อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

มะเร็งมดลูก ภัยเงียบที่แฝงมากับอาการประจำเดือนผิดปกติ



มะเร็งมดลูก

มะเร็งมดลูกพบได้ไม่บ่อยเท่ามะเร็งปากมดลูกก็จริง แต่สำหรับสาววัยหมดประจำเดือนไปแล้ว หรือแม้แต่สาววัย 30 ปลาย ๆ ต้องระวังโรคนี้ไว้ให้ดีไม่น้อยไปกว่าโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งปีกมดลูกเลยค่ะ

มะเร็งมดลูกเป็นคนละที่กับมะเร็งปากมดลูกนะคะ เพราะโดยสถิติแล้วมะเร็งปากมดลูกเริ่มพบได้น้อยลง แต่กลับพบแนวโน้มโรคมะเร็งมดลูกมากขึ้นในหญิงวัย 30 ปลาย ๆ ซึ่งทางการแพทย์สันนิษฐานสถานการณ์นี้ไว้ว่า ผู้หญิงเข้าใจและเข้าถึงการป้องกันมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น รวมทั้งยังคงมีความเข้าใจผิดคิดว่าการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก็คือการตรวจคัดกรองมะเร็งมดลูกไปด้วย ทั้งที่จริงแล้วการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไม่ใช่การตรวจมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ที่ครบถ้วน

          ดังนั้นสิ่งที่น่ากังวลก็คือ ผู้หญิงจะละเลยการตรวจมะเร็งมดลูก และยังเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับมะเร็งมดลูกกันอยู่ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งมดลูกมาให้ได้เตรียมตัวระวัง พร้อมกับเรียนรู้วิธีลดความเสี่ยงโรคมะเร็งมดลูกกันค่ะ
มะเร็งมดลูก
มะเร็งมดลูกคืออะไร

มะเร็งมดลูก ภาษาอังกฤษคือ Uterine Cancer เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งนรีเวช หรือมะเร็งในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง โดยมะเร็งมดลูกเป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในตัวมดลูก พบได้เป็นอันดับ 3 ของมะเร็งอวัยวะเพศสตรี รองจากมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ โดยจากสถิติของสำนักงานวิจัยมะเร็งนานาชาติ พบว่ามีสตรีไทยเป็นมะเร็งมดลูกปีละประมาณ 920 คน เสียชีวิต 288 คน หรือร้อยละ 32 โดยส่วนใหญ่ของมะเร็งมดลูกร้อยละ 95-97 เป็นมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูก และอีกร้อยละ 3-5 เป็นมะเร็งของกล้ามเนื้อหรือผนังมดลูก

มะเร็งมดลูกสาเหตุเกิดจากอะไร

มะเร็งมดลูกหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงโรคมะเร็งมดลูกได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ว่าก็มีดังนี้

          - อายุที่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะพบในสตรีสูงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน ในช่วงอายุ 51-60 ปี

          - มีน้ำหนักตัวเกิน และอ้วน

          - ไม่เคยตั้งครรภ์ หรือมีบุตรน้อย เพียง 1-2 คน

          - มีประจำเดือนเร็วกว่าปกติ คือเป็นประจำเดือนตอนอายุน้อยกว่า 12 ปี

          - หมดประจำเดือนช้ากว่าคนทั่วไป คือหมดประจำเดือนตอนอายุเกิน 55 ปี

          - เป็นโรคเบาหวาน

          - เป็นโรคความดันโลหิตสูง

          - กินยาฮอร์โมนเพศหลังหมดประจำเดือนแล้ว

          - กินยาฮอร์โมนรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่เรียกว่ายาทามอกซิเฟน (Tamoxifen)

          - เคยได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมน เอสโตรเจนเป็นเวลานาน หรือเคยได้รับการฉาย รังสีที่บริเวณเชิงกราน

          - กินอาหารไขมันสูงต่อเนื่องเป็นประจำ

          - เคยเป็นโรคมะเร็งเต้านม และ/หรือโรคมะเร็งรังไข่

          - มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัวสายตรงเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และ/หรือโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

          - เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเกินปกติ ชนิดเจริญนอกแบบ (Complex atypical endometrial hyperplasia)

มะเร็งมดลูก

มะเร็งมดลูก อาการเป็นอย่างไร

          - มีเลือดออกทางช่องคลอด ในสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้ว หรือมีเลือดออกผิดปกติในสตรีที่ยังคงมีประจำเดือนอยู่

          - ประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง หรือมาเกินกว่าปกติที่เคยมี

          - ตกขาวมีกลิ่นเหม็น

          - คลำพบก้อนที่บริเวณท้องน้อย

          - ปวดท้องน้อย ปวดหลัง เนื่องจากมดลูกโตไปกดแผงประสาท

          - รู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธุ์

          - คลื่นไส้ รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร

          - ปวดหลัง ปวดขา หรืออุ้งเชิงกราน

          - ไอ หอบ ต่อมน้ำเหลือโต หรือปวดกระดูก มักพบในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ

ทั้งนี้อาการสำคัญของโรคมะเร็งมดลูกคือมีประจำเดือนผิดปกติ มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งหากพบภาวะนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ควรละเลยเด็ดขาดนะคะ และควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด

มะเร็งมดลูก


มะเร็งมดลูก มีกี่ระยะ

มะเร็งมดลุกสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

มะเร็งมดลูกระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ภายในมดลูก

มะเร็งมดลูกระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งลุกลามไปที่ปากมดลูก

มะเร็งมดลูกระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งลุกลามไปนอกมดลูก และเข้าไปบริเวณเนื้อเยื่อใกล้เคียง ซึ่งอยู่ภายในอุ้งเชิงกรานหรือต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งมดลูกระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งลุกลามไปเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณท้องหรืออวัยวะอื่น เช่น กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ตับ หรือปอด รวมทั้งอาจแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ ต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้า หรือเซลลมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ลามไปจนถึงกระดูก

มะเร็งมดลูก ตรวจหาอย่างไรได้บ้าง

แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งมดลูก แต่ในทางการแพทย์ก็มีวิธีตรวจหาความผิดปกติของมดลูกได้ ซึ่งแนวทางวินิจฉัยก็ตามนี้เลยค่ะ

          1. ซักประวัติของผู้ป่วย
          2. ตรวจภายใน เพื่อเช็กว่ามีเลือดออกจากโพรงมดลูก มีก้อนเนื้อในมดลูกที่คลำได้ หรือมีภาวะมดลูกโตหรือไม่
          3. การขูดมดลูก เพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์

มะเร็งมดลูก

มะเร็งมดลูก รักษาอย่างไร

การรักษาโรคมะเร็งมดลูกสามารถทำได้ 4 แนวทางดังนี้

1. ผ่าตัด

          หากตรวจพบมะเร็งมดลูกในระยะเริ่มแรก จะสามารถเลือกวิธีผ่าตัดเอามดลูก พร้อมทั้งรังไข่และท่อนำรังไข่ทั้งสองข้างอกทางหน้าท้อง หรือใช้วิธีผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ ทั้งนี้การผ่าตัดรักษามะเร็งมดลูกในระยะแรกจะให้ประสิทธิภาพในการรักษาได้ดีที่สุด และผู้ป่วยมีโอกาสหายได้ถึง 90%

2. ฉายรังสี

          ในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อุ้งเชิงกรานซ้ำอีก แพทย์จะทำการฉายรังสีเพื่อลดการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาใช้วิธีฉายรังสีในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดได้

3. เคมีบำบัด

          ในรายที่มะเร็งกระจายไกลออกไปจากช่องเชิงกรานแล้ว แพทย์จะใช้วิธีรักษาด้วยเคมีบำบัดตามชนิดของมะเร็งที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนนั้น ๆ

4. ฮอร์โมนบำบัด

          วิธีรักษามะเร็งมดลูกด้วยฮอร์โมนบำบัดมักจะใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งมดลูกระยะสุดท้าย โดยแพทย์จะจ่ายฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ชนิดเม็ด เพื่อลดการลุกลามของเซลล์มะเร็ง

มะเร็งมดลูก

มะเร็งมดลูก ป้องกันได้ไหม

เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุของมะเร็งมดลูกที่แน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำได้คือ หยุดความเสี่ยงอันเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคนี้ได้ค่ะ อย่างเช่น 

          1. หากมีประจำเดือนผิดปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะสตรีวัยหมดประจำเดือน

          2. ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน

          3. ดูแลสุขภาพไม่ให้เสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง

          4. หลีกเลี่ยงการรับฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) โดยไม่เหมาะสม

          5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารไขมันสูง

          6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

จริง ๆ แล้วโรคมะเร็งมดลูกหรือมะเร็งเยื่อุโพรงมดลูกสามารถป้องกันและรักษาให้หายได้หากพบในระยะแรกเริ่ม ฉะนั้นหากรู้ตัวว่าตัวเองมีประจำเดือนไม่ปกติ ก็อย่านิ่งเฉยนะคะ เป็นอะไรให้รีบปรึกษาแพทย์จะดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
สถาบันมะเร็งนรีเวชไทย
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์




 

Create Date : 06 กันยายน 2560    
Last Update : 6 กันยายน 2560 18:48:42 น.
Counter : 1485 Pageviews.  

ภูผาดัก หนองคาย จุดชมวิวทะเลหมอกสุดอันซีนเหนือลำน้ำโขง



ภูผาดัก หนองคาย

 แนะนำสถานที่ชมวิวทะเลหมอกเหนือลำน้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย กับภูผาดัก ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย หยิบหมอกหยอกแสงอาทิตย์บนยอดภูช่วงปลายฝนต้นหนา

   การจะชมทะเลหมอกไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวชมกันเฉพาะในภาคเหนือ ทางภาคอีสานบ้านเฮาก็สามารถชมทะเลหมอกที่สวยอลังการตระการตาได้เหมือนกัน โดยเฉพาะที่อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย แหล่งชมทะเลหมอกริมลำน้ำโขงยอดนิยมแห่งหนึ่งของเมืองไทย วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งสถานที่ชมทะเลหมอกสวย ๆ ในอำเภอสังคมแห่งนี้กันค่ะ กับภูผาดักยอดภูริมลำน้ำโขง จุดชมวิวทะเลหมอกสวยสะกดใจ
ภูผาดัก หนองคาย
ภูผาดัก ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ใช้เวลาเดินทางจากอำเภอเมืองหนองคายมายังตำบลบ้านม่วงราว ๆ 2 ชั่วโมง สำหรับภูผาดักมีลักษณะเป็นภูเขาสูง ซึ่งมีจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงาม โดยเฉพาะช่วงปลายฝน จนตลอดฤดูหนาว บริเวณนี้จะมีทะเลหมอกสวยงามตระการตา ยิ่งในยามเช้าเราจะได้เห็นแสงพระอาทิตย์ทอลงมายังทะเลหมอกสีขาวราวกับปุยนุ่นนุ่มละมุน เป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจสุด ๆ

ภูผาดัก หนองคาย

ภูผาดัก หนองคาย

สำหรับการขึ้นไปเที่ยวชมยังจุดชมวิวภูผาดักนั้น นักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางประมาณ 800-900 เมตร เส้นทางมีลักษณะชันประมาณ 45-60 องศา ใช้เวลาราว ๆ 30-45 นาที ร่างกายจึงต้องแข็งแรงพอสมควร

ภูผาดัก หนองคาย

ภูผาดัก หนองคาย

ภูผาดัก หนองคาย

ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การขึ้นไปชมทะเลหมอกที่จุดชมวิวภูผาดักนั้นจะอยู่ในช่วงเช้า ต้องมาถึงจุดขึ้นเขาราว ๆ ตี 4 เส้นทางจะมืดมาก จึงจำเป็นต้องมีผู้นำทาง โดย 1 กรุ๊ป (ไม่เกิน 10 ท่าน) จะมีค่าวิทยากร 500 บาท

ภูผาดัก หนองคาย

ภูห้วยอีสัน

ภูผาดัก หนองคาย

จุดชมวิววัดผาตากเสื้อ

นอกจากนี้ภูผาดักยังอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ ของอำเภอสังคมอย่างภูห้วยอีสัน และวัดผาตากเสื้อ จุดชมวิวทะเลหมอกเหนือลำน้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย

สามารถสอบถามรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริการส่วนตำบลบ้านม่วง โทรศัพท์ 0 4241 4871, 08 7219 5500 (นายก อบต.บ้านม่วง คุณศิริศักดิ์ เบ้าแก้ว)

ช่วงปลายฝนกำลังจะก้าวเข้ามาอีกครั้งแล้วนะคะ ใครที่เก็บวันหยุดไว้เที่ยวปลายปีก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมที่เที่ยวสวย ๆ ในหนองคายกันนะคะ :)

หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2560

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นายก อบต. บ้านม่วง คุณศิริศักดิ์ เบ้าแก้ว, องค์การบริการส่วนตำบลบ้านม่วง, BaanMuang.com, ททท. สำนักงานหนองคาย




 

Create Date : 05 กันยายน 2560    
Last Update : 5 กันยายน 2560 9:34:41 น.
Counter : 2475 Pageviews.  

