พ่อ,ลูก และเครื่องบิน
พ่อ,ลูก และเครื่องบิน
เก็บเรื่องมาเล่า
ชนา ชลาศัย
สําหรับคนเป็นพ่อ ที่ไม่มีเวลาให้ลูก ชายในวัยหนุ่มน้อย
มีเรื่องน่ารักๆ จากนิตยสาร "รีดเดอร์ส ไดเจสต์" ฉบับเดือนก.ค.มาเล่าให้ฟังน่าประทับใจ
เอดมุนโด เฟอร์นัน เดซ หนุ่มใหญ่ชาวฟิลิป ปินส์ เขียนเล่าว่า ครั้งหนึ่งในปี 2538 เขาเคยมีความรู้สึกผิดต่อ "อีเจ" ลูกชายวัย 5 ขวบ
เย็นวันนั้น อีเจกลับจากโรงเรียนด้วยอาการเหนื่อยล้า หม่นหมอง ไม่เหลือเค้าผู้ร่าเริง หนูน้อยตัดพ้อกับพ่อว่า ไม่อยากไปโรงเรียน
หลัง มื้อเย็น ผู้พ่อเข้าไปหาหนุ่มน้อยในห้องนอนอย่างร้อนใจ เห็นลูกชายกำลังสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อสอบถาม อีเจสารภาพว่า จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ไม่อยากไปโรงเรียน เพียงแต่น้อยใจที่ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเหมือน "เจอรี" กับ "เบน" ลูกพี่ลูกน้อง
เรื่องของเรื่องก็คือ เจอรีกับเบนมาคุยฟุ้งว่า เพิ่งไปเที่ยวฮ่องกง ได้เห็นมังกรเต้นระบำ แถมยังเยาะเย้ยว่าอีเจคงไม่มีโอกาส เพราะฮ่องกงไกลมาก ต้องนั่งเครื่องบินไป
แต่อีเจไม่เคยนั่งเครื่องบิน
หนุ่มน้อยเล่าแล้วก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนผล็อยหลับไปในที่สุด
ในฐานะพ่อ เฟอร์นันเดซฟังลูกระบายความในใจก็รู้สึกผิด เขารีบสะสางงาน และจองตั๋วเครื่องบินสองที่เพื่อพาลูกชายไปเที่ยวสิงคโปร์
ไม่กี่วันหลังจากนั้น อีเจก็ได้เหินฟ้าเป็นครั้งแรกอย่างตื่นเต้น หนุ่มน้อยมีคำถามมากมาย
"พ่อครับ เราจะขึ้นไปถึงก้อนเมฆบนฟ้าหรือเปล่า"
"พ่อ นั่นควันอะไรที่นอกหน้าต่างเครื่องบิน"
"เมฆไงลูก"
เฟอร์ นันเดซดีใจที่เห็นลูกตื่นเต้นกับการนั่งเครื่องบิน มีความสุขเมื่อความฝันของลูกที่อยากเห็นเมฆเต็มตาเป็นความจริง หนุ่มใหญ่แอบมองลูกเพลิดเพลินกับปุยเมฆด้วยความปีติระคนสำนึกผิดที่ละเลยลูก มานานหลายปี
ในตอนจบของเรื่อง เฟอร์นันเดซเล่าว่า
หลังกลับจากสิงคโปร์สองสัปดาห์ จัดปาร์ตี้ที่บ้าน ครูปังกานิบานของ อีเจมาร่วมงานด้วย
อี เจเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างนั่งเครื่องบิน แล้วเพื่อนก็รุมตั้งคำถาม หนูน้อยตอบคำถามได้ฉับไวพร้อมออกลิงออกค่างไปด้วย สร้างความสนุกสนานแก่เพื่อนๆ มาก
ครั้นนักเรียนทุกคนเงียบ ครูปังกานิบานเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นบ้าง
"อีเจ ไหนลองเล่าอีกสิว่า มีอะไรเกิดขึ้นตอนขึ้นเครื่องบินครั้งแรก"
เฟอร์นันเดซบอกว่า ลูกชายผมตอบโดยไม่ต้องคิดเลย
"ครูครับ เครื่องบินทำให้พ่อร้องไห้ครับ"
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUyTURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4Tmc9PQ==
สุขทุกข์อยู่ที่ใจ
สุขทุกข์อยู่ที่ใจ
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา
นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต
หลาย คนอาจเคยสงสัยว่าทำไมบางคนดูมีภาระมากมาย มีปัญหาหนักหนาซ้ำซ้อนกลับยังสามารถยิ้มแย้มแจ่มใสต่อสู้ปัญหาต่อสู้กับ อุปสรรคได้อย่างเข้มแข็ง แต่บางคนเมื่อเผชิญกับปัญหาเพียงเล็กน้อยกลับคิดอะไรไม่ออก หรือตัดสินใจไปในทางที่ผิด หรือคิดสั้นจบชีวิตของตน
สาเหตุสำคัญของ การตัดสินปัญหาและตัดสินทุกข์สุขของแต่ละบุคคลคงอยู่ที่ความเข้มแข็งของจิต ใจและความคิดในการตัดสินปัญหาที่พบว่าเป็นอย่างไร คนที่มีความเข้มแข็งทางจิตใจ มักคิดเสมอว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก ค่อยๆ คิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิด มองหาสิ่งดีดีในชีวิตที่มีอยู่ เช่น ครอบครัว พ่อแม่ เพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้ คิดว่าปัญหาและอุปสรรคที่เกิดเป็นบทเรียนและบททดสอบความเข้มแข็งให้กับตนเอง มีคนอีกมากมายที่แย่กว่าเรา สิ่งเหล่านี้เป็นแนวคิดของผู้ที่ไม่ท้อแท้แม้จะเกิดปัญหาขึ้นในชีวิต เขาพร้อมที่จะต่อสู้และเผชิญกับปัญหาด้วยสติความกล้าหาญ และความอดทน
ต่าง จากผู้ที่ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจมักมองปัญหาที่เกิดขึ้นแม้เพียงน้อยนิดว่า เป็นปัญหาหนัก หาทางออกไม่เจอ มัวแต่เศร้าเสียใจโทษตนเองหรือโชคชะตาว่าทำให้ตนพบเจอเรื่องร้ายๆ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอก ว่ายังมีคนที่แย่กว่าตน คิดหมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหาอย่างขาดสติ จึงทำให้คิดอะไรไม่ออก จนอาจตัดสินใจผิดพลาด
จะเห็นได้ว่าความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับ คนเรานั้นอยู่ที่จิตใจอยู่ที่ความคิดของตัวเราเอง ที่จะประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น หากเราสามารถทำใจได้ มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ หากสิ่งที่ดีในชีวิตเป็นกำลังใจให้กับตนเอง แล้วเราจะสามารถเผชิญปัญหาได้อย่างเข้มแข็งและมีความสุข เพราะสุขทุกข์นั้นอยู่ที่ใจของเราเอง
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNVEV5TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4TWc9PQ==
ข้อคิดจาก"ครูมอร์รี"
ข้อคิดจาก"ครูมอร์รี"
เก็บเรื่องมาเล่า
ชนา ชลาศัย
ครู มอร์รี หรือ มอร์รี ชวอตซ์ เป็นบุคคลสำคัญที่เป็นต้นเรื่องของหนังสือ "Tuesdays with Morrie" หรือ "วันอังคารกับมอร์รี" เขียนโดย มิตช์ อัลบูม ลูกศิษย์คนหนึ่งของมอร์รี ให้มุมมองต่อชีวิตอย่างมีพลังและสวยงาม
เป็นหนังสือที่สร้างประทับใจแก่นักอ่านหลายเชื้อชาติภาษา รวมทั้งภาษาไทย
"การปล่อยวาง : ข้อคิดจากการดำรงชีวิตขณะเผชิญความตาย" เล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งของครูมอร์รี เล่าเรื่องราวในแต่ละวันในการเผชิญกับความป่วยไข้ของตัวเองกระทั่งลมหายใจสุดท้าย
แม้ จะเป็นเรื่องราวของคนป่วย แต่ความคิด ทรรศนะต่างๆ ของครูมอร์รีน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันยิ่ง แปลโดย รศ.ดร. วัลลี สุวจิตตานนท์ โดยสำนักพิมพ์มายด์พับลิชชิ่ง
มอร์รีเกิดที่ชิคาโก ในครอบครัวชาวยิว-รัสเซียอพยพ แต่มาเติบใหญ่ในชุมชนแออัดกลางนครนิวยอร์ก
ในวัย 8 ขวบ แม้ภายนอกจะดูร่าเริง แต่ข้างในแล้วหนูน้อยมอร์รีเป็นคนซึมเศร้าและกลายเป็นคนเก็บตัวภายหลังจากแม่เสียชีวิต
มอร์ รีเข้าเรียนวิทยาลัยในนิวยอร์กโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาสมัครรับราชการทหารในสงครามโลกครั้งที่สองแต่ถูกปฏิเสธเพราะแก้วหูทะลุ เลยตัดสินใจเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาในบัณฑิตวิทยาลัย
สนใจเรียนด้านจิตวิทยา แต่เมื่อรู้ว่าต้องทำงานกับหนูทดลอง เลยเลือกเรียนสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยชิคาโก
อิทธิพล จากการอ่านหนังสือของ คาร์ล โรเจอร์, แฮรี่ แสตค ซัลลีวัน และมาร์ติน บูเบอร์ ทำให้มอร์รีเริ่มเปิดตัวเอง และสนใจสาขาวิชา "จิตวิทยาเชิงสังคม"
ประเดิม ทำงานแรกกับโครงการวิจัยในโรงพยาบาลจิตเวช ประจำอยู่ในหอผู้ป่วย มีหน้าที่คอยเฝ้าวิเคราะห์สุขภาพจิตผู้ป่วย มอร์รีต้องพูดคุยกับทุกๆ คน กระทั่งผู้ป่วยที่นอนขดอยู่ตามลำพังที่มุมห้อง
ต่อมาหลังจากที่ หนังสือ โรงพยาบาลจิตเวช "The mental Hospital" ที่เขียนร่วมกับ อัลเฟรด เอช. สแตนตัน ซึ่งถือเป็นหนังสือคลาสสิคทางด้านจิตวิทยาเชิงสังคม ได้รับการตีพิมพ์ไม่นาน มหาวิทยาลัยแบรนด์ไดส์ก็รับมอร์รี เป็นอาจารย์ประจำ
มอร์รีทำงานอยู่ที่นี่เกือบ 40 ปี
ในช่วงปลายของชีวิตมอร์รีเริ่มฝึกสมาธิ เรียนรู้อยู่กับชีวิตปัจจุบัน
อายุ 77 ปี ป่วยเป็นโรคเอ แอล เอส เกี่ยวกับประสาทควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อซึ่งรักษาไม่หาย เขาใช้เวลาช่วงนี้ทำความรู้จักกับตัวเองและโลก
โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับความตายอย่างกล้าหาญ
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV4TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB4TVE9PQ==
เพื่อนในวัยเรียน
เพื่อนในวัยเรียน
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา
นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต
ช่วง นี้เห็นภาพยนตร์หลายเรื่องย้อนเอาช่วงเวลาในวัยเรียนมาให้ระลึกถึง คงทำให้หลายคนที่ชมภาพยนตร์ หรือแม้แต่ได้ยินเสียงเพลงในวันวานได้ย้อนนึกถึงภาพในวัยเรียนของตนเองและ แอบยิ้มแอบหัวเราะให้กับช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของเรา
ช่วงเวลาแห่งวัย เรียน วัยแห่งความสดใส วัยที่แฝงไว้ด้วยความน่ารัก ที่อาจเรียกรอยยิ้ม และความสุขจากเราได้เมื่อย้อนคิดถึงช่วงเวลาดังกล่าว จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะอยากย้อนวันเวลากลับไปใช้ชีวิตในวัยเรียนอีกครั้ง แม้จะไม่สามารถทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือการนำความสุขของวันวานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นั่นคือในยามที่เราเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ หรือเกิดความเครียด อยากที่จะพักผ่อนสมองจากความยุ่งยากต่างๆ เราอาจหยุดพักด้วยการคิดถึงเรื่องราวในวันวานที่ทำให้เราเกิดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นในจิตใจ ซึ่งจะช่วยให้เกิด ความสุข ช่วยให้สมองได้คลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากสิ่งที่เราเผชิญ
หรือ หากพอมีเวลาอาจนัดเพื่อนในวัยเรียนมาสังสรรค์ พูดคุย มานั่งกินข้าวรำลึกถึงความหลังกันสักมื้อก็เป็นความคิดที่น่าสนใจที่ช่วยให้ เราได้พักผ่อน ได้ย้อนกลับไปหา ความสุขของวัยเรียนซึ่งอาจช่วยให้เราดูอ่อนวัยลงด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ร่วมกับเพื่อนๆ อีกครั้งหนึ่ง
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREE1TURjMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOeTB3T1E9PQ==
เหตุผลของคนโสด
เหตุผลของคนโสด
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา
อุษา ลิ่มซิ้ว/กรมสุขภาพจิต
ปัจจุบันสาวๆ ทั้งหลายมักยืดอายุการแต่งงานออกไปหรือความเชื่อที่ว่าไม่ต้องเรียนสูงๆ หรือออกทำงานนอกบ้านหรอกเพราะเดี๋ยวก็แต่งงานเป็นแม่บ้านแล้ว
นี่เป็นความเชื่อที่ค่อนข้างตกยุคตามสมัยของสาวสมัยนี้ผู้หญิงสมัยนี้มักชอบอยู่ครองโสด เป็นสาวมั่น เก่ง เลี้ยงตัวเองได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานทางสังคมเทียบเท่าผู้ชาย และแนวโน้มของการอยู่เป็นโสดก็มีเพิ่มมากขึ้น ประชากรคนโสดจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วยว่าส่วนหนึ่งความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เปิดโอกาสสำหรับผู้หญิงมีมากขึ้นด้วยจึงเป็นส่วนที่เอื้ออำนวยให้ผู้หญิงได้แสดงความสามารถศักยภาพของตนเองให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับ การต้องหวังพึ่งเพียงแต่งงานเพื่อให้สามีดูแลรับผิดชอบอยู่กับบ้านเป็นแม่บ้านเท่านั้นจึงไม่ใช่เหตุผลหลักที่เลือกต่อไป
เมื่อพึ่งตนเองได้ การอยู่เป็นโสดเพียงคนเดียวก็ค่อนข้างไม่สับสนวุ่นวายและมีโอกาสเลือกคู่ครองได้เองหรือการรักชีวิตอิสระ อยู่คนเดียวไม่ยุ่งยากกว่าก็ทำให้สาวสมัยใหม่ๆ มั่นใจตนเองสูง ส่วนใหญ่จึงครองโสดกันมากขึ้น หากจะถูกใจใครสักคนก็อาจทิ้งช่วงห่างของอายุ กาลเวลาการตกลงแต่งงานขยายยาวนานขึ้น และการมีครอบครัวก็ไม่ยอมจะอยู่บ้านเป็นแค่แม่บ้านเท่านั้น กลับจะทำงานนอกบ้านเช่นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ ส่วนที่ยังโสดก็ยังมีจำนวนไม่น้อยเมื่อเทียบกับสาวยุคเก่าก่อนเพราะเหตุผลแห่งโอกาสที่เอื้อให้ผู้หญิงก็ยังเป็นโสดได้และเลือกจะเป็นโสดหากว่ายังไม่ถูกใจใครที่จะใช่เลยใช้ชีวิตคู่
//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREV5TURZMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdOaTB4TWc9PQ==