำนวน 1 ลำจากบริษัทบาซาน ประเทศสเปน
วงเงินประมาณ 7,100 ล้านบาท
และในวันพิธีปล่อยเรือลงน้ำ นั้นนับเป็นมหามงคลต่อกองทัพเรือที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงกรุณาเสด็จเป็นองค์ประธาน สมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่งประเทศสเปนทรงเสด็จร่วมในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ที่อู่บาซาน เมืองเฟโรล ในวันที่ 20 มกราคม 2539
ลักษณะทั่วไปของเรือ ความยาวตลอดลำ 182.6 เมตรหรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามต่อกัน
กินน้ำลึกที่ระวางขับน้ำสูงสุด 6.12 เมตร หรือสูงเท่าสะพานลอยคนข้าม ระวางขับน้ำสูงสุด 11,485.5 เมตริกตัน
เครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 2 เครื่องๆละ 5,516 แรงม้าเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ 2 เครื่องๆละ 22,117 แรงม้า
ความเร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงความเร็วเดินทาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภาพลานบินบนเรือ
เอื้อกับคุณพ่อ
กะลาสีน้อย