อนุภาคที่มีวิถีชีวิตของมันเอง
อนุภาคที่มีวิถีชีวิตของมันเอง
หมอบอกว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปี

เขาอายุยี่สิบเอ็ด เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี 1963 เขาล้มลงและไม่สามารถขยับเขยื้อนกายได้

หมอบอกว่าเขาเป็นโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis ( หรือ ALS) ระบบประสาทของเขาไม่สามารถสั่งการอวัยวะส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้ ร่างกายของเขาจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทีละน้อย จนเป็นอัมพาตถาวร

เขาไม่ได้กลับบ้านไปนอนรอความตาย เขายังคงเรียนหนังสือต่อไป สำหรับคนทั่วไป การเรียนหนังสือสำหรับคนใกล้ตายถือเป็นความสูญเปล่า แต่นอกจากเขาจะเรียนต่อแล้ว เขายังแต่งงาน

ชายหนุ่มคนนี้ชื่อ สตีเฟน ฮอว์คิง

เกิดในยามสงครามที่ออกซ์ฟอร์ด อังกฤษ สามร้อยปีหลังจากกาลิเลโอสิ้นชีพ เหตุที่เกิดที่นั่นเพราะในช่วงสงคราม นาซีเยอรมนีกับอังกฤษทำข้อตกลงว่า จะไม่ทิ้งระเบิดเมืองมหาวิทยาลัยของกันและกัน ออกซ์ฟอร์ดจึงมิได้รับผลกระทบของสงคราม

ตั้งแต่เด็ก ฮอว์คิงชอบคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาเรียนได้คะแนนดีมาก สนใจเทอร์โมไดนามิกส์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และควอนตัม ฟิสิกส์ ที่บอกว่า อนุภาคแต่ละตัวมีวิถีชีวิตของมันเอง และคาดเดาไม่ได้

ฮอว์คิงไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ ด้านจักรวาลวิทยา อนาคตของเขาสดใสยิ่ง หากมิใช่เพราะโรคร้ายดังกล่าว

ระหว่างที่เรียนเขาพบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ เจน ไวลด์ สองปีต่อมาเขาก็ขอเธอแต่งงาน เขาถามเธอว่า จะพิจารณาแต่งงานกับคนที่มีอายุเหลือสามปีหรือไม่

เธอตกลง และบอกว่า "นี่เป็นยุคมืดแห่งปรมาณู เราต่างมีอายุขัยที่สั้น"


โรคร้ายทำลายร่างกายของเขาไปทีละน้อย แต่ไม่กระทบสมองของเขา ฮอว์คิงยังคงหายใจเป็นทฤษฎีทางจักรวาลวิทยา เพียงแต่ต้องคิดทุกอย่างในหัวก่อนถ่ายทอดมันออกมา

แปดปีหลังจากแสดงอาการของโรคร้าย ฮอว์คิงพบเพื่อนใหม่ชื่อ รอเจอร์ เพนโรส นักคณิตศาสตร์ ทั้งสองเข้าทีมกัน คำนวณจากฐานที่ไอน์สไตน์วางไว้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ ว่าจักรวาลน่าจะมีจุดเริ่มต้น บิ๊กแบงเกิดขึ้นจริง และเรื่องหลุมดำ

อาการพิการค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็เป็นอัมพาตเกือบสิ้นเชิง สูญเสียระบบพูด เขาใช้เสียงสังเคราะห์ไฟฟ้าในการสื่อสารกับคนอื่น เก้าอี้เข็นของเขาติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อกับเครื่องอ่านค่ากะพริบตาที่ติดในแว่นตาของเขา โดยการกะพริบตาและหดกล้ามเนื้อแก้ม เขาก็สามารถพูดได้ ทำการรีเสิร์ชข้อมูลต่างๆ อ่านหนังสือ ท่องอินเทอร์เน็ต เขียนอีเมล และเขียนหนังสือได้ ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมประตู แสงในห้อง

สตีเฟน ฮอว์คิง ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ Lucasian ด้านคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ตำแหน่งที่เซอร์ ไอแซค นิวตัน เคยดำรงมาก่อน หนังสือเล่มแรกของเขา A Brief History of Time (1988) เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ว่า หนังสือวิชาการขายไม่ได้ในตลาดผู้อ่านทั่วไป หลังจากนั้นมีออกมาอีกหลายเล่ม อย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นผลงานของคนพิการที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

สตีเฟน ฮอว์คิง ลบคำของหมอที่ตัดสินชีวิตของเขาว่า จะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปี เขาอยู่ต่อมาอีกหลายสิบปี

เขาบอกว่าเขาโชคดี เขาว่าตนเองคงไม่สามารถค้นพบสิ่งสำคัญในโลกฟิสิกส์มากเท่านี้ หากมิใช่เพราะการสนับสนุนของครอบครัว

บางทีทุกชีวิตมีทางดิ้นรนของมันเองเสมอ ขอเพียงอย่าเพิ่งสิ้นกำลังใจ

บางที ควอนตัม ฟิสิกส์ อาจจะถูก อนุภาคแต่ละตัวมีวิถีชีวิตของมันเอง และคาดเดาไม่ได้


วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com
21 มกราคม 2549




Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 22:04:27 น.
Counter : 651 Pageviews.

0 comment
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 6-12 มกราคม 2549 หน้า 96 คอลัมน์ คลุกวงใน โดย พิษณุ นิลกลัด

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก
เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง
เป็นแม่ค้าลอตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาลอตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริง ๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อน แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้ เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอให้วิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดี ๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"
เขามีวิธีคิด "เท่ ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย
เป็นต้นว่า สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เก๊าต์ แตะไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซนต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่องจากไตไม่ทำงานปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"
พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครจะอยากมาเยี่ยมอีก"
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่องแล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
4 เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน
แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมฟังอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้านแต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกระพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า "ถ้าได้ยินพ่อกระพริบตาสองที"
เขากระพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
เขาไม่กระพริบตาซะแล้วทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริง ๆ"
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า "โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"



Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 22:03:54 น.
Counter : 743 Pageviews.

1 comment
ก้าวย่างแรก
ก้าวย่างแรก
วันที่ 1 ธันวาคม 1955 โรซา พาร์กส์ สตรีผิวดำวัยสี่สิบสอง ถูกตำรวจจับขังด้วยเหตุที่ไม่ลุกจากเก้าอี้ในรถเมล์ให้แก่ชายผิวขาวคนหนึ่งนั่ง

โรซาเป็นช่างเย็บผ้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง วันนั้นเธอขึ้นรถเมล์ที่ถนนคลีฟแลนด์ นั่งแถวที่ห้า แถวแรกสุดของ 'พื้นที่สีดำ'

ห้าสิบปีก่อน ความแตกต่างระหว่างคนดำกับคนขาวในอเมริกายังเป็นปัญหาใหญ่และแบ่งแยกชนชั้นอย่าง 'ขาวกับดำ' ในประเทศที่รัฐธรรมนูญตราว่าทุกคนเสมอภาคกัน คนผิวดำไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในหลายเมือง รถเมล์ทุกคันแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหน้าคือพื้นที่สำหรับคนผิวขาว ด้านหลังคือพื้นที่สำหรับคนผิวดำ

กฎการโดยสารรถเมล์ในเมืองมอนต์โกเมอรี รัฐอลาบามา คือ ผู้โดยสารผิวดำจ่ายเงินค่าโดยสารให้แก่คนขับรถที่ประตูหน้า แล้วก้าวลงไปขึ้นรถที่ประตูหลัง บางครั้งรถบัสก็แล่นจากไปก่อนที่ผู้โดยสารเดินกลับไปถึงประตูหลัง หากที่นั่งส่วนหน้าซึ่งสงวนให้คนขาวเต็ม คนผิวดำต้องสละที่นั่งให้คนขาว ทั้งๆ ที่สองในสามของผู้โดยสารในเมืองนี้เป็นคนผิวดำ

วันนั้นรถประจำทางแน่นเป็นพิเศษ คนขับสั่งให้โรซาลุกจากที่นั่งให้แก่ผู้โดยสารผิวขาว อาจด้วยความเหนื่อยจากงานหนักมาทั้งวันและเจ็บเท้า หรือความเบื่อหน่ายถึงขีดสุด เธอปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น

คนขับรถผิวขาวบอกเธอว่า? "งั้นคุณก็ต้องถูกจับ"

เธอตอบเรียบๆ ว่า "เชิญทำเช่นนั้นเลยค่ะ"

แล้วเธอก็ถูกจับ วันนั้นเป็นวันพฤหัส

อาจเป็นเพราะโรซาเป็นคนที่ประพฤติดี ทำเรื่องทุกอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่งงานแล้ว มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน เชื่อมั่นในตนเอง รักความยุติธรรม การกระทำของเธอจึงจุดประกายให้เกิดสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน

หลังจากประกันตัวออกมาแล้ว โรซา พาร์กส์ และคนกลุ่มหนึ่งก็ตัดสินใจเรียกคืนเสรีภาพพื้นฐาน ใบปลิว 35,000 ใบกระจายไปทั่วเมือง เนื้อความชัดเจน : คนผิวดำทุกคนจะไม่ขึ้นรถเมล์ทุกๆ คันในวันจันทร์ที่จะถึง พวกเขาจะเดินแทนการนั่งรถประจำทาง

เช้าวันจันทร์ฝนเทลงมา แต่ไม่มีคนดำสักคนที่ขึ้นรถเมล์ โรซา พาร์กส์ ไปขึ้นศาล เธอสวมชุดแขนยาวสีดำ ปกเสื้อขาว หมวกกำมะหยี่สีดำ เสื้อคลุมสีเทา ถุงมือสีขาว และกุญแจมือ เดินอย่างเชื่องช้าและสงบนิ่ง

การพิจารณาคดีกินเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดตามกฎหมาย แต่สิ่งที่ตามมากับคำตัดสินคือการถือกำเนิดของพลังเรียกร้องเสรีภาพของคนดำ นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง และการประท้วงโดยพลเมืองผิวดำในเมืองนั้นที่ไม่ขึ้นรถเมล์นานถึง 381 วัน ขบวนการเรียกร้องเสรีภาพของคนดำขยายตัวไปทั่วประเทศ

ในที่สุดหนึ่งปีต่อมา ศาลสูงสหรัฐฯก็ประกาศว่า การแบ่งแยกชนชั้นบนรถประจำทางเป็นสิ่งที่สวนทางกับรัฐธรรมนูญ

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การต่อต้านระบอบเผด็จการยากที่สุดตรงก้าวย่างแรก ก้าวที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจสู้ ระบอบเผด็จการมักจะดูยากแก่การทำลาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นต้นไม้ใหญ่ที่กลวงใน เปราะบางอ่อนแอ เพราะเป็นระบบที่ทำลายตัวเอง

แต่การต่อสู้เรียกคืนเสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์ก็มีราคาของมัน มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกสังหารในเวลาต่อมา ตามมาด้วยอีกหลายๆ คนที่เชื่อว่ามนุษย์สมควรเสมอภาคกัน แต่ท้ายที่สุดระบอบเผด็จการก็ล้มเสมอ


วันที่ 21 ธันวาคม หนึ่งปีถัดมา โรซา พาร์กส์ นั่งรถเมล์ในเมืองเดิม เธอทอดสายตาออกนอกหน้าต่างรถ มือทั้งสองวางบนเสื้อลายตารางหมากรุก ผู้โดยสารผิวขาวคนหนึ่งนั่งอย่างสงบ บนที่นั่งหนึ่งแถวถัดจากที่นั่งของเธอ...


วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com
14 มกราคม 2549



Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 22:03:18 น.
Counter : 840 Pageviews.

0 comment
รางวัลที่ ๑
รางวัลที่ ๑
หนังสือธรรมะดี ...น่าอ่าน ***หนังสือรางวัลที ๑...โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ***

สมาคมพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่งประกาศชักชวน ประชาชนให้ส่งข้อเขียนเรื่อง " ถ้าข้าพเจ้าจะเปิดเผย ความปรารถนาหรือคำอธิษฐาน"
ไปที่สมาคม ฉบับของใครดีที่สุดจะได้รับรางวัล

แต่รางวัลนั้นก็แปลกอยู่ คือแทนที่จะเป็นเงินเป็นทอง หรือของที่ระลึก กลับเป็นว่าข้อเขียนของผู้นั้นจะได้รับ
การพิจารณาจัดพิมพ์ในวารสารของสมาคม ที่ออกเป็นประจำนั้นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะจัดพิมพ์เป็น
ใบปลิวหรือจุลสารสำหรับแจกแก่ประชาชน เพราะฉะนั้นรางวัลดังกล่าวนี้ ก็คือการได้มีส่วนช่วยกันบำเพ็ญ
ประโยชน์แก่คนทั่วไป ซึ่งทางสมาคมถือว่าสูงกว่า การได้เงินทองหรือสิ่งของ

ข้อกำหนดนั้นมีอยู่ว่า
ถ้าท่านจะตั้งความปรารถนาใดๆ หรืออธิษฐานจิต เพื่ออะไรในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน
และถ้าท่านจะเปิดเผยความปรารถนาหรือ คำอธิษฐานนั้นให้คนอื่นได้ทราบบ้าง
ก็ขอให้เขียนมาเป็นข้อ ๆ ไม่เกิน ๑๐ ข้อ และจะอธิบายคลุมทั้งหxxx็ได้
แต่คำอธิบายทั้งหมดนั้นจะต้องไม่ยาวเกิน ๑ หน้ากระดาษ

คนที่ได้ทราบประกาศนี้พากันสนใจ ที่เห็นว่าเป็นการประกวดไม่ซ้ำแบบใคร
และมีทีท่าว่าเป็นคำสอนไปในตัวของสมาคมพระพุทธศาสนาแห่งนั้น ตั้งแต่เริ่มประกาศให้ประชาชนรู้
คือเป็นคำสอนแบบให้คิดเอาเอง ใครคิดเป็นก็ได้รับคำสอนมาก
ใครคิดไม่เป็นหรือคิดไม่ออก ประกาศนั้นไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร
แต่กลับให้สติที่จะช่วยกันบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนด้วยซ้ำ

กรรมการสมาคมปรึกษากันว่า ผู้ส่งข้อความเข้าประกวดถ้ามีถึง ๑๐ คน
ก็นับว่าน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่กลับปรากฎว่า มีผู้ส่งข้อความเข้าประกวดอย่างมากมายเกินที่คาดคิดไว้

คณะกรรมการของสมาคมต้องตรวจข้อเขียน ที่ส่งมาประกวดนั้นอย่างเคร่งเครียด
ในจำนวนข้อเขียนหลายร้อยฉบับ มีอยู่ฉบับหนึ่งที่เขียนส่งมาเฉพาะคำแสดงความปรารถนา
หรือคำอธิษฐาน รวม ๑๐ ข้อ ไม่มีคำอธิบายประกอบ ในการนี้ผู้ส่งมากล่าวว่าเห็นว่าคำอธิษฐานเหล่านี้ชัดเจน
ในตัวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายเพิ่มเติมอีก เว้นไว้แต่ตอนท้ายคำอธิษฐาน
ได้กล่าวสรุปไว้เพื่อให้เห็นว่า ตัวผู้เขียนยังไม่ดีพอ จึงต้องมีหลักฐานไว้เตือนตัวเอง
และที่แปลกก็คือ เป็นคำอธิษฐานเพื่อคุณธรรม มากกว่า การขอทรัพย์สมบัติใด ๆ

คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ ตัดสินให้ข้อเขียนของผู้นั้นได้รางวัลที่ 1
แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าผู้นั้นเป็นใคร เพราะมิได้ให้ชื่อที่อยู่กำกับไว้ด้วย


ข้อเขียนที่แสดงถึงความปรารถนาหรือคำอธิษฐาน ๑๐ ประการนั้น มีดังต่อไปนี้

๑. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอย ๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดี
หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไรก็ขอให้ได้ เพราะทำได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด


๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือ ในทางวิชาความรู้
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อ เกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ
ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด

๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือ ต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม
ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้


๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียม หรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้าก็ดี มีความรู้ความสามารถ หรือ มีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่า
ข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และ
ให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิต ในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา
ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่น จะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน
ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด

๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น
ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย
ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตน ให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้
อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ
ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ รวมทั้ง ขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้
ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด


๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบ หรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร
พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกิน
ข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่
และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น
ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความ
ตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น
ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษา หรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ แบบบริจาคให้
มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และ ในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใด ๆ
ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดี คืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย


๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่อง
การแข่งดีกับใคร ๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความหยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น
มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใคร ๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้ เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ
ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า
"ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า
เมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้าน
งอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดี ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้า ดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก
หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง


๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดี ต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณา
ดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรู ที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด
อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่อง ที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ
เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝัง
ขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือ
สัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น


๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง
หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับ คิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย
ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้
ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร
ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับ ตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา
ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกิน ไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือ เก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย


๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้ เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม
กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจ ให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต
เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใคร ๆ
แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง
รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เองและ สามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด


ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือ
สั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมี ข้อบกพร่อง ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ
ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้ เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตน
ได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง

//www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_book&No=2698



Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 22:02:36 น.
Counter : 732 Pageviews.

0 comment
อย่าให้ถูกกลายเป็นผิด
อย่าให้ถูกกลายเป็นผิด
พระไพศาล วิสาโล
(สารคดี กันยายน ๒๕๔๘)


เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เกาหลีใต้

หญิงสาวผู้หนึ่งพาหมาออกไปนอกบ้าน จู่ ๆ มันเกิดทนไม่ไหว ถ่ายของเสียกลางถนน ตามกฎหมายเจ้าของมีหน้าที่ต้องเก็บของเสียเหล่านั้นให้หมด แต่เธอแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ คงเพราะคิดว่าไม่มีคนเห็น แล้ววันหนึ่งเธอก็พบว่าภาพของเธอไปปรากฏทางอินเตอร์เน็ต
เป็นคราวเคราะห์ของเธอที่มีคนเห็นพฤติกรรมของเธอ ด้วยความร่วมมือของผู้ใช้เว็บทั่วประเทศ ในที่สุดก็สืบพบจนได้ว่าเธอเป็นใคร ทำงานที่ไหน ทันทีที่ภาพและข้อมูลของเธอปรากฏที่เว็บไซต์ ผู้คนจากทั่วสารทิศก็พากันประนามเธอทางเว็บบอร์ด แม้แต่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เธอทำงานก็ท่วมท้นด้วยข้อความก่นด่าจากประชาชนที่ไม่พอใจ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่หญิงผู้นี้ติดอันดับหนึ่งของผู้ที่วงการอินเตอร์เน็ตจงเกลียดจงชังมากที่สุด ครอบครัวและมหาวิทยาลัยของเธอพลอยได้รับความอับอายไปด้วย ในที่สุดเธอก็ถูกกดดันให้ลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีใครรู้ว่าฝันร้ายจะตามมาหลอกหลอนเธออีกนานเท่าใด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงผู้นี้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ควรแล้วหรือที่เธอจะถูกลงทัณฑ์จากคนทั้งประเทศอย่างนั้น แม้เธอจะไม่ถูกจำคุก แต่ก็ตกนรกทั้งเป็นไปแล้ว ข้อที่น่าสงสัยก็คือมีอาชญากรหรือคนโกงบ้านกินเมืองสักกี่คนที่ถูกรุมประนามเท่า ๆ กับเธอ ทั้ง ๆ ที่ความผิดของเธอมีเพียงแค่การไม่เก็บขี้หมาเท่านั้น
เป็นเรื่องน่าสรรเสริญที่ประชาชนมีสำนึกในหน้าที่ต่อส่วนรวม ไม่ยอมปล่อยให้พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องผ่านเลยไป แต่การลงโทษจนเกินขีดขั้นของความผิด ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะยอมรับได้ ถึงที่สุดเราจำเป็นต้องมาถามว่า ระหว่างคนที่ไม่เก็บขี้ที่หมาของตนถ่ายทิ้งไว้ กับคนที่ก่นด่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจนเขาเสียผู้เสียคนไปนั้น ใครกันแน่ที่ทำผิดมากกว่ากัน?
การใส่ใจกับความถูกความผิดนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไปเอาเป็นเอาตายกับความถูกความผิดมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นเรื่องไม่ดีไปได้ เพราะสามารถนำไปสู่การลงทัณฑ์ที่เกินขอบเขต และบางครั้งอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมที่สวนทางกับหลักการหรือความถูกต้องที่ตนเชื่อก็ได้
หลายปีก่อนเกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นในสหรัฐอเมริกา เรื่องเริ่มต้นเมื่อชาวคริสต์ที่เคร่งศาสนากลุ่มหนึ่งจัดชุมนุมประท้วงหน้าคลีนิคที่ให้บริการทำแท้ง ผู้ประท้วงเหล่านี้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชิดชูชีวิต (pro-life) และเห็นว่าการทำแท้งเป็นการฆ่าที่ผิดบทบัญญัติของพระเจ้า แต่การประท้วงนั้นไม่สามารถหยุดยั้งหมอและพยาบาลที่ยืนกรานจะทำแท้งให้แก่หญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตร สถานการณ์ตึงเครียดเป็นลำดับ และเมื่อบรรยากาศร้อนแรงมากขึ้น ก็มีชายผู้หนึ่งในกลุ่มประท้วงบุกเข้าไปในคลีนิกนั้นพร้อมกับควักปืนยิงหมอจนถึงแก่ความตาย
ฆาตกรนั้นเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชิดชูชีวิต แต่แล้วกลับกลายเป็นผู้ทำลายชีวิตเสียเองไม่ต่างจากหมอที่ตนเองด่าประนาม เขาเกลียดหมอที่ปลิดชีวิตคน แต่แล้วก็ทำอย่างเดียวกับหมอผู้นั้น ทั้งนี้เพราะอะไรหากไม่ใช่เพราะความยึดติดกับความถูกความผิด(ตามมาตรฐานของตน)มากเกินไป จนเห็นฝ่ายที่ไม่ทำตามมาตรฐานของตนนั้นเป็นศัตรูอันเลวร้ายที่ต้องขจัดไปให้ได้
คนเราจำเป็นต้องยืนหยัดในความถูกต้อง แต่ถ้ายึดมั่นกับมันมากเกินไป จนไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากความถูกต้องดังกล่าว เมื่อเห็นใครทำสิ่งที่สวนทางกับความถูกต้องนั้น ความโกรธเกลียดก็เกิดขึ้นได้ง่าย และเมื่อปล่อยให้ความโกรธเกลียดลุกลามไปแล้ว นอกจากตัวเองจะทุกข์เพราะถูกไฟเผาลนจิตใจแล้ว ยังสามารถเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ง่าย ๆ ชนิดที่ตรงข้ามกับความถูกต้องที่ตนยึดถือ
ดังนั้นลำพังการยึนหยัดหรือยึดถือความถูกต้องอย่างเดียวย่อมไม่พอ ต้องมีอย่างอื่นเข้ามากำกับหรือควบคุมให้การยึดถือความถูกต้องนั้นเป็นไปอย่างพอดี ไม่เกินเลย หรือเบี่ยงเบนไปจนเกินผลเสีย สิ่งนั้นได้แก่สติ สติช่วยให้เราไม่ลืมตัวจนเผลอทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความถูกต้องที่ยึดถือ และช่วยให้เราไม่ยึดมั่นกับความถูกต้องจนลืมนึกถึงสิ่งอื่น ถ้าหากผู้ประท้วงคลีนิคทำแท้งมีสติ เขาย่อมรู้ว่าการถือปืนเข้าไปยิงหมอนั้นเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการเชิดชูชีวิตที่ตนยึดถือ ถ้าหากนักท่องเว็บมีสติเขาย่อมรู้ว่าหญิงที่ไม่เก็บขี้ที่หมาของตนถ่ายนั้นไม่ได้ทำความผิดอุกฉกรรจ์ชนิดที่จะต้องกดดันให้จมธรณี
นอกจากสติแล้ว เมตตาก็จำเป็นเช่นกัน ถ้าไม่มีเมตตาแล้ว ความดีหรือความถูกต้องที่เรายึดถืออาจกลายเป็นอาวุธที่ประหัตประหารผู้คนให้ตายทั้งเป็นได้ ความดีหรือความถูกต้องที่ไม่มีเมตตากำกับย่อมเป็นสิ่งอันตราย เพราะอาจกลายเป็นเครื่องมือให้ความโกรธเกลียดไปทำร้ายใครก็ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาอาจทำผิดเพียงเล็กน้อย เหมือนกับที่หลายคนเคยโกรธ เกลียด หรือไม่พอใจ ภราดร ศรีชาพันธุ์ ที่บริจาคเงินช่วยผู้ประสบภัยสึนามิเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท แน่นอนว่าบุคคลสาธารณะอย่างเขาควรเสียสละหรือมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่านั้น แต่จะตำหนิเขาอย่างไรก็ตาม ควรมีเมตตาต่อเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการรุมประชาทัณฑ์ด้วยถ้อยคำรุนแรงราวกับเขาเป็นผู้คิดร้ายต่อชาติ ซึ่งในกรณีเช่นนั้นก็น่าสงสัยว่าระหว่างภราดรกับผู้ที่รุมประนามเขา ใครกันแน่ที่ทำสิ่งที่ไม่สมควรมากกว่ากัน
ในชีวิตจริงเราไม่ได้อยู่ด้วยความถูกต้องอย่างเดียว แต่ยังมีสิ่งดีงามอีกหลายอย่างที่ต้องคำนึงและรักษาไว้ด้วย เช่น สัมพันธภาพ และการเจริญเติบโตภายใน เป็นต้น การยึดมั่นกับความถูกต้องมากเกินไป มักทำให้เรามองข้ามสิ่งอื่นไป จนเกิดผลเสียตามมา ครอบครัวหรือหน่วยงานที่เอาเป็นเอาตายกับความถูกความผิดมากเกินไป มักจะลงเอยด้วยความร้าวฉาน ในทางตรงข้าม สัมพันธภาพจะยั่งยืนได้ จำเป็นต้องรู้ว่าจะยืนยันหรือเรียกร้องความถูกต้องแค่ไหนถึงจะพอดี


น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์เล่าถึงสามีภรรยาคู่หนึ่ง ผู้ชายนั้นชอบตกปลาขณะที่ผู้หญิงเห็นว่าเป็นบาป ภรรยาขอร้องสามีจนในที่สุดสามียินยอมว่าจะไม่ตกปลาอีกเพราะเห็นแก่ภรรยา แล้ววันหนึ่งภรรยามีกิจต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นเวลา ๕ วัน สองวันแรกที่ภรรยาไม่อยู่บ้านนั้น สามีมือไม้สั่นทุกครั้งได้ยินเสียงปลากระโดดงับเหยื่อในสระหน้าบ้าน แต่ก็ห้ามใจไว้ได้ ครั้นถึงวันที่ ๓ ทนไม่ไหว คว้าเบ็ดเอาไส้เดือนมาเกี่ยวเบ็ดแล้วก็ไปตกปลา เผอิญภรรยากลับมาก่อนกำหนด เห็นสามีกำลังตกปลา ภรรยาแทนที่จะตวาดแหวว่า "ทำไมเธอตกปลา สัญญากันแล้วไม่ใช่หรือ?" เธอกลับถามว่า "พ่อกำลังทำอะไรเหรอจ๊ะ ?"
สามีแทนที่จะสารภาพผิด กลับพูดบ่ายเบี่ยงว่า "ผมกำลังสอนไส้เดือนให้ว่ายน้ำ"
เจอแบบนี้เข้าภรรยาจะตอบว่าอย่างไร ?
ภรรยาแทนที่จะโกรธ กลับพูดว่า "ไส้เดือนว่ายน้ำนานแล้ว เอามันขึ้นจากน้ำเสียที เก็บเบ็ดแล้วไปกินข้าวกันดีกว่า" สามีเจอคำตอบเช่นนี้ก็ทำตามโดยดุษณี
ลองนึกดูว่า หากภรรยายึดมั่นกับความถูกต้องมากเกินไป ย่อมต้องคาดคั้นให้เขายอมรับผิดให้ได้ คงไม่ปล่อยให้สามีลอยนวลด้วยข้อแก้ตัวง่าย ๆ ว่ากำลังสอนไส้เดือนให้ว่ายน้ำ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเธอโต้กลับไปว่า "ไม่ยอมรับแล้วยังมาเถียงข้าง ๆ คู ๆ อีก บอกมาซิว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำผิดสัญญาแล้วยังมาแก้ตัวอีก......" เจอแบบนี้แล้วมีหรือสามีจะยอมแพ้ เพื่อไม่ให้เสียหน้าก็ต้องโต้ไปว่า "ทำไม ตกปลาไม่ได้เหรอไง เธอเป็นแม่ฉันหรือ?" ถ้าลงรูปนี้แล้วก็คงมีปากเสียงกันยาว เป็นไปได้ว่าในที่สุดภรรยาอาจต้อนให้สามียอมรับจนได้ว่าตนทำผิด แต่ถึงตอนนั้นสัมพันธภาพก็ร้าวฉานแล้ว ได้ความถูกต้องกลับคืนมาแต่เสียไมตรีไป จะคุ้มหรือไม่ในเมื่อความถูกต้องในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรือคอขาดบาดตายแต่อย่างใด
ภรรยาในเรื่องนี้รู้ดีว่าการยืนยันเอาความถูกต้องจากสามี หรือคาดคั้นให้เขายอมรับผิดที่ตกปลา ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าสำหรับชีวิตคู่ ได้แก่สัมพันธภาพ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หากแต่เธอรู้ว่าจะเตือนเขาอย่างไรโดยไม่ใช้วิธีต้อนเขาให้จนมุม ส่วนหนึ่งนั้นเธอมีเมตตาพอที่จะปล่อยให้เขารอดตัวไปได้โดยไม่เสียหน้า อีกส่วนหนึ่งนั้นเธอมีสติพอที่จะไม่ปล่อยให้ความขุ่นเคืองใจครอบงำหรือลุกลามเป็นความโกรธ


ที่วัดแห่งหนึ่งเกิดเหตุพระต่อยกันเนื่องจากแย่งกันอ่านนิตยสารฉบับหนึ่ง ทั้งสองรูปซึ่งเป็นพระบวชใหม่ต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูกทั้งคู่ รูปหนึ่งอ้างว่านิตยสารฉบับนั้นตนเป็นคนออกเงิน ดังนั้นจึงต้องมีสิทธิอ่านก่อน อีกรูปอ้างว่าคนที่ไปซื้อมานั้นยื่นให้ตนเองอ่านก่อน พอกำลังอ่านอยู่ดี ๆ ก็ถูกดึงไป จะยอมได้อย่างไร เถียงกันไปเถียงกันมาในที่สุดก็ลงไม้ลงมือกัน
หลวงพ่อเมื่อได้ทราบเหตุการณ์ ก็เข้ามาไกล่เกลี่ย แต่แทนที่ท่านจะสอบสวนว่าใครผิดใครถูก ท่านกลับสนใจว่าทั้งคู่จะหันหน้าคืนดีกันได้อย่างไร เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลทั้งคู่ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก อีกฝ่ายต่างหากที่ผิด ยิ่งสอบสวนก็คงยิ่งบานปลาย หาข้อยุติได้ยาก เพราะไม่มีใครยอมให้กัน ที่สำคัญก็คือถึงแม้จะพบว่าใครเป็นฝ่ายถูก แต่ถ้าความรู้สึกขุ่นเคืองใจยังมีอยู่ ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร
สิ่งที่ท่านทำก็คือแนะนำให้ทั้งคู่เลิกคิดที่จะเอาผิดเอาถูกจากกันและกัน แทนที่จะยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก ควรหันมาขอโทษและให้อภัยกันดีกว่า เพราะถึงอย่างไรการต่อยกันก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว หลังจากที่สงบเย็นลงแล้ว ทั้งคู่ก็ได้คิด ต่างขอโทษและให้อภัยซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
หลวงพ่อท่านตระหนักดีว่าในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะนั้น การยืนยันความถูกต้องของตน หรือการเอาผิดจากกันและกันนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ยังมีสิ่งสำคัญกว่านั้นนั่นคือการรู้จักขอโทษและให้อภัยกัน แม้จะมั่นใจว่าตนถูก อีกฝ่ายนั้นผิด แต่ถ้าไม่รู้จักให้อภัยกันจะมีประโยชน์ อะไร และยิ่งคิดว่าตนเองถูกฝ่ายเดียว ไม่ผิดเลย ดังนั้นจึงไม่ยอมขอโทษ ก็ยากที่จะคืนดีกันได้
นิทานทั้งสองเรื่องนี้สอนว่าในการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวหรือหมู่คณะ แม้ความถูกต้องจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน และควรคำนึงถึงอยู่เสมอ ได้แก่ สัมพันธภาพ ตลอดจน เมตตา การให้อภัย และการรู้จักขอโทษ
ยิ่งการทำงานเป็นหมู่คณะด้วยแล้ว นอกจากสัมพันธภาพแล้ว การเติบโตของแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ บ่อยครั้งการทำงานผิดพลาดเป็นเรื่องจำเป็นเพราะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาเอาจริงเอาจังกับความถูกความผิดมากเกินไป ลูกน้องทำผิดพลาดเป็นไม่ได้ ต้องมีการเอ็ดตะโรอาละวาด ลูกน้องย่อมขาดความมั่นใจและไม่กล้าทำอะไรเลย มีผู้บังคับบัญชาจำนวนไม่น้อยที่ทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องเข้ามาคุมงานด้วยตนเอง ไม่กล้าปล่อยให้ลูกน้อยรับผิดชอบ ผลก็คือลูกน้องไม่เติบโต
กรณีข้างต้นเป็นปัญหาของคนเก่ง ส่วนคนดีก็มีปัญหานี้เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นคนอื่นมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐานของตน มักจะทนไม่ได้ ต้องมีการว่ากล่าวกัน การติเตียนนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่บ่อยครั้งเนื่องจากมีความยึดติดในความถูกต้องมากเกินไป การติเตียนจึงเป็นไปอย่างรุนแรงและเต็มไปด้วยอารมณ์ ผลคือเกิดความร้าวฉาน นี้คือเหตุผลว่าทำไมคนดีถึงรวมกันไม่ค่อยได้นาน ส่วนคนชั่วนั้นมักรวมกันได้ยั่งยืนกว่า นั่นก็เพราะเขาไม่ค่อยใส่ใจกับความผิดของกันและกัน สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าได้แก่ผลประโยชน์ร่วมกันที่รออยู่ข้างหน้า
คนดีนั้นสามารถรวมตัวกันได้อย่างยั่งยืนหากไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือเอาเป็นเอาตายกับความถูกความผิดของคนอื่นมากเกินไป จนลืมนึกถึงจุดมุ่งหมายที่เป็นอุดมคติร่วมกัน คนดีนั้นมารวมกันเพื่อทำสิ่งที่ดีงาม เช่น การฝึกฝนพัฒนาตนร่วมกัน หรือการช่วยเหลือสังคม เป็นต้น การระลึกนึกถึงจุดมุ่งหมายดังกล่าวอยู่เสมอ จะช่วยให้เราพร้อมให้อภัยความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ขยายความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ หรือคาดคั้นความผิดของคนอื่นจนมองหน้ากันไม่ติด
ความยึดมั่นถือมั่นมักก่อให้เกิดโทษ แม้สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นนั้นจะเป็นความดีก็ตาม เป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาใช่ไหมที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างศาสนิกมาโดยตลอด เป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นในพระเจ้าของตนใช่ไหมจึงเกิดคนอย่างบินลาเดนขึ้นมาทั่วโลก จะยึดถือความดีหรือความถูกต้องเพียงใดก็ตาม อย่าลืมสติ เมตตา การให้อภัย ตลอดจนจุดมุ่งหมายของชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคมก็แล้วกัน

//www.budpage.com/ba175.shtml



Create Date : 28 ธันวาคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 22:01:10 น.
Counter : 753 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend