ไปงมกุ้ง
ไป งมกุ้ง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นายเสาร์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากใต้ลานมรณะ

สมัยก่อนผมอยู่แถววัดญวนบางโพ ท่าน้ำที่นั่นลือกันว่าผีดุเหลือหลาย โดยเฉพาะที่ใต้ลานซีเมนต์กว้างขวางอยู่เหนือน้ำ มีเรือขนข้าวจากต่างจังหวัดล่องเจ้าพระยาลงมาเทียบที่นั่นเป็นประจำ แล้วกุลีก็มาแบกข้าวเข้าไปเก็บในโกดัง

ใต้ลานกว้างนั่นแหละครับ มีกุ้งตัวโตๆ ชุกชุมนัก ไม่ว่ากุ้งนางหรือกุ้งก้ามกราม ยั่วให้ประมงน้ำจืดลอยคอเข้าไปจับกุ้งกันทุกวัน

ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งเจอกุ้งมาก แต่ต้องระวังตอนน้ำขึ้นให้ดี รีบว่ายออกมาให้พ้นลานนั่นเสียก่อน ถ้าโลภมากหรือมัวแต่จับกุ้งเพลิน กว่าจะรู้ตัวว่าน้ำขึ้นรวดเร็วก็ต้องรีบว่ายกลับตาหูเหลือก...หนีน้ำไม่ทัน ก็กลายเป็นศพอยู่ใต้ลานมรณะหลายรายมาแล้ว

ตอนสิบกว่าขวบผมก็เคยลองว่ายน้ำเข้าไปเหมือนกัน แต่ไม่กล้าเข้าลึกหรอกครับ เพราะรู้ตัวว่ายังว่ายน้ำไม่แข็งอย่างรุ่นพี่รุ่นน้าที่เขางมกุ้งเป็นอาชีพ เดี๋ยวจะตายซะเปล่าๆ

บรรยากาศในนั้นเยือกเย็นน่ากลัวอย่าบอกใคร เชียว!

ขนาดเข้าไปราวสิบกว่าเมตรก็รู้สึกว่ามันมืดสลัว มองเห็นแสงสว่างปากทางอยู่ลิบๆ สรรพสิ่งเงียบเชียบน่าใจหาย ไม่ได้ยินเสียงเรือยนต์กับคลื่นลมครึกครื้นเหมือนอยู่บนฝั่ง...ราวกับโผล่ เข้าไปในโลกใหม่ที่แปลกประหลาด ระคนกับน่ากลัวจนขนหัวลุก

โลกของความตาย! โลกของวิญญาณ!!

นอกจากนั้น ก็มีคนไปกระโดดน้ำตายบ้าง เรือล่มจมน้ำตายบ้าง ตอนหน้าน้ำมักจะมีศพลอยมาจากเมืองนนท์หรือพระรามหกบ่อยๆ เขาว่าศพโผล่ขึ้นที่ไหนมักจะผีดุนักหนา เพราะวิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น

สมัยนั้นกุ้งตัวโตๆ ยังชุกชุมครับ มีเรือบดตกกุ้งปักหลักลอยน้ำอยู่ 2-3 ลำ ผมเคยถามเขาว่าทำไมน้าไม่ดำน้ำเข้าไปจับกุ้งเอาล่ะ ไม่ต้องหาเหยื่อมานั่งตากแดดรอให้เสียเวลา? เขาตอบว่า ...กลัวหนีน้ำออกมาไม่ทันว่ะ!

เพื่อนรุ่นน้าผมก็จมน้ำตายไปสองคน อีกสองคนโดนผีหลอกใต้ลานมรณะจนว่ายน้ำหนีตาหูเหลือกไปตามๆ กัน...พี่สักกับพี่เรืองรอดตายออกมาหอบแฮกๆ ทั้งเหนื่อยทั้งสำลักน้ำ ก่อนจะเล่าประสบการณ์สุดสยองให้ฟัง

พี่สักดำน้ำลงไปตามโคนเสา มองหากุ้งตาแดงๆ ที่ยิ่งลึกก็ยิ่งชุม แต่แปลกที่วันนั้นไม่ได้กุ้งซักตัว พอเอื้อมมือจะคว้าก็หลบแผล็วไปได้อย่างหวุดหวิด...ต้องขึ้นมาสูดอากาศเข้า ปอดเต็มเฮือกก่อนจะดำดิ่งไปที่เสาต้นอื่น...คราวนี้เห็นตาแดงๆ เกือบสิบคู่เลยรีบเอื้อมไปคว้าตัวทันใด..

ไม่มีอะไรติดมือมาเลย จนต้องเพ่งดูให้รู้แน่...นัยน์ตาแดงๆ ยังท้าทายอยู่ตามเดิมนี่นา แต่สังเกตว่ามีนัยน์ตาคู่หนึ่งแดงจ้า ใหญ่โตเป็นพิเศษราวกับกุ้งยักษ์กุ้งมาร...พี่สักเลยกลั้นใจจ้องมองให้ถนัดตา

นรกเป็นพยาน! มันไม่ใช่นัยน์ตากุ้งอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนัยน์ตาคนที่แดงจ้าดุร้าย ใบหน้าขาวซีด เรือนผมกระจายอยู่ใต้น้ำเหมือนสาหร่าย

"น้าอิน..." นักงมกุ้งที่หนีน้ำไม่ทัน ขาดใจตายอยู่ใต้ลานมรณะเมื่อเดือนก่อนนี่เอง...พี่สักบอกว่าตัวเองตะโกนจน แก้วหูลั่น ทั้งๆ ที่คนเราตะโกนในน้ำไม่ได้ แถมยังรู้สึกคล้ายปอดจะระเบิด รีบถีบตัวพุ่งพรวดขึ้นมาเสียงดังโพล่ง พร้อมๆ กับมองเห็นใบหน้าขาวซีดที่โผล่ขึ้นมาพร้อมๆ กัน

พี่เรือง-คู่หูที่ไปงมกุ้งด้วยกันนั่นเองที่โผล่โพล่งขึ้นมา ต่างคนต่างด่ากันขรม พี่สักถามว่าไปเจอะอะไร คำตอบก็ทำให้เย็นวาบไปตามไขสันหลังทันที

"กูไปเจอน้าอิน...ถ้าขวัญอ่อนหน่อยช็อกตายคาที่ไปแล้ว!"

สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบ เสียงคลื่นเสียงลมแผ่วเบาราวกับเสียงใครถอนใจยาวดังมากระทบหู...สองเกลอที่ เกาะเสาต้นเดียวกันหันมองลอกแลก...ทันใดนั้นเสียงโพล่ง! ก็ดังขึ้นใกล้ๆ จนทั้งสองผวาเยือก หันขวับไปมองก็แทบจะขาดใจตายบัดดล

น้าอินกับน้าเนียมผู้ล่วงลับไปแล้ว บัดนี้กำลังลอยคอเคียงคู่กันพลางจ้องมองอย่างเยือกเย็น ริมฝีปากซีดเซียวเผยอยิ้มนิดๆ ก่อนจะกวักมือเรียกให้ไปหา...

โลกทั้งโลกกำลังแตกสลาย ลานซีเมนต์เหนือหัวก็คล้ายจะถล่มทลายลงมา สองเกลอแผดร้องโหยหวน ว่ายน้ำไม่คิดชีวิตไปสู่ปากทางที่มองเห็นแสงสว่างรำไร...แม้จะดูแสนไกลก็โหม แรงพุ่งตัวลิ่วๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะแหบโหยไล่หลังมา

ใครได้ฟัง เรื่องนี้ก็เชื่อสนิทครับ...เพราะพี่สักกับพี่เรืองเลิกงมกุ้งตั้งแต่นั้น มา!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUxTURRMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TlE9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 13:08:41 น.
Counter : 760 Pageviews.

0 comment
คืนขวัญหาย
คืน ขวัญหาย

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เฟิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโรงแรม

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังเรื่องผี มันสนุกดีค่ะ แต่ฉันไม่เคยเชื่อเลย แน่ละ! เมื่อไม่เชื่อก็ย่อมไม่กลัวเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากไม่กลัวแล้วยังชอบแกล้งคนอื่นอีกแน่ะ!

เหยื่อของฉันน่ะรึคะ ก็เพื่อนๆ ที่กลัวผีขึ้นสมองนั่นไง ฉันเห็นความขี้กลัวของพวกเขาเป็นเรื่องน่าขำ จนวันหนึ่งกรรมก็สนองฉันเข้าเต็มๆ

ทุกๆ ปีราวต้นเดือนเมษายนเราจะมีนัดกัน เราในที่นี้ก็คือเพื่อนๆ ที่เรียนมัธยมมาด้วยกัน ซึ่งความรักความผูกพันไม่เคยจางหาย แม้ว่าเราได้แยกย้ายไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาจนถึงปีสามแล้วก็ตาม ต่างคนต่างก็มีเพื่อนใหม่ แต่ไม่เคยลืมเพื่อนเก่า

และแม้อายุจะใกล้ยี่สิบเข้าไปทุกที ทว่าเมื่อรวมพวกกันทีไร เราก็ยังซนเหมือนตอนอายุสิบกว่าขวบกันเมื่อนั้น!

พอถึงเดือนเมษายน เราจะโทร.ถึงกันและนัดแนะอย่างสนุกสนาน หาที่เที่ยว บางทีก็ไปเมืองเหนือ หรือที่บ่อยที่สุดก็ทะเลละค่ะ ไม่หัวหินก็พัทยา...เรารวมสมัครพรรคพวกได้ตั้งสิบกว่าคน ไปกันเป็นฝูง แชร์กันจ่ายค่าโรงแรมและอาหาร สนุกกันอย่างเต็มที่สามวันสองคืน

แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่ไปเที่ยวกันทีไร เราก็มักมีเรื่องผีเป็นของแถมกลับมาทุกครั้ง อย่างปีโน้น นุ่นกับแจงไปโดนผีหลอกที่เชียงใหม่ ก้องกับทีโดนหลอกบนรถไฟ... ปีที่แล้วก็เอาอีก กุ้งกับอึ่งนอนห้องเดียวกันที่โรงแรมเก่าๆ แถวหัวหิน โดนผีมาจ๊ะเอ๋ซะ ร้องไห้จ้า...เราโทษกันว่าเป็นเพราะเราหาทางประหยัดค่าใช้จ่ายมากเกินไป โรงแรมดีๆ ก็ไม่ไปอยู่ ดันเลือกจองห้องถูกๆ ก็ต้องเจอแบบนี้ละ!

ปีนี้เราเลือกโรงแรมติดทะเลอย่างหรูเลยละค่ะ ดูใหม่สดทันสมัย ทำให้ทุกคนสบายใจว่าไม่มีเรื่องผีๆ มาให้สยองขวัญแน่ๆ

ห้องที่เราพักอยู่ที่ชั้น 8 กับชั้น 12 ที่แยกชั้นก็เพราะเราจองตั้ง 4 ห้องนี่คะ อยู่กันห้องละ 3 คนสบายๆ ฉันเลือกชั้น 8 ห้องที่ตรงข้ามกับลิฟต์ นอนกับนุ่นและแจงที่เคยโดนเจ้าที่มาทักทายที่เชียงใหม่นั่นละค่ะ

คืนแรกไม่มีอะไร แต่ฉันจับได้ว่าเพื่อนที่น่ารักทั้งสองมีทีท่าว่ากลัวผีกันน่าดู อย่ากระนั้นเลย ต้องแกล้งสักหน่อย ชีวิตจะได้มีรสชาติไม่จืดชืด อย่างน้อยก็มีเรื่องฮาๆ ไปเล่าให้ลูกหลานมันฟัง

คืนที่สองเราไปเที่ยวกันดึกเชียวละ กว่าจะมานอนก็ตีสองกว่าแล้ว เราผลัดกันอาบน้ำ โดยฉัน (ผู้ไม่กลัวผี) ยอมอาบเป็นคนสุดท้าย กว่าจะเสร็จเรียบร้อย นุ่นกับแจงก็ใกล้หลับเต็มทน ห้องเงียบและเย็นฉ่ำ เราดับไฟทุกดวงเหลือไว้แต่ในห้องน้ำ

ฉันไม่ง่วงเท่าไหร่ก็เลยมานั่งหวีผมมืดๆ ที่โต๊ะเครื่องแป้งตรงปลายเตียง ผมฉันยาวเกือบถึงเอวและฉันก็เพิ่งสระผม ไม่อยากนอนทั้งหัวเปียกๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด

ขณะที่สางผมฉันก็ปิ๊งไอเดีย เลยย่องไปเอาเล็บเกาที่แข้งของแจงเบาๆ แล้วรีบมานั่งสางผมต่อ แจงงัวเงียผงกหัวขึ้นมองแล้วก็ร้องวี้ด...สมใจฉันเลยค่ะ! ความที่เจ้าหล่อนยังง่วงๆ งงๆ ก็เลยเห็นว่าเป็นผีนั่งสางผม โอ๊ย! ฉันขำแทบตาย แจงกันนุ่นไม่โกรธหรอก แค่เอาหมอนปาใส่ฉันแล้วก็นอนต่อ

สองคนนี่นอนรวมกันที่เตียงหนึ่ง ส่วนฉันนอนอีกเตียงที่ติดกับฝาผนัง

ฉันนอนหันหน้าเข้าฝา ห่มผ้าแค่อกแล้วก็หลับตาพลางสงสัยว่าทำไมเราไม่ง่วง หรือเป็นเพราะอุตริสระผมก่อนนอน...ขณะที่คิดอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกมีนิ้วมือใครบางคนมาสางผมให้เบาๆ ฮื้อ! รำคาญน่า นึกว่าหลับแล้วซะอีก นี่น่ะไม่ไอ้แจงก็ยัยนุ่น...คงมาแก้แค้นละซิ ฮึ!

ฉันหันขวับไปกะจะจับแขนให้หนีไม่รอด ฉันคว้าแขนนั้นได้ค่ะ ฉันแข็งทื่อเหมือนจับขาเก้าอี้ และฉันก็เห็นผู้ที่มาสางผมฉันเล่น...เธอเป็นผู้หญิงค่ะ ผมยาวปรกหน้ารุ่ยร่าย ที่แน่ๆ เธอไม่ใช่แจงและไม่ใช่นุ่น แต่เป็นใครไม่รู้

ในความมืดสลัว ฉันเห็นใบหน้านั้นเกือบชัด...มันเป็นผีตายซากชัดๆ หน้าซูบตอบ ผิวแห้งติดกระดูก ตายุบเข้าไปในโพรงที่เป็นเบ้าตา ปากอ้า หัวเราะแบบไม่มีเสียง

ฉันกรี๊ดซะลั่นห้อง ทั้งมือทั้งเท้าเหวี่ยงเปะปะ วินาทีต่อมาไฟหัวเตียงสว่างพึ่บ มีคนร่วมกรี๊ดอีกสองคน...แจงกับนุ่นไม่เห็นอะไรหรอก มันกรี๊ดเพราะตกใจเสียงฉัน

เป็นอันว่าปีนี้ฉันเองโดนผีหลอก กลายเป็นตำนานให้เล่าขานไปชั่วลูกหลาน และนี่คือการถูกผีหลอกครั้งแรกในชีวิต...หวังว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ!


//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUwTURRMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TkE9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 13:08:12 น.
Counter : 681 Pageviews.

0 comment
สิ้นเวร
สิ้น เวร

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"พงษ์อรัญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนสยองขวัญ

สมัยเด็กๆ ผมอยู่กับพ่อแม่ที่ซอยกล้วยน้ำไท ถนนสุขุมวิท พ่อเป็นอาจารย์อยู่ในวิทยาลัยใกล้บ้าน แม่เคยเป็นครูมาก่อน แต่เมื่อมีน้องติดๆ กันอีก 2 คน พ่อก็ให้ออกจากงานมาเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกอย่างเดียว

พ่อค่อนข้างหัวเก่า ความประพฤติดีทุกอย่าง ไม่มีบุหรี่, เหล้าและการพนัน รวมทั้งการเที่ยวเตร่ตามเพื่อน มีโอกาสก็จะพาครอบครัวเที่ยวตลาดนัดบ้าง ดูหนังบ้าง ได้กินอาหารดีๆ และให้เราซื้อของเล่นได้ตามงบที่พ่อตั้งให้

บ้านใกล้ๆ เราก็อายุรุ่นเดียวกับพ่อ ทำงานบริษัท ชอบดื่มเหล้าแต่ไม่เอะอะหรือก่อความรำคาญให้เพื่อนบ้าน มีภรรยาและลูกสาวน่ารัก พ่อยังเคยชวนเลิกบุหรี่และเหล้าแต่ก็ไร้ผล...เขาหัวเราะบอกว่าผมยอมแพ้มัน แล้ว

ลงทุนไปเยอะ ต้องถอนทุนคืน!

ต่อมา เพื่อนบ้านคนนั้นสมมติว่าชื่อสมชายนะครับ เกิดมีปากเสียงกับภรรยาโดยมีสาเหตุมาจากสุรา! รุ่งขึ้นเธอออกมาซื้อกับข้าวแวะมาปรับทุกข์กับแม่ผมว่าสามีเกิดปัญหาเรื่อง งานกับ ผอ.เมามาระบายอารมณ์ใส่ลูกเมีย

อาทิตย์ต่อมา ภรรยาน้าสมชายชื่อเกศก็ขับรถออกจากบ้านไปตอนสายๆ ทุกคนรู้ดีว่าไปซื้อของกินของใช้และซื้อเหล้าให้สามีด้วย

ขากลับเกิด อุบัติเหตุ กำลังจะไปรอยูเทิร์นห่างจากสะพานพระโขนงมาไกลแล้ว เพราะรถที่ลงจากสะพานมักแล่นเร็ว เกิดมีรถหกล้อพุ่งเข้าชนท้ายรถ ไฟไหม้ท่วม น้าเกศกับลูกสาวอายุราว 8-9 ขวบติดอยู่ในรถ ทุบประตูพลางร้องตะโกนให้ช่วยน่าเวทนาที่สุด

สุดท้ายก็กลายเป็น ซากดำเหมือนตอตะโกทั้งคู่!

เพื่อนบ้านไปช่วยงานศพกันคับคั่ง น้าสมชายดื่มเหล้าเหมือนดื่มน้ำ ถ้าไม่ได้ญาติมิตรช่วยคงจัดงานศพไม่สำเร็จ นัยน์ตาแกแดงก่ำ น้ำตาไหล...ไม่ช้าก็ตกงาน

"ความสุขความทุกข์ของ เราทั้งหมดเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น!"

พ่อพูดกับแม่ อย่างปลงๆ แต่อีกไม่กี่วันต่อมาน้าสมชายก็สติแตก!

ผมไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องผีๆ สางๆ หรอกครับ แต่ตอนกลางคืนได้ยินเสียงน้าสมชายหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างจนกว่าจะหมดสติ พ่อเคยไปเยี่ยม ออกปากว่ามีปัญหาอะไรก็ยินดีช่วย แต่เขากลับบอกว่าเมียเก่ง ได้มรดกกับเก็บสะสมไว้หลายแสนบาท ไม่มีอะไรเดือดร้อน

ว่าแล้วก็ชวน พ่อกินเหล้า แต่พ่อรับมาจิบพอเป็นพิธี น้าสมชายก็บอกว่าเชื่อไหม...เมียผมจูงลูกมาเยี่ยมทุกคืน ที่เสียงดังไปบ้างก็เพราะคุยกันจนลืมตัว!

พ่อกลับมาเล่าว่าจนใจ ...แต่ชาวบ้านไม่เชื่อว่าน้าเกศพาลูกมาหา โทษแต่ว่าน้าสมชายเสียงตะโกนเอะอะเพราะฤทธิ์เมาจนบ้ามากกว่า

แต่ คืนหนึ่งก็เกิดเรื่องสยองขวัญที่บ้านนั้น มีผู้รู้เห็นหลายคนครับ

คืน นั้นฝนตกพรำมาแต่หัวค่ำ ในซอยค่อนข้างเปลี่ยว พื้นถนนเปียกโชกสะท้อนแสงไฟฟ้าเป็นเงาวับ จู่ๆ ก็มีเสียงน้าสมชายตะโกนว่า...รอเดี๋ยว คนกำลังเมาโว้ย!

ผมกับพ่อ ลุกออกไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากอากาศเดือนธันวาคมหนาวยะเยือก หมูหมาเห่าหอนเสียงเยือกเย็น...แว่วเสียงพูดจาดังออกมาจากหน้าต่างบ้าน นั้น...

"เออ! ไม่อยากอยู่แล้วโว้ยโลกนี้ ไปก็ไป...จะได้หมดทุกข์หมดร้อนเสียที"

เรานึกว่าน้าสมชายพูดพร่ำคน เดียวเพราะฤทธิ์เมาตามเคย กินเหล้าเหมือนจงใจจะฆ่าตัวตายแบบนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ...

ว่า จะเข้าบ้านอยู่แล้ว แต่ผมกับพ่อก็ชะงักงันคาที่!

ประตูรั้วแบบสองบาน เปิดกว้างออก...แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าส่องให้เห็นร่างน้าสมชายกับน้าเกศและลูก สาว เดินตัวตรงแข็งทื่อ ออกมาสู่ถนนที่เปียกโชก ดูวาววับอยู่ในแสงไฟ...แถมน้าสมชายยังหันมามองเราพลางยิ้มนิดๆ เล่นเอาผมขนลุกซ่า ตกตะลึงตัวแข็งทื่อไปหมด

...แล้วร่างทั้งสามก็ พากันเดินช้าๆ เหมือนลอยเข้าไปในก้นซอย ท่ามกลางเสียงหมาหอนโจ๋ว...ราวกับพวกมันได้เห็นภาพที่สยดสยองพองขนอย่าง เหลือประมาณ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV6TURRMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TXc9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 13:07:40 น.
Counter : 580 Pageviews.

0 comment
กินเหล้ากับผี
กิน เหล้ากับผี

ขนหัว ลุก

ใบหนาด



"ยายเจียม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวัดสะพาน

"คนตายแล้วไม่มีเพื่อน!!"

สัปเหร่อบุญวัดสะพานเป็นคนพูดค่ะ วัดนี้มีชื่อตามทางการคือ "วัดทัศนารุณสุนทริการาม" แต่ชาวบ้านละแวกประตูน้ำและทุ่งมักกะสันมักออกเสียงว่า "วัดตะพาน" แทบทุกคน

สมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านส่วนมากใช้แม่น้ำลำคลองในการเดินทาง ทั่วกรุงมีคลองเล็กคลองน้อยมากมาย อย่างคลองนกใกล้ๆ คลองแสนแสบ หรือคลองไผ่ข้างสนามม้าสระปทุม เดี๋ยวนี้ไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว

วัดสะพานสมัยนั้นขึ้นชื่อเรื่องผีดุ ผู้ใหญ่มักจะขู่เด็กให้เลิกงอแงว่าเดี๋ยวผีวัดสะพานจะมานะ รับรองว่าเงียบกริบ หรือไม่ก็ล้อคนกินจุว่า...สงสัยโดนปอบวัดสะพานสิง

พวกคอเหล้าก็ชอบออกตัวว่า ผีวัดสะพานมันกลัวคนขี้เมา!

"คนตายไม่มีเพื่อน" ที่ตาชูชอบพูดบ่อยๆ ให้คนอื่นติดใจ นำมาพูดเป็นเชิงปลงอนิจจังว่า ใครๆ เขาก็นับญาติกับคนเป็นๆ ทั้งนั้น ยิ่งคนรวยยิ่งมีญาติมิตรนับไม่ถ้วน

ว่าแต่ "ผีไม่มีเพื่อน" จะเป็นความจริงแน่ละหรือ?

ตอนดึกๆ มักมีพวกคนเมามาจากประตูน้ำกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงเอะอะข้ามทางรถไฟมา หมูหมาเห่าขรม แต่พวกนั้นนอกจากจะด่าแล้วยังเมามายขนาดท้าหมาให้ออกมาตีกันก็มี บางกลุ่มเมาหนักจนเลี้ยวเข้าป่าช้าวัดสะพานก็มี ตะโกนเรียกผีให้ไปกินเหล้ากัน

พวกนั้นอุตริเข้าไปกินเหล้าในป่าช้า มีหลุมศพทั้งเก่าและใหม่เรียงรายระเกะระกะ ขนาดเห็นตอนกลางวันยังเสียวสันหลัง เมื่อนึกถึงร่างที่นอนอยู่ในโลงแคบๆ ใต้ดิน ...เหลือแต่ซากก็มี กำลังพองอืดเน่าเฟะเต็มโลงก็มี

คิดอีกทีก็น่าเห็นใจที่คนตายไม่มีเพื่อน...ใครอยากเป็นเพื่อนกับซากศพล่ะคะ?

คนเมาที่ยกโขยงไปกินเหล้าในป่าช้าอ้างว่าอยากเห็นผีบ้าง ถ้าเห็นก็จะมองดูเฉยๆ หรือไม่ก็หัวเราะใส่หน้า...ดูซิผีจะมีปัญญามาทำอะไรคนเป็นๆ ได้ล่ะ? อ้างว่ามากินเหล้าเป็นเพื่อนผีบ้าง ประเหมาะจะได้ชวนผีกินเหล้าด้วยกันซะเลย!

สมัยนั้นราวสองทุ่มเศษก็ถือว่าดึกแล้วค่ะ พวกวิตถารเดินผ่านหมู่บ้านเข้าป่าช้า เสียงหมาเห่าหอนค่อยเงียบหายไป จะดังน่ารำคาญอีกครั้งก็ตอนที่พวกขี้เมาพากันยกโขยงกลับออกมาราวๆ สี่ห้าทุ่ม

ตอนเช้าเห็นไม้ปักหลุมศพ เขียนชื่อผู้ตายไว้ ตกหล่นอยู่ข้างทางสองสามอัน บางคนว่าผีดุ แต่ของจริงน่ะไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอกค่ะ พวกขี้เมานั่นแหละที่คว้าจากหลุมผีมาเป็นไม้กันหมา พอเห็นว่าพ้นภัยก็โยนทิ้งไป...เดือดร้อนชาวบ้านต้องกลับไปปักที่หลุมศพตาม เดิม แต่จำหลุมไม่ได้ก็ต้องปักส่งเดช...สมัยนี้คงบอกว่า มั่วกันไปหมด

คืนหนึ่งเรื่องขนหัวลุกก็อุบัติขึ้น!

ช่วงนี้พี่ชายพ่อดิฉันชื่อลุงเติม อยู่คลองบ้านม้า บาง กะปิ แกมาทำธุระที่กรุงเทพฯ โดยพักอยู่ชั้นล่าง...พอได้ยินเสียงหมาเห่า เสียงขี้เมาเอะอะเข้ามา ลุงเติมก็คว้าไม้คมแฝกทันที พ่อต้องรีบห้าม บอกว่าอย่าไปสนใจเลย ไม่ช้ามันก็ต้องเจอดีเข้าจนได้

เมื่อพวกขี้เมาผ่านเข้าป่าช้า เสียงหมาก็เงียบไป...คืนนั้นดิฉันเกิดตาแข็ง นอนหลับๆ ตื่นๆ จนได้ยินเสียงหมาดังขรมอีกครั้ง คราวนี้ขี้เมาส่งเสียงเอะอะแต่อ้อแอ้เพราะเมาหนัก ได้ยินใครตะโกนว่า...ไม่มีผีซักตัว! ทุ้ย...เสียเวลาเปล่าๆ

ลุงเติมแกนักเลงลูกทุ่ง ฉวยคมแฝกออกไปยืนด่าหน้าบ้าน พ่อลุกตามไปติดๆ หมาก็เห่าระงม ขี้เมาร้องด่าอึง พ่อดึงลุงเติมเข้าบ้าน บอกว่าเดี๋ยวพวกมันก็ออกไปกันหมดแล้ว แต่ลุงเติมกลับยกไม้คมแฝกขึ้นชี้ไปทางพวกขี้เมาที่หันซ้ายหันขวาสู้กับหมา

"หมดที่ไหนล่ะ มีไอ้กลุ่มหลังตามมาเป็นพรวน..."

เสียงแกไม่ใช่เบาๆ ลมดึกพัดฮือ หมาหยุดเห่าแต่กลับหอนโจ๋ว...พวกขี้เมาหันไปมองก็เห็นร่างตะคุ่มๆ นับสิบ ทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็กๆ ก็มี พากันเดินโยกเยกแต่เหมือนลอยตามหลังมา...เท่านั้นละค่ะคล้ายกับโลกทั้งโลก กำลังแตกกระจายทันที!

"เฮ้ย! ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย..."

เสียง ตะโกนลั่น ขี้เมากลุ่มนั้นวิ่งตะโพงหนีไม่คิดชีวิต ส่งเสียงโว้ยๆ ไปด้วย กลุ่มที่ตามหลังมาก็ค่อยๆ ถอยกลับไป...ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีขี้เมามากินเหล้าเป็นเพื่อนผีในป่าช้าวัด สะพานอีกเลยค่ะ

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV5TURRMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TWc9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 13:07:07 น.
Counter : 888 Pageviews.

0 comment
หนีไม่พ้น
หนี ไม่พ้น

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เงา" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อมนุษย์ต้องกลายเป็นเหยื่อความตาย

คนเราทุก วันนี้คงจะเดือดร้อนทุกข์ยากกันไปหมดนะครับ ไหนจะปัญหาต่างๆ รอบตัว ไม่ว่าการงานหรือครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเงินที่แก้ไขได้ยากที่สุด

พวก คนแก่เฒ่าทั้งหลาย ตัดปัญหาไร้ที่พึ่งออกไปก็เหลือปัญหาสุขภาพเป็นโรคสารพัดอย่างมากมายเหลือ เชื่อ ถ้าเป็นพวกหนุ่มๆ สาวๆ อารมณ์ร้อน มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียนกับความรัก คือเรียนไม่เก่ง แถมโดนพ่อแม่ดุด่า เพื่อนฝูงเยาะเย้ย หรือพวกอกหัก หึงหวง คิดว่าแฟนนอกใจ เห็นคนอื่นดีกว่า...เลยฆ่าตัวตายดื้อๆ ซะงั้น!

เห็นข่าวแล้วน่าใจ หาย เพราะคนไทยฆ่าตัวตาย 2 ชั่วโมงต่อ 1 คน ประมาณว่าปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน

ถ้าคิดทั้งโลกแล้ว ข่าวยืนยันว่าทุก 40 วินาทีจะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน

มีสถิติว่าคนที่ฆ่าตัวตายมีอายุ 60 ปี, 30 ปี และ 20 ปีตามลำดับ

วัยรุ่นอายุ 20 ปีฆ่าตัวตายมากที่สุด!

ที่ น่าสยดสยองกว่านั้นก็คือ คนคิดฆ่าตัวตายจะทำสำเร็จได้ 10 เปอร์เซ็นต์! เท่ากับคนฆ่าตัวตาย 10 คน จะตายสมใจ 1 คน เท่ากับคนไทยคิดฆ่าตัวตายปีละ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) ถ้านับรวมชาวโลกที่คิดฆ่าตัวตายก็ปาเข้าไปปีละเกือบ 10 ล้านคนเชียวนะครับ

พวกที่ทำลายชีวิตตัวเองสำเร็จก็แล้วไป แต่นอกนั้นมีคนมาช่วยไว้ทัน เช่น แย่งปืนแย่งมีดได้ก่อนก็มี ดึงตัวออกจากหน้าต่างสูงๆ ก็มี หรือกินยาตายก็ช่วยส่งแพทย์ให้ช่วยล้างท้องได้ทันท่วงที

ที่คนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องก็มี คือกินยานอนหลับแต่กลับตื่นขึ้นมาจนได้ ต่อมาเลิกคิดฆ่าตัวเองแล้ว หมดปัญหาหรือหายกลุ้มใจ เก็บมาเล่าให้ใครๆ ฟังเป็นเรื่องสนุกไป

คนที่ฆ่าตัวตายหนแรกไม่สำเร็จ แต่พากเพียรปลิดชีวิตตัวเองไปเมืองผีสมปรารถนามีจำนวนหนึ่งเท่าตัว

บาง คนก็เกิดอุบัติเหตุเหลือเชื่อตอนกำลังจะฆ่าตัวตาย!

ตั้งแต่หอบ เชือกดอดปีนป่ายต้นไม้ยามดึกหวังจบชีวิตตัวเอง ตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่มีการลังเล ผูกคอเสร็จก็ทิ้งตัวลงมา หลับตาปี๋คิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่แน่ๆ แต่กิ่งไม้เจ้ากรรมดันหักโครมคราม...หล่นตุ๊บลงมาก้นกบแทบหัก ร้องโอดโอยไปเลย

บางรายใช้มีดแทงเข้าที่หัวใจ จะเป็นเพราะมือสั่นหรืออยากตายแต่ยังเสียดายชีวิตก็ไม่ทราบ เพราะแทงพรวดเข้าไปมิดด้ามแต่ไม่โดนหัวใจ เจ็บปวดจนร้องจ้าๆ เดือดร้อนให้ญาติมิตรต้องช่วยหามส่งโรงพยาบาลตามระเบียบ

รายนี้ให้ สัมภาษณ์ว่าเข็ดจนตาย เจ็บปวดจริงๆ ต่อไปจะไม่เล่นอุตริวิตถารอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเจ็บสาหัสขนาดนี้ แถมอับอายขายขี้หน้าเขาอีกต่างหาก

คุณ ตาเปี่ยมข้างบ้านผมแถวคลองประปานี่เอง แกก็อยากฆ่าตายเหมือนกัน!

คน ในซอยล้วนแต่รู้จักและรักใคร่แกทั้งนั้น เพราะคุณตาเกษียณราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการเป็นคนแก่ใจดี รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนจนเรียกว่า "ผู้ดี" ได้เต็มปาก ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย มีประสบการณ์มากมายมาเล่าให้พวกเราฟัง แถมสั่งสอนแบบอ้อมๆ ด้วยความหวังดีเหมือนเราเป็นลูกๆ หลานๆ อีกด้วย

มาระยะ หลังๆ นี่แหละคุณตาเปี่ยมถูกโรคภัยเร้ารุมเหลือเชื่อ ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, ความดันสูง, เบาหวาน, ตับอักเสบไวรัสบี, ไทรอยด์เป็นพิษ, เป็นแผลในกระเพาะอาหาร, กรดไหลย้อน, เป็นนิ่วในถุงน้ำดี...แถมริดสีดวงทวารกำเริบอีกต่างหาก!

คุณตาเวียน เข้าเวียนออกโรงพยาบาลเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ใครรู้ข่าวก็ล้วนแต่เห็นอกเห็นใจทั้งนั้น... แม้แต่คุณตาเปี่ยมจะตัดสินใจหนีทุกข์จากโรคาพยาธิด้วยการผูกคอตายที่ต้น มะม่วงริมรั้วก็ไม่มีใครซ้ำเติมแม้แต่คนเดียว

บางคนถึงกับบอกว่า ...ให้โดนโรคภัยไข้เจ็บเร้ารุมแค่ครึ่งเดียวของแกก็ไม่ขอต่อสู้อีกต่อไปแล้ว ! แต่ตอนที่เดินผ่านหน้าบ้านคุณตาเปี่ยม ไม่ว่าใครๆ ก็ยอมรับว่าขนหัวลุกซู่ซ่าด้วยกันทั้งนั้นแหละ

ไม่ใช่โดนผีแกหลอก หลอนนะครับ แต่ภาพของโรคร้ายที่เร้ารุมคนชรา หรือธรรมชาติที่รังแกมนุษย์เราอย่างโหดร้าย ย่ำยีบีฑาจนไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคนเลยต่างหากที่ทำให้สยองกว่า ...วันหนึ่งพวกเราก็จะตกเป็นเหยื่อมันเหมือนคุณตาเปี่ยมทุกคน!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE1TURRMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB3T1E9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 12:58:29 น.
Counter : 536 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend