อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

เที่ยวสถานีพัฒนาเกษตรที่สูง ตามแนวพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง จ.น่าน



โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง จังหวัดน่าน ดื่มด่ำธรรมชาติที่เขียวขจี เรียนรู้การดำเนินวิถีชีวิตที่พอเพียงอย่างเกื้อกูลกันระหว่างคนกับป่า

          หน้าฝนนี้เราอยากจะพาคุณไปสัมผัสธรรมชาติสวย ๆ กันที่ "โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง" จังหวัดน่าน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในอดีตน่านประสบปัญหาป่าเสื่อมโทรม จึงทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อให้ความรู้เรื่องการทำนาแบบขั้นบันได ทั้งยังเป็นการเพิ่มผลผลิตและยังเพิ่มรายได้ที่มากขึ้นแก่ชาวบ้านและชาวเขาทุกคน ความสวยงามของที่นี่จะทำให้คุณประทับใจได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะเดินทางตามมาสำรวจกันค่ะ

          โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง ตั้งอยู่ในพื้นที่ดอยขุนน่าน ตำบลขุนน่าน  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ในอดีตที่นี่มีสภาพเป็นแหล่งทำมาหากินเสื่อมโทรม ด้วยเพราะมีการบุกรุกถางป่าเป็นจำนวนมาก และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชายไทยภูเขาเผ่าลัวะ โดยยึดอาชีพทำการเกษตร อย่างการปลูกข้าวไร่หมุนเวียน ซึ่งไม่เกิดรายได้แก่ชุมชนมากนัก

          โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง อันเกิดจากแนวพระราชดำริที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เข้ามาช่วยเหลือและส่งเสริมการทำเกษตร ช่วยให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี ส่งผลให้มีรายได้และสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย

          การเดินทางขึ้นไปยังโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง ถือได้ว่ามีความลำบากอยู่พอสมควร เพราะตัวถนนค่อนข้างลาดชัน ขรุขระ และเป็นหลุมเป็นบ่อ เราขอแนะนำให้นักท่องเที่ยวได้โทรศัพท์ติดต่อโครงการเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่ว่าโครงการจะได้เตรียมหารถเอาไว้ให้ แทนที่จะขับรถกันขึ้นไปเอง (โทรศัพท์ 084 818 1008)

ที่เที่ยวน่าน
ที่เที่ยวน่าน
ที่เที่ยวน่าน
ที่เที่ยวน่าน
          ภายในโครงการนักท่องเที่ยวจะได้เที่ยวชมพืชผักเมืองหนาว แวะชมแปลงทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รีพันธุ์ 80 แถมยังมีมัลเบอร์รีให้นักท่องเที่ยวได้เก็บ (ช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคม) นอกจากนี้ยังสามารถเดินชมแปลงผักปลอดสารพิษ ถั่วลันเตา มะเขือเทศราชินี กะหล่ำหัวใจ ชมการสาธิตการทำปศุสัตว์ในครัวเรือน อย่างการเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด แกะ และแพะ

          นอกจากการชื่นชมธรรมชาติและวิถีเกษตรแบบฟิน ๆ แล้ว ภายในโครงการยังมีบ้านพักในไร่ชาให้อิงแอบธรรมชาติ นอนดูดาวในค่ำคืนอันเงียบสงบ โดยบ้านพักประกอบด้วยบ้านหลังเล็กและหลังใหญ่ ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางวิวธรรมชาติล้อมรอบ โดยราคาค่าที่พักแล้วแต่ว่านักท่องเที่ยวจะให้ เพื่อเก็บเอาไว้เป็นทุนในการก่อสร้างและปรับปรุงที่พักต่อไป

ที่เที่ยวน่าน
ที่เที่ยวน่าน
ที่เที่ยวน่าน

การเดินทางมายังโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง

          เดินทางจากน่าน-ท่าวังผา-ปัว 1080 ตัดเข้าบ่อเกลือ 1256 ผ่านอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ลงสู่บ่อเกลือ รวมระยะทาง 109 กม. จากบ่อเกลือใช้เส้นทาง 1081 บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ ไปขุนน่านประมาณ 28 กิโลเมตร ถึงบ้านขุนน่าน ตำบลบ่อเกลือเหนือ แล้วเลี้ยวขวา เพื่อใช้เส้นทางบ้านขุนน่าน-บ้านห้วยฟอง-บ้านสะจุก-สะเกี้ยง-โครงการสะจุกสะเกี้ยง เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร 

นักท่องเที่ยวคนไหนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในช่วงกรีนซีซั่นเขียว ๆ แบบนี้ โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง น่าจะเป็นที่เที่ยวที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน ลองหาวันหยุดยาว แล้วมาเรียนรู้การดำเนินวิถีชีวิตที่พอเพียง แบบอาศัยเกื้อกูลกันระหว่างคนกับป่ากันนะคะ ^ ^

          ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง โทรศัพท์ 084 818 1008


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Roam Shutter - แบกกล้องท่องไปทุกแห่งหน, เฟซบุ๊ก Tat Phra




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2560    
Last Update : 7 มิถุนายน 2560 7:16:16 น.
Counter : 1908 Pageviews.  

เมนูกุ้งผัด ผัดกุ้ง อาหารไทยสุดหรูเนื้อเด้งไม่น่าเบื่อ



ลืมเมนูกุ้งทอดสุดจำเจแล้วมาทำเมนูกุ้งผัด ผัดกุ้ง อาหารไทยกลิ่นหอมกันเถอะ จับไปผัดกับอะไรก็อร่อย กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อูย… เนื้อเด้งฟินสุดใจ

เมนูกุ้ง ทำอะไรได้บ้าง ? ถ้าใครเบื่อเมนูกุ้งทอดหรือเมนูกุ้งนึ่งมะนาวก็เปลี่ยนสไตล์จับกุ้งไปผัดก็อร่อยไม่ใช่น้อย กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำเมนูกุ้งผัด หรือผัดกุ้ง เช่น กุ้งผัดพริกแกง ผัดพริกกุ้งสด กุ้งผัดผงกะหรี่ และเมนูกุ้งผัดอื่น ๆ อีกเพียบ ใครชอบอาหารทะเลต้องห้ามพลาด
เมนูกุ้งผัด
 กุ้งผัดผงกะหรี่

     คนพิเศษเริ่มเบื่อเมนูปลาหมึกผัดผงกะหรี่หรือปูผัดผงกะหรี่แล้วก็เปลี่ยนมาทำเมนูกุ้งผัดผงกะหรี่ สูตรจาก เว็บไซต์ Ching Can Cook ใส่น้ำพริกเผาเพิ่มสีสัน ถ้าอยากทำเป็นอาหารจานเดียวจับไปผัดกับข้าวกลายเป็นข้าวผัดผงกะหรี่กุ้งอร่อยเหาะแน่นอน

ส่วนผสม กุ้งผัดผงกะหรี่

     • ผงกะหรี่
     • น้ำมันพืช (สำหรับผัด)
     • กระเทียมสับ
     • พริกสับ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
     • กุ้งสด ปอกเปลือกผ่าหลัง
     • หอมใหญ่
     • น้ำมันหอย
     • ซีอิ๊วขาว
     • น้ำปลา
     • น้ำตาลทราย
     • ไข่ไก่
     • น้ำพริกเผา
     • นมข้นจืด
     • น้ำ หรือน้ำซุป
     • ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อนสั้น
     • พริกชี้ฟ้า

วิธีทำกุ้งผัดผงกะหรี่

     1. ใส่น้ำมันลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟพอร้อน จากนั้นเทผงกะหรี่ลงไปผัด พอผงกะหรี่เริ่มหอม ใส่กระเทียมสับลงไป ถ้าชอบเผ็ดก็สามารถใส่พริกสับลงไปได้
     2. ใส่กุ้ง ผัดพอสุก ใส่หอมใหญ่ ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และน้ำตาลทราย หรี่ไฟลง เทส่วนผสม 3 อย่างลงผัด (ไข่ไก่ตีผสมกับน้ำพริกเผาและนมข้นจืด) ผัดไว ๆ เติมน้ำหรือน้ำซุปเล็กน้อย ใส่ขึ้นฉ่ายและพริกชี้ฟ้า คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จาน

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ กุ้งผัดผงกะหรี่ เมนูสุดหรู ทำกินเองได้ ง่ายนิดเดียว

++++++++++++++



5. ผัดขี้เมากุ้งเส้นบุก

     เอาใจสาว ๆ ลดน้ำหนักกันด้วยเมนูผัดขี้เมากุ้งเส้นบุก สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน จับกุ้งผัดกับเส้นบุก เติมผักตามชอบ แคลอรีต่ำอิ่มสบายท้อง

ส่วนผสม ผัดขี้เมากุ้งเส้นบุก

     • เส้นบุกชนิดเส้นเล็ก 150 กรัม
     • กุ้งทะเลขนาดกลาง (ปอกเปลือกผ่าหลัง) 5 ตัว
     • แครอท (หั่นแท่งสั้น) 30 กรัม
     • ข้าวโพดอ่อน (ผ่าครึ่งหั่นยาว 1 นิ้ว) 30 กรัม
     • ดอกกะหล่ำ 30 กรัม
     • แขนงคะน้า ผ่าครึ่ง 30 กรัม
     • น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
     • พริกขี้หนูบุบพอแตก 15 เม็ด
     • กระเทียมไทยสับ 1 ช้อนโต๊ะ
     • ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
     • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
     • น้ำพริกเผาสูตรเผ็ด 1 ช้อนโต๊ะ
     • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลทราย 1+1/2 ช้อนชา
     • ใบโหระพา 1/4 ถ้วย
     • ใบมะกรูดฉีกหยาบ ๆ 3 ใบ
     • พริกไทยอ่อน (หั่นท่อนสั้น) 2 ช่อ
     • พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 1 เม็ด
     • น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำผัดขี้เมากุ้งเส้นบุก

     1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันรำข้าวพอร้อน ใส่กระเทียมและพริกขี้หนูสวนลงผัดพอหอม ใส่กุ้งผัดพอสุก
     2. ใส่แครอท ข้าวโพดอ่อน ดอกกะหล่ำ และแขนงคะน้า เติมน้ำเปล่า ผัดให้เข้ากันจนผักเริ่มสุก ใส่เส้นบุกลงผัดพอเข้ากัน
     3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำพริกเผา ซอสหอยนางรม และน้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน
     4. ใส่ใบโหระพา ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน และพริกชี้ฟ้า ผัดพอเข้ากัน ตักใส่จาน

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ เส้นบุกผัดขี้เมากุ้งสด เมนูไม่อ้วนประโยชน์แน่นแคลอรีเบา ๆ

++++++++++++++
ผัดบวบกุ้ง

     ต่อไปนี้ไม่ต้องสั่งเมนูผัดบวบกุ้งราดข้าวแล้วเพราะทำเองคุ้มกว่าเยอะ สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน กุ้งหมักเครื่องปรุง ผัดกับบวบลวก จุดเด่นคือ ใส่ขิงเพิ่มกลิ่นหอมและรสเผ็ด ใครจะตอกไข่ลงไปรวนก็ยิ่งอร่อยค่ะ

ส่วนผสม ผัดบวบกุ้ง (สำหรับ 2 ที่)

     • กุ้งแชบ๊วย 7 ตัว (ปอกเปลือกไว้หาง ผ่าหลังดึงเส้นดำออก)
     • น้ำมันถั่วเหลือง 2+1/2 ช้อนโต๊ะ
     • แป้งข้าวโพด 1/2 ช้อนชา
     • พริกไทยป่น 1/8 ช้อนชา
     • บวบเหลี่ยม 150 กรัม (ปอกเปลือกหั่นชิ้น)
     • ขิงสดซอยเป็นเส้น 1 ช้อนโต๊ะ
     • กระเทียมสับละเอียด 1/2 ช้อนชา
     • น้ำปลา 1 ช้อนชา
     • ไวน์ขาว 2 ช้อนชา
     • เกลือป่นหยาบ 1/8 ช้อนชา

วิธีทำผัดบวบกุ้ง

     1. นำกุ้งไปหมักกับน้ำปลา น้ำมันถั่วเหลือง 1/2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด และพริกไทยป่น เคล้าให้เข้ากัน แช่ตู้เย็นไว้ ประมาณ 20 นาที
     2. นำบวบลวกในน้ำเดือดประมาณ 1 นาที ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
     3. ใส่น้ำมันถั่วเหลืองลงในกระทะ ตั้งไฟพอน้ำมันร้อน นำกุ้งที่หมักไว้ลงผัดพอสุก ใส่ขิง และกระเทียม ผัดให้หอมประมาณ 5 วินาที
     4. ใส่บวบลวกผัดให้เข้ากัน เติมไวน์ขาว ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยป่น ผัดต่อพอเข้ากันดี ตักใส่จาน จัดเสิร์ฟ

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ผัดบวบกุ้ง จานอร่อยแคลอรีต่ำหม่ำแล้วไม่อ้วน

++++++++++++++
 สปาเกตตีกุ้งสดผัดพริกแกง

     กุ้งผัดพริกแกงกินกับข้าวสวยก็ว่าฟินแล้วนะ แต่ถ้าชอบกินเมนูกุ้งผัดไม่ซ้ำใคร ขอนำเสนอเมนูสปาเกตตีกุ้งสดผัดพริกแกง สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน ต้มเส้นสปาเกตตีรอเลย พอผัดกุ้งกับน้ำพริกแกงเสร็จแล้วก็ราดลงไป แค่นี้เรียบร้อย

ส่วนผสม สปาเกตตีกุ้งสดผัดพริกแกง

     • เส้นสปาเกตตี (แองเจิล แฮร์) ต้มสุก 150 กรัม
     • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำพริกแกงเผ็ด 1 ช้อนโต๊ะ
     • กุ้งสดปอกเปลือก ผ่าหลังดึงเส้นดำออก 4-5 ตัว
     • น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
     • น้ำปลา 1+1/2 ช้อนชา
     • ใบมะกรูดฉีก 2 ใบ
     • พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นเฉียง 1+1/2 เม็ด
     • ใบโหระพา 1/4 ถ้วยตวง

วิธีทำสปาเกตตีกุ้งสดผัดพริกแกง

     1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงผัดพอหอม
     2. ใส่กุ้งสดลงผัดพอสุก เติมน้ำเปล่า ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและน้ำปลา ผัดพอเข้ากัน
     3. โรยใบมะกรูดฉีก พริกชี้ฟ้า และใบโหระพา ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักราดบนเส้นสปาเกตตี จัดเสิร์ฟ

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ สปาเกตตีกุ้งสดผัดพริกแกง อาหารไทยฟิวชั่นหอมเครื่องแกง

++++++++++++++




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2560    
Last Update : 7 มิถุนายน 2560 7:14:20 น.
Counter : 2512 Pageviews.  

เด็กไทยสร้างชื่อ น้องแอปเปิล คว้าหนูน้อยจักรวาล 2017 ที่ประเทศจอร์เจีย



น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017

น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017
 เด็กไทยสร้างชื่อ น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017 ไม่ธรรมดา แถมยังพ่วงอีก 2 รางวัล ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม และ Little Miss Model

             อีกหนึ่งเรื่องราวน่ายินดีของเยาวชนไทยที่ได้ไปสร้างชื่อเสียงยังประเทศจอร์เจีย น้องแอปเปิล อังคณา ตัวแทนจากประเทศไทย ได้คว้าคว้าตำแหน่ง หนูน้อยจักรวาล 2017 หรือ Little Miss Universe 2017 มาได้สำเร็จ และเป็นคนแรกของประเทศไทยอีกด้วย
น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017
น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017
 โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2560 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Guang Kosakul  ได้โพสต์ข้อความระบุว่า เราทำได้แล้วไทยแลนด์ น้องแอปเปิล อังคณา คว้าตำแหน่งเป็น หนูน้อยจักรวาล 2017 หรือ LITTLE MISS UNIVERSE 2017 คนล่าสุด เป็นคนแรกของประเทศไทย พ่วงด้วยอีก 2 รางวัล คือ ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม และ Little Miss Model

              นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า ทางกองประกวดรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้นำเยาวชนไทยไปแสดงศักยภาพให้ชาวต่างชาติได้เห็นว่าเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ โดยน้องแอปเปิล อังคณา Little Miss Universe 2017 จะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 10.00 น. วันที่ 7 มิถุนายน 2560 แฟน ๆ ของน้องแอปเปิลสามารถไปรอต้อนรับได้
น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017
น้องแอปเปิล คว้าตำแหน่งหนูน้อยจักรวาล 2017





 

Create Date : 07 มิถุนายน 2560    
Last Update : 7 มิถุนายน 2560 7:08:32 น.
Counter : 1557 Pageviews.  

น้ำมันหมู อ้วนไหม มีประโยชน์กว่าน้ำมันพืชจริงหรือไม่ เช็กด่วน !



น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

น้ำมันหมูกำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์น้ำมันเพื่อสุขภาพ แต่หลาย ๆ กระแสยังบอกว่าน้ำมันพืชดีกว่า สรุปแล้วน้ำมันหมู VS น้ำมันพืช เลือกกินอะไรดีล่ะ

คนไทยเรากินน้ำมันหมูมายาวนาน จนกระทั่งยุคหนึ่งก็เกิดกระแสว่าน้ำมันหมูอันตราย มีคอเลสเตอรอลมาก เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากมาย ในยุคนั้นเราจึงใช้น้ำมันพืชประกอบอาหารกันมากกว่าน้ำมันหมู ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ กลับมีกระแสต่อต้านน้ำมันพืช และยกเอาน้ำมันหมูมาชูในฐานะน้ำมันเพื่อสุขภาพ นัยว่า น้ำมันหมูดีกว่าน้ำมันพืช แต่ข้อมูลนี้จะเท็จจริงแค่ไหน เราที่กินน้ำมันกันทุกมื้อาหาร ควรเช็กโดยด่วน

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

          ถ้าถามว่าน้ำมันหมูกับน้ำมันพืช น้ำมันอะไรดีกว่ากัน อาจจะฟันธงไม่ได้เลยทีเดียว เพราะข้อมูลยังมีความขัดแย้งกันอยู่มาก โดยในส่วนของคนที่บอกว่าน้ำมันหมูดี ก็จะชูข้อดีในเรื่องกระบวนการผลิตน้ำมันหมู ที่ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีการที่ซับซ้อน และการได้มาซึ่งน้ำมันหมู ก็ไม่ผ่านสารเคมีใด ๆ มาจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์อย่างเรา ๆ มากกว่า ต่างจากน้ำมันพืชที่กว่าจะสกัดเป็นน้ำมันออกมาได้ ต้องเติมนั่นผ่านนี่หลายกระบวนการ จึงอาจมีสารเคมีปะปนมา และไม่ดีต่อสุขภาพของเรา นอกจากนี้ข้อดีของน้ำมันหมูอีกข้อก็คือ เมื่อใช้น้ำมันหมูทำอาหาร อาหารที่ได้ก็จะหอม อร่อย น่ารับประทานกว่าอาหารที่ใช้น้ำมันพืชด้วย

กลับกันกับกลุ่มที่คิดว่าน้ำมันพืชดีกว่า ที่ยืนยันด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า น้ำมันที่ได้จากพืชไม่มีคอเลสเตอรอล เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จึงไม่ทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่เกิดจากไขมันชนิดเลว (LDL) ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าน้ำมันพืชมีความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์เรามากกว่าน้ำมันหมูซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว

          ทว่าในแง่ของโภชนาการ สิ่งที่ทำให้น้ำมันหมูซึ่งเป็นไขมันที่ได้จากสัตว์แตกต่างจากน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันที่ได้จากพืช ก็คือ น้ำมันพืชไม่มีคอเลสเตอรอล ในขณะที่น้ำมันหมูจะมีคอเลสเตอรอลติดมาด้วย แต่อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชี้แจงว่า จากการทดลองพบว่า น้ำมันหมูมีคอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งหากในแต่ละวันเราใช้น้ำมันหมูประกอบอาหารในปริมาณไม่มาก ร่างกายก็อาจจะได้รับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระดับที่ไม่มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเลย
น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

ส่วนประเด็นที่มีการแชร์ข้อมูลว่า น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ในส่วนการผลิต อาจมีการเติมสารเคมี และทำให้เกิดไขมันทรานส์ติดมา เมื่อกินเข้าไปแล้ว น้ำมันพืชจะเกาะติดลำไส้ ไม่สามารถกำจัดออกได้ และเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันนั้น ก็เป็นข้อมูลลอย ๆ ที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าข้อมูลนี้มีความบิดเบือนสูงมาก

          โดยในส่วนของกระบวนการผลิตน้ำมันพืช นพ.พิรัตน์ โลกาพัฒนา นายแพทย์อายุรศาสตร์ หรือหมอแมว เจ้าของเฟซบุ๊กความรู้สนุก ๆ แบบหมอแมว ก็ได้อธิบายว่า น้ำมันพืชบรรจุขวดที่เราเห็นและใช้กันอยู่ทุกวัน เป็นน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Processed oil) ซึ่งผลิตด้วยการนำพืชไปผ่านเครื่องจักรเพื่อสกัดออกมาเป็นน้ำมัน ไม่ได้เกี่ยวกับการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันแล้วทำให้เกิดไขมันทรานส์ปะปนมากับน้ำมันพืชแต่อย่างใด บอกไว้ตรงนี้ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ

ดังนั้นการจะสรุปว่าน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชดีกว่ากัน ก็ตอบยากค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วน้ำมันประกอบอาหารในโลกนี้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ละชนิดก็เหมาะที่จะใช้ประกอบอาหารในรูปแบบต่าง ๆ กันไป ซึ่งก็หมายความว่า การที่เราจะบริโภคน้ำมันให้ดีต่อสุขภาพ ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้น้ำมันประกอบอาหารอย่างเหมาะสมด้วยนั่นเอง

          เอาเป็นว่าเพื่อให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น เรามาทำความรู้จักกลุ่มน้ำมันประกอบอาหารที่มีให้เลือกใช้ในปัจจุบันกันดีกว่า โดย ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ว่า น้ำมันและไขมันธรรมชาติ จะประกอบไปด้วยสูตรไขมัน 3 ประเภทรวมกันอยู่ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งจะจำแนกได้ดังนี้

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

1. ประเภทไขมันอิ่มตัว

ไขมันประเภทนี้เมื่อเข้าตู้เย็นแล้วจะเป็นไข และด้วยความที่เป็นไขมันอิ่มตัวสูง หากรับประทานไขมันเหล่านี้มากเกินไปก็จะส่งผลให้คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) เพิ่มขึ้นได้ ทว่าข้อดีของไขมันอิ่มตัวก็คือ ไขมันชนิดนี้จะมีความคงตัวสูง ทนต่อความร้อนได้ ไม่ทำให้เกิดกลิ่นหืน (กระบวนการก่ออนุมูลอิสระ) อีกทั้งเมื่อนำไปทอดอาหารซึ่งต้องใช้ความร้อนสูง โอกาสจะเกิดควันในระหว่างประกอบอาหารก็น้อยมาก ดังนั้นน้ำมันที่มีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวมาก อย่างน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะสำหรับทำอาหารประเภททอด ซึ่งจะได้ความกรอบของอาหารโดยไม่เสียคุณภาพ และความหอมของอาหารด้วย

2. ประเภทไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว

        ไขมันประเภทนี้จะเป็นไขมันที่มีจุดไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง มีความคงทนต่อความร้อนในระดับหนึ่ง แต่ไม่มากเท่าไขมันอิ่มตัว และเป็นกรดไขมันให้พลังงานแต่ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังช่วยนำสารอาหารต่าง ๆ ได้ดี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นไขมันประเภทกลาง ๆ ใช้ผัดได้ ทอดได้ ซึ่งไขมันประเภทนี้จะพบมากในน้ำมันรำข้าว และน้ำมันมะกอก

3. ประเภทไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน

เป็นกรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง จึงเป็นกรดไขมันที่มีผลช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ ทว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนไม่ทนต่อความร้อน หากนำไปประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง อย่างเช่น การทอด จะทำให้เกิดกลิ่นหืนง่าย ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็งได้ โดยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนจะพบได้มากในน้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวัน

จะเห็นได้ว่าน้ำมันแต่ละชนิดมีประโยชน์ ข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งจุดนี้หลายคนอาจยังข้องใจว่า สรุปแล้วน้ำมันหมูมีประโยชน์หรือโทษตรงส่วนไหนบ้าง เอาเป็นว่าเคลียร์ให้กระจ่างกันตรงนี้ไปเลย

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

น้ำมันหมู มีประโยชน์อย่างไร

เพราะคนไทยใช้น้ำมันหมูประกอบอาหารมาอย่างยาวนาน ดังนั้นก็อาจช่วยยืนยันได้ว่า น้ำมันหมูก็มีดีเช่นกัน ซึ่งประโยชน์ของน้ำมันหมูก็มีดังนี้ค่ะ

          - ใช้ทำอาหารประเภททอด อาหารที่ใช้ความร้อนสูงได้ดี มีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นหืน ไม่เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

          - ใช้ทอดอาหารได้กรอบ หอม น่ารับประทาน และคงความกรอบให้อาหารได้นาน

          - เป็นน้ำมันประกอบอาหารที่เราสามารถทำเองได้ ไม่ยุ่งยาก แถมยังได้กากหมูแถม

          - สูตรทำน้ำมันหมู เคล็ดลับเด็ดเพื่อกับข้าวหอมอร่อยได้กากหมูแถม

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

น้ำมันหมู กินแล้วอ้วนไหม อันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่า

          อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าน้ำมันหมูมีคอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ ดังนั้นหากเรากินน้ำมันหมูมากในแต่ละวัน ร่างกายก็จะได้รับพลังงานสูง และอาจส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นด้วย ทว่าหากรับประทานน้ำมันหมูในสัดส่วนที่ไม่มากจนเกินไป คือไม่ทุกมื้อ ทุกวัน และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะสามารถเผาผลาญไขมันเหล่านี้ได้ ดังนั้นหากไม่อยากอ้วนก็ต้องควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกายนะคะ

ส่วนประเด็นว่าน้ำมันหมูอันตรายต่อสุขภาพไหม ก็ต้องตอบว่าหากเรากินมากก็อันตรายแน่นอนค่ะ เพราะอย่าลืมว่าน้ำมันหมูมีคอเลสเตอรอลสูงพอสมควร กินมากก็จะเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดมาก ส่งผลให้เสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด และโรคเรื้อรังอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะหากใช้น้ำมันทอดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง น้ำมันที่ผ่านความร้อนสูงหลาย ๆ ครั้งจะมีคุณสมบัติเสื่อมลง กลิ่น สี และรสเปลี่ยนไป เพราะในระหว่างที่ทอดจะเกิดสารโพลาร์ที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นได้ เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ และเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

ทานน้ำมันแค่ไหนไม่เกิดโรค

          ไขมันเป็นอาหารอีกหนึ่งหมู่สำคัญต่อร่างกาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานบริสุทธิ์ และเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ทว่าร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับไขมันจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะอาจส่งผลเสียแทนที่จะส่งผลดี ดังนั้นหลักในการกินน้ำมันให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ จึงควรทำตามนี้

- จำกัดปริมาณการรับประทานน้ำมันไม่ให้เกินวันละ 6 ช้อนชา

โดยปกติเราควรได้รับไขมันในปริมาณไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด และไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของพลังงานทั้งหมด เพราะหากได้รับไขมันมากเกินไปหรือต่ำเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการ ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้นกะง่าย ๆ ว่าเราควรบริโภคน้ำมันไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา โดยเลือกรับประทานอาหารประเภทอบ นึ่ง ต้ม หรือย่างให้มากกว่าอาหารประเภททอด

- หมุนเวียนกินน้ำมันหลากหลายชนิด

          อย่างที่เห็นว่าน้ำมันแต่ละชนิดมีสัดส่วนไขมันทั้ง 3 ประเภทในระดับที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีและเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายรับไขมันประเภทเดียวซ้ำ ๆ เราก็ควรสลับกินน้ำมันแต่ละชนิดอย่างสมดุล โดยองค์การอนามัยโลกก็แนะนำให้รับประทานไขมันในสัดส่วน 1:1:1 กล่าวคือ รับประทานไขมันอิ่มตัว 1 ส่วน ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 1 ส่วน และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 1 ส่วน เพราะไขมันทุกประเภทมีความสำคัญต่อร่างกายเท่า ๆ กัน

น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช

เลือกชนิดของน้ำมันอย่างไร ให้เหมาะกับการทำอาหาร

ย้ำกันอีกทีว่าน้ำมันแต่ละประเภท เหมาะสำหรับใช้ทำอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมและปลอดภัย เรามาดูกันค่ะว่าควรเลือกใช้น้ำมันปรุงอาหารอย่างไรดี

- อาหารประเภททอด

          อาหารประเภททอดที่ต้องใช้ความร้อนสูง ต้องใช้น้ำมันในปริมาณมาก อย่างการทอดไก่ ทอดปลา ทอดกล้วยแขก โดนัท กุยช่าย ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เพราะมีความคงทนต่อความร้อนได้ดี ไม่ทำให้เกิดควัน ไม่เกิดกลิ่นหืน และยังได้อาหารที่กรอบ หอม น่ารับประทาน ซึ่งน้ำมันประเภทนี้ก็คือ น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม

- อาหารประเภทผัด

หากเป็นการประกอบอาหารที่ต้องใช้น้ำมันขลุกขลิก ใช้ในปริมาณน้อย ความร้อนไม่สูงมาก สามารถใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันปาล์มโอเลอิน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดฝ้าย เป็นต้น

- อาหารประเภทสลัด

          ไม่ว่าจะทำน้ำสลัดหรือใช้น้ำมันเป็นเครื่องปรุงรสเพียว ๆ ควรเลือกใช้น้ำมันพืชชนิดที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ และควรเป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอกธรรมชาติ น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันข้าวโพด

อย่างไรก็ดี ต้องขอทำความเข้าใจกันอีกทีว่าไม่มีน้ำมันชนิดไหนดีที่สุดหรืออันตรายที่สุด เพราะร่างกายเราต้องการไขมันแต่ละประเภทในปริมาณที่เท่า ๆ กันในการสร้างพลังงานให้ร่างกาย ทว่าเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ เราเองก็ควรเลือกรับประทานน้ำมันให้ถูกชนิด ถูกวิธีปรุงอาหาร ที่สำคัญควรจำกัดปริมาณการกินน้ำมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ก็ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ให้ครบทั้ง 5 หมู่สำคัญ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงาน เลี่ยงโอกาสเกิดไขมันสะสมในร่างกายด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

มหิดล แชนแนล
เฟซบุ๊กความรู้สนุก ๆ แบบหมอแมว
สาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์
สำนักข่าวไทย
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2560    
Last Update : 6 มิถุนายน 2560 9:49:27 น.
Counter : 2410 Pageviews.  

ยำผักบุ้งกรอบ เมนูยำแซ่บ ๆ ที่อยากให้ทุกคนลองชิม



 แจกสูตรยำผักบุ้งกรอบ เมนูยำไทย ๆ พร้อมสูตรน้ำยำรสเด็ด ทำกินเองที่บ้านง่าย ๆ ราคาถูก ประหยัดงบไว้ช้อปปิ้งได้อีกเยอะ

           ยำผักบุ้งกรอบคงจะเป็นเมนูที่คุณ หรือคนในครอบครัว ชอบสั่งเวลาไปทานอาหารนอกบ้านใช่ไหมเอ่ย ...ถ้าใช่ล่ะก็ ขอบอกว่า เมนูนี้ ทำทานเองได้ไม่ยากเลยล่ะ และวันนี้ เรามีวิธีทำ ยำผักบุ้งกรอบ สูตรของ คุณดอกการะเวก มาฝากกัน เอ้า! ไหนใครอยากแสดงฝีมือ ตามมากันเลยยย...

ส่วนผสม ยำผักบุ้งกรอบ

      ◆ ผักบุ้งจีน 2 กำ (ปริมาณมากน้อยแล้วแต่ความต้องการ แต่ในที่นี้ใช้แบบที่ขายในตลาด กำละ 5 บาท 2 กำ)
      ◆ แป้งทอดกรอบ (ใช้ครั้งละประมาณ 150 กรัม)
      ◆ น้ำเย็นจัด 300 มิลลิลิตร
      ◆ ถั่วลิสงคั่ว 
      ◆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด 
      ◆ หอมแดงเจียว
      ◆ กุ้งลวกสุก
      ◆ หมูสับลวกสุก
      ◆ น้ำตาลทราย (ในที่นี้ใช้น้ำตาลทรายป่น)
      ◆ น้ำปลา (ปรุงรส)
      ◆ น้ำมะนาวคั้น (ปรุงรส)
      ◆ พริกชี้ฟ้าแดง
      ◆ หอมแดงซอย
      ◆ ต้นหอม
      ◆ ผักชี

วิธีทำยำผักบุ้งกรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ

           1. นำผักบุ้งล้างน้ำให้สะอาดแล้วเด็ดเอายอด หรือจะเด็ดเป็นใบ ๆ ก็ได้

ยำผักบุ้งกรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ

           2. ผสมแป้งทอดกรอบ 150 กรัม กับน้ำเย็น 300 มิลลิลิตร จะได้แป้งที่มีลักษณะข้น ๆ เหนียว ๆ ทั้งนี้ ถ้าผสมข้นมากไป แป้งจะเกาะผักหนามากเกินไป เวลาทอดจะอมน้ำมัน และถ้าผสมเจือจางเกินไป แป้งก็จะไม่เกาะติดผัก เวลาทอดก็จะไม่กรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ

           3. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันปาล์มปริมาณมากหน่อย กะให้ท่วมผักเลยนะคะแล้วใส่ผักที่เด็ดแล้วลงไปในชามแป้ง

ยำผักบุ้งกรอบ

           4. ยกยอดผักบุ้งที่ชุบแป้ง เตรียมไปทอด โดยแป้งที่ผสมต้องเคลือบผักประมาณนี้ ถึงจะทอดออกมาได้สวย เวลาทอดอย่าใส่ลงไปเยอะ เดี๋ยวจะกรอบไม่ทั่วถึง

ยำผักบุ้งกรอบ

           5. แบ่งทอดทีละนิดจนหมด โดยใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง หากใช้ไฟอ่อนจะทำให้อมน้ำมัน กินไม่อร่อยแน่ ๆ

ยำผักบุ้งกรอบ

           6. เมื่อทอดเสร็จแล้ว โรยหน้าผักบุ้งกรอบด้วยถั่วลิสงคั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด และหอมแดงเจียว

ยำผักบุ้งกรอบ

           7. จากนั้นไปทำน้ำยำกันนะคะ เตรียมชาม หรือกะละมังขนาดย่อม แล้วใส่น้ำตาลลงไป อันนี้ใช้น้ำตาลทรายป่นจะได้ละลายง่าย ๆ ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

ยำผักบุ้งกรอบ

           8. ตามด้วยน้ำมะนาว  3 ช้อนโต๊ะ เน้นมาก ๆ ว่าต้องเป็นน้ำมะนาวคั้น 100% นะคะ เพราะน้ำยำจะอร่อยก็อยู่ตรงนี้ค่ะ

ยำผักบุ้งกรอบ

           9. แล้วก็น้ำปลา เลือกยี่ห้อที่ชอบ ใส่ลงไป 2 1/2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นก็คน ๆ ๆ แล้วหั่นพริกชี้ฟ้าแดงลงไป ตามด้วยหอมแดงซอย และต้นหอมผักชีซอยค่ะ

ยำผักบุ้งกรอบ

           10. ใส่หมูสับและกุ้งที่ลวกเอาไว้แล้วลงไป และคนให้เข้ากัน  ทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้น้ำยำเข้าเนื้อค่ะ จากนั้นก็ใส่จานพร้อมเสิร์ฟ จะทำแบบราดน้ำยำลงไปบนผักบุ้งกรอบ หรือทานแบบแยกก็ได้

ยำผักบุ้งกรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ


           โอ๊ยยยย.. เห็นยำผักบุ้งทอดกรอบจานนี้แล้วน้ำลายไหล สงสัยต้องไปเข้าครัวแสดงฝีมือกับเขาบ้างแล้วล่ะ^^

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2560    
Last Update : 6 มิถุนายน 2560 9:44:12 น.
Counter : 1931 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.