เคี้ยวนาน ทำให้สมองฉลาดมากขึ้น
เคี้ยวนาน ทำให้สมองฉลาดมากขึ้น

ข้อมูลจาก

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ทุกคนเกิดมาก็ต้องรับประทานอาหาร โดยเวลาที่รับประทานข้าว อาหารอื่นๆก็ต้องมีการเคี้ยว ซึ่งการเคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น

นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้"

มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์

การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา

ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ

ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้ ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร

การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ

การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย

การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:28:28 น.
Counter : 766 Pageviews.

0 comment
วิธีใช้ทรัพย์ ๔ อย่าง
วิธีใช้ทรัพย์ ๔ อย่าง

๑.อิณัง มุญจามิ - ใช้หนี้เก่า คือ ตอบแทนบิดา มารดา ผู้มีคุณ

๒.อิณัง ทัมมิ - ให้กู้ยืม คือเลี้ยงดูบุตร ธิดา

๓.ปปาเต ฉัฑเฑมิ - ทิ้งลงเหว คือ ใช้กินในบ้าน

๔.นิธิมปิ ตัตทะ นิทหามิ - ฝังไว้ คือ การทำบุญในพระพุทธศาสนา ซึ่งเสมือนขุมทรัพย์ที่ใช้ได้ในอนาคต

ที่มา หนังสือ ธรรมะ 'รวมธรรม ,รวมธรรมหมวดสว่างจักรวาล '



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:27:03 น.
Counter : 725 Pageviews.

0 comment
7 ข้อห้ามของคนอยากผอม
7 ข้อห้ามของคนอยากผอม

1. ห้ามอด

อย่าไปเชื่อว่า การอดมื้อ กินมื้อแบบยาจกนั้น จะทำให้คุณผอมเพรียวลงได้Denise Austin ผู้เขียนเรื่อง "Loose Those Last 10 Pounds" บอกว่า การที่คุณอดอาหารไปบางมื้อ จะทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำงานได้ช้าลง ยิ่งทำให้อัตราการเผาผลาญไขมัน ทำได้น้อยลงตามไปด้วยอย่างนี้ อดแทบตาย ก็มีแต่จะเป็นลมล้มพับ แต่ไม่ยักกะผอมเสียท

2. ห้ามผัดวันประกันพรุ่ง

อย่าพยายามหาเหตุผลมาผัดวันประกันพรุ่ง เช่น วันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านเจ้านาย ขอกินให้พุงกางก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มลดใหม่ แต่หารู้ไม่ ไม่มีวันพรุ่งนี้ที่รอคอย เพราะวันต่อมา คุณอาจมีเหตุผล(ในการกิน) ก็ยัยแก้วเพื่อนซี้นะสิ ชวนไปหม่ำกับแกล้มแถมเลี้ยงเบียร์แก้วโต ไม่ไปก็กลัวเพื่อนจะงอน แล้วในที่สุด คุณก็ยังไม่ได้เริ่มคุมน้ำหนักอย่างที่ฝันไว้ สรุปว่า ถ้าอยากหุ่นดี ก็ควรเริ่มลงมือทันทีแต่ก็ไม่ต้องถึงกับยอมหักดิบ ค่อยเป็นค่อยไป และไม่ควรใจอ่อนกับตัวเอง สักวันหนึ่งคุณก็จะผอมได้ชัวร์

3. ห้ามใจร้อน

ก็แหม ! กว่าที่คุณจะอ้วนฉุได้ขนาดนี้ ก็คงใช้เวลาไม่น้อยหรอกน่า เพราะบางคนอาจจะเผลอลืมคืนวันที่เคยผอมไปแล้วนี่ การที่จะลดน้ำหนักส่วนเกินลง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน แม้นว่าคุณจะไม่สามารถที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลง 5 กิโล ภายใน 2 สัปดาห์ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ลองให้เวลามากขึ้นอีกหน่อย อาจจะ 2 เดือน หรือ3 เดือน หากคุณไม่ถอดใจไปเสียก่อน คุณก็มีสิทธิ์เป็นสาวหุ่นดีได้แน่

4.ห้ามขี้เกียจ

ก็รู้ ๆ อยู่ว่า ถ้าอยากเป็นสาวหุ่นเพรียว ก็ต้องหมั่นออกแรง ให้เสียเหงื่อกันหน่อย แต่วิธีนี้กลับเป็นทางออกสุดท้ายที่จอมขี้เกียจอย่างเรา ๆ คิดจะเลือก ก็มัวไปถามหายาลดความอ้วน ที่ไม่ได้ช่วยให้คุณผอมได้ในระยะยาว และยังมีผลข้างเคียงที่น่าหวาดกลัวมิใช่น้อย สรุปว่าถ้าอยากผอมจริง ๆ ก็ต้องขยันขยับตัว ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องออกแรง เรียกเหงื่อหลาย ๆ หยดหน่อย เพราะการออกกำลังกาย เป็นหนทางเดียวที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินของคุณได้อย่างปลอดภัย และหวังผลได้ชัวร์ๆ ด้วยสิ ถ้าอยากประกาศศึกกับความอ้วนจริง ๆ ห้ามขี้เกียจเป็นอันขาด

5. ห้ามแตะน้ำอัดลม

เครื่องดื่ม รสซ่า เต็มฟอง เย็นเจี๊ยบสักกระป๋อง อาจทำให้คุณรู้สึกเต็มที่กับชีวิต แต่เครื่องดื่มชนิดนี้ ก็หนักแคลอรี่อย่าบอกใครเชียว ซ้ำร้ายยังเป็นภัยเงียบที่กัดกร่อนความแข็งแกร่งของกระดูกลงทุกวันซึ่งอาจทำให้คุณกลายเป็นสาวกระดูกพรุนในวันข้างหน้าได้ หันมาดื่มน้ำเปล่าแทนจะดีกว่า ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดีไม่แพ้กัน แถมยังถูกสตางค์ และไม่มีแคลอรี่ไห้หนักตัว

6. ห้ามคลายเครียดด้วยการกิน

จะเหงาใจ กลัดกลุ้ม หรือรู้สึกย่ำแย่แค่ไหน ควรหาทางออกด้วยการฟังเพลง เดินเล่น พูดคุยกับใครสักคนที่รักเรา (จริง ๆ) ดีกว่าการหันหน้าพึ่งพาขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน หรือไอศกรีม ซึ่งอาจช่วยบำบัดอารมณ์ได้เพียงชั่ววูบ แต่ก็ทำให้คุณอ้วนแบบไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายต้องมานั่งหน้าหมองกับหุ่นอันแสนฉุไปอีกหลายเดือน ไม่คุ้มน่า อย่าเสี่ยง

7. ห้ามตามใจปาก

ถ้าอยากคุมน้ำหนักตัวให้อยู่หมัดจริง ๆ อย่าได้เผลอตามใจปากบ่อยนัก ควรคิดก่อนกินเ สมอ อะไรที่ควรกิน อะไรที่กินได้ แต่อย่าบ่อยนัก อะไรที่ควรเลี่ยงไปเลย ก็ต้องทำเมินกันจริง ๆ แล้วคุณจะเป็นสาวหุ่นดีแบบถาวร

ง่าย ๆ แค่นี้ เราเชื่อว่าคุณทำได้แน่ แล้วอย่างนี้ใคร ๆ ก็คงเลิกเรียกน้องหมูแล้วล่ะ จริงไหม

โดย เดลินิวส์



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:26:14 น.
Counter : 779 Pageviews.

0 comment
ทำอย่างไร ไม่คิดน้อยใจ ไม่คิดสั้น
ทำอย่างไร ไม่คิดน้อยใจ ไม่คิดสั้น
ความน้อยอกน้อยใจ เป็นปัญหาทางอารมณ์ ที่สามารถเกิดได้กับทุกคน เป็นความรู้สึกในทำนองไม่พอใจที่ผู้อื่นมองไม่เห็นคุณค่า หรือ เห็นความสำคัญของตนเอง ทำให้ผู้ที่มีอาการเกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจระคนกับความโกรธ อยากจะทำอะไรที่มันเป็นการประชดประชันผู้อื่น เช่น ไม่ยอมทำการงาน คิดอยากจะทำร้ายตัวเอง หรือ บางคนที่มีความน้อยใจรุนแรงก็อาจจะถึงกับฆ่าตัวตายได้
ดังนั้น คนเราจึงไม่ควรประมาท ไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เพราะความน้อยใจเป็นอารมณ์ร้ายที่สามารถทำลายอนาคตของเรา ทั้งในด้านหน้าที่การงาน และ ครอบครัว หรือ แม้แต่ชีวิตทั้งชีวิตเลยทีเดียว

เครือข่ายชาวพุทธฯจึงขอเสนอ วิธีคิดป้องกันและแก้ไข ไม่ให้ความรู้สึกน้อยใจเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา ด้วยเทคนิคคิด ๔ วิธี ขอเชิญเลือกใช้ตามความถนัดเลยครับผม

๑.ละอายใจ

ให้บอกกับตัวเองว่า การที่เราชอบน้อยอกน้อยใจ นี่แสดงว่าจิตใจของเรายังเป็น เด็กอยู่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง คือคนเรานั้นถึงแม้จะมีอายุแก่เฒ่าสักปานใด แต่หากว่ายังเป็นคนที่ชอบน้อยอกน้อยใจ ก็ถือว่าคน ๆ นั้นยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่นั่นเอง

การใช้วิธีล้อตัวเองให้เกิดความละอาย จนไม่กล้าน้อยใจ เป็นวิธีที่ได้ผลวิธีหนึ่งที่ช่วยเราได้ เช่น เราอาจจะล้อตัวเองให้อายว่า "น่าไม่อาย.. ตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ใจยังเด็ก" อะไรทำนองนี้ ล้อตัวเองให้จิตใจเกิดความละอาย มันจะได้ไม่กล้าน้อยใจ จากนั้นนิสัยนี้ก็จะค่อย ๆ เลิกไปเอง

(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "หิริ" หรือความละอายใจต่อบาป ในพระไตรปิฎก)


๒.ภูมิใจ

สร้างความภูมิใจในตนเองเข้าไว้ บอกกับตัวเองว่าเรานี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราจะไม่ยอมไปน้อยอกน้อยใจอะไรให้ไร้มันสาระ ผู้ใหญ่ไม่ถือสาหาความเด็ก ๆ ฉันใด เราย่อมไม่ถือสาคนที่ทำให้เราน้อยใจแม้ฉันนั้น ความเป็นคนมีใจหนักแน่น และ เป็นมิตรกับทุก ๆ คน เช่นนี้ ถือว่าเป็นคุณธรรมของผู้ใหญ่ที่น่าเคารพที่สุด ใครคิดได้เช่นนี้ ให้ยกมือไหว้ตัวเองได้เลยครับ

( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "คุรุ" ความมีใจที่หนักแน่น น่าเคารพ ในพระไตรปิฎก)


๓.เห็นใจ

เห็นอกเห็นใจคนที่ทำให้เราน้อยใจ ด้วยจิตใจที่เมตตากรุณา ดูตัวอย่างพระพุทธองค์ที่ทรงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมาตลอดพระชนม์ชีพ แต่บางครั้งพระพุทธองค์ก็ถูกโจมตีว่าร้าย บางทีก็ถึงกับปองร้ายหมายชีวิต แต่ทว่าแทนที่พระพุทธองค์จะเกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ทรงกลับมีความกรุณาเมตตาสงสารบุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกับบิดารักบุตร ให้เราเอาแบบอย่างพระพุทธองค์ คือมีความเมตตาต่อผู้ที่ทำให้น้อยใจเหมือนบิดามารดารักบุตร

( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "เมตตาและกรุณา" ในพระไตรปิฎก )


๔.เข้าใจ

ให้คิดเสมอว่าการที่เรามามัวน้อยอกน้อยใจ แล้วเราจะเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างไร ให้รวบรวมจิตใจให้หนักแน่นโดยอาศัยวิธีการจากข้อ ๑- ๓ เมื่อจิตใจมั่นคงดีแล้ว ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองหาเหตุผลจนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยไม่เอาอารมณ์ หรือความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปปะปน คือ ทำใจให้ว่าง วิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยใจที่เป็นกลาง (อุเบกขา) มองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนเห็นเหตุปัจจัยความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ

(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "อนัตตา" ในพระไตรปิฎก)

จากคุณ : nopp_lert



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:25:10 น.
Counter : 932 Pageviews.

0 comment
อ่านจดหมายตัวเอง
อ่านจดหมายตัวเอง

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

สวัสดีค่ะคุณประภาส

เดือนกุมภานี้หนูกำลังจะจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ แต่เพิ่งมารู้ตัวว่า ตนเองไม่อยากทำงานด้านนี้เลย ไม่ชอบเลย ทั้งๆ ที่หนูก็เรียนได้ค่อนข้างดีค่ะ ตอนเด็กๆ รวมทั้งตอนนี้หนูชอบวาดรูปมาก ชอบลงสี สเก๊ต เป็นวิชาที่หนูมั่นใจในความสามารถ ทำได้ดี แต่ครอบครัวของหนูไม่รู้ เขาอาจจะเคยเห็นแต่ไม่ได้ใส่ใจมากกว่า

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ทั้งพ่อและแม่ของหนูรับราชการ และครอบครัวเราอยู่ต่างจังหวัดครอบครัวราชการมักตั้งความหวังและวางกรอบให้ลูกเสมอ สิ่งต่างๆ คอยย้ำว่า พวกศิลปิน มักไส้แห้ง บ้านหนูไม่ได้มีเงินมาจากไหน ทำให้หนูก็คิดว่า เออเราไม่ได้วาดสวยขนาดเอารูปไปขายได้หรอก จินตนาการเราไม่ได้ดีจะไปออกแบบอะไรให้ใครได้ ถ้าเราเรียนด้านนี้จบมาจะมีกินมั้ย ดังนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยหนูจึงไม่ได้เลือกเรียนคณะทางศิลปะเลย หนูเคยเอ่ยปากบอกพ่อว่า หนูจะเรียนวาดรูปนะ พ่อเขาขำๆ เขาไม่ใส่ใจเลย เขาบอกว่าไปนั่งวาดข้างถนนนะเหรอ หนูเลยเงียบ หนูชอบอ่านหนังสือพิมพ์ชอบอ่านการเมือง สังคม ทั่วไป ตอน ม.ปลายสอบกฎหมายทำได้ดี หนูเลยเบนเข็มมาทางนิติฯ ตอนนั้นหนูมุ่งมั่นมาก แต่ตอนนี้พอเรียนจบ ความมุ่งมั่น ความมั่นใจไม่รู้ไปไหนกันหมด หนูเคยคิดว่าเราไม่ชอบ หรือเราขี้เกียจกันแน่ คำตอบคืออย่างแรก หนูไม่อยากอยู่กับอะไรที่ไม่อยาก ไม่ชอบไปตลอด หนูรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขของหนู เด็กเรียนนิติฯ จะมุ่งมั่นมาก แต่อาจารย์กลับสอนแต่คุณค่าในเรื่องรายได้เท่านั้น แม่หนูเป็นครู พ่อก็รับราชการป่าไม้ หนูเคยนั่งมองแม่มองพ่อแล้วคิดว่าจริงๆ แม่อยากเป็นครูมั้ยนะ แม่หนูชอบถักนู่น ถักนี่ ออกแบบเสื้อ หนูเลยคิดว่าเออเขาก็คงอยากเป็นดีไซเนอร์บ้าง พ่อหนูชอบขับรถมาก พ่อคงอยากขับรถแข่ง เขาชอบเลี้ยงปลาด้วย เอาจริงเอาจัง พอมันสวยพ่อก็ภูมิใจ พ่ออยากมีร้านขายปลามั้ยนะ หนูเข้าใจนะว่าเราจะเป็นในสิ่งที่เราเลือกไปหมดไม่ได้หรอก หนูว่าบางทีพ่ออาจจะไม่ได้ชอบเลี้ยงปลามากมายอะไร แม่อาจจะเฉยๆกับงานถัก แต่เพราะงานประจำมันน่าเบื่อ มันหนัก งานอดิเรกเลยกลายเป็นอะไรที่ชอบก็ได้ แต่ตอนนี้หนูก็บอกพ่อแม่ไปแล้วค่ะว่าหนูไม่ชอบแล้วนะนิติ หนูไม่อยากทำงานด้านนี้ เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่หนูรู้ว่าเขาก็คงเสียใจ เขาถามว่าเเล้วจะทำงานอะไร เรียนต่อมั้ย เรียนอะไรต่อละ ในเมื่อเราเรียนมาด้านนี้เราก็ต้องทำด้านนี้ดิ ตอนนั้นยังตอบไม่ได้จริงๆ หนูมาคิดว่าถ้าตอน ม.ปลายหนูกล้า หนูมั่นใจไม่กลัว ผ่านมาตอนนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งเสียดายอยู่ หนูมาคิดได้เมื่อสายว่า ก็เรายังไม่ได้เรียนศิลปะไม่ได้เรียนออกแบบนี่แล้วเราจะรู้จักมันได้ยังไง เราจะมีจินตนาการถึงมันได้ยังไง

หนูคิดเรื่องนี้มาตลอด มานานเป็นปีแล้ว ใครถามอะไร จะทำงานอะไร จะเรียนต่อมั้ย จะเรียนอะไร บอกอะไรไปก็อ้าว ทำไมละ หนูตอบอะไรไม่ได้เลย จะให้หนูไปบอกอะไรใครได้ ตัวหนูเอง หนูก็ยังไม่รู้จะตอบตัวเองว่าไงเลย ตอนนั้นถ้าไม่กลัว ถึงตอนนี้คงสบายใจไปแล้ว ตอนนี้ถ้าได้เรียนก็คงมั่นใจฝีมือ ในความคิดไปแล้ว

หนูอยากเขียนเพราะอย่างน้อยถ้าพี่อ่านจบพี่ก็คงถามหนูไม่ได้ในทันทีว่า จะทำอะไร จะเรียนต่อมั้ย เรียนอะไร ตอนนี้หนูเหนื่อย คิดจนเหนื่อย หนูไม่อยาก "กลัวไปก่อน" กับช่วงชีวิตที่เหลือข้างหน้าอีกแล้ว

ขอบคุณค่ะที่อ่าน ขอบคุณมากๆ

จดหมายฉบับนี้ส่งมาทางอี-เมล ท้ายจดหมายไม่ได้ลงชื่อไว้ คงจะด้วยไม่ต้องการเปิดเผยตัว ดังนั้นขออนุญาตเรียกคุณว่า "หนู" ตามสรรพนามที่คุณเขียนมานะครับ

เวลาเรามีความทุกข์หรือเจอทางตันที่หาทางออกไม่ได้ นักจิตวิทยาหลายท่านมักแนะนำให้เราเขียน เขียนอะไรก็ได้ เพราะการเขียนถือเป็นการระบายออกที่ดีมากอย่างหนึ่ง ใครที่เป็นคนชอบขีดชอบเขียนจะนึกออกว่า ทุกครั้งที่เราเขียนมันจะเหมือนกับเราได้เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายให้เข้าที่มากขึ้น มองเห็นปัญหาชัดขึ้น

แม้แต่การเขียนจดหมายหาใครสักคน ก็เป็นหนทางหนึ่งที่นักจิตวิทยามักแนะนำให้คนที่กำลังเจอปัญหาลองทำ

ไม่รู้จะเขียนหาใครก็เขียนหาตัวเองก็ได้ เขียนเสร็จแล้วเอามาอ่านกันดู ยิ่งอ่านให้บุคคลที่สองที่สามฟัง ผมว่ายิ่งมองเห็นปัญหา ถ้าไม่หวง

อย่าไปหวงมันเลยครับ ทุกข์นี่

คุณ "หนู" ลองอ่านจดหมายของตัวเองดูอีกทีสิครับ อ่านเสร็จแล้วลองจับผิดดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จับผิดให้ละเอียดยิบเลยนะครับ แล้วลองมาเทียบกับของผมดู ว่าผมจับผิดเจออะไรในจดหมายของคุณหนูบ้าง แล้วมันตรงกันตรงไหนบ้าง

ลองดูนะครับ

1.เอาสิ่งที่ผมเห็นชัดที่สุด จดหมายของคุณหนู มีการสะกดผิดเป็นจำนวนมาก บางคำผมต้องเดาเลยครับว่าคุณหนูเขียนว่าอะไร ไม้เอกไม้โทวางผิดที่ บางคำก็หายไปเฉยๆ ซึ่งผิดกับคุณสมบัติของคนเรียนกฎหมายเพราะต้องขลุกกับภาษาไทยตลอด แม้แต่คำว่ากฎหมายซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหนูร่ำเรียนมาตลอดสี่ปี คุณหนูก็สะกดผิด แทนที่จะเป็น ฎ.ชฎา แต่กลับใช้ ฏ.ปฏัก (จดหมายที่นำมาลงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ได้รับการตรวจแก้ไขโดยฝ่ายพิสูจน์อักษรของมติชนเรียบร้อยหมดแล้ว) ผมวิเคราะห์เรื่องนี้ว่า คุณหนูคงจะเหนื่อยใจอย่างที่กล่าวไว้ในจดหมายจริงๆ คนเรานั้นถ้าใจมันแกว่งละก็ ความรู้ความสามารถมันหดหายไปเกินครึ่งเลยครับ

แม้แต่คำขึ้นต้นจดหมาย คุณหนูเรียกผมว่าคุณประภาสอย่างเป็นทางการ แต่ท้ายจดหมายคุณหนูเรียกผมว่า "พี่" อย่างกันเอง เรื่องนี้คงยืนยันว่าคุณหนูเหนื่อยจริงๆ

2.ในขณะที่คุณหนูพูดเรื่อง ไม่อยากประกอบอาชีพหรือเรียนต่อทางสายนิติศาสตร์แล้ว ด้วยเหตุผลว่าใจไม่รัก แต่ขณะเดียวกันก็พูดถึงเรื่องอาจารย์บางท่านที่ให้น้ำหนักแต่เรื่องค่าตอบแทนในอาชีพมากกว่าคุณค่าของวิชาชีพ

เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกันนะครับ ประโยคแรกเป็นเรื่องของชอบไม่ชอบ ประโยคหลังเป็นเรื่องของอุดมคติ คุณหนูต้องถามตัวเองดีๆ ว่าปัญหาของตัวเองที่ไม่อยากเดินทางต่อสายนิติฯนั้นคือเหตุผลข้อไหน อย่าไปเหมารวมหมด

3.ตรงที่คุณหนูพูดถึงงานอดิเรกของพ่อแม่คุณหนู ผมคิดว่าคุณหนูกำลังหาพวกมากกว่าจะคิดอย่างนั้นจริงๆ คุณหนูรู้ไหมครับว่ามีคนไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์หรอกครับที่ได้ทำงานอย่างที่ตัวเองฝันอย่างที่ตัวเองรัก หรือถึงแม้ได้ทำอย่างที่ฝันแล้วจะมีความสุขล้นเหลือ เราต้องยอมรับครับว่าชีวิตมันมีเงื่อนไขอะไรต่ออะไรอีกเยอะที่ทำให้เราต้องทำงานอย่างที่เราทำอยู่

แต่คุณหนูเชื่อผมอย่างหนึ่งเถิดว่า ทุกคนสามารถมีความสุขกับความฝันของตัวเองได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะได้ทำงานเป็นวิชาชีพหรือเปล่า

4.ตรงที่คุณหนูบอกว่า วันที่จบ ม.ปลายแล้วถ้ากล้าๆ ตัดสินใจเรียนศิลปะไป ถึงวันนี้ก็คงจะมั่นใจในฝีมือ คงจะมีจินตนาการกว้างไกลไปแล้ว อันนี้ผมว่าเป็นความคิดสำเร็จรูปเกินไปหน่อยครับ มีคนเยอะแยะที่ไม่ได้เรียนมาทางศิลปะ แต่ก็ไม่มีอะไรมาสกัดกั้นจินตนาการเข้าได้ ถ้าเขาอยากจะจินตนาการ คุณชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนมือระดับต้นๆของประเทศนี่ เรียนมาทางบัญชีครับ คุณไตรภพ พิธีกรชื่อดังก็เรียนมาทางกฎหมาย คุณแอ๊ด คาราบาว ก็เรียนมาทางก่อสร้าง วิญญาณศิลปินไม่เคยยอมถูกขังหรอกครับ ไม่ว่าจะได้เรียนหรือไม่ได้เรียน

และก็มีอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคนที่ร่ำเรียนมาทางศิลปะ แล้วก็หันเหไปทำงานเป็นเลขานุการ เป็นเซลส์แมน เป็นนักธุรกิจ ฯลฯ แล้วก็มีไม่น้อยที่ประกอบอาชีพเหล่านั้นอย่างมีความสุข ว่างเมื่อไรพวกเขาก็ทำงานศิลปะเป็นงานอดิเรก

ขออนุญาตจับผิดเพียงแค่สี่ข้อนะครับ แต่ถ้าคุณหนูจับผิดได้มากกว่าผมก็ต้องถือว่าน่ายินดี

มีวิธีคิดอย่างหนึ่งที่อยากเล่าให้คุณหนูฟัง เอาไปใช้ได้นะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เวลาที่ผมมีนัดที่จะไปสถานที่ที่ไม่เคยไปแล้วดันเกิดไปผิดทางนี่ ผมไม่เคยบ่นเสียดายเลย ผมจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยที่เราได้พบเส้นทางใหม่ๆ ที่เราไม่เคยมา

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ คุณหมอเทอดศักดิ์ท่านพูดไว้ดีจริงๆ

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ ผมได้ยินรุ่นน้องผู้หญิงสองคนนั่งนับว่าปีที่ผ่านมา ใครโชคดีใครโชคร้ายกี่ครั้ง แล้วก็เกทับกันว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน ฟังแล้วก็ให้รู้สึกว่าแปลกดี ที่เขานับความสุขเป็นครั้งๆ

ความสุขในชีวิตมันน่าจะอยู่ที่ว่า เรามีทัศนคติอย่างไรกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแต่ละเหตุการณ์ไม่ใช่หรือ

เอาอย่างนี้สิครับ ถ้าความคิดเรื่องอนาคตมันยังวกวนนัก ก็หยุดพักมันสักปีหนึ่งแล้วค่อยว่ากันต่อว่าจะไปทางไหน ปีหนึ่งนี่แป๊บเดียวครับ ถึงตอนนั้นจะเบนเข็มไปเรียนศิลปะ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะสายตรงไหน หรือจะมุ่งมั่นไปทางสายกฎหมายให้ถึงขั้นอัยการ ผู้พิพากษา ผมก็จะเห็นว่าก็น่าจะเป็นกำลังของชาติได้ดีทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นทนายที่วาดรูปเก่งๆ หรือจะเป็นศิลปินที่รู้กฎหมายนี่ เท่ทั้งสองอย่างครับ




Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:23:57 น.
Counter : 747 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend