เจตภูตมาเยือน
เจตภูต มาเยือน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"วีรยุทธ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนส่งท้ายปีเก่า วันนี้ผมมีเรื่องน่ากลัวของเจตภูตมาเล่าสู่กันฟังครับ

เหตุเกิดขึ้นเมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว ขณะนั้นเป็นวันใกล้จะสิ้นปี มีงานรื่นเริงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ทั้งตามบริษัทห้างร้าน ทั้งในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย คนที่มีเพื่อนฝูงมากก็ไปสนุกสนานเฮฮากับเขาแทบไม่ได้พักผ่อน แต่ส่วนมากก็เต็มอกเต็มใจเพราะถือว่าเป็นโอกาสที่น่าเฉลิมฉลองกัน... หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

หลายๆ คนก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ที่จะถึงนี้

คน ที่สนิทสนมรักใคร่กันก็เปิดอกเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อขึ้นปีใหม่จะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น จะเลิกละสิ่งใดที่ถือว่าไม่ดีงาม เช่น เลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มสุรา แม้แต่การเที่ยวเตร่ก็ควรลดน้อยลง เพื่อถนอมสุขภาพตัวเองและประหยัดเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก

ถือคติว่า...ประหยัดเงิน 100 บาทก็เท่ากับมีเงินเพิ่มขึ้น 100 บาท เป็นต้น!

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ครบถ้วน แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเจตนาดี ตั้งใจดีเมื่อถึงปีใหม่ปีต่อไปก็ตั้งความหวังดีๆ เอาไว้อีก อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งดีๆ สำหรับตัวเอง

ก่อนถึงปีใหม่วันเดียว ผมก็ได้ประสบกับเจตภูตน่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ

คืนนั้นผมไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนแถวเพลินจิต กลับมานอนคนเดียวราวสองยาม เพราะลูกเมียไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด...กำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีมองเห็นภาพนั้นปรากฏขึ้นที่หน้าต่างมุ้งลวดข้างเตียง

ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของฤดูหนาว ร่างของชายผู้หนึ่งเห็นเพียงครึ่งตัวเป็นรูปมืดสลัว แต่สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าเขากำลังมองมาที่ผม ลักษณะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู...ได้ยินเสียงคล้ายลมพัดวู่หวิว ไม่แน่ว่าเขาพูดออกมาตามปกติ หรือผมได้ยินจากความรู้สึกแต่ก็จับใจความได้ชัดเจน

"ปีใหม่อีกแล้ว...คิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?"

ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็น วิญญาณพเนจรที่ผ่านมาพอดี แต่มีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นก่อน...ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก อย่ากลัวไปเลย!

อ๋อ...เจตภูตของใครที่มาเยี่ยมเยือนเพราะความคิดถึง? ญาติมิตรคนไหนกันแน่ เพราะสุ้มเสียงที่มากระทบโสตสัมผัสก็ช่างคุ้นหู เหมือนกับที่ได้ยินเพื่อนฝูงคุยกันสนุกเฮฮาเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง

"เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เดี๋ยวปี...เดี๋ยวปี...ชีวิตคนเราก็หดสั้นลงทุกทีเหมือนฟ้าแลบแป๊บเดียว! เหมือนน้ำค้างที่โดนแดดเผา รังแต่จะระเหยหาย เหือดแห้งไปในพริบตา!"

ผมนิ่งอึ้ง ความรู้สึกคล้ายเคลิบเคลิ้ม ถูกดึงดูดไปตามถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะปรารภหรือบอกเล่าสู่กัน มากกว่าจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างจริงๆ จังๆ

"ว่าไง...คนเราควรจะทำยังไงดีกับชีวิตที่เหลืออยู่? ไม่ช้าก็หมดลมหายใจอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว"

"หาความสุขให้ ชีวิตกระมัง?" ผมนึก "ชีวิตนี้สั้นนัก อย่ามัวไปวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆ ให้เสียเวลาเลย...เขาว่าชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์! เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ก็ควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาทั้งที"

สรรพสิ่งเงียบเชียบเยือกเย็น ร่างที่ปรากฏอยู่เหนือขอบหน้าต่างเพียงครึ่งเดียวผงกศีรษะช้าๆ ผมเริ่มจ้องดูอย่างเอาจริงเอาจัง นึกว่า...ใครนะ? มาจากไหนกัน?

ทันใดนั้น แสงสว่างเรืองก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้านั้นช้าๆ จนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกที...ผมนอนตัวแข็งทื่อ หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัว เมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ถึงผมไม่บอก เชื่อว่าคุณผู้อ่านต้องเดาได้แล้วว่า ภาพนั้นเป็นใบหน้าของผมเอง! เจตภูตของผมแท้ๆ ที่มาเยือนตัวเองในคืนปีใหม่...ได้เห็นครั้งเดียวก็ขนหัวลุกเกินพอแล้วครับ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE1TURjMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3T1E9PQ==



Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 12:48:28 น.
Counter : 1865 Pageviews.

0 comment
ขวัญผวา
ขวัญ ผวา

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ปุยฝ้าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเจ้าที่

พวกผู้ใหญ่มักจะสอนดิฉันอยู่เสมอว่า ผีไม่มีจริง...ไม่ต้องไปกลัวมัน! คนที่เล่าว่าเห็นผีที่จริงแล้วคือคนจิตอ่อน หรือไม่ก็หลอกตัวเอง ดิฉันก็อยากเชื่อหรอกค่ะ แต่ความคิดมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านพยายามสั่งสอนเสียจริง

คือ ดิฉันเชื่อว่าผีมีจริง เพราะเคยเจอเรื่องแปลกๆ หลายครั้ง และแน่ใจว่าไม่ได้ประสาทหลอนแน่ๆ มันเป็นเรื่องที่เหนือคำอธิบาย เช่น เมื่อตอนอายุราว 15 ปี วันหนึ่งดิฉันได้ยินเสียง คุณลุงมาเรียกคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน คุณพ่อก็ได้ยินค่ะ แต่พอเปิดประตูก็ไม่มีใครสักคน...ไม่ช้าที่บ้านคุณลุงก็โทรศัพท์มาบอกว่าคุณ ลุงตายเสียแล้ว ด้วยอาการหัวใจวาย...แล้วใครที่มาเรียกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เจตภูตหรือวิญญาณของท่าน?

เหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันฝังใจมาก คุณพ่อเองก็อธิบายไม่ได้ทั้งที่เป็นคนสอนลูกๆ ไม่ให้กลัวผีหรือเชื่อเรื่องผี! แม้ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผี แต่มันเป็นความระแวง กลัวว่าผีจะโผล่ขึ้นมาจนตกใจ ซึ่งดิฉันไม่ชอบเลยค่ะ เรื่องขวัญผวานี่น่ะ

แปลกนะคะ เวลาเจออะไรที่คิดว่าเป็นผีเข้าจริงๆ ดิฉันจะรู้สึกทึ่งมากกว่ากลัว...มันอยากพิสูจน์ อยากรู้อยากเห็น! รู้สึกว่าการเป็นผีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก มันน่าตื่นเต้นและนำไปเล่าต่อ...เป็นเรื่องที่ประทับใจจริงๆ ค่ะ

เมื่อโตขึ้น ดิฉันเรียนจบมัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ต้องจากบ้านที่ราชบุรีมาอยู่กับคุณป้า

บ้านคุณป้านี้ดิฉันเคย อยู่เมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆ ค่ะ เป็นบ้านใหญ่ที่อยู่รวมกันทั้งคุณปู่คุณย่า และลูกๆ หลานๆ เราจึงมีหลายครอบครัวในที่ดินผืนใหญ่เกือบ 2 ไร่ บ้านเก่าของดิฉันเป็นเรือนเล็กๆ ชั้นเดียว ปลูกอยู่ด้านหลังตึกใหญ่

เมื่อเข้ากรุงเทพฯ คุณป้าก็ให้ดิฉันอยู่บ้านหลังเดิม บางวันแม่ก็มาค้างด้วย

เวลาที่แม่กลับไปที่ราชบุรี ดิฉันจะอยู่ที่บ้านหลังเล็กตามลำพัง ไม่ได้กลัวอะไรเลย เพราะเป็นบ้านของเราแท้ๆ เสียแต่เวลากลับบ้านมืดๆ น่ะ ต้องเดินฝ่าความมืดเป็นระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว

ที่สำคัญ คุณป้าเป็นคนประหยัดไฟ บ้านเราจึงค่อนข้างมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา 2-3 ทุ่มไปแล้ว คุณป้าจะขึ้นไปอยู่ชั้นบน ชั้นล่างนี่ปิดไฟหมด ไฟตรงซุ้มที่ดิฉันเดินลอดก็เสีย ยังไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนหลอดมันจึงมืดมาก ถึงจะมีแสงสลัวๆ จากบ้านอื่นมันก็ยังมืดแทบมะงุมมะงาหรา

คืนหนึ่ง ดิฉันไขกุญแจประตูใหญ่เข้ามาตอน 4 ทุ่ม บ้านเงียบและวังเวง มีแต่แสงไฟจากห้องคุณป้าที่ชั้นบนลอดผ่านม่านออกมา เรือนคนใช้ก็มีแสงไฟเปิดอยู่

ดิฉันต้องเดินอ้อมตึก ผ่านซุ้มไม้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาดำๆ คล้ายคนคลุมผ้านั่งยองๆ อยู่ตรงมุมตึกที่ดิฉันต้องเดินผ่าน!

แม้จะผิดสังเกต แต่ดิฉันก็ไม่ได้ชะงักฝีเท้า ทั้งที่ในใจสงสัยว่านั่นอะไรน่ะ? รู้อย่างเดียวว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผู้ร้าย...มันเป็นเพียงเงาที่ดำทึบกว่าความมืดสลัวรอบๆ ตัวเอง

ครั้นดิฉันเดินผ่าน ใกล้ขนาดฟุตเดียวเท่านั้นละค่ะ ก็รู้สึกว่าเงานั้นยืดตัวขึ้นเหมือนคนที่นั่งยองๆ ลุกขึ้นยืน ความสูงก็ประมาณผู้ชายตัวสูงๆ แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่คนแน่นอน! มันเป็นเงาที่เหมือนใครเอาผ้าคลุมหัวตลอดร่างลงมา...

ว่าจะไม่กลัวก็เสียววูบเอาการ และนึกว่าเราตาฝาด ประสาทหลอน! หรือคิดไปเองรึเปล่า? อากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกที อยากจะเร่งฝีเท้าหรือวิ่งหนี แต่คิดว่ามันงี่เง่าที่จะทำอย่างนั้น

ขณะเดินเร็วๆ เพื่อจะรีบเข้าบ้าน ก็รู้สึกว่าเงานั้นตามมาตลอด...ตามมาติดๆ

มือเปิดประตู ผลุบเข้าบ้านแล้วปิดประตูตามหลังทันที ความรู้สึกยังบอกว่าร่างนั้นชะงักอยู่หลังประตูนี่เอง! มันคืออะไรนะ? สงสัยพรุ่งนี้ต้องลุกขึ้นใส่บาตรซะแล้ว

คืนนั้นดิฉันเปิดไฟทั้งบ้านเลยค่ะ อยู่คนเดียวด้วย แล้วความคิดก็ย้อนกลับไปเมื่อตอนเด็กๆ ตอนที่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่และต่อเติมบ้านหลังใหญ่ ดิฉันจำได้ว่าคนงานก่อสร้างเล่าว่าถูกผีหลอก เขาบอกว่าตอนแรกคิดว่าแม่ยายเขามานั่งยองๆ เอาผ้าคลุมหัว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะแม่ยายกำลังเปิบข้าวอยู่ในเพิงที่พัก

พวกเขาบอกว่า สงสัยเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง

เฮ้อ...กำลังหวาดๆ ก็ดันความจำดีขึ้นมาซะอีกแน่ะ! สิ่งที่ดิฉันเห็นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่คนงานเห็นเมื่อหลายปีก่อนหรือเปล่าก็ ไม่รู้...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกค่ะ!


//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE0TURjMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3T0E9PQ==



Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 12:46:37 น.
Counter : 689 Pageviews.

0 comment
จามจุรีกลางซอย
จามจุรี กลางซอย

ขนหัวลุก

ใบหนาด



บุญมาก ดวงตก เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางแค

สมัยหนุ่มผมอาศัยอยู่กับน้าสิทธิ์-ญาติแท้ๆ ที่บ้านในซอยลึกย่านบางแค น้าสิทธิ์เคยทำงานเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ แต่ลาออกมาร่วมหุ้นเพื่อนทำธุรกิจเล็กๆ แกจึงมีเพื่อนเยอะแยะมาตั้งวงกินเหล้า สรวลเสเฮฮากันบ่อยๆ

ผมเองเรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ น้าสิทธิ์ก็เลยเอามาช่วยทางนี้จนผมไม่คิดไปหางานอื่นทำแล้วครับ บ้านช่องแม้จะไม่กว้างขวางแต่ผมก็สบายใจ

น้าสิทธิ์กับน้าแหวนเมียแกเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ ทั้งคู่ไม่มีลูก...ผมนี่แหละหลานรักที่แกอุ้มชูมาแต่อ้อนแต่ออก น้าสิทธิ์รักเหมือนลูกแท้ๆ ผมเองก็เต็มใจที่จะอยู่ดูแลแกเช่นกัน ทุกอย่างลงตัว

เหตุเกิดเมื่อตอนปลายเดือนธันวาคมพอดี!

เพื่อนๆ น้าสิทธิ์มากินเหล้ากันที่บ้าน ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่กันตั้งแต่ไก่โห่ บรรยากาศสนุกมาก ดื่มไปร้องคาราโอเกะไปเสียงครึกครื้นเชียว บ้านเราค่อนข้างห่างจากบ้านอื่น ไม่ต้องเกรงใจใคร และเราก็สนุกกันเต็มที่ชนิดไม่ต้องกลับบ้าน

ผมเองไม่ได้ดื่ม บางวันอาจจะต้องขับรถไปส่งลุงๆ น้าๆ บางคนในยามวิกาล หรือไม่ก็ค่อนรุ่ง...แต่คืนนั้นใครไม่ได้เอารถมา หรือเมาจนขับรถไม่ได้ก็คงต้องค้างบ้านนี้แหละ เพราะรถน้าสิทธิ์ตอนนี้ไปเข้าอู่

ตีหนึ่งกว่าๆ ผมทำหน้าที่ดีเจ. เปิดคาราโอเกะให้คุณลุงคุณอาได้ขยับลูกคอกัน แหม...เพลินไปหน่อย เหล้าใกล้จะหมด งานก็ทำท่าจะกร่อย...ในฐานะเจ้าบ้านจะยอมได้ไงครับ ผมรับอาสาเดินจากบ้านไปซื้อเหล้าโซดาและกับแกล้มที่ร้านปากซอย

แหม! ถ้ามีรถก็ไม่ลำบากหรอก แต่ไม่เป็นไร...เดินไปแค่ 300 เมตรเอง ขากลับอาจจะนั่งมอเตอร์ไซค์มา...ถ้ายังมีอยู่นะ

ขาไปไม่ได้คิดอะไร แต่พอผ่านจามจุรีต้นใหญ่กลางซอยผมก็ใจหายวาบ...เมื่อเดือนก่อนมีหนุ่มแพ้ ชีวิตมาจากไหนไม่รู้ มายึดเอากิ่งก้านสาขาของต้นไม้นี้ผูกคอตาย

ตอนเก็บศพน่ะผมยังมาดู...จำหน้าคนตายได้ติดหูติดตา!

คิดๆ แล้วอยากด่าตัวเองชะมัด มารื้อฟื้นความจำอะไรกันตอนนี้! เมื่อกี้ทำไมไม่คิด แล้วปลุกไอ้บอมบ์มาเดินเป็นเพื่อน ถึงมันจะเป็นเด็กอายุ 12 ก็ยังดีกว่าไม่มีใครแบบนี้...ผมชะแง้ไปบนท้องถนนที่ยังมีรถแล่นผ่าน แต่คอยเป็นนานสองนานก็ไม่มีแท็กซี่ว่างๆ ไม่มีตุ๊กตุ๊ก ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างซักคันเดียว

ไม่ไหวแล้ว เห็นทีต้องเดินกลับ...

ผมกัดฟัน แข็งใจ...เป็นไงเป็นกัน! แล้วก็ก้าวเท้าเข้าซอยอย่างอาจหาญ ยิ่งใกล้ต้นจามจุรีที่แผ่กิ่งก้านสาขาคลุมซอย ผมยิ่งใจแป้ว พยายามไม่คิดอะไรที่สยองๆ และแล้วผมก็เดินผ่านมาอย่างเรียบร้อย...

อ้าว? พอคล้อยหลังมาไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงหนักๆ ตกต้นไม้มาดังตุ้บ! เหมือนลูกขนุนหรือมะพร้าวร่วงกระทบพื้น ผมหยุดกึก ใจเหลือเท่าปลายนิ้วก้อย...ขนลุกซู่ตั้งแต่หัวจดเท้า...เอาละซี มันเล่นงานเราจนได้!

ผู้ใหญ่สอนว่าถ้าผีหลอกอย่าวิ่ง เดี๋ยวจะสติแตก เตลิดไปจนได้รับอันตราย

เฮ้อ...ต้องปลอบใจตัวเองว่าดีนะที่เจอผี ดีกว่าเจอคนร้าย...ผีน่ะมันแค่ภาพหลอนเท่านั้น ทำอะไรเราไม่ได้หรอกน่า...

คิดอย่างนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเดิน ไม่หันไปดู แต่เสียวสันหลังอย่างแรง แม้นัยน์ตาจะไม่เห็น แต่จินตนาการมันซาดิสต์กับผมมากเลยครับ

นั่น คือ นึกถึงภาพศพผูกคอตาย เดินหัวพับ หน้าบวมฉึ่ง นัยน์ตาถลนออกมานอกเบ้า ลิ้นจุกปากดำปี๋ มีเลือดออกจากหู ตา จมูก ปาก! เขากำลังเดินตามผมมาทุกฝีก้าว...นั่นไง! ผมได้ยินเสียงฝีเท้าแน่นอนที่ลากช้าๆ ตามหลังมา!

เมื่อกลัวจนสุดขีด ความกลัวก็กลับเป็นความบ้าบิ่นอย่างเหลือเชื่อทันใด

เปล่าครับ ผมไม่ได้หันไปทำอะไรคุณผี แต่ใจผมเยือกเย็น ปากก็คุยกับเขาดังๆ เหมือนคุยกับเพื่อนฝูง...ขอบใจที่เดินมาเป็นเพื่อนนะ ขอให้ไปสู่สุคติเถอะ!

ผมทั้งพูดและนึกอย่างนี้มาจนถึงบ้าน ใครๆ ถามว่าผมเดินไปเหยียบอะไรมา เหม็นเน่าหึ่ง?! ผมตอบไปตามตรงว่าถูกผีหลอก...ผีมาขอส่วนบุญน่ะ ไม่มีอะไร

พวกคนเมาหัวเราะครืน อนุโมทนาผมกันใหญ่...ผมเลยกลายเป็นพ่อบุญมาก ดวงตก นับแต่นั้นมา!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEzTURjMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3Tnc9PQ==



Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 12:46:08 น.
Counter : 603 Pageviews.

0 comment
ขนหัวลุก
ขน หัวลุก

ใบหนาด



"หลานเฟิร์น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคอนโดฯ สยองขวัญ

เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้น เพราะพี่รุ่ง-เพื่อนรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย จะไปค้างพัทยากับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับเธอ ก็เลยขอให้ดิฉันไปนอนเฝ้าคอนโดฯ ที่พระโขนงให้ด้วยเพราะเธอเลี้ยงหมาชิวาว่าไว้ 2 ตัว ไม่ได้เอาไปเที่ยวด้วย...เธอห่วงหมามากน่ะค่ะ

ลูกสาวเศรษฐีซะอย่าง พ่อซื้อให้ทั้งรถสปอร์ตและคอนโดฯ มีอิสรเสรีสุดๆ

บ่ายวันศุกร์ ดิฉันเลิกเรียนแล้วตรงไปคอนโดฯ พี่รุ่งเลย ดิฉันเคยมาหลายครั้งแล้ว บางทีก็ค้างคืน แต่ที่จะนอนคนเดียวน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

คอนโดฯ พี่รุ่งชั้น 20 กว้างขวางและสวยมากราวโรงแรม 5 ดาว อยู่ที่นี่มีความสุขจริงๆ เลยค่ะ ห้องน้ำก็สวยสุดใจ แถมมีห้องครัวเล็กๆ ให้เตรียมอาหารอีกด้วย

พี่รุ่งซื้อลาซานญ่าของโปรดของดิฉันไว้ให้ใน ตู้เย็น แถมด้วยเนื้ออบชิ้นใหญ่ๆ และไอศกรีมรสกล้วยหอมชีสอีกถังเบ้อเริ่ม จะแบ่งให้น้องหมากินก็ได้นะ แต่เจ้าสองตัวนี่มีอาหารหมาอย่างดีกินเรียบร้อย

คืน นั้น ดิฉันกินไอศกรีมไปดูทีวีไปอย่างแสนสุโข จนราว 5 ทุ่มกว่าๆ ก็ชักง่วง เลยไปอาบน้ำฝักบัวอุ่นๆ

ขณะอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินเสียงจินนี่กับ บ๊อบบี้-ชิวาว่าน่ารัก 2 ตัวร้องงื๊ดๆ อยู่หน้าประตู มันคงเหงา...หมาอะไรขี้อ้อนชะมัดเลย! ดูซิคะ พอเปิดประตูออกไปมันก็ตัวสั่น เบียดเข้าหาเหมือนอยากให้อุ้ม...พี่รุ่งเคยบอกว่าเอามันนอนบนเตียงได้ มันชอบ!

ดิฉันเดินเข้าห้องนอน สองตัวก็ตามมาติดๆ ท่าทางเหมือนจะกลัวอะไรสักอย่างงั้นแหละ หรือมันอยากนอนก็ไม่รู้นะ เอาละ...นอนก็ได้! แต่ดิฉันจะไปดูความเรียบร้อยให้ทั่วๆ อีกสักหน่อย พอเดินออกจากห้องนอนก็ต้องตกใจสุดขีด...

บนโซฟาที่ดิฉันเอกเขนกดู ทีวีเมื่อสักครู่นี้ มีฝรั่งคนหนึ่งนั่งอยู่!

ในแสงสลัวจากไฟดวง เดียวนั้น ดิฉันยังเห็นถนัดว่าเขาเป็นชายสูงใหญ่ ร่างท้วม ผมสีทองจางๆ บางเต็มที เขาใส่เสื้อลายทาง นุ่งกางเกงสีเข้ม นั่งเอามือข้างหนึ่งพาดเหนือโซฟา อีกข้างวางอยู่บนตัก มองตรงมาข้างหน้าเหมือนดูทีวี...แต่ดิฉันปิดทีวีแล้วนี่นา

ถอย หลังกรูดไม่รู้ตัว ใจหายว่าเขาเข้ามาได้ยังไง? ประตูก็ล็อกเรียบร้อยแล้วนี่นา...ตายละ! เขาจะทำอะไรเราหรือเปล่าเนี่ย?

เกือบ เหยียบหมาแน่ะตอนปราดเข้าหาโทรศัพท์ รีบโทร.ลงไปบอกเจ้าหน้าที่ข้างล่าง เขาถามลักษณะชายคนนั้น พอได้คำตอบเขาก็พูดหัวเราะๆ ว่า...ไม่มีอะไรหรอก!

อะไร นะ? ดิฉันร้องโมโหมาก...ไม่มีอะไรได้ยังไง? มีคนทั้งคนบุกรุกเข้าในห้องดิฉันกลางดึกอย่างนี้เนี่ยนะ?

ตอนนั้น ดิฉันกลัวมาก สับสนไปหมด แอบเปิดประตูแง้มดูแต่ไม่เห็นใครเลย...ภายนอกเงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอยู่ ดิฉันแข็งใจย่องออกมา...เขาไม่อยู่แล้วจริงๆ ไม่ได้ซ่อนอยู่หลังม่านหรือซอกมุมใดๆ พอดูที่ประตูมันก็ล็อกด้านในอย่างแน่นหนา

เอาละซิ! คราวนี้ดิฉันไม่ได้กลัวคน แต่เริ่มคิดระแวงแล้วว่า...เขาอาจจะเป็นผี! โทรศัพท์มือไม้สั่นพูดกับเจ้าหน้าที่ประจำคอนโดฯ อีกที เขาบอกตรงๆ ว่าฝรั่งที่ดิฉันเห็นน่ะเป็นเจ้าของห้องคนเก่าที่ย้ายกลับประเทศไปนานแล้ว ก่อนที่คุณพ่อพี่รุ่งจะมาซื้อต่อ

ผีแน่ๆ เลย! ดิฉันมือเย็นไปหมด ใจเต้นแรง กลัวจนอยากร้องไห้...ทำไงดีล่ะ? ต้องนอนคนเดียวทั้งคืนที่นี่ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้แล้ว!

รีบล็อกประตูห้องนอน เปิดไฟสว่างโร่ ขึ้นเตียงห่มผ้า กอดหมาทั้งสองตัวไว้แน่น นอนไม่หลับเลยค่ะ ทรมานมาก หูก็คอยแว่วเสียงเขย่าประสาทไม่หยุดหย่อน...เดี๋ยวได้ยินคนเดินไปมา เดี๋ยวได้ยินเสียงเปิดทีวี เสียงกระแอมเบาๆ จากข้างนอกแทบทั้งคืน

อากาศ ที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกเข้าไปจับกระดูก ใจเต้นตึ้กๆ ไม่หยุดหย่อน กลืนน้ำลายจนปากคอแห้งผากไปหมด ได้ยินอะไรก็สะดุ้งผวาไม่เป็นส่ำ...เกิดมายังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน เลย...กลัวจนน้ำตาไหลเลยค่ะ

รุ่งเช้า พอให้ข้าวเจ้าจินนี่กับบ๊อบบี้แล้ว ดิฉันก็ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ เลยโทร.เข้ามือถือบอกพี่รุ่ง เธอทำเสียงตื่นเต้นยกใหญ่ บอกว่าตัวเองไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวอย่างที่ดิฉันเจอ...แปลกจริงๆ

เดี๋ยวนี้พี่รุ่งก็ยังอยู่ที่คอนโดฯ นั้น โดยไม่เคยเห็นผีฝรั่งแม้แต่ครั้งเดียว...เธอคงดวงแข็งกว่าดิฉันแน่เลยค่ะ"

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEyTURjMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3Tmc9PQ==



Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 12:45:35 น.
Counter : 613 Pageviews.

0 comment
ปีศาจบนสะพาน
ปีศาจ บนสะพาน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นายกลึง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกบนสะพานพระรามหก

ผมเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่า เรื่องผีๆ สางๆ มาก็เยอะ มีทั้งน่ากลัวน้อยและน่ากลัวมาก แต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเวลาคนโดนผีหลอกจะรู้สึกยังไง? ทำไมถึงต้องวิ่งหนีกันชนิดกระเซอะกระเซิง ล้มลุกคลุกคลานจนถึงกับไข้หัวโกร๋นก็ยังมี

แหม! มารู้เอาก็ต่อเมื่อเจอะเจอกับตัวเองเต็มเปา แถมมีเพื่อนซี้อีกสองคนที่เกิดมาดวงซวย โดนผีหลอกจั๋งหนับพร้อมๆ กัน

โอ้โฮ! ดูไม่จืดจริงๆ ครับ งานนี้น่ะ!

สมัยเด็กๆ จนถึงวัยรุ่นผมอยู่ที่บางกรวย นนทบุรีนี่เอง เพื่อนซี้อยู่บ้านใกล้ๆ กันคือเจ้าเป๋กับเจ้าเติ้ล พวกเรารักใคร่เหมือนพี่น้องคลานตามกันมาก็ว่าได้ จะไปไหนเป็นไปกันซีน่า ไม่มีอิดออด สะบัดสะบิ้งอย่างเพื่อนอีกหลายคน...เราถึงรักกันเข้าไส้ไงครับ

เจ้า เป๋หุ่นผอมสูงคล้ายจิ้งจกอดข้าว ถึงไม่ได้ขาเป๋แต่ท่าเดินมันยียวนกวนบาทามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เขาถึงเรียกไอ้เป๋กันทั้งบาง ส่วนเจ้าเติ้ลตอนแรกพ่อมันตั้งชื่อเบิ้ล แต่อยู่ๆ มาแม่มันบอกว่าฟังแล้วเป็นอัปมงคลชอบกล! เลยเปลี่ยนเป็นเติ้ลซะงั้น!

เอาน่า! เติ้ลก็เติ้ล...แปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

หมอนี่ตัวอ้วนๆ เตี้ยๆ แต่ใจเกินร้อย รักเพื่อนฝูงชนิด "ของจริง" ครับรายนี้...เพื่อไม่ให้เสียเวลาคุณๆ ผมขอเข้าเรื่องที่พวกเราโดนผีหลอกซะเลย!

คืนเกิดเหตุ ก่อนเข้าพรรษาได้ไม่นาน เราสามคนข้ามพระรามหกไปหาเพื่อนแถววัดสร้อยทอง มีสุราอาหารเป็นเครื่องเชื่อม สัมพันธ์ พูดคุยกันร้อยแปดเรื่องเที่ยวเรื่องสาว เรื่องผีเรื่องพระ ค่อนข้างบ้าๆ บอๆ ประสาคนกินเหล้า แต่ยังไม่ถึงกับเพี้ยน

ผมรู้ว่าพระย่านนี้อาคมขลัง เวทมนตร์ฉมังนัก ญาติโยมแห่ไปรดน้ำมนต์คึ่กๆ ไปถวายสังฆทานแน่นกุฏิ ต่อมาคนศรัทธามากจนต้องทำสังฆทานหมู่กันเลย ก่อนจะแยกย้ายกันไปปล่อยนกปล่อยปลา ปล่อยเต่าปล่อยหอยขมให้หายทุกข์ตรมตามระเบียบ

พวกเราติดลมจนห้าทุ่ม กว่า แท็กซี่หายาก แถมพอรู้ว่าจะข้ามไปบางกรวยก็ไม่ยอมรับ คงเห็นเราเป็นวัยรุ่นค่อนข้างเมาก็ไม่รู้...ไอ้เติ้ลร้องด่าแล้วบอกว่า เราเดินข้ามสะพานกลับเองก็ได้วะ ได้รับลมเย็นๆ แถมไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย

เป็น อันว่าตะกายขึ้นบันไดแถวหน้าหมู่บ้าน ย่ำขึ้นไปบนทางเดินขนานรางรถไฟใต้แสงสว่างเยือกเย็น พอถึงสะพานก็มีสายลมกรูเกรียวมาทักทาย...มีทางเดินด้านข้างให้เราชมดาว ฟังเสียงคลื่นเสียงลมเพลิดเพลิน

มองไปที่แม่น้ำก็ดูสงบนิ่ง แทบจะไม่มีเรือแพแล่นไปมา ตึกรามบ้านช่องสองฟากฝั่งยังมีแสงไฟเด่นชัดในราตรี นานๆ ก็มีรถ ยนต์แล่นผ่านไปมาซักที

ลมจากแม่น้ำยามดึกทำให้พิษเหล้าจางลงรวด เร็ว...ผมหันไปมองปล่องใหญ่จากโรงไฟฟ้ายันฮีที่พุ่งทะมึนเป็นสง่า...เกือบ พร้อมๆ กับเสียงเจ้าเติ้ลดังห้วนๆ ว่า...ใครวะ? พอหันไปมองข้างหน้าก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินช้าๆ คล้ายโซเซหรือลากขาอย่างยากเย็น

"คนเมาหรือเปล่าวะ?" เจ้าเป๋เปรยขึ้น "หรือคิดสั้นจะโดดน้ำตายก็ไม่รู้ว่ะ"

ตอนนั้นเกือบ ถึงกลางสะพานแล้ว เราเลยรีบเดินเข้าไปหา

ทันใดนั้น เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็คำรามขึ้นทางเบื้องหลัง เสียงมันดังก้องจนเราหันขวับไปดู...แสงไฟหน้ารถพุ่งจ้าเป็นลำยาวเหมือนสายตา ของสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อ...แล่นลิ่วผ่านหน้าพวกเราไปราวกับลมพัด!

นรก เป็นพยาน! ผู้ชายที่เดินอิดโรยอยู่ข้างหน้าหันขวับ...ก่อนที่เราจะคาดคิดเขาก็พุ่งตัว เข้าไปหาราวภาพในคืนฝันร้าย น่าสยด สยองพองขนจนเราร้องเฮ้ย! ขึ้นพร้อมกัน

ท่าม กลางสายตาอันพร่าเลือน ผมเห็นร่างนั้นถูกรถชนโครมสนั่นจนกระเด็นกลับมาทางเดิม แล้วรถมรณะคันนั้นก็แล่นตะบึงหายไปในพริบตา...ขณะที่พวกเราหันไปมองร่างท่วม เลือดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในแสงไฟ ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปหาด้วยความตกใจ

สวรรค์ ทรงโปรดด้วยเถิด! ใบหน้าอาบเลือดหันมองเราเชื่องช้า...เพื่อนทั้งสองร้องด่าเสียงระรัว ขณะที่ภาพสยองค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเรา!

โลกทั้ง โลกกำลังแตกกระจาย ไอ้เป๋โจนพรึ่บ ไอ้เติ้ลทรุดฮวบลงนั่งแผละ ผมยืนขาสั่นพั่บๆ อยากวิ่งใจจะขาดแต่ก้าวขาไม่ออก ได้แต่มองดูไอ้เป๋ลากขากลับมา...บอกว่ากูวิ่งไม่ไหว ข้างไอ้เติ้ลตัวอ้วนๆ ไม่พูดอะไร เอาแต่นั่งพิงราวสะพานน้ำตาไหลพราก ผมเองก็ยังรู้สึกท่อนขาหนักอึ้งตามเดิม

กว่าจะเรียกขวัญที่ กระเจิดกระเจิงกลับมา แล้วค่อยๆ ซมซานข้ามสะพานกลับถึงบ้านได้ก็เกือบค่อนรุ่ง...ขนาดผ่านไปนมนานแล้วนึกขึ้น มายังขนหัวลุกเลยครับ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREExTURjMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3TlE9PQ==



Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 12:44:07 น.
Counter : 569 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend