ใครสักคนที่ห่วงใย
ใครสักคนที่ห่วงใย

คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา

นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต



ในช่วงชีวิตของคนเรา ต่างมีสุขทุกข์ปะปนกันไป ในยามสุขเรามักมีความสบายอกสบายใจ มีความพึงพอใจในชีวิต สามารถยิ้มแย้ม โลกดูสวยสดใสน่าชื่นชม แต่เมื่อความทุกข์มาเยือนก็อาจทำให้เรารู้สึกเครียด วิตกกังวล ไม่สบายใจ ดูโลกช่างหม่นหมอง ไม่น่าชม

อย่างไรก็ตาม คนเราจะสุขหรือทุกข์อย่างเดียวคงไม่มี ดังนั้น หนทางในการคลายเครียดคงต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของแต่ละบุคคล และหนทางหนึ่ง ที่สามารถช่วยให้เราคลายทุกข์ได้ก็คือ การหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ นั่นคือการค้นหาคนที่เรารักและเขาก็รักเรา จะเป็นเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ สามารถพูดคุย ปรับทุกข์ ช่วยเหลือเกื้อกูล ปลอบขวัญ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รวมถึงปรึกษาขอความคิดเห็น แนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เสมอ ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้มีทางออก มีคู่คิดให้เราได้พูดคุยปรึกษา ซึ่งจะช่วยให้เราสบายใจขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดหากเรายังไม่สามารถหาทางออกแก้ปัญหา หรือคลายความทุกข์ได้ เราคงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ซึ่งขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหาที่เกิดขึ้น

หาเพื่อนที่ดีที่รักและเข้าใจไว้เป็นเพื่อนทั้งในยามสุขและทุกข์เพื่อที่เราจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและเราจะรู้สึกได้ถึงความรักและห่วงใยที่เราได้รับ

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dOekV4TURFMU1RPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNUzB4TVE9PQ==



Create Date : 11 มกราคม 2551
Last Update : 11 มกราคม 2551 19:25:46 น.
Counter : 731 Pageviews.

0 comment
:::...กษัตริย์ยอดกตัญญู::ในหลวงกับความหมายของคำว่า"แม่"
:::...กษัตริย์ยอดกตัญญู::ในหลวงกับความหมายของคำว่า"แม่"

คัดลอกมาจาก หนังสือ เรื่อง หยุดความชั่วที่ไล่ล่าตัวคุณ ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ

กษัตริย์ยอดกตัญญู

ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า
ความหวังของแม่ ..ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ

ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู
ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม?
คือคนในภาพนี้..ในหลวงของเรา...

ในหลวง...นอกจากจะเป็น
ยอดพระมหากษัตริย์ของโลก..
เป็น THE KING OF KINGS แล้ว
ในหลวงของเรา
ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย

ความหวังของแม่...ทั้ง 3 หวัง
ในหลวงปฏับติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์
เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา
ในหลวงทำกับแม่ยังไง ?
ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น....

หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้...
ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ
แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...?
ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย.. มีคนเยอะแยะ

มีทหาร...มีองครักษ์ ...มีพยาบาล..
ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว
แต่ในหลวงบอกว่า..."ไม่ต้อง....
" คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง

ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา
..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน...
เพราะฉะนั้น..
ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน
เพื่อเทิดพระคุณท่าน... ไม่ต้องอายใคร...

เป็นภาพที่...ประทับใจมาก...
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน
ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทาง
ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น.....8,000 คน
ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ

"กษัตริย์ยอดกตัญญู..."

ในหลวง..เดินประคองแม่..
คนเห็นแล้ว ...เขาประทับใจ
ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน
...เอาไปติดไว้ที่บ้าน

เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...

ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่
เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้...
ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย...
แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่
กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย

ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ...
ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก...
แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่...

กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี...
ประคองแม่ .... เป็นเรื่องของ...คนใช้...

หลายคน...ให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ อาย...
เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ...อาย
เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่อาย...

ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...
แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เอาไว้สอนลูก

เห็นภาพชัดเจนไหมครับ?
เท่านั้น ...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขา..ของสมเด็จย่า...
มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...

ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ...ตอนนั้นอายุ 93
ในหลวง..เสด็จจากวังสวนจิตร.. ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไมครับ....?
ไปกินข้าวกับแม่...
ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ...
พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง..
โฮ้โห....ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา

เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่...
สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ ?
พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ?

5 วัน......

มีใครบ้างครับ....?
ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ 5 วัน
หายาก.........
ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ...
มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ 5 วัน
พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก..พลตรี...อธิบดี..ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่....บอกว่า...งานยุ่ง

แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย..
บอกว่า ไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ...
ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว...
แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง ..?

พ่อแม่..พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง...
ฝนตก...น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น...
พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...

ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...
ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ...93

สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน
อีก 2 วัน ไปไหนครับ ....?
ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า

ในหลวง...ถือศีล 8 วันพระ
ถือศีล 8 นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น...
เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะ ถือศีล
อีกวันหนึ่งที่เหลือ...
อาจจะกินข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด
แต่ 5 วัน....ให้แม่
เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?
ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย
ไปดูตอนกินข้าว...
ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า...
ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...
แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง...
เข้ามากอด..กอดเสร็จก็หอมแก้ม...

ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง...?
ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ
เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม

ตอนสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า
แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร
..เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม
แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ...
เพราะท่านได้กลิ่นหอม...
จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู


ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้
จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้

ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์
เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์
เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป...
เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้

ในหลวงหน่ะ...
เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง..ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน....
ก้มลงกราบ..คนธรรมดา..ที่เป็นแม่

หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...
กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว...
คนบางคน...พอเป็นใหญ่เป็นโต
ไม่กล้าไหว้แม่....เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...
เป็นชาวนา....เป็นลูกจ้าง...
ไม่เคารพแม่....ดูถูกแม่

แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว...
นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...
ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู..ของในหลวง
หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย...
ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...
นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ

แม่ทั้งหลาย..ลองคิดดูซิ...
อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...
อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน...
รู้ว่าแม่ชอบทานผัก...
หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่...
เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ
แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ
ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ
เพราะมีความสุข ที่ได้กินข้าวกับลูก
มีความสุขที่ลูกดูแล....เอาใจใส่

กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่...
ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง...ทราบไหม...?
ตอนในหลวงเล็ก ๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ...
"อยากฟังแม่สอนอีก"
เป็นยังไงบ้าง...?
เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ...
อยากฟังแม่สอนอีก...
พวกเรา เป็นยังไง...?
เราคิดว่า...เรารู้มาก...เราเรียนสูง...
เรามีปริญญา...แม่จบ ป.4
เวลาแม่สอน....ตะคอกแม่
ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่
เบื่อจากตายอยู่แล้ว...รำคาญ....
พูดจาซ้ำซาก...เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที...
เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่......

พอสมเด็จย่าสอน...
ในหลวงจะเอากระดาษมาจด...
มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่จำได้แม่น..
สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss
ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน
เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
แม่บอกว่า...ลูกอยากได้จักรยาน...
ลูกก็เก็บสตางค์...ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ...
เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ...สองเหรียญ
พอได้มากพอ...ก็เอาไปซื้อจักรยาน

นี่คือสิ่งที่แม่สอน...
แม่สอนอะไร..ทราบไหมครับ...?

ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน...
พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย
ประเคนให้เลย..ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย...
เหลิง...และหลงตัวเอง
พอโตขี้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้...
ยิงตำรวจ...ยังได้..เพราะหลงตัวเอง..พ่อตนใหญ่
เห็นไหม.....? ตามใจเทิดทูน จนเสียคน...

แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่..
สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก..
ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหย่อนกระปุก...


แม่สอน 2 เรื่อง คือ...ให้ประหยัด....ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
"ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี"
ใครสอนลูกให้ประหยัดได้..
คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก

พอถึงวันปีใหม่..สมเด็จย่าก็บอกว่า...
"ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน.."
เอ้า...แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...?
เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้...
ส่วนที่แถมนะ...มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...

