๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เอื้อครบ 9 ขวบแล้ว ปีนี้เป็นปีที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไม่นับรวมถึงเรื่องร่างกายที่ก็สูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ที่เห็นชัดสุดคือความคิด และอารมณ์นี่ล่ะที่ทำให้แม่ต้องจ่าหัวว่า ไม่ธรรมดา จริง ๆ
เรื่องมีอยู่ว่า เราจะเรียนอ่าน เขียนภาษาไทยกันบ่อยเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย ช่วงการอ่านเอื้อก็ตั้งใจดี แม้จะพยายามนอกเรื่องอยู่เรื่อย ๆ พอเข้าสู่การเขียนไทย เราย้ายจากห้องนอนเอื้อมาเขียนที่โต๊ะเขียนหนังสือชั้นล่าง ที่มีคุณพ่อเอื้อนั่งอยู่ด้วย เมื่อไม่ตั้งใจ หรือทำไม่ถูกก็โดนดุไป เท่านั้นล่ะ เหมือนกดสวิชท์ เอื้อเดินหน้าบูด ตาแดงไปหาแม่ที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว เอื้อโวยวายไปตามเรื่อง ยังไม่มีประเด็นอะไร แต่ซักพัก
เอื้อ เอื้อไม่อยากเรียนภาษาไทย ทำไมต้องบังคับเอื้อด้วย เคยถามเอื้อไหมว่าอยากเรียนไหม (ตาแดง เสียงเครือ)
งานเข้าซะแล้ว!!! แม่พยายามอธิบายเรื่องความสำคัญของภาษาไทย เรื่องที่เอื้อต้องเจอในโรงเรียนที่ไทย แต่ดูเหมือนเอื้อจะไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ ซะแล้ว
และแล้วเรื่องก็เริ่มยากขึ้นอีกเมื่อเอื้อพูดว่า
.
เอื้อ แล้วทำไมคุณแม่ต้องพาเอื้อมาอยู่อังกฤษ ถ้าที่ไทยเรียนยากนัก แค่คุณพ่อมาเรียน ก็ไม่ต้องพาเอื้อมาด้วย เพราะตอนนี้ในหัวเอื้อมีแต่ภาษาอังกฤษ มีไทยแค่นิดเดียว
นั้นไงลำดับความยากเริ่มเพิ่มดีกรีขึ้นไปอีกขั้น
แม่คิด ทำไงดีล่ะทีนี้
..?!?!?!?!?! สุดท้ายตอบเอื้อว่า
แม่ แม่พาเอื้อมาที่นี่เพราะอยากให้เอื้อได้เรียนที่นี่ เอื้อได้ภาษา
..(กำลังจะพูดต่อ แต่เอื้อพูดแทรกมาทันที)
เอื้อ เอื้อไม่แคร์ เรียนภาษาอังกฤษที่ไทยก็ได้ ไม่ได้สำเนียง ก็พูดเหมือนที่คุณพ่อพูด ฝรั่งก็เข้าใจ
ไงล่ะ ทีนี้แม่ถึงกับอึ้ง ไปไม่ถูกกันเลยทีเดียว ในใจคิดว่านี่เด็กเก้าขวบเขาคิดกันแบบนี้เหรอนี่ แม้จะดีใจที่เอื้อสามารถคิดอะไรแบบนี้ได้ แต่อีกใจต่อไปนี้เตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้ที่คงจะมีมาเป็นระยะ ๆ
แล้วเอื้อก็สาธยายเรื่องที่ตัวเองถูกบังคับเขียนไดอารี่ อีกชุดใหญ่
. ใจความหลักคืออยากให้ถามว่าอยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ขอพบกันครึ่งทางได้ไหม
และแล้วแม่ก็คิดว่า เรื่องนี้เราคงคุยกันสองคนไม่ได้แล้ว แม่เลยพาเอื้อมาคุยกับคุณพ่อด้วย แม้ว่าตอนนั้นดีกรีอารมณ์ของเอื้อเริ่มลดลง แต่คุณพ่อเอื้อก็เห็นเหมือนที่แม่เห็นว่า เอื้อเป็นตัวของตัวเองมาก จะบอกให้ทำนู้น ทำนี่ แบบไม่มีเหตุมีผลไม่ได้เลย สุดท้ายเอื้อยอมถอยก้าวหนึ่ง คุณแม่กับคุณพ่อก็ตะหนักว่าต่อไปนี้ลูกชายโตขึ้นมากแล้วจริง ๆ
แล้วก่อนจะมีดราม่านี้ เอื้อก็เปลี่ยนแปลงตัวเอง แบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
จากเมื่อก่อน แม่หรือพ่อต้องไปปลุกเอื้อตื่นนอน ให้เปลี่ยนชุด เรียกลงมากินอาหารเช้า ตบท้ายด้วยเร่งให้ทำอะไรเร็ว ๆ จะได้ไปโรงเรียน แม้บ้านกับโรงเรียนจะใกล้แค่ 20 ก้าวก็เถอะ
ตอนนี้ตื่นเอง ตอนเจ็ดโมงครึ่ง เปลี่ยนชุด เก็บที่นอน ลงมากินอาหารเช้าเอง ถ้าเป็นคอนเฟลค ก็เทเอง ทำเองทุกอย่าง ไม่ต้องมีแม่เป็นตัวช่วย มีเวลาเหลือให้อ่านหนังสือ หรือซ้อมไวโอลินอีกนิดหน่อย ไม่ต้องมีเสียงเร่งให้ทำเร็ว ๆ ของแม่ตามหลัง เพราะเวลาเหลือเฟือ
แถมรับปากว่าจะล้างจาน ล้างแก้วน้ำของตัวเองอีก ทำไปได้สองครั้ง ตอนนี้ทิ้งช่วงไป คงต้องมีเตือนกันซักหน่อย
เป็นไงล่ะเลขเก้านี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ!!!!
ปิดท้ายด้วยปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่เอื้อเตรียมเอง
ของขวัญจากพ่อ และแม่ครับ ขอให้มีความสุขในการอ่าน และเป็นนักอ่านตลอดไปครับ....
ทำบุญเลี้ยงเพลพระ ที่วัดพระศรีรัตนาราม แมนเชสเตอร์
รูปครอบครัวที่หายากมาก... เอื้อไม่ให้ความร่วมมือตามเคย
พระท่านบอกว่ายังเด็กอยู่ต้องผูกข้อมือ เพื่อให้อยู่ในโอวาทพ่อ แม่... กุศโลบายที่เยี่ยมจริง
กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล
เพื่อน ๆ บ้านใกล้เรือนเคียง
เอื้อแต่งหน้าเค้กเอง....
ไอแซค วัย 6 ขวบ
โยเซฟ 4 ขวบ กับพี่ชายอาลี 10 ขวบ
บรูซพี่ชายของไอเซค เพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเอื้อ
แม่กับพ่อ ขอให้เอื้อเป็นเด็กแข็งแรง ฉลาด อดทน และมีความพยายามเป็นเสิศครับ....
พ่อกับแม่รักเอื้อครับ
คุณ Viji ค่ะ อย่าว่าแต่น้องเอื้อที่ไปอยู่อังกฤษเลยค่ะ ลูกชายดิฉัน
อายุเท่ากันนี้ เด็กไทยแท้ๆ (แค่เรียน English โปรแกรม) ก็มีความ
คิดเป็นของตัวเองเหมือนกันค่ะ ทุกอย่างต้องขอเหตุผล คนเป็นแม่
(บ้าน) อย่างเราต้องปรับตัวและหัวใจ ว่า เออ...ลูกมันโตแล้วจริงๆ
นะ คุยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว (แกมบังคับ) แต่เมื่อโลกหมุนไป
เราก็ต้องปรับตัวหมุนตาม แต่เป้าหมายยังอยู่ ..ใช่ไหม๊ค่ะ....:-)
เป็นกำลังใจกันต่อไปค่ะ :-)