ธรรมชาติของความตาย
ธรรมชาติของความตาย
คหบดีผู้หนึ่ง เมื่อบุตรชายตายนำไปฟังที่สุสาน ทุกเวลาสายัณห์เย็น จะต้องมานั่งร้องไห้รำพรรณที่ศพลูก จนไม่มีเวลาจะพสายลมแสงแดดที่น่าพิศมัยของโลกได้
วันหนึ่งเมื่อจากบ้านมาถึงสุสานยังไม่ทันร้องไห้ เหลือบเห็นเด็กคนหนึ่งมาชิงร้องไห้เสียก่อน ก็เลยลืมคิดที่จะร้องแข่งกับเด็ก จึงเข้าไปถามเด็กว่า ร้องไห้ทำไม
เด็กคนนั้นตอบว่า ฉันต่อเรือนรถไว้อย่างสวยงามแต่ยังขาดล้อ ที่ร้องไห้ก็เพราะปรารถนาจะได้ล้อรถ
คหบดีจึงถามว่า ล้อรถที่ไหนล่ะที่เจ้าอยากได้
เด็กตอบว่าเรือนรถที่ต่อเอาไว้นั้นสวยงามมาก จนไม่ควรจะใช้ล้อที่สร้างจากวัตถุใดในโลกนี้ เห็นสมควรอยู่ก็แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์เท่านั้น ฉันอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาทำล้อรถของฉัน
คหบดีฟังแล้วก็ประณามเด็กทารกนั้นว่า เจ้านี่จะบ้าหรือ.. ที่มาร้องไห้เอาพระอาทิตย์พระจันทร์ สิ่งนั้นมันสูงเกินนัก ไม่มีใครหรอกจะได้สิ่งที่สูงสุดนั้นมาครองเป็นสิทธิ์ได้
เด็กคนนั้นย้อนตอบว่า ช่างฉันเถอะ..ถึงฉันจะบ้าบอ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าการบ้าเพราะร้องไห้จะเอาสิ่งที่สูง ถือเอาไม่ได้ก็ยังมองเห็น คงจะบ้าน้อยกว่าคนที่ร้องไห้จะเอาในสิ่งที่มองไม่เห็น เช่นการร้องไห้จะให้คนที่รักซึ่งตายไปกลับฟื้นขึ้นมา
คหบดีได้คิด นับแต่นั้นก็เลิกมาป่าช้า เลิกฝังชีวิตไว้กับความเศร้าที่เปล่าประโยชน์
เอาเถอะ แม้น้ำตาจะเป็นเครื่องหมายของความโง่ที่ไม่ยอมรับรู้ความจริงในธรรมชาติ แต่มันมีความหมายพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นเครื่องวัดเครื่องประมาณความดีของผู้ตาย หรือสิ่งที่เราสูญเสียไป ฉะนั้น..น้ำตาแม้จะเป็นเครื่องหมายแห่งความโง่ แต่การร้องไห้ก็ไม่ใช่ความผิด
30 ข้อคิดในการใช้ชีวิต
30 ข้อคิดในการใช้ชีวิต
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆ เท่านั้น
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง" แต่อย่าให้ถึง "สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อย ๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน …คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด …สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นยังไงบ้างตอนนี้" ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง เท่า ๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา , ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ ดังนั้นแล้ว ควรทำในสิ่งที่เราทำได้ และพยายามทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้ได้ตามที่เราต้องการ
7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมหรอกนะ
อยู่ที่การฝีกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณต่างหาก
แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณเป็นคนเก่ง
ที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว
คิดในทางบวก
มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน
ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ
มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้าแม้แต่ตัวคุณเอง ยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ
จะเชื่อในความเก่งของคุณอยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัวหรอกนะ
ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย นั่นแหละเป็น
แรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด
วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียแจ๋ว ๆ
มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จกับเขามั่ง
เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง
ให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจาติดต่องาน ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
มากกว่าคนที่หน้าตาแบกโลกนะคะ
นอกจากนี้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบาน และคลายทุกข์
แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นอ๋อง ที่ทำให้เราดูเป็นวัยสะรุ่นตลอดกาล
รู้อย่างนี้แล้ว..หัดติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากกันเป็นประจำนะ
เรียนรู้จากความผิดพลาด
ก็สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร
แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง
ยอมรับความจริง หันมาทบทวน ดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป...
เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม
ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุข โดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ
แม้ว่าในชีวิตแต่ละวันของคุณจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ ที่รู้จักมักจี๋กันมานานซะบ้าง แวะไปหากัน
เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่
หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา
เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนแสนซื้ ไว้พื่งพา และให้กำลังใจกันได้นะ
ตา กับ ยาย
ตา กับ ยาย
คืนที่ฟ้าฉ่ำฝน ….. ตายายคู่หนึ่งจูงมือ ค่อยๆ พากันเดินเข้าร้าน
McDonalds แลดูแปลกตาท่ามกลางเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว
สายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างชื่นชมในความรักที่ยืนยาวมากว่าครึ่งศตวรรษของสองตายาย
ตาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งอาหารชุดและชำระเงินอย่างคุ้นเคย
ก่อนพายายไปเลือกหาที่นั่งริมในสุดของร้าน
ตายายช่วยกันนำอาหารออกจากถาด
ตาค่อยๆ แบ่งแฮมเบอร์เกอร์ออกเป็น 2 ส่วน เอาเฟรนช์ไฟร์ออกมานับครึ่ง
และจัดวางไว้ดูน่ารับประทานข้างหน้ายาย คว้าแก้วโค้กมาจิบหนึ่งอึก
ส่งให้ยายรับไปจิบหนึ่งอึกก่อนจะวางไว้ตรงกลางเบื้องหน้าทั้งคู่
ขณะที่ตาเริ่มกินแฮมเบอร์เกอร์ส่วนของตนอยู่
บรรดาลูกค้าในร้านที่จับตาดูคู่ตายายมาตั้งแต่ต้นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย
หลายคนสะกิดกันพลางกระซิบ
"น่าสงสารจังแกคงมีเงินพอซื้อได้แค่ชุดเดียวมาแบ่งกันมั้ง"
ชายหนุ่มโต๊ะข้างๆถึงกับเดินเข้ามาหาพร้อมเสนอตัวขอเป็นเจ้ามือซื้อให้อีกชุดอย่างสุภาพ
ตายิ้มรับความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า
"ไม่เป็นไรหรอกมีอะไรเราก็ต้องเอามาแบ่งกันอยู่แล้ว"
เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มสังเกตว่า
ยายได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองตากินแฮมเบอร์เกอร์อย่างเอร็ดอร่อย
ไม่ยอมแตะต้องส่วนของตน นอกจากหยิบโค้กขึ้นมาจิบ
ชายหนุ่มคนเดิมตัดสินใจเข้ามาหาอีกครั้ง
เอ่ยขอร้องให้เขาได้เลี้ยงคู่ตายายที่น่ารักนี้เถอะ
คราวนี้ยายเป็นฝ่ายปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน
ยืนยันเหมือนเดิมว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกัน
เมื่อตารับประทานเสร็จ ขณะหยิบกระดาษมาเช็ดปาก
ยายก็ยังคงนั่งนิ่งดูสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่อิ่มจริงๆ
ชายหนุ่มคนเดิมก็อดรนทนไม่ได้อีก
เอ่ยปากอย่างจริงจังขอตายายอนุญาตให้เขาเลี้ยงสักครั้ง
แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพอีก …..
ชายหนุ่มนึกสงสัย
"ทำไมคุณยายไม่รับประทานบ้างเลยครับ
ก็ไหนบอกว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกันไง
คุณตาก็ทานเสร็จแล้ว ยังรออะไรอยู่หรือครับ?"
..........
........
......
....
