อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

ต้มซุปเปอร์ขาไก่ เมนูสุดซี้ดในดวงใจยามร่างกายต้องการความแซ่บ



ต้มซุปเปอร์ขาไก่

ต้มซุปเปอร์ขาไก่ เมนูอาหารไทยแซ่บสุดซี้ดที่ใครได้กินเป็นต้องติดใจ แต่ถ้าสั่งมากินที่ร้านคงแทะขาไก่กินได้ไม่จุใจ ต้มกินเองที่บ้านดีกว่า แทะ ซด ซู้ดแบบไม่ต้องอายใครกันไปเลย

          ต้มซุปเปอร์ตีนไก่ อุ๊ย ! ไม่ใช่ค่ะไม่งาม ต้องเรียกว่า ต้มซุปเปอร์ขาไก่จะดีกว่า อีกหนึ่งเมนูอาหารไทยรสแซ่บที่หลาย ๆ คนมักจะต้องซื้อมากินในเวลาที่ร่างกายต้องการอาหารแซ่บ ๆ เด็ดแบบนี้จะมีใครกล้ามองข้าม จริงไหมเอ่ย ก็ไหนจะน้ำซุปเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดรสเผ็ดถึงใจ ยังได้แทะเนื้อขาไก่เปื่อย ๆ เพลิน ๆ อีก แหม... นึกถึงแล้วก็หิว แต่ก็อย่างว่า คนมารยาทงามอย่างเรา ครั้นจะให้ไปนั่งแทะขาไก่แล้วบ้วนทิ้งผุย ๆ ก็คงไม่งามนัก ถ้าอย่างนั้นมาลองทำต้มซุปเปอร์กินเองที่บ้านดีกว่า ใครว่ายาก !
ส่วนผสม ต้มซุปเปอร์

        • น้ำเปล่า 500-700 มิลลิลิตร
        • ขาไก่ 500 กรัม
        • ข่า (หั่นแว่น)
        • ตะไคร้ (หั่นเป็นท่อน)
        • หอมแดง (ปอกเปลือก)
        • ใบมะกรูดฉีก
        • พริกสด
        • ผักชี
        • ผักชีฝรั่ง
        • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
        • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
        • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำต้มซุปเปอร์

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรง จากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และหอมแดงลงไปต้ม 
        • พอน้ำเดือดพล่านแล้วใส่ขาไก่ลงไปต้ม (หมั่นช้อนฟองอากาศทิ้ง)

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ก่อนปรุงรสให้ตักส่วนผสมเครื่องต้มยำออกก่อนแล้วใส่ซีอิ๊วดำ น้ำปลา และซอสปรุงรสลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ต้มต่ออีกประมาณ 30 นาที จนขาไก่เปื่อย

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ซอยพริกขี้หนู ใบผักชีฝรั่ง ผักชี และหั่นมะนาวเตรียมไว้

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        •  พอต้มจนขาไก่เปื่อยแล้ว บีบมะนาวลงไป (ปริมาณตามชอบ)

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ตามด้วยพริกที่ซอยไว้ คนผสมให้เข้ากัน

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • ตักใส่ถ้วย 

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

        • โรยผักชีและผักชีฝรั่งซอย พร้อมเสิร์ฟ

ต้มซุปเปอร์ขาไก่

     นี่ถ้าอยู่ให้ครัวด้วยกันบอกเลยว่า ทำเสร็จแล้วคงมีการแย่งกันกินแน่ ๆ ต้มซุปเปอร์ขาไก่แซ่บ ๆ แบบนี้ ทำก็ง่ายด้วย ยังจะต้องรออะไรอีกล่ะคะคุณขา




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2560 8:10:52 น.
Counter : 1971 Pageviews.  

วิธีปลดเสื้อชั้นในผู้หญิง ปลดยังไงให้ถอดปุ๊บหลุดปั๊บ !



วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

 มาดูเทคนิคการปลดเสื้อชั้นในผู้หญิงแบบง่าย ๆ ที่ผู้ชายควรรู้กันดีกว่า รับรองว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ก็ปลดล็อกความสยิวได้แล้ว

  เชื่อเลยว่าต้องมีหนุ่ม ๆ หลายคนรู้สึกหัวเสียกับการปลดเสื้อชั้นในแฟนสาวไม่ออกในตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่เยอะ ก็คิดดูสิว่าเสื้อชั้นในของผู้หญิงมีตั้งหลายแบบ บางทีพอเอามือล้วงไปด้านหลัง อ้าวเฮ้ย ! ไม่มีเฉย เพราะมันดันอยู่ข้างหน้า แถมบางครั้งยิ่งงงหนักเพราะดันหาไม่เจอทั้งหน้าทั้งหลัง คุณพระ...จะเสพสุขให้สมใจทำไมต้องมีอุปสรรคด้วยนะ ที่สำคัญ ยังอาจทำให้ฝ่ายหญิงคิดว่าคุณเนี่ยไม่เป็นงานเอาซะเลยยยย
  เอางี้ ๆ มือใหม่หัดปลดหรือถ้าใครยังไม่คล่องมือละก็ ถ้างั้นลองมาดูเคล็ดลับที่กระปุกดอทคอมหยิบมาฝากกันก่อนได้เลย ดูสิว่าเสื้อชั้นในแต่ละแบบมีวิธีถอดยากง่ายต่างกันอย่างไรบ้าง

วิธีถอดบรา

วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

1. พยายามทำให้มือตัวเองอุ่น

          ก่อนที่จะทำการปลดล็อกบราของคุณผู้หญิงนั้น หนุ่ม ๆ ต้องทำให้มือของตัวเองอุ่นขึ้น โดยการถูมือเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะเมื่อมืออุ่น ๆ ของคุณสัมผัสกับเรือนร่างของฝ่ายหญิง จะช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ก็ลองคิดดูว่าถ้าเอามือเย็นเจี๊ยบไปแตะละก็ ฝ่ายหญิงจะสะดุ้งด้วยความตกใจ จนอาจทำให้หมดมู้ดไปเลยก็ได้นะ

2. ประเภทของเสื้อชั้นในผู้หญิง

    ประเภทเสื้อชั้นในของคุณผู้หญิงแบ่งเป็น 4 แบบหลัก ๆ ก็คือ เสื้อชั้นในตะขอหลัง เสื้อชั้นในตะขอหน้า เสื้อชั้นในไร้ตะขอ (ส่วนมากจะมาในรูปแบบของสปอร์ตบรา) และเสื้อชั้นในแบบมีสายคล้องคอ สามารถเช็กได้ง่ายมาก โดยการคลำที่แผ่นหลังของฝ่ายหญิงช้า ๆ หากคลำจนเจอปมตะขอที่ด้านหลัง ก็เท่ากับว่าเธอใส่เสื้อชั้นในตะขอหลัง แต่ถ้าไม่เจอ ก็ให้ลองคลำเพื่อเช็กด้านหน้าว่ามีปมตะขออยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกไหม ถ้ามี...แปลว่าเธอใส่เสื้อชั้นในแบบมีตะขอหน้า ทว่าหากคลำทั้งด้านหน้าและด้านหลังแล้วยังไม่เจอตะขอสักที นั่นอาจหมายถึงเธอเลือกใส่เสื้อชั้นในแบบไร้ตะขอหรือว่าไม่ใส่บรา อิอิ

3. ทำการปลดบราได้

          เมื่อได้ทราบวิธีเช็กประเภทของเสื้อชั้นในกันไปแล้ว ก็เริ่มลงมือปลดกันได้เลย

เสื้อชั้นในตะขอหลัง

วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

          3.1 หากเช็กแล้วรู้ว่าเป็นเสื้อชั้นในแบบตะขอหลัง แนะนำให้ใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ออกแรงบีบบริเวณที่เป็นตะขอที่เกี่ยวเสื้อชั้นใน จนตะขอหลุดออก ก็เป็นอันเสร็จ

เสื้อชั้นในตะขอหน้า

วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

          3.2 แต่ถ้าพบว่าเป็นเสื้อชั้นในตะขอหน้าละก็ ให้ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับส่วนที่เป็นตะขอในแต่ละข้าง จากนั้นให้ดันทั้งสองข้างเข้าหากัน แล้วดันตะขอซ้ายขึ้น เพียงเท่านี้ เสื้อชั้นในก็หลุดแล้ว

เสื้อชั้นในไร้ตะขอ

วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

          3.3 ส่วนเสื้อชั้นในแบบไร้ตะขอหรือสปอร์ตบรานั้น สามารถทำได้ง่ายมาก โดยใช้วิธีเดียวกันกับการถอดเสื้อยืดนั่นเอง

 เสื้อชั้นในแบบมีสายคล้องคอ

วิธีปลดเสื้อในผู้หญิง

          3.4 สำหรับเสื้อชั้นในที่มีสายคล้องคอนั้น อาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าแบบอื่นเล็กน้อย ซึ่งคุณผู้ชายต้องถอดสายคล้องคอออกก่อน จากนั้นก็หาตำแหน่งของตะขอ เมื่อเจอว่าตะขออยู่ตรงไหน ก็ทำการปลดได้เลย

          เมื่อได้ทราบถึงวิธีปลดเสื้อชั้นในผู้หญิงกันไปแล้ว หนุ่ม ๆ คนไหนที่ยังไม่คล่องมือละก็ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปฝึกกันเลย เพราะถ้าเริ่มกิจกรรมบนเตียงขึ้นมาแล้วดันปลดบราไม่เป็นละก็ ค่ำคืนอันแสนหวานของคุณอาจจบลงเร็วกว่าที่คิดก็เป็นได้ครับ :D

ข้อมูลจาก mensxp.com และ askmen.com




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2560 8:08:27 น.
Counter : 5904 Pageviews.  

ทั่วโลกเศร้า ! เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำ Linkin Park ฆ่าตัวตาย



เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำ Linkin Park ฆ่าตัวตาย ช่วงเช้าวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ในบ้านพักที่ลอส แองเจเลส

          เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 เว็บไซต์ เดอะ ซัน รายงานว่า เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำวง Linkin Park ได้เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 41 ปี โดยศพนั้นถูกพบที่บ้านพักส่วนตัวที่ลอส แองเจลิส เมื่อเวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และเป็นการผูกคอตาย

          สำหรับชีวิตของเบนนิงตันนั้น มีปัญหาเรื่องยาเสพติดและการติดแอลกอฮอล์หลายครั้ง ส่วนชีวิตส่วนตัวนั้น มีลูก 6 คน


ภาพจาก linkinpark





 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2560 8:05:36 น.
Counter : 1235 Pageviews.  

กล้วยอบน้ำผึ้งทอด ขนมไทยจากร้านกล้วยทอดกรอบอร่อยนุ่มหนึบ



กล้วยอบน้ำผึ้งทอด

มีกล้วยอบน้ำผึ้งเหลือ ๆ จับมาทำเมนูกล้วยอบน้ำผึ้งทอด ขนมไทยประจำร้านกล้วยทอดเนื้อหนึบนุ่ม จับทั้งลูกไปทอดกรอบอร่อย แค่ลูกเดียวก็ฟินแล้ว

     จากที่เคยทำกล้วยทอด ขนมไทยจากกล้วยน้ำว้า ลองเปลี่ยนสไตล์จับกล้วยตากหรือกล้วยอบน้ำผึ้งมาทอดกันบ้างดีไหม กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำกล้วยอบน้ำผึ้งทอด หรือกล้วยตากทอด จับไปชุบกับน้ำแป้งผสมกะทิ เสร็จแล้วก็เอาไปทอดจนแป้งสุก ไปซื้อกล้วยตากมาลองทำกันเลยเพื่อน

ส่วนผสม กล้วยอบน้ำผึ้งทอด

     • กล้วยอบน้ำผึ้ง (หรือกล้วยตาก ตามชอบ)
     • แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
     • แป้งมัน 1/4 ถ้วย
     • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/4 ถ้วย
     • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
     • หัวกะทิ 3/4 ถ้วย
     • น้ำเย็นจัด 1/4 ถ้วย
     • เกลือ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำกล้วยอบน้ำผึ้งทอด

1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งสาลีอเนกประสงค์ น้ำตาลทราย หัวกะทิ เกลือ และงาขาว ในน้ำเย็นจัด คนผสมให้ละลายเข้ากัน
2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง รอจนน้ำมันร้อนจัด
3. ใส่กล้วยอบน้ำผึ้งลงไปเคล้าผสมให้เข้ากันและแป้งเคลือบติดกล้วยจนทั่ว แล้วค่อย ๆ หยอดกล้วยลงทอดจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ

ใครที่เบื่อกล้วยแขกกันแล้วก็ลองมาทำกล้วยตากทอดกันเถอะ ทำง่ายกว่ากล้วยน้ำว้าเยอะ เพราะไม่ต้องปอกเปลือก ไม่ต้องฝาน ทอดอร่อยเนื้อนุ่มหนึบ ชิมสักครั้งแล้วจะติดใจ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2560 14:22:40 น.
Counter : 2999 Pageviews.  

วิธีรักษารำมะนาด หรือโรคปริทันต์ คืนความสุขสู่ฟันกันเถอะ !



เหงือกอักเสบ

โรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ จัดเป็นปัญหาสุขภาพฟันที่ใหญ่ยิ่ง เพราะเกิดขึ้นทั้งกับเหงือก และอวัยวะรอบ ๆ ฟันเลยทีเดียว

บางคนมีอาการเหงือกอักเสบ ปวดฟัน และคิดว่าตัวเองเป็นโรคเหงือกอักเสบ ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ แต่อาจเป็นโรครำมะนาด หรือโรคปริทันต์ ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่าจะป่วยด้วยโรคนี้ค่ะ ฉะนั้นกระปุกดอทคอมจึงอยากนำเสนอโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ให้ทุกคนได้รู้จัก พร้อมด้วยวิธีรักษาโรคปริทันต์ด้วย

โรคปริทันต์ หรือ รำมะนาด คือโรคอะไร

          โรคปริทันต์หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ารำมะนาด ภาษาอังกฤษคือ Periodontal Disease เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะรอบ ๆ ฟัน อันได้แก่ เหงือก กระดูกรองรับฟัน เอ็นยึดปริทันต์และผิวรากฟัน ซึ่งทำหน้าที่ยึดและพยุงฟัน เพื่อให้ฟันสามารถฝังอยู่ในขากรรไกรได้ ดังนั้นหากเป็นโรคปริทันต์ขึ้นมา ความเสี่ยงที่ฟันจะโยกจนสูญเสียฟันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เหงือกอักเสบ
โรคปริทันต์ เกิดจากอะไร

โรคปริทันต์หรือรำมะนาดเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก อันเกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่มากับอาหาร เพราะเราทำความสะอาดช่องปากได้ไม่ดีพอ ดังนั้นเมื่อมีการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์บนผิวฟันมากขึ้น ก็จะเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์หรือที่เราเรียกกันว่าคราบพลัค ซึ่งส่วนใหญ่คราบพลัคเหล่านี้จะไปกองตัวกันอยู่บริเวณคอฟันส่วนที่ต่อกับเหงือก และจุลินทรีย์บางชนิดก็มีฤทธิ์ทำให้เหงือกอักเสบได้

          นอกจากนี้ในช่องปากของเรายังจะมีหินปูนหรือหินน้ำลายเกิดขึ้นบนตัวฟัน กลายเป็นแหล่งสะสมคราบพลัคมากขึ้น ๆ ซึ่งหากเราปล่อยให้ช่องปากอยู่ในสภาพเช่นนี้นาน ๆ เหงือกที่เกิดการอักเสบเพราะเชื้อจุลินทรีย์จะเริ่มแยกออกจากรอบ ๆ ตัวฟัน ทำให้เกิดอาการบวมแดง มีเลือดออก เกิดหนองในช่องระหว่างเหงือกและฟัน จนในที่สุดกระดูกรอบ ๆ รากฟันจะถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ ฟันก็จะเริ่มโยก กระทั่งหลุดออกไปในที่สุด
เหงือกอักเสบ
โรคปริทันต์ หรือรำมะนาด อาการเป็นอย่างไร

เพราะอาการโรคปริทันต์ในระยะแรก ๆ จะไม่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เราจึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพฟันและช่องปากอยู่เสมอ หรือจะลองสังเกตสัญญาณโรคปริทันต์จากอาการเหล่านี้ก็ได้

          - มีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟัน

          - เหงือกบวมแดง

          - มีกลิ่นปาก

          - เหงือกร่น

          - ฟันโยก

          อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเพียงหนึ่งอย่างดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจด้วยประการทั้งปวงนะคะ ให้รีบไปหาทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็วจะดีที่สุด เพราะโรคปริทันต์หากปล่อยให้อาการรุนแรง เนื้อฟันถูกทำลายอย่างถาวร จะไม่สามารถเรียกคืนฟันสวย ๆ ได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแค่หยุดยั้งการทำลายอวัยวะรอบ ๆ ฟันเท่านั้น

เหงือกอักเสบ

รำมะนาด การรักษาทำอย่างไร

การรักษาโรคปริทันต์หรือรำมะนาด ทันตแพทย์จะเริ่มจากการขูดหินปูนและเกลารากฟัน กล่าวคือ รักษาด้วยการทำให้ผิวรากฟันเรียบ ซึ่งก็จะช่วยกำจัดคราบพลัคและหินปูนที่เกาะอยู่บนผิวรากฟันออกไป โดยขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้เวลานาน และอาจต้องทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เนื่องจากต้องกำจัดหินปูนและคราบจุลินทรีย์ให้หมด โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ร่องเหงือกลึก ๆ และตำแหน่งฟันหลังซึ่งมีรากฟันหลายรากรวมกัน

          ทั้งนี้ภายหลังการรักษาประมาณ 4-6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดกลับมาดูอาการอีกครั้งว่าโรคปริทันต์หายดีหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ายังมีร่องลึกปริทันต์หลงเหลืออยู่ เนื่องจากมีการละลายของกระดูกไปมาก ทันตแพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งกรณีนี้ก็ทำได้ในบางเคสเท่านั้นนะคะ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์

เหงือกอักเสบ

โรคปริทันต์หรือรำมะนาด รักษาหายขาดไหม


อย่างที่บอกว่าโรคปริทันต์ ถ้ารู้เท่าทันก็ไม่เจ็บปวดมาก ยังสามารถรักษาฟันและเหงือก รวมทั้งกระดูกรากฟันเอาไว้ได้ แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคปริทันต์หรือรำมะนาด ควรต้องพบทันตแพทย์ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้ทันตแพทย์ขูดหินน้ำลาย และทำความสะอาดฟัน ป้องกันไม่ให้ปริทันต์มาเยือนอีกครั้ง ทว่าในกรณีที่โรคปริทันต์ทำลายกระดูกรากฟันและทำลายเนื้อฟันเราไปแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกคืนฟันและเหงือกที่มีสุขภาพดีกลับมาได้ สิ่งที่จะทำได้ก็เพียงแต่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้สุขภาพช่องปากและฟันมีปัญหารำมะนาด รวมทั้งปัญหาใด ๆ อีก

เหงือกอักเสบ

โรคปริทันต์ ป้องกันอย่างไร

          หากไม่อยากเป็นโรครำมะนาดหรือปริทันต์ เราควรป้องกันตัวเองดังนี้ค่ะ

          - รักษาความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธี

          - ขัดฟันด้วยไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อช่วยกำจัดคราบพลัคอย่างหมดจด

          - เลิกบุหรี่

          - ตรวจเช็กสุขภาพช่องปากและฟันกับทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน

   ย้ำอีกครั้งว่าหากมีปัญหาสุขภาพช่องปากใด ๆ อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาดนะคะ เพราะความไม่ใส่ใจของเรานั้น อาจทำให้ปัญหาสุขภาพช่องปากบานปลาย เกินเยียวยาก็เป็นได้ ดังนั้นนอกจากจะต้องหมั่นรักษาความสะอาดของช่องปากอย่างที่ดีที่สุดแล้ว ก็ควรใส่ใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับช่องปากและฟันของเราด้วย เพราะหากรู้ทัน ปริทันต์ก็ป้องกันได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2560 14:19:51 น.
Counter : 15115 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.