วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง ช่วยผู้ประสบเหตุรอดชีวิต
มาดูวิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง เผื่อเราเจอสถานการณ์คับขัน มีโอกาสได้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทุกชีวิตจะได้ปลอดภัย การทำ CPR คือวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ช่วยคืนชีวิตแก่ผู้ประสบเหตุมานักต่อนัก ดังนั้นขั้นตอนการทำ CPR ที่ถูกต้องจึงควรเป็นความรู้ที่น่าจะติดตัวเราทุกคนไว้บ้าง เพราะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และอาจมีบางสถานการณ์ที่เราต้องพบเห็นผู้ประสบเหตุหมดสติ หัวใจหยุดเต้น เช่น คนจมน้ำ คนถูกไฟดูด สูดดมก๊าซพิษ ควันพิษ ช็อกเพราะเสียเลือดมาก หรือผู้ประสบเหตุที่หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะจากสาเหตุอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้นหากเรามีโอกาสและความรู้พอที่จะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์หรือแม้กระทั่งคนใกล้ตัวได้ แล้วเราจะปล่อยโอกาสนั้นไปทำไม มาเรียนรู้วิธีทำ CPR ที่ถูกต้องกันเถอะค่ะ Cardiopulmonary Resuscitation หรือเรียกง่าย ๆ ว่า CPR คือ การปฐมพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นให้กลับมาหายใจ และมีการไหลเวียนออกซิเจนรวมทั้งเลือดกลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมทั้งป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร โดยเราสามารถทำการฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานให้ผู้ประสบเหตุได้โดยการผายปอด และการปั๊มหัวใจภายนอก ทั้งนี้อาการของผู้บาดเจ็บที่ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยการทำ CPR สามารถสังเกตง่าย ๆ ดังนี้ 1. ไม่รู้สึกตัว 2. ไม่หายใจ 3. หัวใจหยุดเต้น วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง แนวทางการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญที่ควรทำตามลำดับ A B C ดังนี้ 1. A : Airway หมายถึง การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ซึ่งเป็นการปฎิบัติขั้นแรกที่สำคัญเป็นอย่างมาก ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะโดยมากผู้บาดเจ็บที่หมดสติจะมีภาวะโคนลิ้นและกล่องเสียงตกลงไปอุดทางเดินหายใจส่วนบน ดังนั้นจึงต้องเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง เริ่มจากผู้ช่วยเหลือขยับไปอยู่เหนือศีรษะผู้บาดเจ็บ แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างหนึ่งวางไว้ใต้คาง ร่วมกับใช้มืออีกข้างกดหน้าผาก เพื่อดันให้ใบหน้าผู้บาดเจ็บหงายขึ้น เปิดขากรรไกรให้ตั้งตรง 2. B : Breathing หมายถึง การช่วยให้ผู้บาดเจ็บกลับมาหายใจอีกครั้ง โดยใช้วิธีดังต่อไปนี้ - ผายปอด เริ่มจากบีบจมูกของผู้บาดเจ็บ แล้วผู้ช่วยเหลือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สัก 2-3 ครั้ง เมื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอดเต็มที่แล้ว ให้ประกบปากตัวเองกับผู้บาดเจ็บแล้วปล่อยลมหายใจเข้าไปในปอดผู้บาดเจ็บให้เต็มที่ แล้วจึงถอนปากออกมาเพื่อให้ผู้บาดเจ็บหายใจออก ทั้งนี้การผายปอดควรทำประมาณ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-1.5 วินาที และอัตราเร็วในการเป่า คือ 12-15 ครั้ง/นาที ซึ่งจะเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับการหายใจปกติ - เป่าจมูก ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บมีอาการบาดเจ็บที่ปาก หรือในกรณีที่เป็นเด็กเล็ก ให้ใช้วิธีปิดปากผู้บาดเจ็บแล้วปล่อยลมหายใจของเราเข้าทางจมูกผู้บาดเจ็บแทน