อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก เติมความหวานหอมอร่อยลืมอ้วน



ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก

จุดเตาให้พร้อมแล้วมาทำข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือกกินกันดีกว่า สูตรทำขนมไทยสอดไส้เผือกกวนทำเองง่าย ๆ ห่อใบตองปิ้งจนหอม กินอร่อยทำขายก็ดี๊ดี

     วันหยุดอยากกินเมนูข้าวเหนียวปิ้ง ครั้นไปหาซื้อที่ตลาดก็ไม่มีขาย ด้วยเหตุที่อยากกินหนักมากเลยไปซื้อวัตถุดิบมาทำเองเลยดีกว่า กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก จับข้าวเหนียวผสมกับกะทิแล้วนำไปนึ่งจนสุก ตักใส่ใบตองพร้อมกับไส้เผือกแล้วเอามาปิ้งจนสุกหอม ใครจะดัดแปลงเป็นข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย ข้าวเหนียวปิ้งไส้ถั่ว หรือข้าวเหนียวปิ้งไส้กุ้งก็อร่อยค่ะ

ส่วนผสม ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก

     • ข้าวเหนียวขาว 1 กิโลกรัม
     • กะทิ 3 ถ้วย
     • น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
     • เกลือป่น 1 ช้อนชา
     • ไส้เผือก
     • ใบตองสำหรับห่อขนม
     • ไม้จิ้มฟัน สำหรับกลัดใบตอง

ส่วนผสม ไส้เผือก

     • เผือกนึ่งสุก 1 หัว
     • น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
     • นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
     • เกลือป่น เล็กน้อย

วิธีทำไส้เผือก

     1. นำเผือกนึ่งสุกมาบดให้ละเอียด เตรียมไว้
     2. ใส่เผือกบด น้ำตาลปี๊บ นมข้นจืด และเกลือป่นลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนจนส่วนผสมเหนียว พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้สำหรับทำเป็นไส้ขนม

วิธีทำข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก

     1. ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน
     2. ผสมกะทิกับน้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย เตรียมไว้
     3. นำข้าวเหนียวที่แช่ไว้ไปนึ่งจนสุก จากนั้นใส่ส่วนผสมกะทิลงไป มูนส่วนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
     4. ตักข้าวเหนียวมูน 2 ช้อนโต๊ะ วางลงบนใบตอง ตามด้วยไส้เผือก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วทับด้วยข้าวเหนียวอีก 1 ช้อนโต๊ะ ม้วนหรือพับใบตองเข้าหากันให้สวยงาม ใช้ไม้จิ้มฟันกลัดหัวและท้าย เตรียมไว้
     5. นำข้าวเหนียวไปย่างบนเตา ด้วยไฟอ่อนจนสุกหอมและเนื้อขนมเป็นสีเหลือง ยกลงจากเตา แกะออกจากใบตอง พร้อมรับประทาน

โป๊ะเชะ ! มีข้าวเหนียวมูนเหลือ ๆ อยู่พอดี เดี๋ยวจะเอามาสอดไส้เผือกกวนทำเป็นข้าวเหนียวปิ้งดีกว่า ขอตัวไปซื้อส่วนผสมก่อนนะคะ เพื่อน ๆ คนไหนอยากกินฟรี ตามมาช่วยหิ้วของหน่อยนะคะ




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2560 14:16:42 น.
Counter : 2729 Pageviews.  

โรคตาแห้งอันตรายอย่างไร



น้ำตาเทียม

คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่

          แสบตา ระคายเคืองตา เหมือนมีเม็ดทรายในตา ตาแห้ง ตาแดงบ่อย ๆ ปวดตา ตาล้า สู้แสงสู้ลมไม่ได้ ตามัว น้ำตาไหลบางครั้ง ต้องกะพริบตาบ่อย ๆ ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ แล้วปวดหัว ปวดตา ใส่คอนแทคเลนส์แล้วมีตาอักเสบบ่อย ๆ1

ถ้าคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรจะไปตรวจกับจักษุแพทย์ ว่าคุณเป็นโรคตาแห้งหรือไม่

โรคตาแห้งมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร

โรคตาแห้งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เพราะเมื่อใช้สายตานาน ๆ เช่น จ้องจอคอมพิวเตอร์, แท็ปเล็ต หรือเล่นโทรศัพท์ ทำให้มีอาการแสบตา ระคายเคืองตา ดูภาพไม่ชัด บางครั้งต้องกะพริบตาบ่อย ๆ โรคตาแห้ง เป็นสาเหตุทางตาที่สำคัญของ Digital Eye Strain (กลุ่มอาการจากการใช้คอมพิวเตอร์ หรือ DES)2
น้ำตาเทียม
น้ำตาเทียม
 อาการแสบตา สู้แสงสู้ลมไม่ได้ ทำให้อยู่ในห้องที่เปิดพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศนาน ๆ แล้วไม่สบายตา ตาแดง หรือระคายเคืองตา แสบตาเวลาขับรถ ถ้าเป็นผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ จะทำให้ระคายเคืองตาขณะใส่เลนส์ และมีโอกาสติดเชื้อที่กระจกตาได้ง่าย

โรคตาแห้งทำให้คุณภาพชีวิตลดลง โดยกลุ่มที่ตาแห้งปานกลาง มีคุณภาพชีวิตเทียบเท่ากับภาวะเจ็บหน้าอกขั้นปานกลาง (Moderate angina) ส่วนพวกที่ตาแห้งมาก ๆ อาจมีภาวะแทรกซ้อนทำให้ตาบอดได้3


น้ำตาเทียมคืออะไร มีกี่ชนิด ใช้เป็นประจำแล้วมีอันตรายหรือไม่

น้ำตาเทียมเป็นสารหล่อลื่นที่มีคุณสมบัติช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวตา ทดแทนน้ำตาตามธรรมชาติที่มีไม่เพียงพอ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่มีสารกันเสีย (Preservatives) ทำให้ยามีอายุ 1 เดือนหลังเปิดใช้ และกลุ่มที่ไม่มีสารกันเสีย ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบสารละลายที่บรรจุในหลอดบรรจุขนาดเล็กที่ใช้ได้ภายใน 1 วัน

น้ำตาเทียมยังมีหลากหลายชนิดตามคุณสมบัติของสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะเหมาะกับภาวะตาแห้งที่มีความรุนแรงและสาเหตุที่แตกต่างกัน4


การใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ ไม่มีผลทำให้การหลั่งน้ำตาตามธรรมชาติลดลง แต่มีข้อจำกัดในการใช้ เช่น ถ้าเป็นชนิดที่มีสารกันเสีย ไม่ควรใช้บ่อยกว่า 4 ชั่วโมง เนื่องจากสารกันเสียอาจไปทำอันตรายผิวตา ทำให้ยิ่งใช้บ่อยยิ่งทำให้ระคายเคืองตามากขึ้น ซึ่งถ้าต้องการหยอดบ่อย ๆ ควรใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย เนื่องจากมีความปลอดภัยแต่มักจะมีราคาแพง4


ผู้เรียบเรียงบทความ
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง สมสงวน อัษญคุณ
ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2560 14:14:46 น.
Counter : 1276 Pageviews.  

เผย ! 5 เหตุผลที่ทำให้หนุ่มบ้าการ์ตูนมักไม่สมหวังในความรัก



พฤติกรรมของผู้ชาย

  มาหาคำตอบกัน... ทำไมหนุ่ม ๆ ที่คลั่งไคล้การ์ตูนหรือบ้าแอนิเมชั่นญี่ปุ่นสุด ๆ ที่เรียกว่าหนุ่ม ๆ "โอตาคุ" ถึงมักไม่สมหวังเรื่องความรัก

