อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

วิธีทำบัวลอยประยุกต์ ขนมไทยสุดเก๋โดนใจเด็กแนว



ท้าประลองความปังไปกับวิธีทำบัวลอยสูตรประยุกต์ จัดเต็ม 6 สไตล์ หน้าตาสุดแนวทำไม่ยาก โดนใจวัยอยากลองจริง ๆ

     จากที่เคยกินขนมบัวลอยไข่หวานหรือขนมบัวลอยสามสีมาหลายครั้งก็เริ่มเอียน ลองเปลี่ยนสไตล์มาทำเมนูบัวลอยสุดเก๋ดูบ้างก็เข้าท่า กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 6 วิธีทำบัวลอยประยุกต์ ยกตัวอย่างเช่น บัวลอยนมสดมันเทศญี่ปุ่น ขนมบัวลอยรูปแตงโม บัวลอยไข่หวานเม็ดแมงลัก และวิธีทำบัวลอยหน้าตาแจ่มแบบอื่น ๆ อีกเพียบ กระซิบว่าเด็ดจริง

วิธีทำบัวลอยประยุกต์
บัวลอยไข่หวานเม็ดแมงลัก 

     สำหรับใครที่อยากทำเมนูบัวลอยประยุกต์สุดง่าย ขอแนะนำเมนูบัวลอยไข่หวานเม็ดแมงลัก จับแป้งบัวลอยสำเร็จรูปต้มกับกะทิ เพิ่มเติมเม็ดแมงลักลงไป แค่นี้ก็เรียบร้อย

ส่วนผสม บัวลอยไข่หวาน

     • แป้งบัวลอยสำเร็จรูป 250 กรัม
     • น้ำเปล่า (สำหรับต้มบัวลอย)
     • กะทิสำเร็จรูป 1,000 กรัม
     • น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
     • น้ำตาลทราย 160 กรัม
     • เกลือป่น 1 ช้อนชา
     • มะพร้าวอ่อน (หั่นเป็นชิ้น ๆ) 200 กรัม
     • ไข่ไก่
     • ใบเตยหอม (ล้างสะอาด)
     • เม็ดแมงลัก

วิธีทำบัวลอยไข่หวาน

     • 1. ใส่น้ำลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟปานกลาง รอจนน้ำเดือดพล่านแล้วใส่เม็ดบัวลอยลงไปต้มจนลอยขึ้นมา ประมาณ 1 นาที จากนั้นปล่อยทิ้งไว้อีก 30 วินาที ตักแช่ในน้ำเย็นพักไว้
     • 2. ใส่กะทิลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟ เติมน้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และใบเตย คนผสมให้น้ำตาลละลายตอกไข่ไก่ลงไปต้มจนสุก ตักขึ้นใส่ถ้วยพักไว้
     • 3. ใส่เม็ดบัวลอยต้มสุกลงไปในกะทิ ตามด้วยมะพร้าวอ่อน คนผสมให้เข้ากัน ตักบัวลอยน้ำกะทิลงในถ้วย เตรียมไว้
     • 4. แช่เม็ดแมงลักในน้ำจนพอง ตักลงในถ้วยบัวลอย พร้อมเสิร์ฟ
วิธีทำบัวลอยประยุกต์
วิธีทำบัวลอยประยุกต์
ขนมบัวลอยมันม่วงญี่ปุ่น

     ใครที่ซื้อมันญี่ปุ่นมาตุนไว้แล้วกลัวกินไม่หมดจับมาทำเมนูขนมบัวลอยมันม่วงญี่ปุ่น สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน บัวลอยสีม่วงจากธรรมชาติ เพิ่มความหอมอร่อยจากเนื้อมะพร้าวเผา แค่เห็นก็ฟินสุดใจ

ส่วนผสม บัวลอยมันญี่ปุ่น

     • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง
     • มันญี่ปุ่น (นึ่งสุกและบดละเอียด) 1/2 ถ้วยตวง
     • น้ำร้อน 6 ช้อนโต๊ะ
     • แป้งข้าวเหนียว (สำหรับทำแป้งนวล)
     • น้ำเปล่า (สำหรับต้มเม็ดแป้ง)
     • น้ำเย็น (สำหรับแช่เม็ดแป้ง)
     • กะทิ (ความเข้มข้นปานกลาง) 2 ถ้วยตวง
     • น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
     • เกลือป่นหยาบ 3/4 ช้อนชา
     • เนื้อมะพร้าวเผา (หั่นเป็นเส้น) 1/2 ถ้วยตวง
     • ใบเตย 2 ใบ
     • หัวกะทิ 1/4 ถ้วยตวง