โดยอัตราการเป่าก็เหมือนกับการผายปอดทุกประการ อย่างไรก็ตามในการผายปอดและการเป่าจมูก ระหว่างที่ทำควรเหลือบมองยอดอกของผู้บาดเจ็บด้วยว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ และการเป่าลมหายใจของผู้ช่วยเหลือผ่านทางปากหรือจมูก จะต้องทำอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ 3. C : Circulation หมายถึง การปฐมพยาบาลเพื่อช่วยให้ผู้บาดเจ็บมีการไหลเวียนของเลือดในร่างกายอีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีปั๊มหัวใจ ที่เปรียบเสมือนการปั๊มหัวใจภายนอก ซึ่งเราจะใช้วิธีนี้ในกรณีจับชีพจรของผู้บาดเจ็บไม่ได้ ปลุกผู้บาดเจ็บแล้วไม่ฟื้น และตรวจสอบแล้วว่าหัวใจของผู้บาดเจ็บหยุดเต้น ทั้งนี้หลักในการปั๊มหัวใจ คือ ต้องกดให้กระดูกหน้าอก (Sternum) ลงไปชิดกับกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้หัวใจที่อยู่ระหว่างกระดูกทั้งสองอันถูกกดไปด้วย ทำให้มีการบีบเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย เสมือนการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งมีขั้นตอนในการปั๊มหัวใจตามนี้วิธีปั๊มหัวใจ 1. ให้ผู้บาดเจ็บนอนราบกับพื้นแข็ง ๆ หรือใช้ไม้กระดานรองที่หลังของผู้บาดเจ็บ ผู้ปฐมพยาบาลคุกเข่าลงข้างขวาหรือข้างซ้ายบริเวณหน้าอกผู้บาดเจ็บ คลำหาส่วนล่างสุดของกระดูกอกที่ต่อกับกระดูกซี่โครง โดยใช้นิ้วสัมผัสชายโครงไล่ขึ้นมา (หากคุกเข่าข้างขวาใช้มือขวาคลำเพื่อหากระดูกอก แต่หากคุกเข่าข้างซ้ายให้ใช้มือซ้ายคลำ) 2. วางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงตำแหน่งที่กระดูกซี่โครงต่อกับกระดูกอกส่วนล่างสุด วางสันมืออีกข้างบนตำแหน่งถัดจากนิ้วชี้และนิ้วกลางนั้น ซึ่งตำแหน่งของสันมือที่วางอยู่บนกระดูกหน้าอกนี้จะเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องในการปั๊มหัวใจต่อไป 3. วางมืออีกข้างทับลงบนหลังมือที่วางในตำแหน่งที่ถูกต้อง แล้วเหยียดนิ้วมือตรง จากนั้นเกี่ยวนิ้วมือทั้ง 2 ข้างเข้าด้วยกัน แล้วเหยียดแขนตรง โน้มตัวตั้งฉากกับหน้าอกผู้บาดเจ็บ ทิ้งน้ำหนักลงบนแขนขณะกดหน้าอกผู้บาดเจ็บ ให้กระดูกลดระดับลง 1.5-2 นิ้ว เมื่อกดสุดให้ผ่อนมือขึ้นโดยที่ตำแหน่งมือไม่ต้องเลื่อนไปจากจุดที่กำหนด และขณะกดหน้าอกปั๊มหัวใจ ห้ามใช้นิ้วมือกดลงบนกระดูกซี่โครงผู้บาดเจ็บ 4. เพื่อให้ช่วงเวลาการกดแต่ละครั้งคงที่ และจังหวะการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจพอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการ ให้ใช้วิธีนับจำนวนครั้งที่กด ดังนี้...หนึ่ง และสอง และสาม และสี่ และห้า...โดยกดทุกครั้งที่นับตัวเลข และปล่อยตอนคำว่า และ สลับกันไป ให้ได้อัตราการกดประมาณ 100 ครั้งต่อนาที 5. ถ้าผู้ปฏิบัติมีคนเดียว ให้ปั๊มหัวใจ 15 ครั้ง สลับกับการผายปอด 2 ครั้ง ทำสลับกันเช่นนี้จนครบ 4 รอบ แล้วให้ตรวจชีพจร และการหายใจ หากคลำชีพจรไม่ได้ต้องปั๊มหัวใจต่อ แต่ถ้าคลำชีพจรได้และยังไม่หายใจ ก็ผายปอดต่อไปอย่างเดียว 6. ถ้ามีผู้ปฏิบัติ 2 คน ให้ปั๊มหัวใจ 5 ครั้ง สลับกับการผายปอด 1 ครั้ง โดยขณะที่ผายปอด อีกคนหนึ่งต้องหยุดปั๊มหัวใจ 7. ในเด็กแรกเกิดหรือเด็กอ่อน การปั๊มหัวใจให้ใช้เพียงนิ้วหัวแม่มือกดกลางกระดูกหน้าอกให้ได้อัตราเร็ว 100120 ครั้งต่อนาที โดยใช้นิ้วมือโอบรอบทรวงอกสองข้างแล้วใช้หัวแม่มือกด
Create Date : 02 กรกฎาคม 2560 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2560 15:03:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3651 Pageviews. |
|
|
|
| |