คุณยายตอบเนิบๆ …….. " รอฟันปลอมจากตาน่ะหลาน"
ของขวัญอันล้ำค่า
ของขวัญอันล้ำค่า
แต่ก่อนนานมาแล้วยังมีชายชราคนหนึ่งแก่มากจนจำอายุตนเองไม่ได้
หากใบหน้าของเขายังคงอิ่มเอิบเปล่งประกายเลือดฝาด เคราสีเงินยวง
สะอาดตาของเขายาวปกคลุมมาถึงหน้าอก ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก
ตายังไม่ฝ้าฟาง หูก็ยังไม่หนวก เขามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เขา
ก็ยังเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในครอบครัว ปีนี้ เขาตัดสินใจว่าจะ
เลือกใครคนหนึ่งจากลูกชาย ๑๕ คนของเขามาสืบทอดภารกิจนี้เสียที
แต่ว่าจะเลือกใครดีละ เมื่อชายชราคิดวิธีที่ดีที่สุดได้ จึงสั่งให้ลูกชายทั้ง ๑๕
คนมาพบแล้วแจกเมล็ดดอกไม้ให้ลูก ๆ คนละ ๑ เมล็ด พร้อมทั้งบอกว่า
ใครสามารถปลูกเมล็ดพืชนี้ให้งอกงามจนออกดอกบานสะพรั่ง คนนั้นก็จะ
ได้เป็นผู้สืบทอดมรดกต่อไป เมื่อลูก ๆ ได้เมล็ดพืชมาแล้ว ต่างนำไปปลูก
และดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ลูกชายคนเล็กของชายชราผู้นี้มีชื่อว่า เสี่ยว
เหลียงจือ เมื่อได้เมล็ดดอกไม้แล้ว เขาก็นำไปปลูกในกระถาง รดน้ำเอาใจ
ใส่อย่างดีทุกวันทุกคืน แต่เมล็ดพืชนั้นก็ไม่แตกกล้าสักที เสียวเหลียงจือ
รู้สึกเศร้าโศกเสียใจมากเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนย่างกราย
มาถึงแล้ว ชายชราผู้เป็นพ่อกำหนดว่าวันนี้จะเป็นวันคัดเลือกดอกไม้ของ
ลูก ๆ ลูกทุกคนต่างอุ้มกระถางดอกไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างสวยสด
งดงาม มาให้ผู้เป็นพ่อชม เพื่อรอการคัดเลือก
ชายชราเดินตรวจดอกไม้ที่สวยงามในมือของลูกๆด้วยสีหน้าที่ไม่มีแววยินดี
แม้แต่น้อย เขาเดินครวจจากบุตรชายคนโตมาจนถึงบุตรชายคนที่ ๑๔ โดย
มิได้หยุดเลย เมื่อเดินมาถึงเสี่ยวเหลียงจือ บุตรชายคนสุดท้อง ซึ่งยืนถือ
กระถางเปล่า ที่ไม่มีทั้งต้นไม้และดอกไม้ ชายชราจึงหยุดกึกอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวเหลียงจือน้ำตาไหลพราก กล่าวกับบิดาอย่างสำนึกผิดว่า "พ่อครับ
ผมไม่มีดอกไม้จะมอบให้พ่อ..." ชายชรากลับแย้มยิ้มและพูดอย่างยินดี
ปรีดาว่า "ลูกเอ๋ย สิ่งที่เจ้ามอบให้พ่อนั้นมีค่ายิ่งกว่าดอกไม้มากมายนัก"
"อะไรหรือครับ"
"ความซื่อสัตย์ไงละ"
เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่...
ชายชราจึงเปิดเผยความลับต่อลูกๆ ว่า ที่แท้เมล็ดพืชที่ตนแจกแก่ลูกๆ
นั้น เป็นเมล็ดพืชที่นำไปคั่วจนสุกแล้ว ดังนั้น ต้นไม้ที่ผลิดอกสวยงาม
เหล่านั้น ล้วนมาจากเมล็ดพืชจากที่อื่นไม่ใช่เมล็ดพืชที่ผู้เป็นพ่อแจกให้
ดอกไม้พวกนี้จึงเป็นสักขีพยานยืนยันความไม่ซื่อตรงของพวกเขา
สุดท้ายชายชราจึงกล่าวอบรมลูก ๆ ว่า "ขอให้ลูกๆจงเป็นคนซื่อตรงเถิด
ความซื่อตรงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนเรา" ชายชราผู้มองการณ์ไกล
มิได้มองหาลูกชายที่แข็งแรง ร่ำรวย หรือเฉลียวฉลาดเลย หากแต่มอง
หาลูกชายที่ซื่อสัตย์จริงใจ แม้เสียวเหลียงจือ จะมีเพียงกระถางว่างเปล่า
แต่ใจของเขางดงามยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ เพราะเป็นใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความ
ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันหาได้ยากยิ่ง ในโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง
แข่งขันนี้ เขาจึงเป็นผู้ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและได้รับมอบหมายสิ่งสำคัญ
จากผู้เป็นบิดา นี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความซื่อตรง และจริงใจ เป็นสิ่งที่ทุกคน
คาดหวัง อยากได้จากกันและกันมากที่สุด ในชีวิตของเรา เมื่อเราปรารถนา
ความซื่อตรงจริงใจจากทุกคน เราก็ควรเริ่มจากตัวของเราก่อน มอบความ
ซื่อตรงจริงใจให้แก่กัน เพราะนี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่เราทุกคนต่างปรารถนา
และสามารถมอบให้แก่กันและกันได้ ให้โลกนี้ งดงามด้วยความจริงใจ งาม
ยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ ทั้งมวล