วิธีทำบัวลอยมันญี่ปุ่น

     • 1. ผสมแป้งข้าวเหนียว มันญี่ปุ่นบดละเอียด และน้ำร้อนเข้าด้วยกัน นวดจนเนียนและสามารถปั้นเป็นก้อนได้
     • 2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/2 เซนติเมตร โรยแป้งนวลเล็กน้อย (เพื่อไม่ให้แป้งติดกัน)
     • 3. ต้มน้ำเปล่าพอเดือด นำเม็ดแป้งลงต้มจนสุกลอยขึ้นมา ตักขึ้นไปแช่น้ำเย็นพอคลายความร้อน เสร็จแล้วตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
     • 4. ใส่กะทิลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟพอร้อน ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือป่น เนื้อมะพร้าวเผา และใบเตยลงไปต้มพอเดือด เติมหัวกะทิลงไป
     • 5. ใส่แป้งบัวลอยลงในหม้อคนให้เข้ากัน พอเดือดเล็กน้อยยกลง ตักใส่ถ้วย จัดเสิร์ฟ

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมบัวลอยมันม่วงญี่ปุ่น ขนมไทยคิดนอกกรอบ ทำง่ายปั้นสนุกมือ

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
วิธีทำบัวลอยประยุกต์
 บัวลอยถั่วเขียว

     สาว ๆ ที่อยากทำเมนูบัวลอยประยุกต์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ขอแนะนำเมนูบัวลอยถั่วเขียว สูตรจาก คุณเนินน้ำ แป้งบัวลอยผสมถั่วเขียวเติมประโยชน์ ทั้งนี้เปลี่ยนส่วนผสมจากกะทิทั่วไปเป็นกะทิธัญพืชหรือนมสดก็ได้จ้า

ส่วนผสม บัวลอยถั่วเขียว (สูตรนี้ทำได้ประมาณ 3 ถ้วย)

     • แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วย
     • ถั่วเขียวเราะเปลือก (ถั่วทอง) 1/3 ถ้วย
     • กะทิ 2 ถ้วย
     • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
     • น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย (ในสูตรใช้น้ำตาลโตนด)
     • น้ำ 1/4 ถ้วย

วิธีทำบัวลอยถั่วเขียว

     • 1. ล้างถั่วเขียวให้สะอาดแล้วแช่ในน้ำอุ่นประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นนำไปนึ่งให้สุกแล้วบดให้ละเอียด
     • 2. ใส่แป้งข้าวเหนียวลงในส่วนผสมถั่วบด ค่อย ๆ เทน้ำใส่ลงไปทีละน้อย นวดแป้งจนนุ่มพอปั้นได้ จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ เตรียมไว้
     • 3. ผสมกะทิ 1/2 ถ้วยกับน้ำตาลปี๊บและเกลือ นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด หมั่นคนอย่าให้จับตัวเป็นก้อน ยกลงจากเตา เตรียมไว้
     • 4. ต้มน้ำด้วยไฟแรงจนเดือด ใส่บัวลอยถั่วเขียวที่ปั้นไว้ลงต้มพอสุกจะลอยขึ้นมา จากนั้นตักใส่ในส่วนผสมกะทิเมื่อครู่ ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่กะทิที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ต้มให้เดือดอีกครั้ง ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ บัวลอยถั่วเขียว ขนมไทยหน้าฝนของคนรักสุขภาพ

+-+-+-+-+-+-+-+-+-+




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2560    
Last Update : 2 สิงหาคม 2560 8:25:46 น.
Counter : 3916 Pageviews.  

10 สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน หาง่าย ใช้ดี ไม่ต้องง้อยา !



สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

โรคกลากเกลื้อนมีวิธีการรักษาที่หลากหลายทั้งการดูแลร่างกาย เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัยให้สะอาด หรือการไปพบแพทย์เพื่อกินยารักษา แต่รู้หรือไม่ว่าสมุนไพรต่าง ๆ ในบ้านเราก็สามารถรักษาโรคกลากเกลื้อนได้เหมือนกันนะ

โดยปกติแล้วผู้คนมักเข้าใจว่าโรคกลากกับโรคเกลื้อนนั้นเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้ว โรคทั้งสองเกิดมาจากเชื้อราคนละตัวกันค่ะ แถมลักษณะของมันก็ยังต่างกันด้วย โดยโรคกลาก เกิดจากเชื้อราพวกเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophyte) จะมีลักษณะเป็นผื่นสีแดง ทรงวงกลมหรือวงแหวน มีขอบชัดเจน และอาจมีขุยบาง ๆ ที่ขอบ ต่างกับโรคเกลื้อนที่เกิดจากเชื้อรา Malassezia furfur มีลักษณะเป็นผื่นวงเล็ก ๆ ปกติแล้วมีสีขาวซีด เป็นขุยและเป็นสะเก็ดด้วย
สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน
อย่างไรก็ตามโรคกลากเกลื้อนก็เป็นโรคที่ค่อนข้างจะน่ารังเกียจอยู่เล็กน้อย เพราะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จึงควรรีบรักษาให้หาย ฉะนั้นวันนี้เราจึงมานำเสนออีกหนึ่งทางเลือกการรักษา ซึ่งเป็นวิธีการรักษากลากเกลื้อนแบบธรรมชาติโดยใช้สมุนไพรต่าง ๆ เหล่านี้   

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน
ทองพันชั่ง

          ทองพันชั่งเป็นสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้รักษาโรคต่าง ๆ ได้ทั้งต้น ใบ ราก และก้านเลยทีเดียว โดยในส่วนของการรักษากลากเกลื้อนนั้น เราจะสามารถเลือกใช้ได้ทั้งรากและใบเลยค่ะ วิธีการนำทองพันชั่งมารักษาก็มีด้วยกันถึง  4 วิธี ไม่ว่าจะเป็นการนำใบสดมาตำให้ละเอียดแล้วผสมเหล้าเล็กน้อย หรือนำใบสดที่ตำละเอียดผสมกับน้ำมันดิบแล้วทาบริเวณแผล วิธีนี้ควรทาเพียงวันละครั้งเท่านั้นนะคะ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3 วันก็หายแล้ว ส่วนวิธีที่ 3 คือการนำรากสดและหัวไม้ขีดไฟครึ่งกล่องมาตำจนละเอียด จากนั้นผสมวาสลีน แล้วก็นำมาใช้ได้เลยค่ะ  และสุดท้ายวิธีที่ 4 ให้นำรากมาบดละเอียดแล้วผสมกับน้ำมะนาวและน้ำมะขาม เสร็จแล้วก็นำมาทาที่แผลได้เลย

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

กระเทียม

          สมุนไพรใกล้ตัวเราอย่างกระเทียมก็สามารถรักษากลากเกลื้อนได้นะคะ วิธีก็ง่าย ๆ แค่นำกลีบกระเทียมที่ปอกเปลือกและล้างสะอาดแล้ว มาตำเบา ๆ ให้พอแหลก จากนั้นจึงนำมาถูบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน ปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที เสร็จแล้วก็ล้างออก ควรทำวันละ 3-4 ครั้ง และถึงแม้อาการกลากเกลื้อนจะดีขึ้นแล้ว ก็ควรทาต่ออีกประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อราที่ดียิ่งขึ้น

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

ข่า

          ข่า เป็นสมุนไพรที่ควรมีไว้ติดบ้านมาก ๆ เพราะรักษาได้ทั้งท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารเป็นพิษ ลมพิษ โรคผิวหนัง และกลากเกลื้อน ในส่วนการรักษาโรคกลากเกลื้อนโดยข่า จะใช้เหง้าข่าแก่ ขนาดประมาณเท่านิ้วโป้งค่ะ นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าขาว คนจนละลาย เสร็จแล้วนำไปทาตรงที่เป็นแผล สามารถทาบ่อย ๆ ได้จนกว่าแผลจะหายเลย

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

อัคคีทวาร

          ไม้พุ่มขนาดเล็กอย่างอัคคีทวารสามารถนำมาใช้รักษาโรคกลากเกลื้อนได้ โดยนำใบและต้นมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปทาในส่วนที่เป็นแผลได้เลย ซึ่งอัคคีทวารไม่ได้ช่วยรักษาแค่กลากเกลื้อนเท่านั้นนะคะ แต่ยังแก้ปวดหัวเรื้อรัง แก้ขัดตามข้อกระดูก และยังช่วยดูดหนองอีกด้วย

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

เปล้าน้อย

          เปล้าน้อยเป็นไม้พุ่มยืนต้น ใบเดี่ยว ที่มีทั้งดอกและผล แต่ส่วนที่เอามารักษาคือใบหรือรากสดค่ะ โดยนำมาตำให้ละเอียดจนเป็นน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน และนอกจากโรคกลากเกลื้อนจะหายแล้ว ยังสามารถนำรากมาต้มดื่มแก้โรคกระเพาะได้อีกด้วยค่ะ

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

กุ่มบก

        ต้องบอกว่ากุ่มบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ๆ เพราะสามารถนำมาใช้ได้ในทุก ๆ ส่วนของต้นเลยทีเดียว ทั้งใบ เปลือก กระพี้ แก่น และราก สำหรับการรักษาโรคกลากเกลื้อนจะใช้ในส่วนของใบค่ะ โดยนำใบมาตำให้ละเอียดแล้วใช้ทาในบริเวณที่มีอาการได้เลย

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

กะเพรา

          กะเพราที่เรากิน ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ยังสามารถรักษาโรคกลากเกลื้อนได้ด้วยนะ โดยนำเอาใบกะเพราสด 20 ใบ  ล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำละเอียดจนมีน้ำออกมา จากนั้นก็นำมาทาที่แผล แนะนำให้ถูแรง ๆ ปล่อยทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออก เสร็จแล้วก็พอกใหม่ ควรพอกบ่อย ๆ อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้นค่ะ

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

ดอกผักบุ้ง

          ผักบุ้งนา หรือ ผักบุ้งแดงที่เราพบได้ทั่วไปตามท้องนาก็นำมารักษากลากเกลื้อนได้ด้วยนะคะ โดยการนำดอกตูมประมาณ 10 ดอก มาโขลกเบา ๆ แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนปล่อยไว้สักพัก ทำเป็นประจำเช้า-เย็น แล้วกลากเกลื้อนก็จะหายไปค่ะ

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

ใบชุมเห็ดเทศ

          อาจไม่ค่อยคุ้นหูมากนักกับสมุนไพรชนิดนี้ แต่มันมีสรรพคุณมากมายทีเดียว ทั้งรักษาอาการท้องผูก รักษากระเพาะอาหารอักเสบ ขับพยาธิ ขับปัสสาวะ และแน่นอนรักษาโรคกลากเกลื้อนได้ โดยนำใบชุมเห็ดเทศประมาณ 4-5 ใบ ตำใส่กระเทียม 4-5 กลีบ ให้ละเอียด แล้วเติมปูนแดงเล็กน้อย จากนั้นทาบริเวณที่มีอาการวันละ 3-4 ครั้งจนหาย แต่ถึงหายแล้วก็ให้ทาต่อไปอีก 1 สัปดาห์เพื่อให้เชื้อราหายสนิทด้วยนะคะ

สมุนไพรรักษากลากเกลื้อน

ใบพลู

          ใบพลูถือเป็นสมุนไพรที่คนไทยนิยมใช้ประโยชน์กันมาตลอดตั้งแต่สมัยก่อนที่กินร่วมกันกับหมาก และสมัยนี้ที่นำไปเป็นเครื่องบูชาหรือสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ใบพลูยังมีประโยชน์นอกเหนือจากนั้นอีกนะคะ เช่น มีฤทธิ์ที่สามารถฆ่าเชื้อราและยับยั้งแบคทีเรียได้ จึงทำให้รักษากลากเกลื้อนได้เหมือนกัน โดยนำมาตำให้ละเอียด ดองกับเหล้าขาว 15 วัน จากนั้นก็กรอกเอาน้ำมาทาในบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน

การรักษากลากเกลื้อนด้วยสมุนไพรทั้ง 10 อย่างดูจะไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมละคะ นั่นเป็นเพราะว่าสมุนไพรรักษากลากเกลื้อนบางชนิดก็มีอยู่ที่บ้านของเราอยู่แล้ว แถมวิธีนำมารักษายังทำได้ง่าย ๆ ทำให้สะดวก ประหยัด แถมเห็นผลได้เหมือนกับใช้ยารักษาเลยค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพฯ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, rakbankerdThaicrudedrug, Thaiherbalmed




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2560    
Last Update : 2 สิงหาคม 2560 8:19:13 น.
Counter : 5923 Pageviews.  

เปลี่ยนนิสัยให้ใจเย็นลงด้วย 5 วิธีฝึกความอดทนให้ตัวเอง



วิธีฝึกความอดทน

 ฝึกตนเองให้มีความความอดทนมากขึ้น ด้วย 5 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่รับรองว่าถ้าทำได้คุณจะเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นเยอะเลยละ

สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ทุกอย่างดูรีบเร่งอยู่ตลอดเวลา จนอาจทำให้เรามีความอดทนน้อยลงกว่าแต่ก่อน และเพราะความอดทนที่น้อยลงนี่ละ ที่ทำให้เราหงุดหงิดและเกิดความเครียดง่ายขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นสะสมกันเป็นเวลานานก็อาจจะทำให้สุขภาพจิตแย่ลง กลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน บางรายอาจหนักถึงขนาดกลายเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะเรามีความอดทนน้อยลงนั่นเอง แต่เราจะทำอย่างไรให้มีความอดทนมากขึ้นละ การมองโลกในแง่ดีก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ก็ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ อย่างเช่นวิธีที่เว็บไซต์ huffingtonpost.com นำมาแนะนำกัน เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าเราจะฝึกความอดทนให้ตัวเองได้อย่างไรบ้าง 

1. เอ่ยขอบคุณให้มากขึ้น

การขอบคุณมีประโยชน์มากมาย การวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการขอบคุณทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง และช่วยทำให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารด้านจิตวิทยา Psychological Science ในปี 2014 ยังพบอีกว่า การขอบคุณสามารถช่วยให้เรามีความอดทนมากขึ้น

ขณะที่ Ye Li นักวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์จากคณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียริเวอร์ไซด์ ได้เปิดเผยว่า การที่เราแสดงออกว่าเรารู้สึกอย่างไรจะช่วยให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น แถมยังช่วยลดการขาดความอดทนลงได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ในการฝึกขอบคุณก็แค่เพียงเราเอ่ยคำว่าขอบคุณกับคนที่ทำบางสิ่งให้คุณด้วยรอยยิ้ม หรือนึกขอบคุณตัวเองเมื่อสามารถทำบางสิ่งได้ เมื่อเราขอบคุณจนเป็นนิสัยก็จะทำให้เรามองโลกในแง่ดีและมีความอดทนมากขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ
เปลี่ยนนิสัยให้ใจเย็นลงด้วย 5 วิธีฝึกความอดทนให้ตัวเอง
2. มีสติให้มากขึ้น

เชื่อว่าหลายคนก็คงต้องเคยวอกแวกทำในสิ่งที่เราไม่รีบร้อนแทนที่จะทำในสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่าโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว นั่นก็เป็นเพราะเราไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ ได้ หลายครั้งที่ความคิดของเรามักโดดไปมาระหว่างเรื่องนั้นเรื่องนี้จนทำให้เราไม่สามารถควบคุมความคิดตนเองได้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เรารู้สึกยุ่งยากและวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาจนทำให้เรากลายเป็นคนเร่งรีบและมีความอดทนน้อยลง

การมีสติและการตระหนักถึงความคิดของเราอยู่เสมอจะช่วยทำให้เราสามารถจัดระเบียบความคิดของเราได้ดียิ่งขึ้น ลองเขียนความคิดต่าง ๆ ของคุณลงในกระดาษดูค่ะ จะช่วยให้คุณจัดการความคิดของตัวเองได้ และทำให้เรารู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกรีบเร่งหรือทำให้เราไม่มีความอดทน วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมความคิดไม่ให้วอกแวกได้ง่าย ๆ ค่ะ

เปลี่ยนนิสัยให้ใจเย็นลงด้วย 5 วิธีฝึกความอดทนให้ตัวเอง

3. ฝึกการรอให้เป็นนิสัย

ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับในสิ่งที่ต้องการทันทีทันใด แม้จะทำให้เรารู้สึกดี แต่นักวิจัยทางจิตวิทยากลับมองว่ามันให้ความหมายที่ตรงข้ามกัน โดยในการศึกษาหนึ่งพบว่าการรอคอยบางสิ่งจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขในระยะยาวมากกว่า ซึ่งการทำให้เรามีนิสัยการรอคอยที่ดีที่สุดก็คือการฝึกตัวเองให้รู้จักการรอนั่นเอง โดยอาจจะเริ่มจากการรอในระยะเวลาสั้น ๆ สัก 10 นาที หรือการรอคอยรายการโทรทัศน์ที่ชอบที่ฉายในช่วงวันหยุด เมื่อเราสามารถรอจนเป็นนิสัยได้แล้ว ก็จะทำให้เรามีความอดทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังทำให้คุณมีความสุข และไม่หงุดหงิดเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ต้องรอนาน ๆ อีกด้วย

4. ฝึกให้ตัวเองยอมรับในสิ่งที่ยากลำบากให้ได้

          บางครั้งความสะดวกสบายก็ไม่ได้ดีเสมอไป เพราะความสะดวกสบายเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกมีความอดทนน้อยลง และเมื่อเราต้องเจอกับความยากลำบากเราจึงไม่สามารถอดทนกับมันได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะฝึกให้ตนเองทนกับความยากลำบากและความไม่สะดวกสบายให้ได้ และเมื่อเราสามารถอดทนกับสิ่งเหล่านั้นได้ เราก็จะมีความอดทนมากขึ้น และสามารถมีความสุขแม้ว่าต้องพบเจอกับสิ่งที่ดูยากลำบากก็ตาม

5. หายใจลึก ๆ

เมื่อเรารู้สึกว่าหลาย ๆ สิ่งมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ การถอนหายใจแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก็สามารถช่วยให้เราสงบจิตใจและร่างกายตัวเองได้ ซึ่งวิธีการผ่อนคลายง่าย ๆ นี้จะช่วยทำให้ช่วยลดความกระวนกระวายใจที่ซึ่งจะนำพาความรู้สึกในแง่ลบต่าง ๆ อย่างเช่น อารมณ์หงุดหงิด เสียใจ ผิดหวัง หรือโกรธเคืองลงได้ค่ะ 

ความอดทนเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกฝนด้วยตนเอง เช่นเดียวกับการมองโลกในแง่ดี เพราะไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะทำ ถ้าหากเรามีความอดทนมากขึ้นเราก็จะมีความสุขมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งของภายนอกเลยล่ะค่ะ




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2560    
Last Update : 1 สิงหาคม 2560 9:11:02 น.
Counter : 1836 Pageviews.  

เมนูกระเพาะปลา หนักเครื่องอิ่มหรูแบบเหลาเหลา



เมนูกระเพาะปลา

 กระเพาะปลาผัดแห้ง

     สำหรับคนชอบกินเนื้อไก่ลองมาทำกระเพาะปลาผัดแห้ง สูตรจาก เว็บไซต์ ChingCanCook ใส่เนื้อไก่ผัดกับเห็ดหอม เติมกลิ่นหอมจากเหล้าจีน ก่อนเสิร์ฟโรยต้นหอมเพิ่มความงาม

ส่วนผสม กระเพาะปลาผัดแห้ง

     • กระเพาะปลาแบบเล็ก
     • กระเทียมสับ
     • เห็ดหอมซอย
     • อกไก่หั่นเป็นชิ้น ๆ
     • ไข่ไก่
     • ถั่วงอก
     • ต้นหอมซอย
     • น้ำมันหอย
     • ซีอิ๊วขาว
     • น้ำตาลทราย
     • พริกไทยป่น
     • เหล้าจีน
     • น้ำมันพืช

วิธีทำกระเพาะปลาผัดแห้ง

     1. ต้มกระเพาะปลาแห้งในน้ำเดือด เหยาะน้ำส้มสายชูเล็กน้อย จากนั้นก็ล้างน้ำสะอาด บีบจนน้ำออกจากตัวกระเพาะปลาจนหมด ต้มในน้ำเดือดอีกครั้ง ล้างแล้วบีบน้ำออกจนหมด
     2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่กระเทียมสับลงไปเจียวจนหอม ใส่เห็ดหอม และอกไก่ ผัดพอไก่สุก
     3. ใส่กระเพาะปลาลงไปผัดสักครู่ แล้วตอกไข่ไก่ ยีไข่จนสุก ใส่ถั่วงอกลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย พริกไทยป่น และเหล้าจีน ผัดจนถั่วงอกสุก ปิดไฟ โรยต้นหอมซอย

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ กระเพาะปลาผัดแห้ง จานอร่อยถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ

++++++++++++++
เมนูกระเพาะปลา
กระเพาะปลาเจ

     สำหรับคนไม่กินเนื้อสัตว์ขอนำเสนอเมนูกระเพาะปลาเจ ใส่เครื่องเคราแบบจัดเต็มทั้งหมี่กึง เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว และดอกไม้จีน เติมแป้งข้าวโพดให้น้ำข้นหน่อย กินมื้อไหนก็อร่อย

ส่วนผสม กระเพาะปลาเจ

     • กระเพาะปลาเจ 100 กรัม
     • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
     • น้ำ 1 ถ้วยตวง
     • ผงซุปผัก 1 ช้อนชา
     • หมี่กึง (หั่นเป็นชิ้น) 30 กรัม
     • ดอกไม้จีน (ลวกสุก) 30 กรัม
     • เห็ดหอม (แช่น้ำจนนุ่มลวกสุกหั่นเป็นชิ้น) 30 กรัม
     • หน่อไม้ (หั่นเป็นเส้นต้มสุก) 30 กรัม
     • เห็ดหูหนูขาว (ลวกสุก) 30 กรัม
     • ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
     • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
     • แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำละลายแป้งข้าวโพด
     • พริกไทยป่น
     • ซอสเปรี้ยว

วิธีทำกระเพาะปลาเจ

     1. ใส่น้ำมันลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟพอร้อน ใส่กระเพาะปลาเจลงทอดพอเหลือง เตรียมไว้
     2. ใส่น้ำลงในหม้อ ใส่ผงซุปผัก ต้มจนเดือด ใส่หมี่กึง ดอกไม้จีน เห็ดหอม หน่อไม้ และเห็ดหูหนูขาว ต้มจนเดือดอีกครั้ง ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ
     3. ใส่แป้งข้าวโพดละลายน้ำ คนผสมจนสุกข้น ใส่กระเพาะปลาเจที่ทอดไว้ คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยพริกไทยป่น เสิร์ฟคู่กับซอสเปรี้ยว

     + ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ กระเพาะปลาเจ เสิร์ฟร้อน ๆ อิ่มบุญ อิ่มท้อง

พอนึกถึงกระเพาะปลาร้อน ๆ ใส่เห็ดหอมก็ฟินแล้ว จะใส่ไข่ต้มหรือไข่นกกระทาต้มก็แจ่ม ถ้าไม่อยากใส่เนื้อสัตว์ก็ตัดออกไป ทำเองกินเองจะใส่อะไรก็ได้เนอะ




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2560    
Last Update : 1 สิงหาคม 2560 9:03:46 น.
Counter : 1473 Pageviews.  

อย่าปล่อยให้ความห่างไกล เป็นอุปสรรคกับความรัก



อย่าปล่อยให้ความห่างไกล เป็นอุปสรรคกับความรัก

หลายคนกลัวว่า "รักแท้แพ้ระยะทาง" คู่รักบางคู่อาจอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศ ก็อดไม่ได้ที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งน้อยใจ คิดมาก วันนี้เราเลยมีวิธีทำให้รักระยะไกลกลายเป็นรักระยะใกล้มาแนะนำกันค่ะ เพื่อที่ว่าคุณและเขาจะได้ไม่รู้สึกถึงช่องว่างทางความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะต้องห่างกันกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ตาม


1. อัปเดตชีวิตกันและกัน

          ปัจจุบันเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้เรารับรู้ความเป็นไปของคนอีกซีกโลกหนึ่งได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากหากเราต้องการติดต่อกับคนรักของเรา หรือจะใช้การวิดีโอคอลไว้เพื่อพูดคุยให้เห็นหน้าก็ยังทำได้ วิธีการเหล่านี้น่าจะช่วยบรรเทาอาการคิดถึงลงได้บ้าง โดยเฉพาะกับคู่ที่อยู่เวลาคนละไทม์โซน เอาเป็นว่าจัดตารางเวลาของคุณให้ดี ๆ เพื่อที่ว่าจะได้ปลีกธุระมาสวีทกันได้

2. คว้าทุกโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกัน

          ต่อให้ทั้งคุณและเขาจะยุ่งมากแค่ไหน อย่างน้อยมันต้องมีสักช่วงที่คุณและเขาต้องว่างตรงกันบ้าง แม้จะเป็นเวลาแค่น้อยนิดก็ตาม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทั้งสองให้ความสำคัญกับมันมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าคุณอยากที่จะรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้เอาไว้ คุณก็ต้องเสาะแสวงหาโอกาสเหล่านั้น บางคู่เลือกใช้ช่วงเวลาก่อนขึ้นเครื่องเป็นช่วงเวลาออกเดทเติมความหวานก่อนออกเดินทาง ขออย่าไปยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ว่าการเดทต้องเป็นอะไรที่สวยหรู ลองทำอะไรที่แตกต่างดูบ้าง ไม่มีอะไรเสียหายหรอก

3. มองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ 

          การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคู่รักทุกคู่ แต่จะไม่ธรรมดาก็ต่อเมื่อทั้งคุณและเขาไม่สามารถพูดคุยกันต่อหน้า เพราะด้วยระยะทางที่ห่างไกลกัน บางครั้งการปรับความเข้าใจผ่านตัวอักษรหรือวิดีโอคอลก็ไม่สามารถเคลียร์ปัญหาได้ลงตัว ทางที่ดีเราอาจต้องมองข้ามความผิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเสียบ้าง เราไม่จำเป็นที่จะต้องเอาทุกปัญหามาเป็นประเด็นไปเสียหมด เพราะนั่นจะยิ่งทำให้รักขมและอาจเกิดอาการเบื่อหน่าย จนต่างฝ่ายต่างไม่อยากพูดคุยกันอีกเลยก็ได้


4. กำหนดเป้าหมายร่วมกัน

          อย่าปล่อยให้ความรักของคุณต้องสะดุดเพียงเพราะระยะทาง ยิ่งอยู่ไกลกันคุณและเขายิ่งต้องวางแผนชีวิตให้รอบคอบ คุณและเขาอาจลองวางเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยากทำร่วมกัน และหมั่นรายงานความเคลื่อนไหนกันเป็นระยะ ๆ วิธีนี้จะช่วยตัดความฟุ้งซ่านออกไปจากหัวคุณได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ และทำให้การรอคอยของคุณไม่เคว้งคว้างหรือเปล่าเปลี่ยวจนเกินไป

5. ปล่อยความคิดถึงทำงาน

"รักระยะไกล" ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของคู่รัก ถ้าคุณสามารถผ่านมันไปได้ อย่างน้อยก็เป็นการทดสอบให้คุณและเขาเห็นถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ บ่อยครั้งที่คุณและเขาอาจคิดว่าความคิดถึงเป็นเรื่องทรมาน เพราะต่อให้คิดถึงมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะได้เจอกัน คิดอีกแง่...ความคิดถึงทำให้รู้ว่าเรารักเขามากน้อยแค่ไหน เป็นไปได้ก็ปล่อยให้ความคิดถึงทำงานของมันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยมีใครตายเพราะความคิดถึงสักหน่อย

ระยะทางอาจไม่ใช่อุปสรรคของความรักเสมอไป การมองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะความเคยชิน น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เรื่องระยะทางมักนำมาใช้เป็นข้ออ้างของการไม่รักกันแล้วมากกว่า ทางที่ดีหมั่นคอยดูแลและใส่ใจคนรักของคุณเท่าที่จะทำได้ ระยะทางที่ว่าไกลก็อาจใกล้ขึ้นมาทันที




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2560    
Last Update : 1 สิงหาคม 2560 8:58:17 น.
Counter : 1317 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.