มีเมตตา...ให้เงินลูก...
ให้...ไม่ได้ให้เปล่า...สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด
สอนว่า...อยากได้อะไร...ต้องเริ่มจากตัวเรา...
คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้....
เขาบอกว่า..ในสวนจิตรเนี่ย...
คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง...

ประหยัดที่สุด..ทั้งน้ำ..ทั้งไฟ...
เรื่องฟุ้งเฟ้อ..ฟุ่มเฟือย...ไม่มี...
เป็นอันว่า...ภาพนี้..ชัดเจน

หวังที่ 2. ยามป่วยไข้...หวังเจ้า..เฝ้ารักษา
ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง...?

สมเด็จย่า..ประชวร อยู่ทีโรงพยาบาลศิริราช..
ในหลวงไปเยี่ยม..ตอนไหนครับ..?
ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ..จีงเสด็จกลับ..
ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง...

แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม..ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว..
ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า..
เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ
ก็ต้องฟิต...ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอด
ว่า..จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม..?
จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น...
ทำให้สมเด็จย่า..ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น...
เห็นภาพไหม...?
กลางคืน .... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...
คืนละหลายชั่วโมง..ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน

ลองหันมาดูตัวเราเองซิ...
ตอนพ่อแม่ป่วย..โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง
ถามว่า...ตอนนี้..อาการเป็นยังไง....?
พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย
ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว....
โผล่หน้าไปให้เห็น...
พอแค่เป็นมารยาท..แล้วก็กลับ..
เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู...

เราไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน........น่าอายไหม...?

ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่...
ตอนแม่ป่วย....ไปทุกวัน...ไปให้ความอบอุ่น...
ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง...นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ

คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย...สมเด็จย่า...ก็ป่วย..
ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน..อยู่คนละมุมตึก..
ตอนเช้า..ในหลวงเปิดประตู...แอ๊ด......ออกมา...
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า
...ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี

ในหลวง..พอเห็นแม่..
รีบออกจากห้อง..มาแย่งพยาบาลเข็นรถ

มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า
ไม่เป็นไร.. ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่า.....แม่ของเรา....
ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น.... เราเข็นเองได้...

นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นกษัตริย์....ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่...ป้อนยาให้แม่
ให้ความอบอุ่นแก่แม่....เลี้ยงหัวใจแม่...
ยอดเยี่ยมจริง ๆ... เห็นภาพนี้แล้ว.....ซาบซึ้ง.....


มาตามดูต่อ.....
หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา...
หวังลูกช่วย..ปิดตา.......เมื่อสิ้นใจ
วันนั้น...
ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า อยู๋จนถึงตี 4 ตี 5
เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน...
จับมือแม่..กอดแม่...ปรนนิบัติแม่...
จนกระทั่ง.."แม่หลับ..." จึงเสด็จกลับ...

พอไปถึงวัง...
เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า...สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์...
ในหลวง..รีบเสด็จกลับไป..ศิริราช...
เห็นสมเด็จย่า..นอนหลับตาอยู่บนเตียง..
ในหลวงทำยังไงครับ......?
ในหลวงตรงเข้าไป....คุกเข่า....
กราบลงที่หน้าอกแม่....
พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่...
"ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย......"
ซบหน้านิ่ง....อยู่นาน...
แล้วค่อย ๆ...เงยพระพักตร์ขึ้น....
น้ำพระเนตรไหลนอง

ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว....
เอามือ...กุมมือแม่ไว้
มือนิ่ม ๆ ...ทีไกวเปลนี้แหละ
ที่ปั้นลูก...จนได้เป็น กษัตริย์...
เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...
ชีวิตลูก...แม่ปั้น...

มองเห็นหวี....ปักอยู่ที่ผมแม่....
ในหลวงจับหวี...ค่อย ๆ หวีผมให้แม่...
หวี...หวี...หวี....
หวี...ให้แม่สวยที่สุด....
แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด...
ในวันสุดท้ายของแม่....

เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด....
เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...
หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว....

กษัตริย์...ยอดกตัญญู

"ขอพระองค์ทรงพระเจิญยิ่งยืนนาน"
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ

..

อีกมุมหนึ่งของกษัตริย์ผู้ดูเข็มแข็ง ความอ่อนโยนที่มีต่อผู้ให้กำเนิด ความระลึกรู้สึกกตัญญูต่อบุพการี พระราชจริยวัตรอันงดงาม ที่หาเปรียบมิได้

สิ่งเหล่านี้จะถูกตราตรึงในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทยอย่างไม่มีวันลืม .. ตลอดไป

ทรงพระเจริญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

======================================
FWD MAIL



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:41:13 น.
Counter : 857 Pageviews.

0 comment
ฮีอา ลี กับนิ้วทั้งสี่
ฮีอา ลี กับนิ้วทั้งสี่

เด็กสาวคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้บุนวมหน้าเปียโนตัวใหญ่ เธอยิ้มและลงมือพรมนิ้วบนคีย์เปียโนอย่างคล่องแคล่ว ดนตรีของเบโธเฟนบทนั้นพลันฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง กระแสเพลงแผ่วพลิ้วเพริดแพร้วไปทั่วห้อง ผู้ฟังทั้งห้องถูกสะกดด้วยมนต์ดนตรี

เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายของเพลงจางหาย เสียงปรบมือกึกก้องกังวานแทนที่

เธอไม่ได้ลุกขึ้นมาโค้งรับ เธอลุกขึ้นยืนไม่ได้

เธอไม่มีขา

แต่ที่ทำให้ทุกคนตะลึงงันกว่านั้นก็คือ มือแต่ละข้างของเธอมีเพียงสองนิ้ว


ฮีอา ลี เป็นเด็กสาวเกาหลีวัยยี่สิบ รู้จักกันทั่วโลกในฉายา 'นักเปียโนสี่นิ้ว' เธอเกิดมาพิการเนื่องจากมารดากินยาผิดขนาดเมื่อตั้งท้องเธอ เธอเริ่มเล่นเปียโนเมื่อเจ็ดขวบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกให้นิ้วมีแรง เนื่องจากเวลานั้นแม้แต่การปากกา เธอยังทำไม่ได้ ตั้งแต่นั้นเปียโนเป็นมากกว่าเครื่องออกกำลังกาย เป็นเพื่อนผู้ปลอบประโลม เป็นแรงบันดาลใจ

แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้คือเธอสามารถใช้นิ้วพิการบรรเลงเพลงที่สวยงาม เธอเล่นเพลงของ เบโธเฟน โมสาร์ท โชแปง โยฮันส์ บราห์มส์ ชูเบิร์ต ฯลฯ คล่องแคล่ว พลิกพลิ้ว ดนตรีของเธอทะลุผ่านข้อจำกัดทางกายภาพและวิญญาณ สี่นิ้วของเธอมิได้เป็นอุปสรรคขวางเธอกับบทเพลง เธอมีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนเธอได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย แต่สำหรับเด็กสาวพิการ รางวัลเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้มากกว่าชื่อเสียง


ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งสอง กองทัพเยอรมนีกวาดยุโรปราบอย่างรวดเร็ว ประเทศอังกฤษพลันพบว่าตนเองรบอย่างโดดเดี่ยว นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ ประกาศต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้าย

กลางความท้อแท้ของชนทั้งชาติ เสียงของเชอร์ชิลล์ผ่านวิทยุกระจายเสียงให้กำลังใจผู้คน ปลุกขวัญให้สู้กับอำนาจที่มาราวี

เมื่อทั้งชาติตั้งปณิธานไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด พวกเขาก็กลายเป็นน้ำน้อยที่เอาชนะไฟจนได้อย่างไม่น่าเชื่อ


โลกเรามีคนพิการมากมายที่พิการเพียงกาย ใจไม่พิการ

พึ่งตนเอง ไม่โทษชะตา ทำงานหนักเพื่อทดแทน เพราะรู้ว่าบ่นไปก็ทำให้ความพิการหายไปไม่ได้

เอาพลังงานการบ่น การคร่ำครวญว่าชีวิตไม่ยุติธรรมไปเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นอย่างเป็นรูปธรรมดีกว่า

ที่น่าแปลกก็คือ ธรรมชาติมักทดแทนความไม่สมบูรณ์ให้สมดุลเสมอ เช่น คนตาบอดมักหูไวกว่าคนทั่วไป มันฝังอยู่ในสัญชาตญาณเอาตัวรอด หากคนพิการสามารถเป็นนักกีฬาโอลิมปิก นักเขียน นักดนตรีชั้นเลิศ หากความเป็นเลิศเกิดขึ้นได้ในร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ทำไมคนร่างกายครบสามสิบสองอย่างเราจะทำเช่นนั้นไม่ได้?

อุปสรรคที่แท้จริงมิได้อยู่ที่ร่างกายพิการ แต่ตรงจิตใจที่ไม่สู้

มองดูธรรมชาติ พบว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หินสวยริมหาดทราบแต่ละก้อนเกิดจากการกัดเซาะมาอย่างยาวนาน จากทรงขรุขระเป็นก้อนกลมรี

เมื่อพิการก็อย่าทำตัวให้พิการมากกว่าร่างกาย ลองมองว่า ความยากลำบากเป็นการบ่มเพาะตนเอง

เมื่อไม่พิการ ยิ่งอย่าทำตัวให้พิการทางใจ

ฮีอา ลี บอกว่า "ฉันหวังว่าจะมีคนที่ได้แรงบันดาลใจจากการเล่นเปียโนของฉันว่า ใช่ ฉันทำได้"

กำลังใจและการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงสามารถพาใครก็ตามก้าวพ้นกำแพงที่สูงที่สุดในโลก



วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com
พิมพ์ครั้งแรก : เปรียว ปักษ์แรก ตุลาคม 2548
*************************************************************************
คมคำคนคม
It's choice - not chance - that determines your destiny.
Jean Nidetch

มันคือการเลือก -ไม่ใช่โอกาส -ที่กำหนดชะตากรรมของท่าน
Jean Nidetch



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:30:59 น.
Counter : 985 Pageviews.

0 comment
ชอล์กแท่งเดียว
ชอล์กแท่งเดียว

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

ถึงคุณประภาส

ขอแสดงความชื่นชมไปยังรายการคุณพระช่วย ที่นำเรื่องไทยๆ มาเสนอ ดูครั้งใดก็รู้สึกรักและภูมิใจในความเป็นไทยทุกครั้ง แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ให้เด็กมาแสดงดนตรีแข่งขันกัน แล้วให้คณะกรรมการตัดสินว่าใครแสดงเก่งกว่าใคร เป็นส่วนของรายการที่ดิฉันรู้สึกว่าไม่แสดงออกถึงความเป็นไทย

ขออนุญาตมองต่างมุม แม้ว่าเพื่อนหลายคนของดิฉันที่ดูรายการนี้เช่นกันจะบอกว่าชอบช่วงนี้ ดิฉันมีความรู้สึกว่าดนตรีไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน ดนตรีไม่ใช่กีฬาที่จะวัดกันได้ด้วยความเร็วหรือพละกำลังว่าใครมีแรงหรือร่างกายที่เหนือกว่า ดนตรีเป็นเรื่องของความกลมกลืน อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของความเป็นไทย ดิฉันคิดว่าบรรพบุรุษของเราไม่เคยมีสังคมที่มีการแข่งขัน การแข่งขันเป็นเรื่องของชาวตะวันตกมากกว่า คนไทยอยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อและแบ่งปันมาช้านาน ดิฉันชื่นชมที่รายการนำเยาวชนมาเล่นดนตรีไทย เพราะเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนไทยสนใจดนตรีมากขึ้น แต่ให้มาแสดงร่วมกันน่าจะแสดงความเป็นไทยได้ดีกว่าให้มาแข่งขันกันเพื่อมีผู้แพ้ผู้ชนะ

กาญจนา แก้วท่อน

ต้องยอมรับว่าเป็นความเห็นแบบที่ผมไม่เคยได้ยินและไม่นึกว่าจะได้ยินมาก่อน

ฟังประโยคข้างบนแล้วอย่ามองเป็นว่าการดูแคลนหรือประชดประชันนะครับ ผมสนใจความเห็นที่คุณกาญจนาแสดงออกมาอย่างยิ่ง เพียงแต่ผมไม่เคยคิดมุมนี้มาก่อน ก็เลยแปลกใจ แต่น่าสนใจครับ

ประเด็นแรก "เรื่องสังคมไทยของบรรพบุรุษเราไม่ใช่สังคมของการแข่งขัน แต่เป็นสังคมของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากกว่า" คุณกาญจนาตั้งกระทู้ไว้อย่างนี้

จริงหรือเปล่าผมไม่ขอฟันธง ไม่ว่าจะธงคัดค้านหรือธงสนับสนุน

ถ้าจะค้านจริงๆ ผมก็คงต้องยกเรื่องราวในประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารมาเล่าถึงการแย่งชิงบัลลังก์ของกษัตริย์ในช่วงเวลาหนึ่งในสมัยอยุธยา นึกออกไหมครับราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุโขทัย ยอมกันเสียที่ไหน สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์กันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในช่วงนั้น หนังเรื่องสุริโยไทที่ท่านมุ้ยสร้าง ก็จับประเด็นการแก่งแย่งกันของญาติโกโหติกามาเป็นแก่นของหนัง

ครั้นจะบอกว่าการแข่งขันมีเฉพาะชนชั้นปกครองก็คงไม่ถูกนัก เพราะระดับไพร่พลก็ต้องมีคัดตัวเพื่อมารับใช้เจ้านาย มีการเฟ้นหาหัวหมู่ นายกอง จนมาถึงระดับแม่ทัพ

ที่ใดก็ตามที่มีการคัดเลือก ที่นั่นย่อมมีการแข่งขัน

ชาร์ลส์ ดาร์วิน เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการ ก็มองเห็นว่าการแข่งขันคือการคัดเลือก และการคัดเลือกก็คือการอยู่รอด

ที่ผมบอกว่าจะไม่ฟันธงค้านคุณกาญจนาทั้งหมดก็เพราะประโยคที่คุณกาญจนาบอกว่า สังคมไทยเป็นสังคมเอื้อเฟื้อ อันนี้ผมเห็นด้วยยิ่งกว่าเห็นด้วย น้ำปลา มะนาว กระเทียม ใครมีใครขาดเราก็แบ่งกันมาแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด คนไทยหวงที่ไหนเรื่องกินเรื่องอยู่

แต่ผมว่าการเอื้อเฟื้อมันเป็นคนละเรื่องกันกับการแข่งขัน นอกจากนั้น มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันด้วย ที่สำคัญมันสามารถอยู่ร่วมกันได้

เด็กชายบีกำลังจะเข้าห้องสอบเพื่อคัดเลือก ดันลืมเอาดินสอมา เด็กชายซีเอาดินสอมาจากบ้านหลายแท่ง ก็เลยแบ่งให้เด็กชายบีไปหนึ่งแท่ง

ธงชัยกำลังจะเดินทางไปแข่งกอล์ฟเพื่อเทิร์นโปร ซึ่งปีนี้รับจำนวนน้อย ระหว่างออกรถก็มองเห็นถาวรเพื่อนนักกอล์ฟที่กำลังจะไปเทิร์นโปรเช่นกันยืนโบกรถแท็กซี่อยู่ ธงชัยจึงแวะรับถาวรเดินทางไปด้วยกัน

วงดนตรีโมเดิร์นดิ๊กชนะประกวดวงดนตรีร็อคให้สัมภาษณ์ว่า นี่ถ้าวงนาโนไม่ให้ยืมสายเสียบแอมป์กีตาร์ วงเขาก็คงไม่ได้ประกวด

ฯลฯ

การแข่งขันมันเป็นเรื่องของเกณฑ์ของกติกา แต่ความอารีนี่มันเป็นเรื่องของใจ ไม่มีเกณฑ์ใดๆ มาบังคับ แล้วคนไทยก็เป็นอย่างที่คุณกาญจนาว่า คือเราโอบอ้อมอารีกันมาช้านาน

แต่ขอเติมอีกประโยคด้วยว่า หากต้องแข่งเราก็แข่งเต็มที่

ส่วนเรื่องที่คุณกาญจนาท้วงว่า ดนตรีไม่น่าจะต้องมาแข่งกัน น่าจะร่วมมือกัน อันนี้ผมก็คงต้องใช้ประโยคเดียวกันว่า "การแข่งขันและการร่วมมือมันอยู่ด้วยกันได้"

สังเกตดีๆ สิครับ ในช่วงคุณพระประชัน ที่เด็กๆ ลูกหลานไทยมาประชันดนตรีกันนั้น หลายครั้งเขาต้องร่วมเล่นเพลงเดียวกันในเวลาเดียวกัน เล่นพร้อมกันบ้าง ผลัดกันเล่นบ้าง โยนไปมาหยอกล้อบ้าง นี่แหละครับที่ผมว่าคือการร่วมมือ

เพลงแต่ละเพลงมันมีชีพจรของมันอยู่ ใครขืนไม่ร่วมมือ เล่นนอกชีพจร เพลงก็พัง ให้กรรมการฟังเขาก็ฟังออกว่าใครทำพัง

ถ้าคุณกาญจนาได้ดูหนังเรื่องโหมโรงของคุณอิทธิสุนทร ก็คงจะนึกออกว่า ทั้งศรและขุนอินต้องเล่นเพลงต่อเนื่องกัน

นั่นคือต้องทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน คือ ทั้งร่วมมือ ทั้งแข่งขัน

ผมเคยไปดูการบันทึกเทปรายการคุณพระช่วยอยู่บ้าง นอกจากฉากที่สวยแบบขลังๆ แล้ว ผมยังชอบบรรยากาศอยู่สองอย่างในช่วงคุณพระประชันนี้ อย่างแรกเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผมเห็นเด็กที่มาประชันมักแสดงฝีมือได้ดีกว่าตอนซ้อม เป็นไปได้ไหมครับที่การแข่งขันเกิดส่งผลอะไรสักอย่างกับความสามารถของเขา เหมือนกับว่ามันได้รีดเอาความสามารถสุดยอดออกมาจนหมดเมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่ง

โอลิมปิคก็เคยรีดความสามารถสุดยอดของสาวไทยคนหนึ่งในการยกน้ำหนักจนโลกทึ่งมาแล้ว

แม้จะมีผู้แพ้ผู้ชนะ มีน้ำตามีรอยยิ้ม และมีความกดดัน แต่การแข่งขันก็มักสร้างสิ่งที่นึกไม่ถึงให้กับมวลมนุษย์มาตลอด ผมคิดอย่างนั้นนะครับ

ถ้าไม่มีการประชัน ศรจะค้นพบทางระนาดของตัวเองไหม

ถ้าไม่มีพีจีเอทัวร์ เราจะได้เห็นยอดมนุษย์อย่างไทเกอร์ วู้ดส์ ไหม

เปเล่ ซีดาน มาราโดน่า คันโตน่า จะแสดงความสามารถสุดยอดออกมาไหม

ฯลฯ

บรรยากาศอีกอันที่ผมชอบในช่วงคุณพระประชันก็คือ ช่วงที่ครูบาอาจารย์ที่มาเป็นกรรมการนั่งฟังเด็กๆ ที่มาประชันอย่างใจจดใจจ่อ แล้วก็จับชอล์กขึ้นเขียนคำติติงหรือคำชมเชยบนกระดานดำ เพื่อที่จะได้บอกกล่าวแก่เด็กๆ หลังจากจบการประชัน ผมนั่งดูอยู่ในโรงถ่ายตอนบันทึกเทปทีไร ผมก็แอบมองภาพนั้นด้วยความชื่นใจทุกครั้ง

รอยชอล์กที่อยู่บนกระดาน คือสัญลักษณ์แห่งความโอบอ้อมอารีของคนเป็นครูอย่างแท้จริง

พูดถึงชอล์ก มีเรื่องราวของชอล์กแท่งหนึ่งจะเล่าให้ฟังครับ

ปี พ.ศ.2455 ชาร์ลส์ ชวาป ได้เข้ามาบริหารบริษัทผลิตเหล็กกล้าคาร์เนกี้ในอเมริกา ในขณะที่บริษัทอยู่ในสภาพย่ำแย่ การผลิตตกต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะปริมาณการหลอมเหล็กกล้าที่ได้น้อยลงจนไม่ได้ดุลกับค่าใช้จ่าย ฐานะของบริษัทจึงเริ่มง่อนแง่น

เย็นวันหนึ่ง ชวาปเดินเข้าไปในโรงงานเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าคนงานถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

"ผมพูดไปไม่รู้กี่ครั้ง คนงานใช้แรงงานก็อย่างนี้แหละครับ เรื่อยๆ เอื่อยๆ คิดไม่เป็น ถึงขั้นด่าพ่อด่าแม่ผมก็ทำมาแล้ว ก็ไม่เห็นพวกเขาจะขยันขึ้นเลย" หัวหน้าคนงานตอบชวาป

ในตอนนั้นเป็นเวลาที่คนงานกะกลางวันกำลังจะเลิกงาน และคนงานกะกลางคืนกำลังจะเข้าเวรแทน ชวาปเอ่ยปากขอชอล์กแท่งหนึ่งจากหัวหน้าคนงาน "วันนี้พวกคุณหลอมเหล็กได้เท่าไร"

"6 ตัน" หัวหน้าคนงานตอบ

ชวาปเอาชอล์กเขียนตัวเลข 6 ขนาดใหญ่ลงไปที่พื้น แล้วเดินกลับไป

ขณะที่หัวหน้าคนงานกำลังยืนงงอยู่ คนงานกะกลางคืนก็เริ่มทยอยกันมาเข้าเวร หลายคนสงสัยในเลข 6 ที่อยู่บนพื้น "มันคืออะไร"

"คุณชวาปเข้ามาถามว่าวันนี้หลอมเหล็กได้กี่ตัน อั๊วก็บอกไปว่า 6 ตัน คุณชวาปแกก็เลยเขียนเลข 6 ไว้ตรงนี้" หัวหน้าคนงานตอบพลางเกาหัวด้วยความงง

วันรุ่งขึ้นชวาปกลับไปที่โรงงาน เขาพบว่าเลข 6 ที่เขาเขียนไว้ที่พื้นได้ถูกคนงานกะกลางคืนลบออกไป และพวกเขาก็เขียนเลข 7 ลงแทนที่

เมื่อคนงานกะกลางวันเดินทางมาเข้าเวร และเห็นเลข 7 อยู่บนพื้น พวกเขาก็รู้แล้วว่าคนงานกะกลางคืนหลอมเหล็กได้มากกว่าพวกเขา เย็นวันนั้น เลข 8 ก็ถูกเขียนทับเลข 7 ที่ถูกลบไปอีก

ไม่ถึงเดือน โรงงานเหล็กกล้าคาร์เนกี้ก็สามารถหลอมเหล็กได้วันละถึง 20 ตัน และเพียงผ่านไปไม่ถึงปี บริษัทก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจเหล็กกล้าของอเมริกา เงินเดือนและสวัสดิการของคนงานดีขึ้นจนบริษัทอื่นต้องอิจฉา

ชอล์กแท่งเดียวแท้ๆ



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:30:14 น.
Counter : 744 Pageviews.

0 comment
ชีวิต และ ความตาย
ชีวิต และ ความตาย

มงกุฏประดับเพชรก็มีค่า เท่ากับ หมวกฟาง
พระคทาอันลวดลายวิจิตร
ก็เป็นเสมือน ท่อนไม้ที่ไร้ค่า


......เมื่อความตาย มา ถึง ........
พระราชา ก็ ต้อง ถอด มงกุฏเพชร วางลง
ทิ้ง คทา ไว้

แล้ว เดินเคียงคู่ ไปกับ ชวานา หรือขอทาน
ผู้ทิ้งจอบเสียม หมวกฟาง และ คันไถ


.... " ใครเล่าจะต่อกร กับ พญามัจจุราชได้ "........


จาก หนังสือ ชื่อ " ชีวิต และ ความตาย "

วศิน อินทสระ เขียน
สำนักพิมพ์ ธรรมดา
ราคา เล่มละ 15 บาท



Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 0:29:28 น.
Counter : 748 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend