http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 

ตะลุยเทศกาลหนัง 3rd World Film Festival of Bangkok (PART 1)

โดย merveillesxx



เทศกาลหนัง 3rd World Film Festvial of Bangkok จัดขึ้นวันที่ 14-24 ตุลาคม ที่ Grand EGV, EGV Metropolis และ Major WTC มีหนังฉายในเทศกาลนี้ประมาณ 73 เรื่อง ติดตามรายละเอียดได้ที่ //www.worldfilmbkk.com

ข้อความต่อไปนี้เป็นไดอะรี่บันทึกการดูหนัง ความคิดเห็นต่อหนังที่ได้ดู และเรื่องราวที่เกิดในแต่ละวัน

ข้อความส่วนใหญ่ COPY มาจากกระทู้ //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=22529




15 OCT 2005
วันเปิดเทศกาล (สำหรับคนธรรมดาอย่างผม)

หนังที่ได้ดูวันนี้




1. Madame X: An Absolute Ruler (1977, Ulrike Ottinger, Germany, A)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=08&id=118

-- ดูไม่รู้เรื่องครับ แต่ชอบ 'คอสตูม' ของหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

-- สิ่งที่ยากลำบากต่อการดูหนังเรื่องนี้มากที่สุด ไม่ใช่การที่หนังดูไม่รู้เรื่องครับ แต่เป็นสภาพแวดล้อมในโรงหนัง

-- วินาทีที่ผมดีใจที่สุดในชีวิตคือ คู่ข้างๆผมที่เป็นแฟนกันเดินออกไปจากโรงเสียที หลังจากทั้งสองปรึกษากันเป็นเวลาร่วมชั่วโมงว่า "เราจะเดินออกดีมั้ย" (ถ้าผมเดาไม่ผิด เขาสองคนออกไปซื้อตั๋วหนังเรื่อง "เพื่อนสนิท" (2005, คมกฤษ ตรีวิมล, A+) )

-- ฉากที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ ฉาก "ตะเกียบจิกปลา" (เป็นฉากที่ผู้หญิงในเรือหยิบตะเกียบขึ้นมาจะคีบปลาขึ้นมากิน แต่ปรากฏว่าพวกเอาตะเกียบ "จิก" ปลาเสียเละเทะ แล้วเสียงประกอบในฉากนี้เป็นเสียง "แร้งลง")

-- ดีใจมากๆ ครับที่ได้เห็นความคิดเห็นของพี่แมดเดอลีนต่อหนังเรื่อง Madame X ผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ แต่ไม่รู้จะแสดงความรู้สึกออกมายังไง ตอนดูจบก็คิดในใจว่าหนังแบบนี้ถูกโฉลกกับพี่แมดเดอลีนแน่นอน (ผมแอบได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าด(ในใจ)ของพี่ดังมาจากข้างหลังอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่องด้วยนะ -- อันนี้ล้อเล่นครับ)

-- รู้สึกว่าเสียงประกอบที่หนังเรื่องนี้ใช้บ่อยมากๆ จะเป็นเสียงจำพวกเครื่องเคาะ (เข้าใจว่าเป็นพวกฆ้อง) ซึ่งได้ยินเกือบตลอดเรื่อง ฟังแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดดี

-- ตัวละครผู้หญิงในหนังเรื่องนี้โพสต์ท่าแบบเดินแบบแฟชั่นโชว์บ่อยมาก (ส่วนตัว Madame X เธอชอบทำท่าเหมือนจะปล่อยพลังคลื่นเต่า แต่มันดันออกมาเป็นพลัง "ราชสีห์คำราม") ฉากที่ฮาที่สุดคือตอนที่หนังใช้พวกเธอเดินวนรอบๆ ไล่ไปทีละคน เป็นฉากที่ติดตามากๆ

-- ชอบฉากการตายของตัวละครหญิงที่เป็นสาวนักบินมากๆ เพราะมีการใส่เสียงเหมือน "พัดลมล้ม" (ที่ดัง "เคร้งๆ") ลงไปด้วย ซึ่งก็คือ ใบพัดที่หัวเธอหลุดออกมานั่นเอง

-- ชอบตัวละคร "แม่หัวเรือ" มากๆ คิดว่าเธอเป็นคล้ายๆ "เรดาห์" ของเรือวิปลาสลำนี้ เวลาที่ Madame X ควบคุมเธอด้วยการขยับมือ ทำให้นึกถึงพวกการ์ตูนญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังจิต

-- อย่างไรก็ตาม การตายของตัวละครหญิงในเรื่องนี้ไม่มีมีผลอะไรกับหนังมากมายนัก เพราะพวกเธอพร้อมจะฟื้นขึ้นมาตลอดเวลาใน 2-3 ฉากถัดไป

-- เข้าใจว่าวง J-ROCK ที่แต่งตัวประหลาดๆ คงได้ดูหนังเรื่อง Madame X ของ Ulrike Ottinger


-- ดูจากรูปโปรโมท Ulrike Ottinger เธอดูเซอร์และติสต์รับประทานสุดๆ แต่วันนี้ตัวจริงของเธอดูน่ารักและอัธยาศัยดี

-- แอบเห็นพี่แมดเดอลีนยืนคุยกับเธออยู่นานสองนาน ได้เรื่องอะไรน่าสนใจมา เล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ :-)

-- ตอนนี้ผมคงอดดูเรื่อง Ticket of no Return ของเธอเป็นที่แน่นอนแล้ว เพราะวันที่ 20 ฉายชนกับ หนัง TSUNAMI 1 ส่วนวันที่ 23 ฉายชนกับ New Life (สารคดีเกี่ยวกับผกก.นิวเวฟญี่ปุ่น) ...ขอไว้อาลัย

-- เรื่องเรทหนังผมว่าเขาอาจจะตรวจบัตรเฉพาะเรื่องที่ NC-17 มั้งครับ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าคนดูในเทศกาลนี้ก็คงมีเด็ก ม.ปลายไม่มากเท่าไรมั้งครับ (อย่างไรก็ตาม เวลาเห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนมาดูหนังในเทศกาลหรือดูหนังตามลิโด้ ผมจะรู้สึกดีมากๆเลยครับ)

-- ตอนนี้ที่ผมกำลังงงๆ ก็คือว่า ทำไมเรื่อง Battle in Heaven มันได้เรท PG อ่ะครับ บางคนบอกว่าแค่ฉากแรกก็ไม่ผ่านแล้ว (ฮา)

-- ข่าวนี้เขาฝากมา : Vimukthi Jayasundara ผู้กำกับเรื่อง Forsaken Land หล่อมาก ...ข่าวดีก็คือเขาจะมา Q&A ในเทศกาลนี้ด้วย




16 OCT 2005

ตอบ คุณ homogenic

อ่านเรื่องของคุณโฮโม (เจนิค) แล้วหวั่นใจเลยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมกะว่าจะไปซื้อตั๋วที่ EGV เป็นสิบกว่าเรื่องเลยง่ะ

เอ ตอนผมซื้อที่ Major WTC ถ้าซื้อล่วงหน้าเขาก็ต้องใช้วิธี log in เข้าไปใหม่ทุกครั้งเหมือนกันนะครับ เอ๊ะ หรือผมดันไปเจอเครื่องรุ่นโบราณเข้าให้ ????

ขอแสดงความเสียใจกับคุณโฮโมเรื่องโดนโรงหนังหลอกด้วยครับ เข้าใจเลยครับเพราะเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองบ่อยๆ เหมือนกัน (โดยเฉพาะเครือ Major ถ้าเป็นเครือ APEX แทบไม่มีเรื่องแบบนี้เลย) อยากจะบอกคุณโฮโมว่ารอบหนังในหนังสือพิมพ์นี่เป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้พอๆกับข่าวดาราในนิตยสารทีวีพูลครับ

และยินดีด้วยครับที่จะได้ดู The Pianist (A+) ในโรง การดู The Pianist ในโรงเป็นประสบการณ์การดูหนังของผมที่น่าจดจำมากเลยครับ ตอนดูหนังเรื่องนี้ที่ลิโด้ โรงหนังกลายเป็น "ดินแดนที่เงียบที่สุดในโลก" ครับ เชื่อมั้ยว่าได้ยินกระทั่งเสียงหายใจของคนที่นั่งถัดไป 3 ที่นั่ง

---------------------------------

-- ผมรู้สึกว่าการประสานงานในเทศกาลนี้ยังไม่ดีครับ พนักงานขายตั๋วที่เคาท์เตอร์กับเจ้าหน้าที่ ที่บูธของ World Film ไม่เคยให้ข้อมูลที่ตรงกันเลยครับ

-- วันนี้ก็เจอเรื่องให้ปวดประสาทอีกแล้ว

1. ตอนดู It's All Gone Pete Tong มีผู้หญิงฝรั่งคนนึงมานั่งที่ผม ตอนแรกก็คิดในใจว่า "เอาอีกแล้วไงกรู" แต่พอไปเรียก Staff มาดูปรากฏว่า บัตรของเธอหมึกมันจาง เธอก็เลยมองตัว "11" เป็นเลข "1" ว่าแล้วเธอก็ย้ายไปโดยดี พร้อมขอโทษขอโพย ...อันนี้ยังไม่มีอะไรรุนแรง

2. พอดู Dorian Gray ไม่มีซับไตเติ้ลอีกแล้ว สิ่งที่รู้สึกแย่ก็คือทาง staff ไม่เคยมีการแจ้งล่วงหน้า หรือมีเรื่องการ Refund ตั๋วคืนเลย โดยเฉพาะวันนี้ไม่มีการแจ้งใดใดทั้งสิ้น หนังฉายไปแล้วถึงเพิ่งรู้กัน แล้วผมก็ดันซวยไปนั่งแถวหลังๆ ซึ่งเป็น "ดินแดนวิปริต" มากๆ เพราะสต๊าฟก็วิ่งกันวุ่นไปหมด แล้วไหนจะคนเดินเข้าเดินออกอีก 20 นาทีแรก ผมเลยดูหนังไม่รู้เรื่องเลยครับ

3. เมื่อวานดู Madame X เจอ "ผู้ชายที่พยายามจะโชว์แมนอธิบายหนังให้แฟนสาวฟัง" วันนี้ซวยกว่าเดิมครับเจอ "เกย์แก่ที่พยายามจะโชว์ความฉลาดอธิบายหนังให้คู่ขากะเทยฟัง" ไม่ว่าผมจะหันไปมอง จิ๊ปากดังๆ ทำทีหงุดหงิด หรือกระทั่งสาปแช่งในใจ (ให้อีสองตัวนี้ไปตายๆ ที่ไหนก็ได้ไกลๆเสียที) มันก็ยังไม่หยุดพูดครับ โชคดีว่าหนังเรื่องนี้คนลุกออกกันเยอะ ผมก็เลยทนไม่ไหวย้ายไปนั่งข้างหน้าแทน เพราะถ้านั่งต่อไปอาจจะคว้าคัตเตอร์ในกระเป๋ามาเสียบสองตัวตายเหมือนฉาก "เชือดไก่" ใน Dorian Gray (อย่างไรก็ตาม หลังจากผมย้ายที่ไม่นาน สองคนนี้เขาก็เดินออกไป)

สิ่งที่สงสัยที่สุดตอนนี้ก็คือ หนังที่เหลือของ Ulrike Ottinger มีซับไตเติ้ลหรือไม่ โดยเฉพาะ Twelve Chairs ซึ่งมีความยาว 198 นาที!

--------------------------------

หนังที่ได้ดูในวันนี้




1. It's All Gone Pete Tong (2004, Michael Dowse, UK, A+)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=184

-- หนังเรื่องนี้สำหรับผมแค่ไปฟังเพลงประกอบก็คุ้มแล้วครับ เพราะนี่คือแนวเพลงที่ชอบมาก และอาจจะชอบที่สุดในชีวิต (ตอนนี้) แล้วก็ได้

-- หนังมีการสัมภาษณ์ DJ ดังๆ (ที่มีตัวตนจริง) มากมาย ดีใจมากๆ ที่มีหน้าของ Paul Van Dyk (ดีเจที่ชอบที่สุด) โผล่มาด้วย แม้จะเป็นเสียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม

-- ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงหนังเรื่อง Touch the Sound ซึ่งฉายในงาน BKKIFF เมื่อต้นปี (แต่ผมไม่ได้ดู) เพราะหนังเรื่องนี้พระเอกเป็นดีเจชื่อดัง แต่จู่ๆ วันหนึ่งหูเขาก็หนวกขึ้นมา แต่ในภายหลังเขาก็ค้นพบวิธีที่จะแต่งเพลงทั้งๆที่หูยังหนวกได้ (ซึ่งเป็นวิธีที่ฮาดี) ส่วนเรื่อง Touch the Sound เป็นสารคดีที่เกี่ยวกับนักดนตรีหญิงที่หูหนวกเช่นกัน

-- นอกจากนั้นใน It's All Gone Pete Tong ยังมีฉากที่พระเอกไปเต้นในผับได้ทั้งที่หูหนวกอยู่ ซึ่งก็ทำให้นึกถึงสิ่งที่พี่แมดเดอลีนเคยเขียนไว้ใน BIOSCOPE เกี่ยวกับหนังเรื่อง Touch the Sound ว่าเคยไปเที่ยวผับแล้วเจอคนหูหนวกเหมือนกัน โดยคนพวกนี้จะเต้นโดยจับจังหวะที่มากระทบหูเอา

-- ฉากที่ชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้

1. พระเอกต่อสู้กับ "หนูปีศาจ" ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ความอยากซื้ดโค้ก" (?????)

2. ฉากที่พระเอกพยายามจะฆ่าตัวตาย เป็นทำอัตวินิบาตกรรมที่ทุลักทุเลและฮาสุดๆ

-- ตอนแรกรู้สึกว่าตอนจบของหนังออกจะหวานๆ ไปหน่อย แต่พอเพลงตอน end credit ขึ้นมาก็ยังคงชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+

-- ข่าวดีก็คือ อัลบั้มซาวด์แทร็ก It's All Gone Pete Tong มีขายในบ้านเราด้วย (เย้)





2. Dorian Gray in the Mirror of Yellow Press (1981, Ulrike Ottinger, Germany, A)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=08&id=115

-- หนังของออทิงเงอร์ยังคงพิสดารและเฮี้ยนเหมือนเคย แต่การดูหนังเรื่องนี้มีความยากลำบากต่อผมมากกว่า Madame X อยู่มากทีเดียว นอกจากเรื่องที่บ่นไปข้างบนแล้ว หนังเรื่องนี้ยังพูดกันเยอะพอสมควร (และมันไม่มีซับไตเติ้ล) ก็เลยมีบางตอนที่ผมเผลอวูบไปเลย (รู้สึกจะเป็นช่วงละครโอเปร่าที่หินผาตอนต้นๆเรื่อง)

-- พอจะจับได้เลาๆ ว่าหนังเรื่องนี้พยายามจะพูดถึงเรื่อง "สื่อ" แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจถึงรายละเอียดของมันมากนัก แต่สิ่งที่ประทับใจมากๆ ก็คือ บรรดา "ฉากเฮี้ยนๆ" ทั้งหลายของหนังเรื่องนี้ (บางฉากอาจจะซ้ำกับของพี่แมดเดอลีน)

ฉากที่ชอบ

1. ฉากห้องวอลเปเปอร์ "หนังสือพิมพ์" (นี่เป็นฉากที่ทำให้ตื่นและชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้) ไม่รู้ว่าคิดฉากนี้กันขึ้นมาได้ยังไง เพราะนอกจากกำแพงหรือเสาแล้ว ขนาด "เนคไท" "ปกเสื้อ" หรือกระทั่ง "แก้ว" ก็ยังหลายเป็นหนังสือพิมพ์

หลังจากตื่นตาตื่นใจกับฉากนี้แล้ว ความเฮี้ยนสุดๆ ก็มาต่อทันที นั่นก็คือฉากที่ "สามสาว" ร้องเพลงโอเปร่าซึ่งยาวมากๆๆๆๆๆๆๆ และฮามาก (ชอบคนขวาสุดที่ชอบทำเสียงประหลาดๆ และรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนที่พยายามขึ้นต้นเพลงอยู่เสมอๆ จนมันไม่ยอมจบเสียที)

2. ฉากที่หญิงอ้วนผู้เฝ้าประตู "กรีดร้อง" ขึ้นมาเพื่อ "เปิดประตู" มีใครรู้สึกเหมือนผมบ้างมั้ยครับฉากนี้ผมได้ยินเสียง "วี้ด วี้ด วี้ด" ในหูเลยครับ (และถ้าจำไม่ผิดรถที่ Dorian Gray นั่งมา จะมี "หมา" เป็นคนขับรถ)

3. ฉากเชือดไก่ในตอนท้าย

4. ฉากรถชนที่เล่นกันแบบสโลว์โมชั่นแบบหลอกๆ ฮามาก

5. ฉากอาหารจีนซึ่งเป็นน้ำวน และอาซิ้มแก่ๆสองคนเอาใบพายจิ้มๆ ไปงั้นๆ (ใครบอกได้บ้างว่า "อาหาร" ที่อยู่ในจานเช็ตนี้มันคืออะไร ???)

6. ฉากร้าน 1$ STRIP ที่มีหญิงอ้วนมาโชว์ระบำเปลือย

7. ฉากเตาย่างบาร์บีคิวคน ที่มีผู้ชายนอนเปลือยอยู่ ชอบมุมกล้องของฉากนี้มากๆ

8. ฉากสูบฝิ่นในท่อประปา (จำได้ว่าอาจารย์สอนสังคมเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนจะมีโรงสูบฝิ่น แล้วคนที่มาใช้บริการก็จะเข้าไปสูบฝิ่นในห้อง แต่ในหนังเรื่องนี้ตัวละครสูบใน "ท่อประปา")

9. เวลา "บอสหญิง" ของหนังดึงเสาอากาศออกมาจากปกเสื้อ ต้องมีดนตรีประกอบดัง "เตร๊งงงงง" ขึ้นมา ชอบมากๆๆๆๆ

10. คนรับใช้จีนของพระเอกที่ดันชื่อ "ฮอลลีวู้ด"

11. ฉากเปิดของหนังที่เป็นแม่น้ำ แล้วมีอะไรสักอย่างลอยๆอยู่ในน้ำ (ผมว่าเหมือน "กระทง" เลยครับ แต่อันนี้เก๋มากเป็นกระทงสีเขียวสะท้อนแสง)

12. เครดิตตอนต้นเรื่อง เวลามีตัวอักษรขึ้นมาเสียงประกอบจะเป็นเหมือนเกมอาตาริสมัยก่อน แล้วเครดิตก็ขึ้นมาแบบพรืดๆๆๆ เต็มจอ ไม่รู้ Ottinger เธอตั้งใจกัดพวก "ข้อมูลสารสนเทศ" หรืออะไรประมาณนี้หรือเปล่า

13. ฉากที่ Dorian Gray ไปงานเลี้ยง (หรืออะไรสักอย่าง) แล้วเขาไปเจอห้องที่เล่นดนตรีร็อคสุดขั้วโลก แต่เขากับผู้หญิงอีกคนดัน "เต้นรำ" กัน

เพลงในฉากนี้เหมือนเพลง J-ROCK เพลงนึงที่ตัวเองเคยฟังมากๆ นั่นก็คือเพลงของวง Dir en grey จนทำให้สงสัยเลยว่าวงนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง หรือเพลงนี้มันคือเพลงอะไรกันแน่ หรือจริงๆแล้วเพลงนี้มันมีอยู่จริงหรือเปล่า

ยิ่งไปกว่านั้นอัลบั้มแรกของวง Dir en grey ยังมีเพลงนึงที่ร้องเป็นภาษาเยอรมันด้วย (????) อย่างไรก็ตาม อัลบั้มชุดสองของวงนี้มีเพลงที่เป็นภาษารัสเซีย (??????) เพราะฉะนั้นวงนี้คงถือเป็น "เจร็อคโลกาภิวัตน์"

เวลาดูหนังของ Ulrike Ottinger จะนึกถึงพวกวง Visual J-ROCK เพราะแต่งตัวประหลาดหลุดโลกเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยเห็นวง J-ROCK วงไหน ใส่ชุด "ปิดกลาง แต่ไม่ปิดบน ไม่ปิดล่าง" เหมือน Madame X (ฉากน้ำพุ)

-- เข้าใจว่า หนังทั้ง 6 เรื่องของเธอที่ฉายในงานนี้ เราน่าจะลิสต์ฉากคลาสสิกได้อย่างน้อย 80 ฉาก


-- อันนี้ขอถามครับ "ศาลศาสนา" นี่คือะไรหรือครับ เกิดมาผมเพิ่งได้ยินคำนี้ก็วันนี้แหละครับ (รบกวนอธิบายสั้นๆ ก็พอครับ)

-- ย้ำอีกทีครับ หนังของ Ulrike Ottinger เฮี้ยนจริงๆครับ และห้ามพาแฟนไปดูเด็ดขาด ถ้าไม่รักกันจริง


mer's ADORABLE ACTOR / ACTRESS

1. Paul Kaye (It' All Gone Pete Tong)

2. นักแสดงหญิงทุกคนในเรื่อง Madame X และ Dorian Gray




17 OCT 2005

วันนี้ก็มีปัญหาตบตีกับสต๊าฟงาน World Film อีกแล้ว เรื่องของเรื่องก็คืออยู่ดีๆ วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าบัตรนักศึกษาลดได้แค่วันละ 1 เรื่องเท่านั้น ผมก็เลยบอกว่า “อ้าว เมื่อวานดูที่เวิลด์เทรดก็ยังลดได้ทุกเรื่องอยู่เลยนี่ครับ ผมยังซื้อไปตั้ง 5 เรื่องเลย” เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า “เค้าเพิ่งเปลี่ยนวันนี้ครับ” อ้าว แบบนี้ก็แย่สิ อยู่ดีๆ มาเปลี่ยนตามใจชอบได้ยังไง ทำไมไม่กำหนดอะไร อะไรและอะไรให้มันเรียบร้อยตั้งแต่แรก แบบนี้คนที่ซื้อเมื่อวานก็โชคดีไปแล้วคนซื้อวันนี้ก็เสียสิทธิน่ะสิ …วัยรุ่นเซ็งครับแบบนี้

หวังว่าหลังจากนี้ไปเทศกาลนี้คงไม่มีอะไรให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกนะ

รวมรายการชวนประสาทที่ได้เจอในวันนี้

1. ตบตีกับสต๊าฟ ที่เล่าไปข้างบน

2. ตอนดู The Journey ฝรั่งสองคนข้างๆ คุยกัน ประหนึ่งอยู่ในบ้านตัวเอง ที่สำคัญมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ! (แต่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสนใจว่ามันพูดอะไรกัน) ยังดีว่าสองคนนี้นานๆ คุยกันที ประมาณ 20 นาที/ครั้ง

3. The Journey ผู้หญิงฝรั่งคนนึงตรงกลางๆ ด้านขวาคุยโทรศัพท์ประมาณ 4 รอบ โชคดีว่าผมอยู่ไกลเลยไม่ค่อยได้ยิน

4. ตอนดู Innocence (เด็กโต๋) ทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว แต่คนที่นั่งแถวเดียว ขยับตัวบ่อยมาก และรุนแรงมาก (นี่เป็นหนังสารคดีว่าด้วยเด็กชาวเขา ไม่ใช่หนัง “ตะลุยอวกาศสามมิติ” เราไม่ต้องการระบบสั่นสะเทือน) เข้าใจว่ามันเป็นสังคัง (แต่หลังจากได้เจอความน่ารักของคุณป็อป-อารียา ก็หายหงุดหงิดไปเลย)

5. ตอนดู Gallipoli ฝรั่งข้างหลังโทรศัพท์ดังบ่อยมาก ริงโทนเสียงดังและไม่เข้ากับเพลงในหนังอย่างรุนแรง แถมมันก็คุยโทรศัพท์หน้าด้านๆ ซะงั้น

พรุ่งนี้ก่อนเข้าโรงหนัง ผมคงควรจะแวะไปทำบุญก่อน

-----------------------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน

-- ชอบฉาก "กุ้งติดถังขยะ" ใน Dorian Gray เหมือนกันครับ แล้วที่ฮาคือ ฉากนี้คนเข็นถังขยะเข็นไปเรื่อยๆ แล้ว ปรากฏว่าสักพักมันวนกลับมาที่คนเดิม

-- "แล้วก็ได้ทราบว่าหนังของ OTTINGER จะไม่มีซับไตเติล ก็เลยรู้สึกเศร้าใจมากๆ"
หา...หา....หา....อะไรนะ ไม่....ไม่...ไม่...ไม่จริง โอ้โห แล้วพรุ่งนี้ Twelve Chairs ยาว 198 นาที ผมจะรอดมั้ยล่ะเนี่ย ที่สำคัญซื้อบัตรไปแล้วง่ะ (แต่ยังไงก็อยากดูหนังของเธออยู่ดี)

-- มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่ EGV Metropolis ผมก็งงๆ ที่พี่แมดเดอลีนทำหน้าเหวอๆ เดินกลับไปที่พนักงานฉีกตั๋วอีกครั้ง ตอนแรกนึกว่าพนักงานหล่อมาก จนต้องให้ฉีกตั๋วเบิ้ลอีกรอบ แต่มองดูดีๆ แล้วก็ไม่น่าใช่ (แซวเล่นนะครับ อย่าโกรธกัน อิอิ) อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาน่ารักตามที่เล่ามาก็น่าชื่นชมครับ ในเทศกาลนี้ผมก็เจอเจ้าหน้าที่ / พนักงานหลายๆคน ที่ดีจนใจหาย แต่ในขณะที่บางคนก็น่าตบอย่างจริงใจเหมือนกัน (บางคนนี่เล็งๆ ไว้ตั้งแต่เทศกาลหนังยุโรป หนังฝรั่งเศสแล้ว แค้นเคืองกันมานาน)

-- ยินดีกับพี่แมดเดอลีนด้วยครับ ที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคที่ว่า

-- จริงๆ แล้ว ฟังไปฟังมาชุดสองของวง "ทาถู" ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก โดยเฉพาะเพลงที่ 4 "Loves Me Not" ร้องวนไปวนมาทั้งเพลงว่า "He Loves Me / He Loves Me Not / She Loves Me / She Loves Me Not" ซึ่งก็ฟังดูเสียสติคล้ายๆ เพลงชุดที่แล้ว

ชอบเพลงชุดที่แล้วของวง "ทาถู" เพราะ เอ็มวีแรงดี

1. All The Things She Said -- คู่เลสเบี้ยนที่ถูกสังคมโรงเรียนรังเกียจ แต่เธอไม่สน จูบกันท่ามกลางสายฝน แล้วก็เดินเชิดจากไป

2. Not Gonna Get Us -- สองสาวที่ไม่ยอมพรากจากกัน ก็เลยขับรถบรรทุก "คามิกาเซ่" ตายคู่เพื่ออยู่นิรันดร์

3. 30 Minutes -- จำเอ็มวีเพลงนี้ไม่ค่อยได้แล้ว แต่เลาๆว่า เป็นม้าหมุน หมุนไปเรื่อยๆ แต่ตอนจบมีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ แล้วมันก็ระเบิดตูมตามทั้งฉาก

-------------------------

ตอบ พี่เจ้าชายน้อย

ยินดีด้วยครับ ที่พี่ขึ้นมาดูหนังในเทศกาลนี้ได้ อย่าห่วงไปครับภารกิจที่เหลือมีคนรับช่วงต่ออีกเยอะครับ อิอิ

-----------------------------

ตอบ คุณ yuttipung

ผมก็หิวข้าวครับ วันนี้ทั้งวันผมได้กินข้าวตอน 9 โมงเช้า แล้วก็กินอีกที 5 ทุ่มครึ่งเลยครับ (กะผอมจากเทศกาลนี้เลย ว่างั้นเถอะ) อยากจะพักกินอะไรเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาเลย แล้วร้านค้าแถวๆ Grand EGV ก็ผู้คนล้านแปด วันต่อๆไปผมจะพกปิ่นโตไปแล้วล่ะครับ

ขอบคุณที่อิจฉาผมครับ รู้สึกดีเหมือนกันที่ตัวเองไม่ได้มีใครในช่วงนี้ เพราะถ้ามีเค้าอาจจะถามว่า "วันนี้เธอดูหนังอะไรมาเหรอ เล่าให้ฟังบ้างสิ" แล้วการจะมานั่งเล่าเรื่องหนังของ Ulrike Ottinger ให้แฟนฟังก็คงไม่ใช่เรื่องสนุกนัก

--------------------------------

หนังที่ได้ดูวันนี้




1. The Journey (2005, Ligy J. Pullappally, อินเดีย, B)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=01&id=161

-- ตอนแรกอ่านเรื่องย่อแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเลสเบี้ยนในสังคมอินเดียก็คิดว่าแปลกดี แต่ปรากฏพอดูหนังไปประมาณ 20 นาที ก็รู้สึกว่ามันเชยมาก (ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวในหนังเป็นยุคสมัยปัจจุบันหรือช่วงเวลาไหนกันแน่) ไม่รู้เหมือนกันว่าที่คิดมันเชยๆ เพราะตัวเองไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมของอินเดียหรือเปล่า

-- แต่จะว่าไปแล้วพล็อตของหนังเรื่องนี้ก็คล้ายๆ หนังน้ำเน่าของละครช่องเจ็ดเอามากๆ ว่าด้วยเรื่องประมาณคนรักที่ถูกทางบ้านกีดกันไม่ให้รักกัน (เพียงแต่ว่าอันนี้เก๋หน่อย เพราะสองคนนี้ดันเป็นผู้หญิงทั้งคู่) แล้วสุดท้ายฝ่ายหนึ่งก็ถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับใครก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำให้นึกถึงละครช่องเจ็ดเอามากๆ ก็คือ ตัวละคร “แม่” ของนางเอกทั้งสองคน ยิ่งไปกว่านั้นหนังยังใช้การแสดงแบบโอเว่อร์แอ็คติ้ง และบีบคั้นอารมณ์อยู่บ่อยๆด้วย (แต่นั่งดูเครดิตตอนท้าย ไม่เห็นมีชื่อ “คุณแดง” อำนวยการสร้างแต่อย่างไร)

-- ที่ฮาก็คือ แม้ว่านี่จะเป็นหนังปี 2005 แล้ว หนังก็ยังแอบใส่ “ฉากวิ่งไล่จับ” กันมาจนได้ แต่ก็เป็นฉากสั้นๆ เท่านั้น ที่ติดตาก็คือ ฉากนี้นางเอกสองคนใส่ชุดสีชมพู แต่ไปวิ่งไล่กันในดงไม้สีเขียวปี๋ (แถมนางเอกคนนึงยังชอบใส่เสื้อที่สีตัดกันอย่างรุนแรงด้วย เช่น มีอยู่ฉากนึงเธอใส่เสื้อม่วง กระโปรงเหลือง)

-- แต่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอินเดียที่ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน (แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกันแบบนี้ทั้งประเทศหรือเปล่า)

1. ชุดฟอร์มโรงเรียนมัธยมของอินเดีย ผู้หญิงใส่ชุดสีชมพู เป้สะพายข้างสีน้ำเงิน ส่วนผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตต์แดง-ขาว (????) ถ้ามองไกลๆ ก็คงเหมือนผ้าขาวม้า

2. เวลานั่งเรียนในห้อง ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งแบ่งฟากกัน

-- พูดถึงฉากในโรงเรียนก็เลยนึกถึงฉากนึงที่ฮามากๆ คือ ตอนที่นักเรียนชายคนนึงหันหน้ามาทางกล้อง แล้วดูยังไงผู้ชายหนวดเฟิ้มหน้า “มหาโจร” คนนี้ก็หน้าแก่เกินกว่าจะเป็น “นักเรียนมัธยม” อย่างแน่นอน (แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด ปรากฏว่าตอนกลางๆ เรื่อง ผู้ชายคนนี้แหละที่ก่อเรื่องพากันหนีไปกับนักเรียนหญิงอีกคนนึง)

-- ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้แปลกดี คือ บางฉากมันฟังดูน่ากลัวมาก (หนังชอบใช้เสียงดัง “หึ่ม หึ่ม หึ่ม” เบสต่ำๆ ลำโพงสั่น) ทั้งที่ฉากนั้นไม่ได้มีอะไรมากมาย เช่น แม่กำลังรอหน้าบ้านจะด่าลูก แต่หนังใช้ดนตรีประหนึ่งฆาตกรโรคจิตดักรอนางเอกอยู่หน้าบ้าน

-- ตัวละครอยู่หนึ่งที่ขโมยซีนมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือ คุณป้าช่างเม้าท์คนหนึ่งที่โผล่ออกมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วก็เม้าท์ๆๆๆๆ ลูกเดียว ที่ฮาก็คือ เครดิตตอนท้ายขึ้นชื่อตัวละครนี้ว่า “The Gossip”





2. Innocence เด็กโต๋ (2005, นิสา คงศรี + อารียา ชุมสาย, A++++++++++++++++++++++++++++++++)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=06&id=195

-- นี่คือหนังที่ชอบและประทับใจที่สุดในเทศกาลตอนนี้ และคาดว่าจะติด 10 อันดับหนังในดวงใจปีนี้แน่นอน

-- ตอนนั่งดูช่วงแรกๆ รู้สึกว่าหนังมันเรื่อยๆ น่าเบื่อมาก แต่พอผ่านไปสัก 20 นาที หนังก็มีอะไรที่กระทบใจทุกๆ 3 นาที ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของหนังมากๆ ที่มี “เหตุการณ์ที่เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง” เกิดขึ้นมา (ไม่ต้องห่วงไป ผมจะไม่เล่าถึงเหตุการณ์นั้นนะครับ ไว้ไปดูกันในโรงเอง) แต่จริงๆ แล้วเหตุการณ์ที่ว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไรนัก แต่มันส่งผลดีต่อหนังอย่างมาก น่าจะเรียกได้ว่า “ความโชคดีบนความโชคร้าย”

-- สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทำได้ดีมากๆ ก็คือการตัดต่อ เพราะหนังไล่เรียงกราฟอารมณ์ได้ดีมากๆ ความรู้สึกของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ “พีคแตก” สุดๆ ตอนฉาก “ไปเที่ยวทะเล” ซึ่งเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่รุนแรงมากๆ (อย่างที่ทราบกันแล้วว่า คุณครูสัญญากับเด็กบ้านแม่โต๋ไว้ว่าถ้าเรียนจบ ม.3 ได้ พวกเขาจะได้ไปเที่ยวทะเลกัน) และที่สำคัญก็คือมันเป็นเรื่อง “จริง” ที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย แค่ให้คนถือกล้องวิ่งตามถ่ายแค่นั้นเอง …พอถึงฉากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ น้ำตาไหล ซึ่งไหลแบบเป็นทาง (ทางยาวประมาณกำแพงเมืองจีน) และไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าก่อนด้วย ซึ่งมันไม่ใช่การร้องไห้ด้วยความรู้สึกโศกเศร้าสงสาร แต่เป็นความรู้สึกที่ประทับใจและงดงามมากๆ (สาเหตุร่วมที่ทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมกับฉากนี้อย่างรุนแรง ก็คงเพราะผมเป็นคนที่ชอบ “ทะเล” แต่ไม่ชอบ “ภูเขา” และเด็กๆ ในหนังเรื่องนี้เป็น “เด็กภูขา” ที่เดินทางมาร่วม 1000 กิโลเมตรเพื่อมาสัมผัส “ทะเล”)

-- ฉากที่ประทับใจมากในหนังเรื่องนี้
****มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง แต่คิดว่าไม่ใช่ส่วนสำคัญ****

1. ฉากที่เด็กๆ นั่งไปรถบัสเดินทางไปทะเลที่ จ.ประจวบ เพลงที่เด็กๆ ร้องกันบนรถก็คือ เพลง “โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส…” ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยเห็นทะเล

2. หลังจากเล่นน้ำทะเลจนจุใจจนถึงเช้า พระอาทิตย์กำลังขึ้น เด็กคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “ที่บนภูเขาพระอาทิตย์ไม่ได้เป็นสีแดงแบบนี้ แล้วก็มองไม่เห็นพระอาทิตย์ในทะเล” (หมายถึงเงาสะท้อนของพระอาทิตย์ในน้ำทะเล) ฉากนี้ถ่ายสวยมากๆ ดูรูปฉากนี้ที่ //www.pigonine.com/media/promotional/pig-o-nine_media-films-innocence-dvd_screenshots_06.jpg

3. มีฉากนึงที่คุณครูทำ “พิธีเรียกขวัญ” ให้เด็กๆ ที่ต้องจากพ่อแม่มาอยู่โรงเรียนประจำ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าพิธีกรรมในฉากนี้ดูจริงมากๆ คนละเรื่องกับ “พิธีถามป่าหาช้าง” ในเรื่อง “ต้มยำกุ้ง” เลย

4. ฉากที่ถ่ายหน้าคุณครูใหญ่จากภาพสะท้อนในกระจกรถมอเตอร์ไซค์ ถ้าเข้าใจไม่ผิดฉากนี้ตากล้อง (ซึ่งก็คือ คุณนิสา) น่าจะซ้อนมอเตอร์ไซค์อยู่ด้วยขณะถ่ายทำ

5. ฉากปัจฉิมนิเทศ / รับประกาศไปรษณียบัตร

-- สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้กำกับทั้งสองคนมา Q&A แบบเซอร์ไพรส์ (ในตารางงานไม่ได้ระบุไว้) ซึ่งเป็นการ Q&A ที่ได้ข้อมูลดีๆ มากมาย (สาเหตุหนึ่งคือคุณป็อป-อารียา เธอพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเร็วเป็นไฟ ฟังแทบไม่ทัน ทำให้การถาม-ตอบเป็นไปอย่างลื่นไหล) ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เช่น

1. ใช้เวลาถ่ายทำ 1 ปี ได้เทปมาทั้งหมด 100 ชั่วโมง ตัดต่อเป็นหนังจริง 100 นาที คุณป็อปเธอเลยพูดเล่นๆว่า “1 ชั่วโมงคัดมา 1 นาที”

2. ทุนสร้างทั้งหมดเป็นของคุณป็อป โดยเธอหาจากการยอมเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าต่างๆมากมาย (เช่น ตู้เย็นยี่ห้อนั้นแหละ) ตรงนี้เธอแอบ “กัดปนหยอก” นายทุนในเมืองไทยได้น่ารักดี ฝรั่งฟังแล้วขำครับ แต่ในฐานะคนไทยผมอายครับ

3. ตรงนี้ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าฟังผิดหรือเปล่า แต่เหมือนคุณป็อปพูดประมาณว่า หนังเรื่องนี้เธอเป็นคน “ฝัน” แต่คุณนิสาเป็นคน “ถ่ายทอด” มันออกมา และทำให้ฝันนั้นเป็นจริง

4. เด็กบ้านแม่โต๋มีประมาณ 60 คน ผู้กำกับต้องเลือกโฟกัสไปที่เด็กที่น่าสนใจ โดยใช้วิธีคัดออกจาก 60 เหลือ 40 เหลือ 20 ไปเรื่อยๆ จนได้มา 3 คน …สาเหตุก็คือ ตอนแรกๆ เด็กเกือบทุกคนเป็นโรค “กลัวกล้อง”

-- ตอนออกจากโรงมาแล้ว ได้เข้าไปคุยกับคุณป็อปประมาณ 15 วินาที จริงๆ อยากจะลงไปกราบเท้าเธอเหมือนกัน แต่แบบว่าอาย แถวนั้นคนมันเยอะ ก็เลยชื่นชมเธอด้วยคำพูดแทน เธอบอกว่าหนังจะมีฉายรอบการกุศลทั้งที่สกาล่าและลิโด้ จะไปดูอีกก็ได้ แล้วหยอดตอนท้ายว่า “อย่าลืมชวนเพื่อนไปดูเยอะๆ นะคะ”

-- เวบไซต์ของหนังเรื่องนี้ //www.pigonine.com/

-- อ่านบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับทั้งสองคนได้ใน BIOSCOPE เล่มใหม่ (หน้าปก แบยองจุน)




3. Thai Indie Short Film

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=05&schid=186

ดีใจแทนกลุ่มไทยอินดี้ด้วยมากๆ เพราะวันนี้คนมาดูแทบล้นโรง




3.1 Opportunities โอกาส (2005, นิติพงศ์ ถิ่นทัพไทย, A+)

-- หนังแสบมาก จนน่าจะส่งให้ใครบางคนได้ดู

-- ช่วงกลางๆ ที่หนังเสียงมิกซ์กันมั่วซั่วไปหมด รู้สึกว่าหนวกหูมากจนแทบทนไม่ไหว แต่พอผ่านพ้นไปแล้ว ก็รู้สึกชอบช่วงนั้นของหนังมาก และถ้าไม่มีก็คงไม่ชอบหนังขนาดนี้




3.2 Afternoon ยามบ่าย (2005, ภูพาน สรวิศมงคล, A+++++++)

-- เป็นหนังที่ตอนดูทรมานมากๆ (คนข้างๆ ผมหลับอ้าปากหวอไปเลย) แต่พอดูจบแล้วกรี๊ดมาก เป็นความทรมานที่คุ้มค่า (แต่ถ้าให้ดูในโรงอีกรอบคงคิดหนักหน่อย) รู้สึกว่าผู้กำกับกล้าหาญดี

-- ตอนที่หนังใช้ตัวอักษรกลับด้านลอยขึ้นมา ผมอ่านได้ไม่กี่คำเองครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผู้กำกับตั้งใจให้มันอ่านยากหรือเปล่า

-- หนังเรื่องนี้มีเสียง “ฟื่ด ฟื่ด ฟื่ด” แถมยังมี “เงามืดปริศนา” อีก ซึ่งทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Kairo (2001, A+++++) ของคิโยชิ คุโรซาว่า ซึ่งตอนหลังทาคาชิ มิอิเกะก็เอาเสียง “ฟื่ด ฟื่ด ฟื่ด” นี้ไปใช้ในหนังเรื่อง One Missed Call (2003, A-) อย่างหน้าด้านๆ




3.3 Our Child ยังเยาว์ (2004, ธวัชพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์, A-)

-- จริงๆ เคยดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ได้ดูในโรงก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบ

-- ตัวเงา (หรืออะไรสักอย่าง) ที่ตัวยาวๆ แขนยาวๆ มือใหญ่ๆ ทำให้นึกถึงตัวละคร “ครูใหญ่” ในอัลบั้ม The Wall (1979, A+) ของวง Pink Floyd

-- ชอบมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ในระดับ A- แต่ชอบตัวเพลง “ยังเยาว์” ในระดับ A+ ถ้าจำไม่ผิดเพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม BETWIXT (2002, A+) ของวง The Photo Sticker Machine ซึ่งเป็นชุดที่ผมชอบที่สุดของวงนี้ครับ

-- ส่วนตัว ริค วชิรปิลันธ์ไม่ต้องพูดถึง เธอเป็นคนที่มีส่วนในการเปิด “โลกทัศน์” การฟังเพลงของผมเป็นอย่างมาก และความจริงแล้วเธอน่าจะไปอยู่ในหนังของ Ulrike Ottinger ได้อย่างสบายๆ หรือถ้าลองให้ ริค ทำเพลงให้ Ottinger ก็ท่าจะมันส์ดี




3.4 Relativity plus quantum สัมพัทธภาพบนความไม่แน่นอน (2004, ศาสตร์ ตันเจริญ, A)

-- งงๆ กับเนื้อเรื่องของหนังในตอนท้ายๆ นิดหน่อย แต่ที่ชอบมากๆ คือ “เสียงประกอบ” ในหนังเรื่องนี้




3.5 To Infinity & Beyond ลอยฟ้า (2004, สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์, A+)

-- ชอบข้อความที่เลื่อนอยู่ทางข้างบนของจอในการเล่าเรื่องช่วงที่ 2 (หรือเวอร์ชัน b ตามที่หนังบอก) ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องระหว่าง “ฟ้า” กับ “ดิน” เช่น “เวลาคุณหิว คุณมองฟ้าหรือมองตู้กับข้าว” (ถ้าจำผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ)




3.6 Love…? (2005, จตุภัทร เพชรนนท์, B+)




3.7 Space ที่ว่าง (2005, สถิต ศัตรศาสตร์, ?)
เรื่องนี้ของดแสดงความคิดเห็น เพราะมัน “มาไว” และ “ไปไว” เหลือเกิน




3.8 Vous Vous Souviens de Moi? วันที่ฝนตกลงมาเป็นคูสคูส (2005, ธัญสก พันสิทธิวรกุล, A+)

-- สิ่งที่ชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คือการใช้เพลง High ของ FUTON สองครั้ง แต่ทั้งสองครั้งกลับให้อารมณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยครั้งแรกที่เป็นภาพท้องฟ้านิ่งๆ อ่อยๆ ส่วนครั้งที่สองพอมีข้อความบอกว่า “ฉันจะร้องเพลงให้เธอฟัง” ตอนแรกคิดว่าคราวนี้เพลง High จะมีเสียงร้องขึ้นมา (หลังจากครั้งแรกมีแต่ทำนอง) แต่ปรากฏว่าเพลง High รอบสองก็ยังมีแต่ทำนองเหมือนเดิม แต่ภาพที่ถ่ายสายไฟฟ้าไล่ไปเรื่อยๆ ก็ทำรู้สึกว่าเพลงในรอบที่สองนี้มีเนื้อเพลง มีเสียงคนร้อง มีชีวิตชีวา

-- ไหนๆ ก็มีเพลง FUTON ก็ฝากบอกตรงนี้หน่อยละกันว่า “รอดูหนัง FUTON อยู่นะจ๊ะ คุณปุ่น ที่รัก”





4. Gallipoli (2005, Tolga Ornek, ตุรกี, C+)

//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=06&id=123

-- จริงๆ ตอนแรกผมกะจะไม่ดูหนังเรื่องนี้แล้วครับ เพราะล้าสายตาและง่วงมากๆ แต่สุดท้ายก็จ้ำอ้าวไปดูจนได้

-- ดูหนังเรื่องนี้เหมือนดูสารคดีช่อง HISTORY CHANNEL ใน UBC เลยครับ หนังมันก็พูดไปเรื่อยๆ มีภาพฟุตเทจบ้าง มีหน้า(ใครก็ไม่รู้) ขึ้นมาบ้าง แล้วก็มี quote คำพูดคนนู้น ยกข้อความจากจดหมายคนนี้ น่าเบื่อมาก…ไปๆมาๆ เลยเหมือนดูรายการ “จดหมายเหตุกรุงศรี” (ของช่อง 7) เวอร์ชันผู้กำกับตุรกีเลยครับ (แต่หนังดันพูดภาษาอังกฤษเสียอีก) ผมก็เลยเผลอหลับไปสองวูบเต็มๆ

-- สารคดีแบบนี้คงไม่ค่อยถูกชะตากับผมเท่าไร อาจจะเป็นเพราะว่าสารคดีที่ได้ดูส่วนใหญ่ จะเป็นอะไรที่ฮาๆ บ้าๆบอๆ หรือมีอะไรแรงๆ อยู่ในหนังมากกว่า

-- อันนี้จะว่าตลกก็ใช่ จะโกรธก็ไม่เชิง ก็คือ ฝรั่งข้างหลังผมมันไม่ยอมปิดเสียงมือถือ แล้วมันก็ธุรกิจพันล้านมีคนโทรเข้ามาบ่อยมากๆ ที่สำคัญก็คือ ริงโทนมัน “นุ้งนิ้ง” มากๆ แต่ในขณะที่เพลงในหนัง Gallipoli ก็พยายามบิวด์ให้เศร้าสลดกับสงครามแทบเป็นแทบตาย แต่อันนี้ไม่ค่อยกระทบผมเท่าไร เพราะกลายเป็นว่าโทรศัพท์ของฝรั่งคนนี้ช่วยปลุกให้ผมตื่น (แต่ตอนหนังจบแล้ว ผมเห็นฝรั่งอีกคนเดินเข้าไปด่าหมอนนี่เลย …แฟ้มบุคคลก็ปรบมือให้ วี้ดวิ้ว)

-- จริงๆแล้ว ผมน่าจะเลือกดู Wallace & Gromit มากกว่า Gallipoli อีกนะเนี่ย (ฮา


ประโยคเด็ดประวันนี้
“แบบว่าภาษาอังกฤษของหนูกะหรี่มากค่ะ” (ใครพูด? ที่ไหน? เมื่อไหร่? ยังไง? …ไม่บอก นึกกันเองละกัน)


mer’s ADORABLE DIRECTOR
นิสา คงศรี + อารียา ชุมสาย




อ่าน PART 2
ที่นี่




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2548
10 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2548 4:20:21 น.
Counter : 3614 Pageviews.

 

เนื่องจากช่วง 3-4 วันมานี้ ผมอัพเดทบล็อกค่อนข้างบ่อยทีเดียว (ซึ่งนานๆจะเกิดขึ้น) ดังนั้นผมขอสรุปบล็อกที่อัพเดทไปนะครับ

(เลือกหมวดได้ที่ไอคอนด้านซ้ายบนของท่าน)

1. หมวด "สาระ" -- เรื่องของ Academy Fantasia 2 + ละคร "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก"

2. หมวด "สาระ" -- มนต์รัก Sukiyaki (โฆษณา AIS) + เรื่องน่ารักๆ ของ "พี่หน้าเหี้ยม"

3. หมวด "BOOK" -- ตะลุยงานหนังสือ

4. หมวด "MOVIE" -- 3-Iron

สำหรับท่านที่เคยโพสต์คำตอบไว้ ผมอาจจะตอบบางคนไว้ในบล็อกนั้นๆด้วย รบกวนลองเช็คดูด้วยนะครับ

 

โดย: merveillesxx 17 ตุลาคม 2548 6:01:55 น.  

 

อันนี้ย้ำอีกที

งาน World Film บัตรนักศึกษาลดได้ 50% นะครับ แต่ต้องเอาบัตรไปโชว์ที่บูธของ World Film เพื่อแลกคูปองก่อน จากนั้นค่อยเดินไปซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์นะครับ

----------------------------------

เพลงที่ซื้อมาวันนี้

1. t.A.T.u. - Dangerous and Moving (2005, A-)

เสียดายมากๆ เลยครับ เพลงชุดนี้ทีมทำเพลงของพวกเธอ พยายามจะทำให้เพลงมันมี "ทำนอง" เหมือนเพลงของมนุษมนามากขึ้น แต่ผมชอบเพลงไร้สติแบบชุดก่อนมากกว่าเป็นกองเลย เสียดายจริงๆ


2. Girly Berry - GOSSIP / VCD KARAOKE LIMITED EDITION (2005, B-)

ให้ B- กับเพลงของพวกเธอ ผ่านไป 10 ปีแล้ว RS ก็ยังคงทำเพลงเหมือนเดิม คือเพลง "โปรแกรมมิ่งไร้วิญญาณ"

แต่ให้ A+ กับเพลง GOSSIP และมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ นรวมถึงแพ็คเกจของวีซีดีคาราโอเกะชุดนี้ด้วย (แต่คุณภาพ "ภาพ" ของ VCD ชุดนี้เป็น D+ เลยครับ)

 

โดย: merveillesxx 17 ตุลาคม 2548 6:04:12 น.  

 

Wolrd Film มีอะไร Recommend บ้าง

คือพี่ไม่มีข้อมูลหนังเรื่องไหนสักเรื่องเลย (จำได้แต่ว่ามีหนังของโปลันสกี้แนวเหนือจริงอย่าง cul-de-sac ซึ่งเคยดูตอนอยู่ ม.ช. แล้วชอบมาก)

 

โดย: I will see U in the next life. 17 ตุลาคม 2548 9:22:06 น.  

 

กรี๊ดดด ลด 50 เปอร์เซ็นต์
เดี๋ยวจะรีบไปดูโดยเร็วพลัน
อิอิ

 

โดย: it ซียู 17 ตุลาคม 2548 9:34:44 น.  

 

อ่า...ความจนจากงานหนังสือฯ คงทำให้ดูหนังไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ๆ จนกว่าสิ้นเดือนนี้แหละคะ

คงอาศัยอ่านเอาจากคุณนะคะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 17 ตุลาคม 2548 10:03:00 น.  

 

รู้หนึ่งเรื่องล่ะว่าจะดูอะไรดี

The Wayward Clound

 

โดย: I will see U in the next life. 17 ตุลาคม 2548 11:01:15 น.  

 

แล้วบัตรนักเรียนถือว่าเป็นบัตรนักศึกษาได้ไหมครับ

 

โดย: Nighty (Meroko ) 17 ตุลาคม 2548 18:59:38 น.  

 

เมื่อวานก็ดู Thai Indie Short Film เหมือนกันครับ
ชอบเรื่องลอยฟ้ามากที่สุด
รองลงมาก็..วันที่ฝนตกลงมาเป็นคูส คูส (ชอบเพลง High มากๆๆๆๆๆ เช่นกันครับ

เห็นด้วยกับคุณ merฯ ที่บอกว่า
"ตอนที่หนังใช้ตัวอักษรกลับด้านลอยขึ้นมา ผมอ่านได้ไม่กี่คำเองครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผู้กำกับตั้งใจให้มันอ่านยากหรือเปล่า "

เพราะผมก็อ่านได้แค่ประโยคเดียวเอง
แป่ว!????
(และประโยคนั้นก็คือประโยคง่ายๆ อย่าง How are you 555)

ป.ล. ตอนแรกจะดูเด็กโต๋ด้วยเหมือนกันครับ
แต่เผอิญไปไม่ทัน (หนังฉาย 15.20 แต่กว่าผมจะเดินทางไปถึงก็ปาไป 15.30 น. แล้วครับ)

อย่างไรก็ดี คาดว่าคงดูหนังเรื่องนี้แน่ๆ
ตอนที่จะเอามาฉายที่ลิโด้ วันที่ 19-20 อ่ะครับ

 

โดย: it ซียู IP: 161.200.255.161 18 ตุลาคม 2548 9:31:38 น.  

 

เอ่อ เมื่อคืนขอโทดเป็นอย่างมากกกก
พอดีเผลอหลับในโรงหนังอ่ะ แหะๆ บอกไว้เต็มๆทางหลังไมค์แล้วนะ
ขอโทดดีคร้าบ T_T

 

โดย: เก้าอี้มีพนัก IP: 58.8.21.151 18 ตุลาคม 2548 9:54:38 น.  

 

เห็นเวลาจัดงานหนังจะพบปัญหาเรื่องการจัดการบ่อยมาก
จริงๆ ไม่เคยได้ไปดูหนังในเทศกาลเท่าไหร่

อืม...วันที่ฝนตกลงมาเป็นคูสคูส
นี่มันใช่เรื่องที่คุณโตมรเขียนหรือเปล่า ชื่อคุ้นๆ น่ะ

ป.ล. จริงๆ อยากถามถึงเรื่องเพื่อนสนิทนะ
เพราะมีผู้กำกับคนนึงบอกเราว่ามันเป็นหนังที่แย่มากๆ
ในขณะที่ก็มีคนชอบหนังเรื่องนี้เยอะมากๆ
(ถามเพราะอยากรู้ความเห็น ไม่ได้ต่อว่าคนทำหรือคนดูอื่นๆ)

 

โดย: foneko (fonkoon ) 19 ตุลาคม 2548 1:55:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.