David Ricardo เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกที่หักล้างความเชื่อนี้ได้ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ต่อให้ประเทศ A ซึ่งผลิตสินค้าทุกอย่างได้เก่งกว่าประเทศ B มีการค้าขายกัน ประเทศ B ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากการค้าขายแลกเปลี่ยนอยู่ดี เพื่อให้อธิบายง่ายขึ้นลองสมมติว่า โลกนี้มีสินค้าแค่สองอย่างเท่านั้น คือ กระป๋องกับเสื้อโหล
๐ ถ้าให้ผลิตกระป๋องอย่างเดียว ประเทศ A จะผลิตได้เดือนละ 100 กระป๋อง ในขณะที่ B ทำได้ 400 กระป๋อง
๐ ถ้าให้ผลิตเสื้อโหลอย่างเดียว ประเทศ A ผลิตได้เดือนละ 100 ตัว ในขณะที่ B ทำได้ 200 ตัว
สังเกตว่า ประเทศ B เหนือกว่า A ทุกด้าน เพราะผลิตสินค้าอย่างเดียวกันได้มากกว่าเสมอ สมมติว่าก่อนจะค้าขายกัน A เลือกผลิตกระป๋องเดือนละ 50 กระป๋องและเสื้ออีก 50 ตัว ในขณะที่ B เลือกผลิตกระป๋อง 200 กระป๋องและเสื้ออีก 100 ตัว
แต่ถ้าทั้งสองเปลี่ยนมาแบ่งงานกันทำ โดย A เลือกผลิตเสื้ออย่างเดียว 100 ตัว ส่วน B เลือกผลิตกระป๋อง 300 กระป๋องและเสื้อ 50 ตัว จากนั้น A นำเสื้อที่ผลิตได้เกิน 50 ตัว ไปแลกกับอาหารกระป๋องของ B ที่ผลิตได้เกินเช่นกัน จำนวน 75 กระป๋อง จะเห็นได้ว่า คราวนี้ทั้ง A และ B ยังได้บริโภคเสื้อเท่าเดิมอยู่ แต่จะได้บริโภคอาหารกระป๋องเพิ่มขึ้นประเทศละ 25 กระป๋องด้วย ทั้งสองประเทศจึงได้ประโยชน์จากการค้าเสรี ทั้งที่ประเทศหนึ่งเก่งกว่าอีกประเทศหนึ่งหมดทุกด้าน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะแม้ว่า B จะเหนือกว่า A ทุกด้าน แต่ถ้ามองต้นทุนการผลิตเสื้อในรูปของ "ค่าเสียโอกาส" ในการผลิตกระป๋อง ประเทศ B มีต้นทุนในการผลิตเสื้อสูงกว่า A เพราะในการผลิตเสื้อหนึ่งตัว A จะเสียโอกาสในการผลิตกระป๋องเพียง 1 กระป๋อง ในขณะที่ B จะเสียมากถึง 2 กระป๋อง ดังนั้น A จึงได้เปรียบ B ในการผลิตเสื้อมากกว่า (เพราะมีค่าเสียโอกาสต่ำกว่า) ทั้งที่ B ผลิตเสื้อได้เร็วกว่า A อาจกล่าวว่า A มีความสามารถในการแข่งขันเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) สูงกว่า B ทั้งที่ B มีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงที่สูงกว่า A ก็ตาม
เมื่อประเทศหนึ่งมีต้นทุนการผลิตสินค้า X ในรูปของค่าเสียโอกาสในการผลิตสินค้า Y สูงกว่าอีกประเทศหนึ่ง ในทางกลับกัน ประเทศแรกจะต้องมีต้นทุนในการผลิตสินค้า Y ในรูปของค่าเสียโอกาสในการผลิตสินค้า X ต่ำกว่าประเทศหลังด้วยเสมอ ฉะนั้นต่อให้ประเทศหนึ่งเก่งกว่าอีกประเทศหนึ่งในทุกๆ ด้าน ทั้งสองประเทศก็ยังได้รับประโยชน์จากการหันมาค้าขายระหว่างกันอยู่ดี ย่อมเป็นการดีกว่าที่ B จะเอาเวลาไปผลิตกระป๋องให้มากขึ้น แล้วหันมาซื้อเสื้อจาก A ไปบริโภคแทน
แต่ถ้าประเทศ A ชำนาญผลิตเสื้อ ประเทศ B ชำนาญการผลิตกระป๋อง ประเทศ T ชำนาญการเกษตร แล้วประเทศ T เห็นว่าเอ๊ย ประเทศ A และ B GDP สูงจากการทำอุตสาหกรรม ประเทศ T ก็เริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็นอุตสาหากรรม ทำลายพื้นที่การเกษตร ทำลายในสิ่งที่ตนชำนาญ เปลี่ยนไปหาสิ่งที่เขากำลังคิดว่าน่าจะสร้างผลกำไรให้กับตัวเขามากกว่า ประเทศทีก็ รอ วัน เจ๊งได้เลยครับ
แต่ถ้าประเทศ A ชำนาญผลิตเสื้อ ประเทศ B ชำนาญการผลิตกระป๋อง ประเทศ T ชำนาญการเกษตร
แล้วประเทศ T เห็นว่าเอ๊ย ประเทศ A และ B GDP สูงจากการทำอุตสาหกรรม ประเทศ T ก็เริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็นอุตสาหากรรม ทำลายพื้นที่การเกษตร ทำลายในสิ่งที่ตนชำนาญ เปลี่ยนไปหาสิ่งที่เขากำลังคิดว่าน่าจะสร้างผลกำไรให้กับตัวเขามากกว่า ประเทศทีก็ รอ วัน เจ๊งได้เลยครับ