โอตาคุ คำนี้หลาย ๆ คนคงสงสัยว่ามันมีความหมายว่าอะไร จริง ๆ แล้ว คำว่า "โอตาคุ" นี้ มาจากภาษาญี่ปุ่น ที่ใช้กล่าวถึงคนที่บ้าการ์ตูนหรือแอนิเมชั่นญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นหมกมุ่นอย่างหนักในโลกของการ์ตูนและแอนิเมชั่น ทำให้โอตาคุส่วนมากไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากเท่าไรนัก โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก บรรดาหนุ่ม ๆ โอตาคุส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยสมหวังในความรักสักเท่าไร มักอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน สาวไม่มองอยู่เป็นประจำ นั่นก็เป็นเพราะความบ้าการ์ตูนและแอนิเมชั่นญี่ปุ่นมากเกินไปนั่นเอง ซึ่งก็ได้มีผลสำรวจจากประเทศญี่ปุ่นออกมา พบว่าสาเหตุที่ทำให้หนุ่มบ้าการ์ตูน หรือหนุ่มโอตาคุทั้งหลายมักแห้วในการจีบสาวอยู่เสมอ ๆ มาจากเหตุผล ทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้

1. คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง

          การพูดคุยกับหนุ่ม ๆ โอตาคุนั้น ถ้าไม่ได้คุยในเรื่องเดียวกับที่เขาสนใจละก็ เห็นทีจะคุยกันยากซะหน่อยแล้ว เพราะหนุ่ม ๆ พวกนี้ ก็จะเอาแต่พูดถึงเรื่องการ์ตูน เรื่องแอนิเมชั่น และมักพูดแต่เรื่องที่เขาสนใจ มากกว่าจะไปสนใจในเรื่องของคนอื่นน่ะสิ

2. มีสไตล์การแต่งตัวที่เชยมาก

          หนุ่ม ๆ โอตาคุส่วนใหญ่ มักเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองเท่าไร มักปล่อยให้ตัวเองอ้วนโทรม ชอบใส่แว่นหนา ๆ และสะพายกระเป๋าใบใหญ่ ๆ แถมยังไม่มีหัวด้านแฟชั่นเอาซะเลย ใส่เสื้อผ้าแต่ละชุดก็ไม่ค่อยทันสมัย แต่งตัวเชย ๆ ซ้ำ ๆ วนไปอยู่อย่างนั้น แถมโอตาคุบางคนก็ยังมีรสนิยมการแต่งตัวแบบแปลก ๆ ที่ใครหลายคนก็เข้าไม่ถึงอีกด้วย

3. เป็นผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์

          ขึ้นชื่อว่าโอตาคุผู้รักและหลงใหลในโลกแห่งอะนิเมะแล้ว ก็คงไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาขัดขวางความชอบของพวกเขาไปได้แน่ ๆ  ไม่ว่าจะชวนพวกเขาคุยเรื่องอะไร สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเรื่องการ์ตูน หรือแอนิเมชั่นอยู่ดี แถมบางทีก็ชอบพูดศัพท์เฉพาะแปลก ๆ ที่เข้าใจกันเองในหมู่โอตาคุอีกด้วยแน่ะ

4. ไม่มีทักษะจีบหญิง

          อย่าว่าแต่ทักษะจีบหญิงเลย โอตาคุหลาย ๆ คนก็ยังขาดทักษะในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาขาดความมั่นใจ มักชอบเก็บตัวอยู่แต่ในโลกส่วนตัว จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะเข้าหาคนอื่นแบบไหน หรือจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร

5. แสนดีเกินไป

          ข้อดีของหนุ่ม ๆ โอตาคุ ส่วนมากจะเป็นผู้ชายที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ ไม่เที่ยวผู้หญิง และมักติดอยู่กับบ้านเพื่ออยู่ในโลกส่วนตัวที่มีแต่การ์ตูนและแอนิเมชั่นเสียส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีเวลาออกไปพบปะคนอื่น ๆ แล้วอย่างนี้จะได้ออกไปเจอผู้หญิงที่ไหนบ้างล่ะเนี่ย

          ดู ๆ ไปนิสัยของหนุ่ม ๆ โอตาคุที่บ้าการ์ตูนและแอนิเมชั่นขั้นสุดนี่ก็ดูเข้าถึงยากจริง ๆ เลยนะเนี่ย...เอาเป็นว่าถ้าหนุ่ม ๆ คนไหนที่ไม่อยากผิดหวังเรื่องความรักละก็ อย่าเป็นแบบหนุ่มโอตาคุจะดีกว่า ไม่งั้นละก็ แทนที่สาว ๆ ทั้งหลายจะวิ่งเข้าหา อาจกลายเป็นวิ่งหนีไปก็ไม่รู้ด้วยนะ...

ข้อมูลจาก en.rocketnews24.com, otakomu.jp




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2560 14:09:09 น.
Counter : 1497 Pageviews.  

คำชะโนด จ.อุดรธานี สถานที่เที่ยวศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนพญานาค



คำชะโนด อุดรธานี

คำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี สถานที่ท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือของพี่น้องชาวอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียง

คำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวศักดิ์สิทธ์สิทธิ์ ที่ตั้งอยู่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี สถานที่แห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านในจังหวัดอุดรธานีและใกล้เคียงแล้ว หากแต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการเล่าขานตำนานลี้ลับอันโด่งดัง ที่เชื่อกันว่าเป็นดินแดนของพญานาค ผืนป่าลอยน้ำ หรือความเชื่อเกี่ยวกับเมืองบาดาล วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ เดินทางไปรู้จักและสัมผัสถึงธรรมชาติอันมหัศจรรย์ หนึ่งเดียวในเมืองไทยแห่งนี้ไปด้วยกัน

คำชะโนด อุดรธานี

         คำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด ตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดศิริสุทโธคำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านทั้งในจังหวัดอุดรธานีและใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นวัดที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคและเป็นทางเชื่อมต่อเมืองบาดาล ปกครองรักษาโดยพญานาคราชปู่ศรีสุทโธและองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี และปกคลุมด้วยผืนป่าคำชะโนดขนาดใหญ่อยู่ทั่วบริเวณ แต่ละต้นล้วนมีอายุยาวนาน ซึ่งในประเทศไทยมีต้นคำชะโนแบบนี้เพียงที่เดียวเท่านั้น

คำชะโนด อุดรธานี

คำชะโนด อุดรธานี
ภาพจาก navee sangvitoon / Shutterstock.com

         เข้ามาด้านในของป่าคำชะโนด ตรงบริเวณศาลเจ้าปูศรีสุทโธ เราจะเห็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างเดินทางเข้ามากราบไหว้กันไม่ขาดสาย โดยอีกด้านหนึ่งของศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ นักท่องเที่ยวจะเห็นรากต้นไทรขนาดใหญ่ ที่ชาวบ้านนิยมเข้ามากราบไหว้บูชาด้วยเช่นเดียวกัน

คำชะโนด อุดรธานี

คำชะโนด อุดรธานี
ภาพจาก Eddy Tor Channarong / Shutterstock.com

         เมื่อเดินไปถึงป่าคำชะโนด จะเจอกับ "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" หรือ "บ่อคำชะโนด" ที่ตั้งอยู่กลางเกาะ มีลักษณะเป็นน้ำใต้ดินพุ่งไหลอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยลดแห่งลงเลย ระดับน้ำอยู่แค่ไหน ก็จะอยู่ระดับนั้นไม่เปลี่ยน (มีความเชื่อกันว่าเป็นประตูเชื่อมไปสู่เมืองบาดาล ที่อยู่อาศัยของพญาศรีสุทโธนาค) ทั้งยังเป็นจุดที่คนนิยมเข้ามาสรงน้ำรูปปั้นพญานาค และประชาชนส่วนใหญ่ยังน้ำใส่ขวด เพื่อเก็บกลับไปสักการะ เพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


คำชะโนด อุดรธานี
ภาพจาก Eddy Tor Channarong / Shutterstock.com

         ปัจจุบัน ป่าคำชะโนด ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมนต์ขลัง ด้วยเรื่องเล่าตำนานพญานาค ซึ่งตามตำนานเชื่อกันว่า พญาศรีสุทโธนาค ผู้ขุดแม่น้ำโขงใช้ป่าคำชะโนด เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองบาดาลและโลกมนุษย์ ซึ่งบริเวณดังกล่าวคือ สะพานปูนรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร และถ้าสังเกตให้ดี ๆ ตรงกึ่งกลางสะพาน จะเจอกับรอยแยก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรอยต่อระหว่างโลกมนุษย์กับบาดาลนั่นเอง

คำชะโนด อุดรธานี
ภาพจาก Eddy Tor Channarong / Shutterstock.com

         แต่เพราะแรงศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางไปยังป่าคำชะโนดกันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้คณะกรรมวัดได้ออกกฎระเบียบ 6 ข้อ ได้แก่

         1. ไม่จุดธูปเทียนบูชาในป่าคำชะโนด
         2. ให้นำพานบายศรีหรือเครื่องเซ่นไหว้กลับ เพื่อเป็นการลดขยะ
         3. ไม่โยนเหรียญลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  
         4. งดปล่อยปลาและสัตว์น้ำลงไปในแหล่งน้ำ
         5. ไม่ผูกผ้าแพร 7 สี
         6. ไม่ทาแป้งหรือขัดถูต้นไม้

การเดินทางมายังป่าคำชะโนด

         ขับมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 22 (อุดรธานี-สกลนคร) ขับตรงไปเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่เขตพื้นที่บ้านหนองเม็ก หลังจากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอบ้านดุง เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร ไม่นานก็จะถึงป่าคำชะโนด (ป่าคำชะโนดเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เฟซบุ๊ก วังนาคินทร์คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2560 19:29:15 น.
Counter : 2709 Pageviews.  

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ขนมหวานหอมกลิ่นมะพร้าว ทำง่ายไม่กี่นาที



พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

ส่วนผสม พุดดิ้ง

      ► น้ำตาลทราย 90 กรัม
      ► ผงวุ้น 2 ช้อนชา
      ► น้ำเปล่า 350 กรัม
      ► น้ำมะพร้าว 350 กรัม
      ► กะทิ 120 กรัม
      ► เนื้อมะพร้าวอ่อน 200 กรัม

ส่วนผสม น้ำราดพุดดิ้ง

      ► นมสดรสจืด 1/2 ถ้วย
      ► นมข้นจืด 1/2 ถ้วย
      ► นมข้นหวาน (ปริมาณตามชอบ)

วิธีทำพุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► เทน้ำตาลทรายและผงวุ้นใส่ลงในอ่างผสม คนให้เข้ากัน พักไว้

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► ใส่น้ำเปล่าและน้ำมะพร้าวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแล้วเทส่วนผสมผงวุ้นกับน้ำตาลทรายลงไปคนให้เข้ากันจนเดือด จากนั้นปิดไฟแล้วคนต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ผงวุ้นละลาย

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► เทกะทิลงไปในหม้อคนให้เข้ากัน

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปคนเบา ๆ

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► ตักใส่ภาชนะ นำไปแช่เย็นเพื่อให้วุ้นเซตตัวเร็วขึ้น

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► ผสมนมสด นมข้นจืด และนมข้นหวานเข้าด้วยกัน คนให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► ตักราดลงไปบนส่วนผสมพุดดิ้งที่เซตตัวแล้ว

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

      ► พร้อมเสิร์ฟ หรือนำเข้าแช่เย็นอีกครั้งก่อนเสิร์ฟ

พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน

          พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน หน้าตายั่วยวนน่าหม่ำใช่เล่น ยิ่งเห็นเนื้อมะพร้าวอ่อนชิ้นโตด้วยแล้วน้ำลายสอจริง ๆ เห็นทีจะต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วบึ่งไปซื้อมะพร้าวอ่อนมาใส่พุดดิ้งทำกินเล่น ๆ เย็นนี้เลยดีกว่า 




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2560 19:26:05 น.
Counter : 2244 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.