* + * + * + * + * ฆ้อน กรรไกร กระดาษ อยากเก็บเธอไ้ว้...ทั้งสองคน * + * + * + * + *








ฆ้อน กรรไกร กระดาษ
ผู้เขียน หวงเยวี่ยน
ผู้แปล อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี
สำนักพิมพ์ ฟรีฟอร์ม
จำนวนหน้า 250 หน้า
ราคา 235 บาท







เรื่องย่อ


เรื่องราวของเยี่ยตั่วลี่ - หญิงสาวออฟฟิศธรรมดา ใบหน้าไร้ที่ติ แต่ก็ไม่มีอะไรให้เอ่ยชม ที่จู่ๆ วันหนึ่งก็เริ่มมีเรื่องไม่ธรรมดาเข้ามาในชีวิต พร้อมๆ กับการที่มีสองหนุ่มมาหลงรักเธอพร้อมๆ กัน

คนหนึ่งคือฉีเสียง หนุ่มรวย หล่อจนผิดกติกา ปากคอวาจาเชือดเฉือน และเฉินเค่อลั่ว หนุ่มผู้รังสรรค์ผลงาน "แรกรัตติกาล" ที่ทำให้ตั่วลี่เกิดอาการลุ่มหลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ตั่วลี่จะทำอย่างไร คนรีวิวขอไม่สปอยล์แล้วกันนะคะ แฮ่









ความรู้สึกที่ได้อ่าน


ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะเคยอ่านผลงานของผู้เขียนคนนี้มาก่อนหนึ่งเล่มแล้วชอบมาก นั่นก็คือเรื่อง "เรื่องรักของ 'เรา'" ค่ะ ซึ่งเคยรีวิวลงบล็อกไว้แล้ว


พอมาอ่านเล่มนี้ กลับเป็นอีกอารมณ์หนึ่งนะคะ แต่ก็ยังชอบอยู่ค่ะ

เล่มนี้จะออกแนวขำๆ ฮาๆ มากกว่าแล้วก็ตัวละครและการดำเนินเรื่องจะค่อนข้างออกแนว "การ์ตูน" มากๆ จนบางครั้ง..ถ้าไม่คิดว่ามันออกแนวการ์ตูน ก็จะมีบางตอนแปร่งๆ แหม่งๆ อยู่เหมือนกันค่ะ คือ...เรียกได้ว่า "หลุด" ในบางเรื่องเลยหละค่ะ

แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะคะ ถ้าคนชอบอ่านการ์ตูน น่าจะชอบเล่มนี้ด้วยซ้ำ

นอกจากนั้นเสน่ห์ของหนังสือของหวงเหยี่ยนอีกอย่างก็คือคำพูดคมๆ โดนๆ ที่ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมค่ะ (เดี๋ยวจะ quote มาให้อ่านนะคะ)


แต่ขอบอกว่า...ถ้าเราเป็นตั่วลี่ เราก็คงเลือกยากมากๆ เหมือนกันค่ะ ยิ่งตอนที่ตัวเองตัดสินใจเลือกแล้ว แล้วคนเขียนบรรยายถึงการ์ตูนภาพที่เค่อลั่ววาดมาให้

เราร้องไห้เลยอ้ะ




แต่คนเขียนก็ไม่ใจร้ายนักนะคะ กับตอนจบแบบนี้ โอเคอยู่ คงเป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งที่ถ้ามีงานแปลออกมา เราก็จะหามาอ่านทุกเล่มอีกคนค่ะ (ตอนนี้ต้องเก็บผู้ชายเหมือนระเบิดอีกเล่ม หุๆ)




แต่ถ้าเทียบกับเรื่องรักของเรา เราก็ยังชอบเรื่องรักของเรามากกว่านะคะ


เราว่าลงตัวมากกว่า แต่ยังไงเรื่องนี้ถ้าใครชอบอ่านการ์ตูน หรือเรื่องฮาๆ ขำๆแต่ก็มีอะไรสอดแทรกให้คิดอยู่บ้างก็น่าจะชอบค่ะ






ปิดท้ายด้วยประโยคที่ชอบๆ นะคะ (มีหลายๆ ประโยคที่สั้นๆ แต่ช่วยอธิบายความเป็นตัวละครนั้นๆ ได้ดีค่ะ)





ตั่วลี่คิดว่าการชมภาพกับการอ่านหนังสือนั้นเหมือนกัน สิ่งสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกร่วม ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยว่า จะต้องมีความรู้เฉพาะทางในด้านนั้นหรือไม่







สิ่งที่ตนรังเกียจ เธอไม่เคยยัดเยียดให้เกิดกับใคร








"ความมืดไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการพลัดหลงทิศทางอยู่ท่ามกลางความมืดที่ไม่มีสิ้นสุด จนกระทั่งภายหลัง แม้แต่ความกระหายหาแสงสว่าง ยังถูกริดทอนจนสิ้นหวังไร้รส"








'คนที่เกียจคร้านแสวงหาความจริง ไม่มีิสิทธิ์ตำหนิคนที่พูดปด'








ตั้งหน้าตั้งตาขุดคุ้ยแผลเก่าของชาวบ้านเสร็จแล้วค่อยถามว่าเขาเจ็บหรือปวดมากน้อยแค่ไหน ถามทั้งที่รู้กับหน้าด้านไร้ยางอาย มันเป็นคำพ้องความหมายกันชัดๆ








...โรคภัยเข้ามาทางปาก ความใคร่ความอยากก็ออกมาจากปาก ปัญหาโลกแตกมากมายเกิดจากคนเราอ้าปากพูดความปรารถนาของตนเองออกมา เรื่องบางเรื่องรู้อยู่กับใจ แอบชมเชยเงียบๆ ก็พอแล้ว เมื่อไหร่ที่เอ่ยปากออกมา ก็จะหนีไม่พ้นถูกความเสียใจลอบจู่โจม








"...บาดแผลที่เฉาะตัวเองน่ะ ไม่ใช่บาดแผล แต่เป็นร่องรอยของความเย่อหยิ่งจองหอง"








"...ความรักเดียวใจเดียวย่อมหมายความว่าประกาศตนเป็นศัตรูกับสิ่งเย้ายวนใจทั่วทั้งโลก..."








"...ความเข้มแข็งมันเป็นของมีค่าก็ต่อเมื่อไม่มีคนอยู่ด้วย ผลของการก้มหน้ายอมรับลิขิตชีวิต ก็คือถูกมองข้ามไม่เห็นหัว"








"แม้เป็นดอกหญ้าที่หาความโดดเด่นมิได้ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร แต่ก็หวังใจอยากได้ความเอาใจใส่ที่อ่อนโยนประดุจกุหลาบงาม"








"...ถ้าคนเรารู้จักควบคุมความประพฤติของตนเอง เพราะกลัวจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นละก็ โลกเราคงสงบสุขไปนานแล้ว"








"ฉันไม่ได้ต้องการความเห็นใจจากคุณ ฉันต้องการความรัก"
"ของบางอย่างมันถูกจำกัดเวลา จำกัดปริมาณและจำกัดคุณสมบัติ ไม่ใช่คุณอยากได้ก็ต้องได้"







อันนี้เป็นคำถาม (ฝากถึงคนแปลช่วยอธิบายด้วยก็ดีค่ะ แหะๆ)


มีคำพื้นเมืองไต้หวันว่า "แต่งพี่สาวเป็นภรรยา นั่งเก้าอี้ทองคำ" หมายถึงว่า ไปไหนไม่ได้ ถูกผูกติดใช่ปะคะ แล้ว "พี่สาว" ในที่นี้ หมายถึงผู้หญิงที่แก่กว่าใช่ไหม? ไม่ได้หมายถึงพี่น้องแต่งงานกันจริงๆ?

คนแปลได้ตอบไว้ในกระทู้แล้ว - หมายถึงแต่งงานกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าค่ะ












ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะคะ

603417/4554/422




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 8:12:19 น.
Counter : 2463 Pageviews.  

* + * + * + * + * ผู้เสกทราย มีหนทางไหนจะทำให้คนที่แตกต่างกันอยู่ร่วมกันได้? * + * + * + * + *








ผู้เสกทราย ภาค 1 น้ำตาลร้อยสี
ผู้เขียน
ลวิตร์ (พัณณิดา ภูมิวัฒน์)
สำนักพิมพ์ เอ็นเธอร์บุ๊คส์ (ในเครือแจ่มใส)
จำนวนหน้า 486 หน้า
ราคาปก 299 บาท






เนื้อเรื่อง (เป็นเรื่องที่เขียนเล่าได้ยากมากๆ พยายามไม่ให้สปอยล์สุดๆ แล้วค่ะ)

ในประเทศที่คนใช้เวทมนตร์ถูกแยกออกจากคนธรรมดา
ประเทศที่คนใช้เวทมนตร์ถูกแยกออกไปอยู่ยังดินแดนหนึ่ง
ภายหลังจากเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด ซึ่งเกี่ยวพันกับวีรบุรุษนาม “อมารอค”

เด็กหนุ่มกำพร้าพ่อและแม่นามคาซีมีร์ ได้พบกับคนทำน้ำตาลนามฟิลัน
ฟิลันที่ทำให้คาซีเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
ฟิลันที่ทำให้คาซีค้นพบว่า ชีวิตตนเองมีค่า มีความหมาย

หากแต่..ด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คาซีมีร์มีพลังอันไม่คาดคิด
ก็ได้นำพาเจ้าตัวไปสู่หนทาง..ที่ดูคล้าย..โดดเดี่ยวมากกว่าเดิม











ความรู้สึกที่ได้อ่าน



นิยายแฟนตาซีเรื่องนี้มีสองภาค และแต่ละภาคก็แบ่งออกเป็น..เอ่อ..น่าจะเรียกว่าองก์กระมังคะ องก์่ต่างๆ ซึ่งก็จะเป็นช่วงของเหตุการณ์ที่สำคัญๆ แต่ละเหตุการณ์ อันได้แก่


น้ำตาลร้อยสี

การพบกันของเด็กชายผู้มีความทุกข์และคนทำน้ำตาลผู้ไม่มีทุกข์ใด เพราะได้ลืมเลือนไปเสียแล้ว




เอเลธีอา ดาอี

ว่าด้วยอมารอคจ้าวสุนัขป่า เอเลธีอาผู้พยากรณ์แห่งนครหินผา อัยด์ดวงตาปีศาจ และเรื่องเหนือความคาดหมาย




สุนัขป่าอุปราคา


ฟิลันพบญาติพี่น้อง คาซีเห็นเด็กหญิงที่งามที่สุดในโลก มัธธายน์ถามถึงความหมายที่แท้จริงของ 'พิการ' และสุนัขลืมตาตื่นเพราะเด็กชายเป็นผู้มีเมตตา




หอแห่งปัญญา


เมื่อคนทั้งปวงได้เรียนรู้บางสิ่ง เด็กชายเห็นบาดแผลจึงครุ่นคิดถึงความจริง คนทำน้ำตาลเห็นรูปเงาของความทุกข์ แต่ยังจดจำไม่ได้ ภาพความฝันของคนบางคนแหลกกระจาย และคนอีกหลายคนใจเร็วด่วนได้ทำเรื่องรีบร้อนโดยไม่ตริตรองก่อน ดังนั้นจึงต้องเสียใจภายหลัง





ร้อยแควน้ำ

เมื่อคนหลายคนถึงกาลเปลี่ยนแปลง ส่งให้ชีวิตของพวกเขาดำเนินไป ออกจากสันปันน้ำและมุ่งสู่ทะเล








เป็นอีกหนึ่งงานแฟนตาซีที่แฝงแนวคิดหนักๆ แต่ถ่ายทอดด้วยกลวิธีสนุกได้ดีค่ะกับคำถามที่ว่า “คนที่แตกต่างกันอยู่ร่วมกันไม่ได้จริงหรือ?” ถ้าอยู่ร่วมกันได้ หนทางออกนั้นคืออะไร วิธีการซึ่งจะนำไปสู่ทางออกนั้นต้องเป็นอย่างไร


ทว่า..แนวคิดที่ดูเหมือนหนักหนานั้น กลับถูกถ่ายทอดมาด้วยเรื่องราวที่ชวนติดตาม อ่านสนุก และล่อหลอกให้กระหายที่จะอ่านได้เรื่อยๆ


นอกจากแนวคิดที่สอดแทรกมาในหนังสือเล่มนี้แล้ว การสร้างตัวละครที่ยังเป็นจุดเด่นของนักเขียนคนนี้ก็ยังคงมีครบถ้วน นั่นคือมีความ “กลม” และมีความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีความดีในตัว มีส่วนที่แหว่งวิ่น มีจุดด้อย มีบาดแผล

แต่ทุกคน..ล้วนแต่มีความดีอยู่ในตัว (ซึ่งทำให้เรารักและสงสารได้แม้แต่คนที่เหมือนจะเป็นผู้ร้ายในเรื่องนั่นแหละ)


และมีหลายๆ ตอน...ที่เรียกน้ำตาได้ไม่น้อยเลย



ย่อหน้าต่อไปนี้สปอยล์เล็กน้อย
ภาคหนึ่งนี้ยังจบอยู่ที่คาซีมีร์กลับมาเดินทางกับฟิลันได้ ทว่า...จากการอ่านในอินเตอร์เน็ต เรื่องราวหลังจากนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการอยู่ค่ะ ซึ่งทำให้เกิดอาการเหมือนจะลงแดงว่า..โอ๊ยยยย เมื่อไหร่เล่มต่อไปจะออกเนี่ย






นอกจากนั้นในภาคนี้ก็ยังมีตอนแถมอีกสองตอนคือ

ลูกปัดของฟิลัน ว่าด้วยการทำงานหาเงินของคาซี การซื้อของขวัญให้ฟิลัน และการหาของขวัญสำหรับวันเกิดรายา

และโอบดาว – เรื่องรักระหว่างมัธธายน์และนางไม้ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงมัธธายน์ และทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลง









สรุปสุดท้ายว่า

คุณพัณณิดา ภูมิวัฒน์ก็ยังคงเป็นนักเขียนในดวงใจ และเรื่องนี้...ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก

และอยากให้คนที่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ได้อ่านทุกคนค่ะ









ปิดท้ายด้วยหลายๆ ประโยคที่ชอบนะคะ



Quote แรกน่าจะเป็นตัวอธิบายที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้นะคะ





“ตอนที่ทุกอย่างสิ้นไปในกองไฟ ข้าเคยคิดอยู่หลายปีว่าไม่มีอะไรมีความหมาย ชีวิตของข้าเป็นของควบคุมไม่ได้ไม่ว่าจะทำอย่างไรในที่สุดก็อาจจะถูกทำลายโดยสิ่งอื่นที่อยู่ภายนอกอยู่นั่นเอง” เขาบอก "แต่ชีวิตสิ้นหวังเช่นนั้นไม่เหมือนชีวิต วันหนึ่งข้าไปเห็นคนเป่าแก้ว ทรายแต่ละเม็ดรวมกลายเป็นเนื้อแก้วใส ข้าคิดว่ามันน่าอัศจรรย์...และตอนนั้นข้าก็คิดว่าใช่...บางทีในตัวข้าก็คงจะมีทรายแต่ละเม็ดอยู่ ความเจ็บปวดแต่ละครั้ง ความยินดีแต่ละหน อย่างน้อยมันก็เป็นสมบัติของข้า ข้าคิดว่าอย่างน้อยถึงจะทำอะไร กับสิ่งที่เกิดภายนอกไม่ได้ ข้าก็ยังทำอะไรกับสิ่งที่อยู่ข้างในตัวข้าเอง ทำให้มันมีความหมายขึ้นมาได้ เคอร์รัน ข้างนอกนั่น คนเขาเห็นความพยายามของเจ้าเป็นเหรียญตรา...เป็นเพียงผ้ากับโลหะ เขาจึงแย่งสิ่งนั้นไป ทว่ามีแต่ตัวเจ้าเองที่รู้...แท้จริงแล้วความพยายามกลายเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อ เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้ามุ่งมั่นกว่าคนอื่น ตัดสินใจฉับไวและรับผิดชอบกว่าผู้อื่น เจ้าอาจจะเลือกทางผิดหรือไม่ข้าไม่รู้ได้ ข้ารู้แต่ว่ามันเป็นทรายของเจ้า เป็นสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัดสินใจจะรับมาด้วยตนเอง เมื่อตัดสินใจโยนลงไปในหม้อหลอมแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางทำให้มันกลับเป็นทรายได้อีกหรอก แต่ที่จริงในที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ไม่เหมือนแก้วตรงที่ไม่เคยมีอะไรแน่นอน เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และไม่สามารถรู้รูปร่างที่แท้จริงเลยจนกว่าจะตาย ปริมาณทรายสำหรับทำเครื่องแก้วแต่ละชิ้นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ทรายแห่งประสบการณ์ของมนุษย์ไม่เคยมีขีดจำกัด ดีเลว โง่ฉลาด ผิดหรือถูก ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ถ้าคราวนี้เจ้าเห็นว่าตัวเองไม่ดีเท่าที่ควรก็เพิ่มทรายอีกสักหน่อย แล้วตั้งใจหลอมให้ดีกว่าเก่าเถอะ เพราะว่าในที่สุดสิ่งที่เราจะทำได้ก็มีเท่านั้นเอง"








"ติดอ่างไม่ผิดหรอก บางทีสิ่งที่ถูกต้องอาจจะเป็นการติดอ่าง ในขณะที่คนที่เหลือมันผิดก็ได้ ใครบอกกันว่าโลกนี้อะไรที่คนส่วนมากทำต้องถูำก"









"...คนที่บอกว่าตัวโง่มีชะตากรรมอย่างเดียว คือกลายเป็นคนโง่จริงๆ"









"ไปถึงแล้วอาจไม่ได้อะไรเลย แต่ความสำคัญของการเดินทางอยู่ที่การเดินทาง"









"บางทีคำว่าส่วนรวมก็มีไว้พูดเวลาที่ตัวเองยังไม่เจ็บปวดนั่นล่ะ"












ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะคะ

597770/4536/419








 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 8:49:24 น.
Counter : 2963 Pageviews.  

* + * + * + * จักรวาล 1x1 เมตร เพราะทุกคนมีจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่ากัน * + * + * + *





จักรวาล 1x1 เมตร
ผู้เขียน ม.ย.ร.มะลิ
สำนักพิมพ์ วงกลม
จำนวนหน้า 185 หน้า
ราคาปก 190 บาท





คุณม.ย.ร.มะลิ เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่เราชอบผลงานค่ะ เท่าที่ผ่านมาก็ตามเก็บทุกเล่ม ตั้งแต่โตเกียวอะโซบิ ฮ่องกงอึ่มก๊อย แก้ผ้าอาบน้ำ ขอพร ฯลฯ

เล่มนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความอารมณ์ดี เป็นคนน่ารักของคนเขียนค่ะ

คนเขียนใช้วิธีสัมภาษณ์ พูดคุย เก็บข้อมูล ถ่ายรูป (แต่เวลาสื่อ ใช้การวาดการ์ตูนด้วยตัวเองแทน) ผู้คนต่างๆ ที่ทำอาชีพอยู่ในซอยทองหล่อ ซึ่งเคยเป็นคอลัมน์ในนิตยสารพลอยแกมเพชรมาแล้ว

คนเหล่านี้ก็มีอาชีพทั้ง นักเย็บผ้า / นักทำกุญแจ / นักปิ้งกล้วย / นักขับรถเมล์สีแดง / นักต้มกาแฟเย็น / นักบิดมอ'ไซค์รับจ้าง / นักต้มเฉ่า / นักเข็นถั่วต้ม / นักตีโรตี / นักคั่วเกาัลัด / นักปาดข้าวเกรียบ / นักขายโชค / นักป่นกลอย / นักหมกไก่ / นักเก็บเงินค่าจอดรถ / นักแกะขนุน / นักทอดปาท่องโก๋ / นักเลี้ยงวัว / นักปิ้งข้าวเหนียวสมาธิ / นักขายกล้วย / นักเข็นผลไม้ขาย / นักกวาดถนน / นักแกงเห็ด /นักแยกขยะ




นอกจากสไตล์การเล่า+รูปวาดน่ารักๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ ้เช่น เราสามารถเอาแม่กุญแจไปให้นักทำกุญแจทำลูกกุญแจได้ด้วย (แต่ต้องช่างที่เก่งๆ เท่านั้น) หรือถั่วต้มมีสองถั่วซึ่งมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ถั่วเกษตรจะกรอบและมัน ถ้าถั่วในหลวงจะนิ่มและหวาน เกาลัดจะอร่อยสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน + การรักษากรวดสำหรับคั่วเกาลัด ศาสนาอิสลาม มีข้อห้ามว่า ห้ามฝากเงินโดยมีผลตอบแทน หน้าร้อน ขนุนจะหวานที่สุด ฯลฯ





อ่านแล้วรู้สึกดีค่ะ อ่านหนังสือของม.ย.ร.มะลิทีไร เรารู้สึกเหมือนได้กินผักสดๆ ปลอดสารพิษหรือกินอาหารที่อร่อย สะอาด ปราศจากผงชูรสให้ระคายลิ้นและเป็นพิษกับร่างกาย

อ่านแล้วอารมณ์ดี มองโลกสดใส อยากรู้จักใครต่อใครมากขึ้น และได้เข้าไปรู้จักกับจักรวาลของใครต่อใครได้มากขึ้นเช่นกัน





จักรวาล 1x1 เมตรทุกแห่ง
ทำให้ฉันซาบซึ้งว่า ทุกคน 'เชี่ยวชาญ' ในทางของตน
เราจึงควรภูมิใจใน 'ดี' ของตนเองและคน 'ควรให้เกียรติ' กัน








สรุปแล้วชอบค่ะ




แต่เสียดายว่า หลายๆ จุดมีพิมพ์ผิดหรือสะกดผิดอยู่ค่ะ เช่น ไสย์ศาสตร์ กิเลศ

"มาขายใหม่ๆ โดยเขม่นมั้ยคะ" (ที่จริงต้องโดนเขม่น) หรืออย่างการใช้คำพูด จะมีสะกดวรรณยุกต์ผิดอยู่ อย่างหน้า 52 "ใครเจ๋งสุดพี่ แถวเนี่ย" (มันน่า่จะ เนี้ย มากกว่าน่ะนะคะ) หรืออย่าง "ทำไมละคะ" มันน่าจะ ทำไมล่ะคะ หรือทำไมหละคะ น่ะค่ะ

ส่วนคำว่า โอโห้ นี่ ไม่แน่ใจว่าคนเขียนตั้งใจสะกดพราะต้องการออกเสียงอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเคยได้ยินคนพูดอย่างนี้นอกจาก โอ้โห เหมือนกันค่ะ






สรุปแล้ว อ่านหนังสือเล่มนี้ น่าจะทำให้คุณอมยิ้ม อารมณ์ดี และน่าจะทำให้มีสายตาที่จะมองและอยากทำความรู้จักกับคนตัวเล็ก-เล็ก หรือใครอีกหลายคนรอบๆ ข้าง ที่ที่ผ่านมา..เราอาจไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยก็เป็นได้ค่ะ












ขอบคุณทุกท่านที่แวะมานะคะ

591058/4518/416




 

Create Date : 25 มกราคม 2553    
Last Update : 26 มกราคม 2553 15:40:39 น.
Counter : 1782 Pageviews.  

* + * + * + * + * เด็กหญิงสวนกาแฟ วรรณกรรมเยาวชนไทยที่น่าสนใจอีกเรื่อง * + * + * + * + *



สวัสดีค่ะ


วันนี้มารีวิวหนังสือรางวัล (นายอินทร์อะวอร์ด) นะคะ เป็นวรรณกรรมเยาวชนไทยค่ะ




เด็กหญิงสวนกาแฟ
ผู้เขียน เม น้อยนาเวศ
สำนักพิมพ์ อมรินทร์
จำนวนหน้า 199 หน้า
ราคา 150 บาท




เรื่องย่อ


เรื่องเล่าของเด็กหญิงชาวใต้ชื่อมุก กับการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่นประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่โม ย่า ฯลฯ การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น และการเรียนรู้ตามวัย

จวบจนได้เจอกับเรื่องราวที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต






ความรู้สึกที่ได้อ่าน

ก่อนอื่น..หาไม่เจอว่าใครแนะนำเรื่องนี้ไว้ - ขอบคุณมากๆ นะคะ

แต่คิดว่า..น่าจะเป็นจากบล็อกนี้กระมังนะ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kaolawkao&month=05-2009&date=29&group=5&gblog=2



เพราะอ่านแล้วชอบมากเลยแหละค่ะ เป็นวรรณกรรมเยาวชนไทยอีกเรื่องที่อยากให้อ่านกัน

ตอนแรกที่อ่าน ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรค่ะ (การอ่านโดยไม่คาดหวังนี่ดีจังน่อ) แต่ก็สามารถอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่บอกเล่าถึงชีวิตของชาวใต้ ด้วยสำนวนสะอาดสะอ้าน ชวนให้คิดถึงบรรยากาศของชนบท ความเป็นอยู่ที่น่าสนใจ


อ่านแล้วก็อมยิ้มไป เหมือนได้ไปเดินเที่ยวย่ำอยู่ในสวนยามเช้าที่อากาศดีๆ สูดอากาศเย็น ดูหมอกระเรี่ยยอดไม้ ฟังเสียงคนกำลังเริ่มตื่นกัน (พยายามจินตนาการตามนะคะ มันได้อารมณ์ประมาณนี้จริงๆ)




การค่อยๆ ปูพื้น เล่าเรื่องราว รายละเอียดแต่ละบทแต่ละตอน ทำให้เราได้รู้จักแต่ละคนในเรื่องมากขึ้น ตัวละครดูมีเลือดเนื้อจับต้องได้ และทำให้เรารู้จัก คุ้นเคย และผูกพันกับตัวละครมากขึ้นตามบรรทัดที่ได้อ่าน

ไม่ว่าจะเป็นพ่อ - คนที่แม่ค่อนว่า เลี้ยงหมาให้เสียหมาได้ทุกตัว และเปรยบ่นว่า "เมียหายไม่เสียดายเท่าหมาหิว" แถมเมื่อถึงคราวภัยมา พ่อก็คว้าหมาวิ่ง ก่อนจะกลับมารับแม่แล้วกัน


ได้อมยิ้มน่ารักกับความแสนรู้ของบรรดาหมาๆ ทั้งหลาย (คนรักหมาน่าจะยิ้มกันทุกคนค่ะ ถ้าได้อ่าน) ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตาลหรือเจ้าปุย



ย่า (หรือยายของพี่โม) คนที่รักหลานทั้งสอง หรือจนกระทั่งเมื่อมุกมีน้องชาย ย่าก็รัก รักเสียจนสองสาวน้อยอดน้อยอกน้อยใจไม่ได้ (เป็นอีกตอนที่สะเทือนใจเลยแหละค่ะ)


คนชั้นยายชั้นย่ารักหลานมากกว่าลูก เพราะหลานก็คือลูกของลูกที่ยายรัก




คนเขียนเก่งในการปูพื้น เรียงร้อยเรื่องราว และสร้างความผูกพันของตัวละครกับเรา แล้วก็ทำให้เรา "รู้สึก" ได้มากกับตอนจบของเรื่อง

แต่พออ่านไปจนจบ กลับกลายเป็นน้ำตาซึมซะงั้นค่ะ








เรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ภาษาใต้หลายๆ คำ แต่สงสัยว่าทำไมบางคำถึงไม่มีอธิบาย (โดยปกติ คนเขียนจะมีวงเล็บอธิบายเป็นภาษากลางให้ในคำใต้ค่ะ แต่กลับไม่ทำทุกคำแฮะ ทำให้บางคำ ก็งงๆ อยู่ว่า คำคำนั้นแปลว่าอะไรหว่า?)

เช่น หน้า 38 บ้านสวนกาแฟยังต้องตามตะเกียงอยู่เลย (ซึ่งน่าจะแปลว่าจุดตะเกียง)

หน้า 41 "กวี" ไม่เคยอาบน้ำเลย เพราะน้ำในกร่อท้ายสวนนั้นเย็นมาก
...น้ำในกร่อนี้ไหลมาจากทางน้ำเล็กๆ บนภูเขา
(คิดว่า กร่อ - น่าจะหมายถึงห้องน้ำหรือเปล่าหว่า?)

หน้า 48 ย่าแปลกใจ เดินตามไป เจอหมากหกรายเป็นทาง จึงได้ฉาวขึ้นว่ามีคนมาลักหมาก
หน้า 83 จากบ้านป้าหญีตนั้น เดินคุยฉาวๆ ไม่กี่อึดใจก็ถึงสุดทางลงท่า (คำว่าฉาวแปลว่าอะไร? พูดเสียงดัง? หรือว่าไงง่ะ?)

หวันมุ้งมิ้ง ซึ่งแปลว่า ตะวันลับฟ้า - อันนี้มารู้จักก็ที่นี่เลยแหละค่ะ


มีข้อติดข้องประการเดียวคือ น้องมุกมีโอกาสได้ทั้งดูวัลลี และบุญชูสระอูย้าวยาว ก็เลยรู้สึกสงสัยว่า..มันห่างกันกี่ปีี เหมือนมันห่างกันเยอะเกินกว่าเวลาที่น้องมุกจะได้ดูในหนังสือน่ะค่ะ







แต่โดยรวมแล้ว..เป็นวรรณกรรมเยาวชนไทยที่ดีเรื่องหนึ่งนะคะ

ถ้าใครชอบอ่านแนวนี้ก็อยากให้ลองอ่านกันค่ะ









ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านนะคะ

584540/4504/413






 

Create Date : 15 มกราคม 2553    
Last Update : 15 มกราคม 2553 8:34:38 น.
Counter : 7103 Pageviews.  

* + * + * + * + * นางฟ้า จัตุรัส พระราชวัง * + * + * + * + *








นางฟ้า จัตุรัส พระราชวัง (Angel on the Square)
ผู้เขียน Gloria Whelan
ผู้แปล รนิย์ กันมล
สำนักพิมพ์ มติชน
จำนวนหน้า 240 หน้า
ราคา 155 บาท



เรื่องย่อ


เรื่องราวก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศรัสเซียจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่รัฐบาลของเคเรนสกี้ และการปกครองของเลนิน ผ่านสายตาของเด็กหญิงอย่างแคทย่า จนกระทั่งเติบโตเป็นเด็กสาว ที่..บางครั้ง..กว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง เราก็ต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเหลือเกิน







ความรู้สึกที่ได้อ่าน (มีสปอยล์บ้างนะคะ)


อ่านแล้วสะท้อนใจโคตรๆ ค่ะ คือ..เนื่องจากในช่วงนี้ได้พูดคุยหลายๆ เรื่องที่คล้ายคลึงกับที่เกิดในนิยายเรื่องนี้

อ่านแล้วก็เรียนรู้และได้คิดอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง แต่รู้สึกขึ้น มาก



นิยายเรื่องนี้เปิดตัวด้วยการให้เราได้รู้จักกับครอบครัวของแคทย่า อันประกอบไปด้วยตัวเธอ แม่ และพี่มิชา แม่ผู้เป็นนางสนองพระโอษฐ์จักรพรรดินีของพระเจ้าซาร์ นิโคไลที่ 2 พี่มิชา ผู้ซึ่งหลงใหลและเชื่อในการปฏิวัติ

แคทย่าได้เข้าไปรู้จักกับเจ้าหญิง 4 พระองค์และเจ้าชาย 1 พระองค์ อันประกอบไปด้วย เจ้าหญิงโอลก้า เจ้าหญิงทัตยาน่า เจ้าหญิงมารี เจ้าหญิงสตาน่า และเจ้าชายอเล็กซี

และด้วยความที่แคทยาได้เห็นทั้งสังคมของครอบครัวพระเจ้าซาร์ และได้ไปเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมรัสเซีย โดยการนำพาของพี่มิชา ทำให้เรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมาทั้งสองมุม ซึ่งทำให้นิยายเรื่องนี้ออกมาค่อนข้าง "กลม" ค่ะ คือ.. ทำให้คนอ่านสะทกสะท้อนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่..ก็เห็นใจ และเข้าใจทั้งสองฝ่ายได้




ชื่อหนังสือเล่มนี้มาจากตอนหนึ่งของหนังสือที่บรรยายถึงจัตุรัสของพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งมีเสาหินแกรนิตสูงเสียดฟ้า บนยอดมีรูปปั้นนางฟ้าสำริด เสาหินนี้เป็นที่ระลึกแห่งชัยชนะของรัสเซียเหนือกษัตริย์นโปเลียน และลัดย่า (แม่บ้านผู้ดูแลครอบครัวของแคทย่า) เคยบอกแคทย่าว่า


"ช่วงเวลาทุกข์เข็ญหรือแม้แต่สงครามอาจเจ้ามาเยือนนครแห่งนี้ได้ แต่ตราบใดที่นางฟ้ายังคงเฝ้ามองอยู่เหนือนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นครนี้จะไม่มีวันล่มสลาย"






หากแต่เมื่ออ่านไป เราก็เริ่มจะใจหายเรื่อยๆ และได้แต่เฝ้าถามว่า สิ่งที่ลัดย่าบอกนั้น...มันจริงหรือ (แม้จะจบท้ายด้วยการให้ความหวัง..แต่สำหรับเรา มันเป็นบาดแผลที่ใหญ่เกินกว่าจะลืม)


อ่านเรื่องนี้เราจะได้รู้จักกับรัสปูติน ชาวนาหรือคุณพ่อเกรกอรี ผู้ซึ่งจักรพรรดินีให้ความเคารพ อันเนื่องมาจากเป็นผู้เดียวที่ทำให้เจ้าชายอเล็กซีบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ (ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นพรสวรรค์ของปีศาจหรือเปล่าหนอ อ่านเรื่องนี้ต่อจากเรื่อง Kitchen Confidential แล้วทำให้นึกถึงอดัมผู้ไม่มีนามสกุลซะงั้น)

คนที่เจ้าหญิงสตาน่าหรือเจ้าหญิงอนาสตาเซียบอกว่า เหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่เคยเลี้ยงที่คอยประจบประแจงเวลาเสด็จพ่อเสด็จแม่ประทับอยู่ แต่จะกัดเมื่อไม่มีใครมอง - -"

และในที่สุดรัสปูตินก็ต้องตายโดยความเลวร้ายของตัวเอง (แม้จะตายยากตายเย็นขนาดที่โดนวางยาพิษก็ไม่ตาย ปืนยิงก็ยังไม่ตาย จนท้ายที่สุดต้องตีด้วยไม้กระบองแล้วโยนลงน้ำถึงจะตายก็ตาม - -“)







หากแต่..การตายของรัสปูตินนี่เองที่เป็นเสมือนสัญญาณแรกของความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น



"ประเทศชาติจะดีขึ้นไม่ใช่หรือคะ ในเมื่อปราศจากชายชั่วนั่นแล้ว”
แม่สั่นศีรษะ “ประเทศชาติจะดีขึ้นเมื่อปราศจากเขาจ้ะแคทย่า แต่เมื่อต้องช่วยเหลือประเทศด้วยการฆาตกรรม ก็ไม่มีอะไรจะรักษาประเทศให้รอดปลอดภัยได้แล้วละจ้ะ"







ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ ที่มีความเป็นอยู่ที่สมถะเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูที่เรียบง่าย ห้องนอนที่หรูหราน้อยกว่าของแคทย่าเสียอีก มื้อน้ำชาที่ธรรมดากว่า เบี้ยเลี้ยงที่บรรดาเจ้าหญิงได้รับก็น้อยกว่าแคทย่า จนกระทั่งเจ้าหญิงต้องทำของขวัญคริสตมาสต์เองแทนที่จะซื้อ

การพยายามทำหน้าที่หลายๆ อย่างเพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการฉีกผ้าปูที่นอนที่มีตราของพระราชวัง เพื่อทำเป็นผ้าพันแผลส่งไปให้ทหาร การให้บรรดาเจ้าหญิงถักถุงเท้าให้กับบรรดาทหารที่ไปสู้รบ การไปทำงานที่โรงพยาบาล



หากแต่ในขณะเดียวกัน ในบางสถานการณ์ก็กลับกระทำการอันเป็นเสมือนการ “ฆ่าตัวตาย”

ไม่ว่าจะเป็นขณะที่พยายามทำผ้าพันแผลและถักถุงเท้า แต่ก็ยังคงไปดูบัลเลต์และช็อปปิ้งเสื้อผ้าสวยๆ

หรือการเดินทางไปแนวหน้าพร้อมกับพวกทหาร ในรถไฟขบวนเดียวกัน ซึ่งในตู้ของทหาร ไม่มีแม้กระทั่งที่นั่ง
แต่ตู้ของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์กลับมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมข้าราชบริพาร
(ทั้งที่ตอนนั้นประชาชนและทหารเริ่มไม่พอใจการทำสงครามและพระราชวงศ์อีกต่อไปแล้ว)


จนทำให้เกิดคำถามขึ้นไม่ได้ว่า “คิดอะไรกันอยู่?” / “ทำไมถึงคิดไม่ได้?”




ไม่แปลก ที่ความโกรธแค้นของประชาชนจะยิ่งมากขึ้นๆเพราะสิ่งที่ท่านๆ ทำนั้น สามารถถูก “ยั่วยุ” ให้เกลียดชังและโกรธแค้นได้อย่างง่ายดาย



คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง...หรือว่า..ไม่ได้คิดกันแน่?


นั่นคือคำถามที่เราถามตัวเองตลอดเวลาที่ได้อ่านตั้งแต่ต้น จนกระทั่งจบนิยายเรื่องนี้ค่ะ






และท้ายที่สุด บรรดาราชวงศ์ทุกพระองค์ก็ถูก “สำเร็จโทษ”
รัฐบาลเคเรนสกี้และบรรดานักปฏิวัติทั้งหลาย ถูกล้มล้าง และได้ปีศาจอย่าง “เลนิน” ขึ้นมาปกครองแทน




”พวกนั้นเป็นปีศาจจ้ะแคทย่า ไม่เคยไว้ใจใครทั้งนั้น เลนินกับพวกเป็นเหมือนแมลงที่กัดกินตัวอ่อนของมันเอง ผู้ที่อุทิศตนทำงานหนักแสนสาหัสเพื่อการปฏิวัติกำลังถูกจับกุม เคเรนสกี้ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ พี่โชคดีที่หนีรอดออกมาจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้ พี่เคยคิดว่าพี่เข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับรัสเซีย แต่จริงๆ แล้วพี่แทบจะไม่รู้อะไรเลย แล้วยังเชื่อเร็วเกินไปอีกด้วย














ปิดท้ายด้วยประโยคอื่นๆ ที่ชอบ (นอกเหนือไปจากที่แปะๆ ไว้บ้างแล้วนะคะ)






"...เราไม่ใช่พวกประชาธิปไตยไร้ความคิดที่ผู้คนทำตัวราวกับเด็กเสียนิสัย ทำแต่สิ่งที่ตัวเองพอใจ ในประเทศพวกนั้น ผู้คนจะออกเสียงให้กับคนที่ตะโกนดังที่สุดและให้คำมั่นสัญญาได้มากที่สุด..."







"...แล้วไหนล่ะ พวกคณะปฏิวัติที่กล้าหาญของเธอ เธอแค่ต้องการสร้างปัญหาให้พระเจ้าซาร์ เพื่อที่จะได้มีประเทศไว้เล่นเหมือนเด็กนิสัยเสียบางคนที่เห็นของเล่นที่จะต้องมีให้ได้"







"...กับการที่จะไม่มีวันได้ยินเสียงนกเขายามเช้าและนกวิปเพอร์วิลยามเย็น ไม่มีวันเห็นข้าวสาลีเปลี่ยนเป็นสีทองกับไม่ได้เห็นดอกข้าวบัควีต ผมมีชีวิตอยู่ได้อย่างปราศจากแขน แต่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ถ้าปราศจากแผ่นดิน"







"...เมื่อใดก็ตามที่การปฏิวัติอุบัติขึ้น มันจะดึงดูดทั้งคนชั่วและคนดีเข้ามารวมอยู่ด้วยกัน..."







"...จริงอยู่ พี่ไม่เคยเป็นมิตรกับพวกพระเจ้าซาร์ แต่ร้อยพระเจ้าซาร์ยังดีกว่าหนึ่งเลนิน..."







"เราสละทุกสิ่งทุกอย่างเพราะคิดว่าจะปกป้องรัสเซียไว้ได้ บัดนี้เราสูญเสียแผ่นดิน 1 ใน 3 ของประเ้ทศไปแล้วเพราะพวกบอลเชวิำก"
...
"พ่อครับ รัสเซียสูญเสียแผ่นดินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราก็ได้มันกลับคืนมา"
..."ถูกต้องลูกพ่อ แต่ความวิตกกังวลอันใหญ่หลวงของพ่อก็คือ จะมีอะไรเหลือให้กับประเทศอันเป็นที่รักของเราอีก ลองคิดดูสิว่า รัสเซียจะถูกปกครองโดยคนที่หักหลังรัสเซีย"







"เมื่อคุณเริ่มต้นเกลียดอะไรแล้วล่ะก็" สเตฟานกล่าว "ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งคุณได้หรอก"













เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านแล้ว ความรู้สึกบางอย่างยังตามติดอยู่ค่ะ

ยิ่งการที่เรากำลังอยู่ในสังคม และช่วงวันเวลาที่คล้ายคลึงกันเหลือเกิน

อ่านแล้วก็ได้แต่หวังและ...ภาวนาว่า...

ขออย่าให้ประเทศไทย..ต้องเป็นไปถึงเพียงนั้นเลย










ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านนะคะ

576798/4486/408






 

Create Date : 04 มกราคม 2553    
Last Update : 4 มกราคม 2553 18:15:12 น.
Counter : 2180 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.