รู้ไหม... เด็กก่อนวัยเรียน ทำไมต้องดื่มนม ?



 นม ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเจริญเติบโตและเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงวัยก่อนเรียน ซึ่งถ้าอยากรู้เหตุผลว่าทำไม ? วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาบอกกันแล้วค่ะ

เด็กวัยก่อนเรียน หรือ ช่วงก่อน 6 ปี เป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งสมองและร่างกาย โดย สมองเติบโตถึง90%ในวัยนี้และ ร่างกายก็มีความสูงและน้ำหนักเพิ่มอย่างต่อเนื่อง  จึงจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของโภชนาการให้เหมาะสม ให้เขาได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

          พัฒนาการของเด็กในช่วงปีแรก ๆ  เป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดอนาคตของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาสมอง ที่ มีการสร้างเซลล์และเส้นใยประสาทที่สลับซับซ้อนกันจำนวนมาก  ซึ่งหากเด็กไม่ได้รับสารอาหารที่ดี และขาดการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง การสร้างใยประสาทก็จะทำได้ไม่เต็มที่ และ ส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือได้รับการกระตุ้นน้อยก็จะฝ่อหายไป และอาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยในอนาค
เด็กจึงควรได้รับการกระตุ้นและเสริมสร้างการเรียนรู้อย่างเหมาะสม และ ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน หลากหลาย และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหารหลัก 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ

นมโคถือเป็นอาหารเสริมที่สำคัญ เพราะนอกจากจะมีสารอาหารที่สมบูรณ์ คือมีครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ยังมีปริมาณสารอาหารที่สูง รสชาติ อร่อย และ ราคาไม่แพงอีกด้วย ใน นมโคนั้นมีกรดอะมิโนมากกว่า 18 ชนิดเลยทีเดียว ซึ่งกรดอะมิโน ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อ พัฒนาการทุกด้านของเด็ก โดยกรดอะมิโนมีด้วยกัน 2ประเภทคือ กรดอะมิโนไม่จำเป็น หรือแบบที่ร่างกายสร้างเองได้และ กรดอะมิโนจำเป็น ที่ร่างกายสร้างไม่ได้เอง โดยในนมโคจะประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด และ มีปริมาณมากถึง 54 % เช่น ไลซีน (Lysine) ลิวซีน (Leucine) ฟีนีลอะลานีน      (Phenylalanine)  เมไธโอนีน (Methionine) ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาร่างกายและสมองของเด็ก ทั้งยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและควบคุมฮอร์โมนต่าง ๆ ทั้งยังเป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทอีกด้วย  นอกจากนี้ในน้ำนมยังมีแอลฟาเอสวันเคซีน (Alpha-S1-casein) และเบต้าเคซีน (Beta Casein) ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายของเด็กเล็กย่อยอาหารได้ง่าย และดูดซึมแร่ธาตุสำคัญในร่างกายได้ดี ซึ่งเบต้าเคซีนนอกจากจะพบได้ในเฉพาะน้ำนมแม่แล้ว ยังพบได้ในน้ำนมโคอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ในนมโคยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของสมอง เช่น วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 และไอโอดีน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมอง มี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และ วิตามินดี ที่ทำงานประสานกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและ ฟัน 

และนอกจากนมโคจะมีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนแล้ว ปัจจุบันยังมีผลิตภัณฑ์นมที่มีความหลากหลายเพื่อความต้องการที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะนมสำหรับเด็ก ที่ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้มีสารอาหารที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ อย่างมีการเสริมสารอาหารสำคัญ เช่น โอเมก้า 3 6 9 ซึ่งมีความจำเป็นต่อการบำรุงสมอง บำรุงประสาทตา ช่วยพัฒนาระบบประสาทและสมอง ทำให้เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายของลูกน้อยได้ดีเลยทีเดียว
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้รู้ประโยชน์ดี ๆ ของนมอย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาใส่ใจลูกน้อยให้ได้ดื่มนมเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกนมที่มีสารอาหารที่จำเป็นและครบถ้วน มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและเสริมสร้างการเจริญเติบโต โดยเฉพาะเด็กในช่วงวัยก่อนเรียนเป็นวัยที่สมองและร่างกายกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นให้เขาได้ดื่มนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีแคลเซียมสูง มีวิตามินและแร่ธาตุ มีโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็น รวมไปถึงมีโอเมก้า 3 6 และ 9 ในปริมาณสูง ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ให้ลูกน้อยพร้อมเติบโตอย่างแข็งแรงสมวัย สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ต่อไปในอนาคตค่ะ




 

Create Date : 05 กันยายน 2560    
Last Update : 5 กันยายน 2560 9:31:45 น.
Counter : 1669 Pageviews.  

10 กฎเหล็กที่คู่รักมือใหม่ควรรู้ สู่รักดี ๆ ที่ตามหา



กฎเหล็กที่คู่รักมือใหม่

ช่วงแรกของการเริ่มต้นความสัมพันธ์เป็นช่วงที่ยากที่สุดของความรักเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะคู่ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้จักกันอย่างดีมาก่อน เพราะนอกจากจะต้องศึกษาดูใจกันแล้ว ยังต้องปรับตัวอะไรหลาย ๆ อย่าง พร้อม ๆ กับหาวิธีสำหรับประคับประคองความสัมพันธ์ไปด้วย 

          ฉะนั้นเราก็เลยขอนำ 10 กฎเหล็กง่าย ๆ สำหรับคู่รักมือใหม่มาฝากกัน เพื่อความรักของพวกคุณจะได้มั่นคงยิ่งขึ้น

1. ไม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัว

          เพราะต่างคนต่างก็ให้คำจำกัดความของคำว่า "พื้นที่ส่วนตัว" แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นในช่วงแรก ๆ ที่คบกันนอกจากจะดูเรื่องนิสัยใจคอกันแล้ว ควรจะสังเกตด้วยว่าอีกฝ่ายเปิดใจกว้างให้คุณเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขาในระดับไหน เช่น การเปิดเผยความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากเกินไป จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจบ้างหรือเปล่า ส่วนไหนที่เขาก็ยังไม่พร้อมจะเปิดให้เข้าไปก็อย่าเพิ่งก้าวก่ายอะไรมากในตอนนี้

2. เจอกันอาทิตย์ละวันก็ยังดี

          ไม่จำเป็นต้องออกมาเจอกันทุกวันหากต่างคนต่างก็มีภารกิจรัดตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะดีกว่าหากมีเวลาเจอกันบ้างอย่างน้อย 1 วัน ในแต่ละสัปดาห์ก็ยังดี โดยลองพูดคุยกันดูว่าแต่ละคนสะดวกในวันไหนและช่วงเวลาใดบ้าง จะได้ไม่กระทบกับหน้าที่การงานทั้งของเขาและของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปพร้อมกันด้วย

3. ให้ความคิดถึงได้ทำงานบ้าง

          ไม่มีคู่รักคนไหนปฏิเสธได้หรอกว่าการอยู่ด้วยกันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการทำตัวเหมือน ๆ กัน เช่น เขาไปไหนคุณก็ตามไปด้วย คุณทำอะไรเขาก็ต้องทำตามคุณด้วย แบบนี้ความสัมพันธ์ไม่คืบแน่ ๆ เพราะสักวันต้องมีคนใดคนหนึ่งรู้สึกอึดอัดใจอย่างแน่นอน ฉะนั้นคงจะดีกว่าหากถามความสมัครใจของเขาสักหน่อย ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรร่วมกันดีกว่า

4. เก็บเรื่องอนาคตไว้พูดในเวลาที่เหมาะสม

          ไม่มีอะไรทำให้ผู้ชายหัวเสียได้เท่ากับการพูดถึงเรื่องอนาคตทั้ง ๆ ที่เพิ่งคบกันได้ไม่นาน โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงานหรือมีลูก ก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองพร้อมสำหรับการสร้างครอบครัวแล้วจริง ๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากอยู่กับคุณหรือคบคุณเล่น ๆ หรอกนะ ขอแค่ให้เข้าใจเขาหน่อย เพราะแค่อยู่ในช่วงที่ไม่พร้อมเท่านั้น เก็บไว้พูดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วดีกว่า

5. ผูกมิตรกับคนรอบข้างเขาให้มากขึ้น

          หากเขาพาคุณไปทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ของเขาก็ถือเป็นเรื่องดีมากทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเขาจริงใจกับคุณในระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้นควรใช้เวลานี้ผูกมิตรกับเพื่อน ๆ หรือคนในครอบครัวที่เขาพาไปรู้จักให้ได้มากที่สุด ซึ่งการสร้างเพื่อนใหม่ไม่ได้ดีกับตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีกับความรักและตัวเขาเองด้วย


6. ไม่ทิ้งเพื่อนเก่าของตัวเอง

          ถึงจะมีเขาอยู่ข้างกายแล้ว แต่อย่างไรก็ตามอย่าให้เวลาเขามากเกินไป จนหายหน้าหายตาไปจากกลุ่มเพื่อนฝูง เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อาจจะลืมคุณเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ความสัมพันธ์ไปไม่รอด ก็จะทำให้คุณไม่เหลือใครเลยจริง ๆ คงจะดีกว่าหากหาเวลาไปอัปเดทข่าวคราวกับเพื่อนฝูงเสียบ้าง จะได้ช่วยกันดูด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร ควรจะคบต่อไปดีหรือเปล่า

7. เปิดเผยในเรื่องที่ควรเปิด

          คุณไม่จำเป็นต้องรายงานชีวิตประจำวันหรือเรื่องของคนในครอบครัวของตัวเองให้เขาฟังทุกเรื่องหรอก แค่ลองคิด ๆ ดูว่ามีเรื่องไหนที่ควรเล่าให้ฟังเขาบ้างก็ค่อยพูดออกไป เช่น หากตอนนี้คุณกับแฟนเก่ายังติดต่อกัน แต่ติดต่อกันในฐานะเพื่อนไม่มีความรู้สึกอื่นแอบแฝงจริง ๆ ก็ควรบอกเขาไปตรง ๆ เพราะหากเขารู้เอง อาจจะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงได้

8. ไม่งี่เง่ากับเรื่องไร้สาระ

          ไม่ควรชวนเขาทะเลาะเพียงเพราะเขาแอบชำเลืองมองผู้หญิงคนอื่นที่เดินผ่านมา หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูไม่เข้าท่า ไม่อย่างนั้นหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้หลาย ๆ ครั้งเข้า อาจจะทำให้ความสัมพันธ์เหลือแค่เพื่อนในไม่ช้า และคงจะดีกว่าหากต่างฝ่ายต่างใจเย็นแล้วพูดกันด้วยเหตุผล ในกรณีที่เป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ สำหรับคุณทั้ง 2 คน

9. หวงเนื้อหวงตัวบ้าง

          หากคุณอยากจะสานความสัมพันธ์กับเขาไปนาน ๆ ไม่ควรปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินไปจนอะไร ๆ ก็ดูง่ายไปหมด เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะมองคุณเป็นแค่คนที่เอาไว้แก้เหงาเท่านั้นเอง ที่สำคัญหากไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดหรือเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเสียใจทีหลัง ก็ไม่ควรอยู่กันสองต่อสองในที่ลับตา หรือทำอะไรที่สร้างสถานการณ์เสี่ยง

10. จำไว้ว่าความรักไม่ใช่การเล่นเกมเดาใจ

          หากคุณต้องการความจริงใจและความสัมพันธ์ที่มั่นคง ไม่ควรลองใจด้วยการพูดอะไรกำกวมให้เขาต้องคอยเดาใจคุณอยู่บ่อย ๆ หากต้องการให้เขาทำอะไรก็ควรพูดออกไปเลยตรง ๆ ให้ชัดเจน เพราะไม่มีใครรู้ใจคุณได้เท่าตัวคุณเองอีกแล้ว ที่สำคัญการลองใจบ่อย ๆ อาจทำให้ความสัมพันธ์จบลงได้เช่นกัน เพราะคุณซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้

          การเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนเป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะอย่างที่บอกไปว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่จะต้องเรียนรู้ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับคนสองคนที่ตั้งใจจะคบหากัน ยังไงก็ลองนำ 10 กฎเหล็กไปใช้กันดู ได้ผลอย่างไรก็อย่าลืมมาอัปเดทให้ฟังบ้างนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
yourtango.com และ allwomenstalk.com




 

Create Date : 05 กันยายน 2560    
Last Update : 5 กันยายน 2560 9:26:54 น.
Counter : 1085 Pageviews.  

"บ้านกลมกล่อม" เคล็ดลับการเลี้ยงลูกฉบับทีวี



เด็กบางคนชอบเขียนบันทึก เด็กบางคนชอบทำงานบ้าน เด็กบางคนมีความสุขกับการสวดมนต์ และเด็กบางคนก็สุดแสนจะอารมณ์ดี ช่างคิดช่างพูด สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ

บ้านกลมกล่อม
เวลาเราเห็นเด็ก ๆ ที่มีลักษณะแบบนี้ เราก็มักจะชื่นชมยินดี และมักจะเชื่อมโยงไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูจนเกิดเป็นผลลัพธ์อันน่าชื่นใจ ไม่ต่างจากเวลาที่เราประทับใจในรสชาติของอาหารที่ปรุงได้กลมกล่อมมีรสอร่อยกำลังดี เราก็มักจะนึกถึงพ่อครัวแม่ครัวผู้อยู่เบื้องหลังจานอร่อย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าเขามีเคล็ดลับเด็ด ๆ หรือสูตรพิเศษอย่างไร
บ้านกลมกล่อม
สสส. ขอชวนทุกท่านไปค้นหาเคล็ดลับความกลมกล่อมในการเลี้ยงลูกกับ รายการบ้านกลมกล่อม รายการเรียลลิตี้กึ่งสารคดีที่ชวนหลากหลายครอบครัวคุณภาพมาบอกเล่าเคล็ดลับที่พ่อแม่ใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการ และทักษะดี ๆ ให้กับลูก

เริ่มต้นตอนแรกกับบ้านของ น้องต้นหลิว-เด็กหญิงเรไร สุวีรานนท์ นักเขียนตัวน้อยเจ้าของนามปากกา เรไรรายวัน ผู้เริ่มต้นเขียนบันทึกประจำวันทุกวันมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ (ปัจจุบันอายุ 8 ขวบ) ด้วยลายมือที่เขียนอย่างบรรจง หนักแน่น ตัวโตอ่านง่าย ประกอบกับเรื่องราวที่สะท้อนมุมมองความคิดของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสำนวนภาษาที่ใสซื่อ แต่มีเสน่ห์จับใจ ทำให้มีคนติดตามรออ่านมากมาย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนและหลาย ๆ ครอบครัว

          เรไรรายวัน หรือน้องต้นหลิว คือตัวอย่างผลลัพธ์อันน่าทึ่งจากคุณพ่อคุณแม่ผู้ให้ความสำคัญกับ "สิ่งเล็ก ๆ ที่สร้างลูก" จากการใช้เวลาคุณภาพร่วมกันผ่านกิจกรรมการอ่านและการเขียนที่นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินแล้วยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้อย่างดี และต่อยอดไปสู่การเรียนรู้เรื่องราวรอบตัวได้มากมาย เป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องเปลืองเงินทอง และไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถของพ่อแม่ ขอเพียงแค่มีเวลาร่วมกันโดยมีลูกเป็นศูนย์กลาง มีความรู้ความเข้าใจในพัฒนาการของเด็ก ๆ แต่ละวัยเป็นพื้นฐาน และมีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขที่พร้อมจะมอบให้ลูกอยู่เสมอ

เพราะสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พ่อแม่ทำให้ลูกล้วนมีความหมาย มาร่วมติดตามค้นหาเคล็ดลับความกลมกล่อมของแต่ละครอบครัวไปด้วยกัน กับ รายการบ้านกลมกล่อม ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 19.45 น. เริ่มต้น 4 กันยายนนี้ ทางช่องอมรินทร์ 34




 

Create Date : 03 กันยายน 2560    
Last Update : 3 กันยายน 2560 13:45:22 น.
Counter : 1385 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.