มูลเหตุจูงใจของการถูกข่มขืนจากนักโทษคุกบางขวางและลาดยาว
มูลเหตุจูงใจของการถูกข่มขืนจากนักโทษคุกบางขวางและลาดยาว
บทคัดย่องานวิจัย ปัจจัยแรกหรือมูลเหตุจูงใจให้ตัดสินใจข่มขืน

** มีข้อแนะนำที่ดีอยู่ด้านล่างสุด

บทคัดย่องานวิจัย ปัจจัยแรกหรือมูลเหตุจูงใจให้ตัดสินใจข่มขืน โดยนางสาวอลิสา แสงขำ นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาลตร์ (อาชญวิทยา)ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจาก คุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน

- 90% เลือกผู้หญิงผมยาว คือหางเปีย หางม้า ปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย

- 87.5 เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย (แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนาน
เขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกรหรือคัตเตอร์)

- 84 % เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย
(มือถือสามารถนำไปขายต่อได้) หรืออ่านการ์ตูน หรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว

- 95.90% เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกตอนกลางคืน โดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ (มีนักโทษบางขวางคนหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า หากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้ว เขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วัว ควาย)

- 99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว (มีนักโทษบางขวางคนหนึ่ง ทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์ รับผู้หญิงคนที่ถูกใจจากกลุ่มเพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน)

- 80%สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรก
โดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิด เช่น เข็มขัด ลูกกุญแจ
กระจกส่องหน้า(ต้องทุบให้แตกเป็นแหลมคมก่อน)

- 70% เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้น ๆ กับเขาก่อนขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่น โทษค่ะ กี่โมงแล้ว

** หากใครมีเพื่อนผู้หญิงโปรดแจ้งข้อมูลนี้
เผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

จากคุณ : Esprite



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 23:10:10 น.
Counter : 742 Pageviews.

0 comment
To Kill a Mockingbird
To Kill a Mockingbird
จิตวิทยา : To Kill a Mockingbird
สารคดี ฉบับล่าสุด
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

หนังสือ To Kill a Mockingbird เขียนโดยนักเขียนสตรี ฮาร์เปอร์ ลี (Harper Lee) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ๑๙๖๐ และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี ๑๙๖๑ สร้างเป็นหนังขาวดำในปี ๑๙๖๒ ซึ่งนอกจากจะได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมและกำกับศิลป์ (ขาว-ดำ) ยอดเยี่ยมแล้ว ยังทำให้ เกรเกอรี เป็ก ได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายด้วย หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหนังยอดเยี่ยมประจำปี แต่ปีนั้นรางวัลตกเป็นของ Lawrence of Arabia
เกรเกอรี เป็ก รับบท แอตติคัส ฟินช์ ทนายความในรัฐแอละแบมาที่รับว่าความให้หนุ่มผิวดำที่ตกเป็นจำเลยในข้อหาข่มขืนหญิงสาวผิวขาว เขาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความรับผิดชอบและเที่ยงธรรม แต่กลับถูกเหยียดหยามและดูหมิ่นจากคนในชุมชน

เนื้อหาสำคัญของเรื่องมิได้อยู่ที่การพิจารณาคดี แต่อยู่ที่ แอตติคัส ฟินช์ ในฐานะพ่อม่าย จะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ให้แก่ลูก ๒ คน คือ เจม อายุ ๑๓ ปี และ สเกาท์ อายุ ๙ ปี อย่างไร
กลับมาที่หนังสือ To Kill a Mockingbird ฮาร์เปอร์ ลี เขียนเรื่องนี้ในลักษณะที่เป็นเรื่องเล่าของ สเกาท์ ฟินช์ ลูกสาวของแอตติคัส หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลมากกว่า ๔๐ ภาษา บ้านเรามีฉบับแปลที่ใช้ชื่อว่า ผู้บริสุทธิ์ แปลโดย ศาสนิก พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เรจีนา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ข้อความที่ยกมาอ้างอิงในบทความนี้นำมาจากฉบับแปลของศาสนิก

สำหรับผมแล้ว แอตติคัส ฟินช์ เป็นพ่อตัวอย่างในแง่ที่ว่าเขาเลี้ยงลูกด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก เขาไม่มีเวลาให้ลูกเท่าไรนักก็จริง แต่นั่นเป็นเวลาในอดีตที่โลกยังไม่มีเกมคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และมือถือ ไม่มีความชั่วร้ายรายล้อมอยู่รอบบ้านหรือในคอมพิวเตอร์กลางบ้าน ดังนั้น ลำพังแค่ท่าทีที่สงบและมั่นคงของผู้เป็นพ่อก็เพียงพอที่ลูกๆ จะยึดเป็นเสาหลักในการเจริญเติบโตต่อไป
นอกเหนือจากท่าทีที่สงบและมั่นคงแล้ว แอตติคัส ฟินช์ ยังมีความขยันหมั่นเพียรเป็นแบบอย่าง ทั้งในด้านการทำงานและการใฝ่หาความรู้

มิสคาโรไลน์บอกฉันให้ไปบอกพ่อว่าอย่าสอนหนังสือฉันอีก เพราะมันจะรบกวนการอ่านของฉัน
“สอนหนูหรือคะ” ฉันเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “มิสคาโรไลน์คะ พ่อไม่ได้สอนหนังสือหนูเลย แอตติคัสไม่มีเวลาที่จะมาสอนหนังสือหนูหรอกค่ะ” ฉันเสริมเมื่อเห็นมิสคาโรไลน์ยิ้มและส่ายหัว “ทำไมล่ะคะ ก็ตอนกลางคืนน่ะพ่อเหนื่อยมากเลย พ่อก็เลยเพียงแต่นั่งในห้องนั่งเล่นแล้วก็อ่านหนังสือ” (หน้า ๒๓-๒๔)

กฎข้อแรกของการเป็นพ่อแม่คนคืออยู่บ้าน ปริมาณของเวลาที่พ่อแม่อยู่บ้านจะมีความสำคัญเท่ากับหรือมากกว่าคุณภาพ
มีเวลาน้อยให้ลูก แต่มีคุณภาพนั้น ไม่จริง และใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้

แอตติคัสไม่มีเวลาให้แก่ลูก ๒ คนมากนัก วันๆ เขาทำแต่งาน ขณะที่วันๆ พวกเด็กๆ ก็เอาแต่เล่น ข้อดีคือเด็กๆ ได้เล่นในสนาม ไม่ได้หมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ในบ้านแบบเด็กยุคนี้ การเล่นในสนามและการผจญภัยในละแวกบ้านช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้แก่เด็กๆ โดยที่คนเป็นพ่อแม่ไม่ต้องทำอะไรมากนัก พ่อแม่มีหน้าที่เป็นเสาหลักแล้วให้เสรีภาพแก่ลูก ซึ่งสำหรับแอตติคัสแล้ว เขาเป็นพ่อที่ให้เสรีภาพแก่ลูกมากทีเดียว

“...เมื่อเวลาเด็กถามอะไรนายล่ะก็จงตอบแกซะ อย่าไปคิดมากว่าตอบไปแล้วจะมีผลอะไรตามมา เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ แต่แกจะสามารถจับการเลี่ยงคำตอบได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ และการเลี่ยงคำตอบนั่นแหละที่จะทำให้แกงงจริงๆ ไม่ใช่ซิ” พ่อของฉันไตร่ตรอง “เมื่อบ่ายนี้นายมีคำตอบที่ถูกต้องแต่ใช้ด้วยเหตุผลที่ผิด การใช้ภาษาเลวๆ หยาบคายน่ะ เป็นขั้นตอนที่เด็กๆ ทุกคนจะผ่านพ้นไปและภาษานี้ก็จะตายไปกับกาลเวลา...” (หน้า ๑๓๖)

อย่างไรก็ตามเสรีภาพต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แอตติคัสมีข้อห้ามที่ชัดเจนให้แก่ลูก เช่น ห้ามชกต่อยกับเพื่อน ห้ามเสียมารยาทกับครู ห้ามเสียมารยาทกับผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เมื่อเจมและสเกาท์ละเมิดกฎพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาก็ถูกทำโทษอย่างจริงจังทุกครั้งไป โดยเฉพาะเรื่องห้ามเสียมารยาทกับครูนั้นควรเป็นกฎพื้นฐานสำหรับเด็กๆ ไม่ว่ายุคสมัยใด เป็นความจริงที่คุณครูอาจจะไร้เหตุผลในบางเวลาหรือทุกเวลา แต่วัยเรียนเป็นวัยที่เด็กต้องเรียนรู้ขอบเขต รู้จักอดทนและอดกลั้น มิใช่มีเสรีภาพมากเสียจนพัฒนาการทางจริยธรรมเสียหาย

ยกตัวอย่างเรื่องการตัดผม คุณครูจำนวนมากในประเทศของเราเอาจริงเอาจังกับการตัดผมเด็กนักเรียนให้สั้นเกรียน มิเช่นนั้นจะมิให้เข้าห้องสอบ แม้ว่าความจริงกฎข้อนี้ที่โรงเรียนจำนวนมากใช้อยู่จะดูไร้เหตุผลและชวนให้นักเรียนคิดว่าโรงเรียนในประเทศเราช่างล้าหลังทางปัญญาเสียจริง แต่พ่อแม่มีหน้าที่สอนให้ลูกอดทนอดกลั้นและทำตามกฎ เพื่อให้พัฒนาการทางจริยธรรมดำเนินไปได้ มิใช่สอนให้ลูกแหกกฎหรือสนับสนุนให้ลูกไว้ผมยาวโดยเสี่ยงต่อการถูกห้ามเข้าห้องสอบ อันจะทำให้ลูกเคยชินกับการใช้พฤติกรรมเสี่ยงในเรื่องอื่นๆ ในภายภาคหน้า และไร้ความสามารถในการชั่งน้ำหนักความสำคัญของเรื่องราวต่างๆ รอบตัว เช่น การตัดผมสั้นกับการเข้าห้องสอบ เรื่องใดมีความสำคัญมากกว่ากัน


สำหรับแอตติคัส เขาได้แสดงให้ลูกเห็นว่าความอดกลั้นคืออะไร และมีคุณค่ามากเพียงใด โจทย์ที่เขาสอนลูกยากกว่าโจทย์เรื่องการตัดผมสั้นในโรงเรียนของประเทศเราสมัยนี้มากนัก ในตอนท้ายๆ ของเรื่อง แอตติคัสถูกถ่มน้ำลายใส่ต่อหน้าลูกๆ ของเขา

“เจม ลองคิดดูนะว่า ถ้าลูกตกอยู่ในฐานะเดียวกับมิสเตอร์เอเวลล์แล้วก็ถูกพ่อทำลายเรื่องน่าเชื่อที่เขาแต่งขึ้นมาจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในการพิจารณาคดีครั้งนั้น เขาก็ต้องหาทางสร้างชื่อเสียงขึ้นมาใหม่ เขาเป็นคนแบบนั้นเสมอล่ะ เพราะงั้นถ้าการที่เขาถ่มน้ำลายใส่หน้าพ่อแล้วช่วย มาเยลลา เอเวลล์ ให้พ้นจากการทุบตีอย่างโหดร้ายได้ล่ะก็ พ่อก็ยินดีที่จะรับเอาไว้ เขาต้องหาทางระบายออกใส่ใครสักคน และพ่อก็อยากให้เป็นพ่อมากกว่าเด็กๆ พวกนั้น ลูกของเขาน่ะ ลูกเข้าใจมั้ย” (หน้า ๓๔๐)

การละเล่นในละแวกบ้านกระตุ้นพัฒนาการของเด็กๆ ได้ดีกว่าปล่อยให้เด็กหมกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่มันก็มีอันตราย แอตติคัสจึงมีหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ลูกๆ ทั้งจากหมาบ้าและชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับงานที่เขาทำ อย่างไรก็ตามการเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ในบ้านอย่างทุกวันนี้ก็มิใช่ว่าจะปลอดภัยจากคนแปลกหน้าเท่าใดนัก ที่น่าห่วงคือพ่อแม่สมัยนี้ป้องกันอันตรายให้แก่ลูกได้ยากกว่าด้วย
เป็นเสาหลัก ให้เสรีภาพ ป้องกันอันตราย และช่วยพัฒนาจริยธรรม จึงเป็นหน้าที่ ๔ ประการของการเป็นพ่อแม่ พัฒนาการทางจริยธรรมอาจจะเป็นกฎพื้นฐานง่ายๆ ดังข้อห้ามของแอตติคัส เป็นข้อควรกระทำดังความอดกลั้นที่แอตติคัสสาธิตให้ลูกเห็น หรือเป็นอุดมคติดังงานแก้ต่างให้แก่คนผิวดำที่แอตติคัสทำ

“พ่อหมายความว่าถ้าพ่อไม่ช่วยว่าความให้ผู้ชายคนนั้น เจมกับหนูก็จะไม่ต้องมาฟังอะไรพ่อต่อไปอีกรึคะ”
“ใช่จ้ะ” (หน้า ๑๑๘)

“เอ้อ คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาถูกและพ่อผิด...
“แน่นอน พวกเขามีสิทธิ์จะคิดอย่างนั้น และมีสิทธิ์ที่จะให้ความเชื่อถือกับความคิดของพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม” แอตติคัสบอก “แต่ก่อนที่พ่อจะอยู่รวมกับคนอื่นได้ พ่อต้องอยู่รวมกับตัวเองได้ก่อน สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องอิงอยู่กับกฎคนส่วนใหญ่ คือหิริโอตตัปปะของคนเรานะลูก” (หน้า ๑๖๔)

การเติบโตของเด็กในชนบทแต่ก่อนเรียบง่าย วันๆ ก็โตขึ้นได้เรื่อยๆ โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เพียงไม่กี่เรื่อง นานๆ ครั้งที่แอตติคัสจะต้องลงไม้ลงมือด้วยตนเอง หรือสั่งสอนอะไรจริงๆ จังๆ

“ข่มขืนคืออะไรคะ” ฉันถามเขาในคืนนั้น
...เขาถอนใจแล้วบอกว่า การข่มขืนคือการให้ความรู้ทางกามารมณ์แก่ผู้หญิงโดยการใช้กำลังบังคับและปราศจากการยินยอม (หน้า ๒๐๘-๒๐๙)
ต้นฉบับเขียนว่า “He sighed, and said rape was carnal knowledge of a female by force and without consent.”


วันหนึ่งแอตติคัสบอกกับเจมว่า “พ่ออยากให้ลูกยิงกระป๋องเปล่าที่ลานหลังบ้านมากกว่า แต่พ่อรู้ว่าในไม่ช้าลูกก็ต้องเปลี่ยนมาล่านกแทน แล้วก็จะยิงนกบลูเจย์ทั้งหมดเลยถ้าลูกทำได้ แต่จำไว้นะมันบาปมากที่จะฆ่านกมอคคิ่งเบิร์ดซักตัว”

นั่นเป็นครั้งเดียวจริงๆ ที่ฉันเคยได้ยินแอตติคัสพูดถึงเรื่องบาปในการทำเรื่องราวอะไร... (หน้า ๑๔๐)
ต้นฉบับเขียนว่า “Shoot all the bluejays you want, if you can hit 'em, but remember it’ s a sin to kill a mockingbird.”

การเลี้ยงลูกที่แท้มิใช่แค่การอบรมสั่งสอน แต่คือการทำความดีให้ลูกดูครับ

//www.sarakadee.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=452



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 23:09:25 น.
Counter : 980 Pageviews.

0 comment
คำขอที่ยิ่งใหญ่
คำขอที่ยิ่งใหญ่
คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย พระไพศาล วิสาโล แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) NewConsciousness@thainhf.org

การอยู่ร่วมกันอย่างสันติเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความอยู่รอด ไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้นที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายชนิดที่อยู่กันเป็นฝูงก็ "รู้" เช่นกัน สัตว์เหล่านี้รู้ดีว่ามันไม่อาจอยู่ได้ด้วยลำพังตนเอง แต่ต้องพึ่งพาอาศัยตัวอื่นด้วย ความสมัครสมานสามัคคีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ในการอยู่ร่วมกันนั้น การกระทบกระทั่งหรือความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ในกรณีเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร?

สัตว์หลายชนิดเลือกใช้วิธี "คืนดี" กัน เมื่อแพะทะเลาะกันเรื่องอาหาร ไม่นานมันจะกลับมาแสดงความเป็นมิตรต่อกัน เช่น เลียขนหรือเอาจมูกไซ้ลำตัวของปรปักษ์ที่เพิ่งปะทะกัน ปลาโลมาก็เช่นกัน หลังจากต่อสู้กันแล้ว มันจะเอาตัวมาสีกันเบาๆ หรือไม่ก็เอาปากดุนหลังของอีกตัว แม้แต่หมาป่าไฮยีน่าซึ่งขึ้นชื่อว่าดุร้ายและเจ้าอารมณ์ ก็ยังหันหน้าเข้าหากันหลังจากทะเลาะกันอย่างดุเดือด มีการเลียตัวหรือถูสีข้างกัน ยิ่งญาติที่สนิทกับมนุษย์ด้วยแล้ว ไม่ว่าชิมแปนซี กอริลลา หรือโบโนโบ ล้วนเป็นนักคืนดีที่มีลูกเล่นพราวแพรว ไม่ใช่แค่หาเหาหรือเกาหลังให้เท่านั้น หากยังยอมให้ขึ้นคร่อม อย่างหลังนี้เป็นลักษณะเด่นของโบโนโบเลยทีเดียว

น่าสังเกตว่าในการคืนดีกันนั้น สัตว์ตัวที่อ่อนแอหรือพ่ายแพ้ในการต่อสู้จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหาก่อน (ยกเว้นโบโนโบ ซึ่งตัวที่ชนะจะเป็นฝ่ายริเริ่มก่อน) มองจากสายตาของมนุษย์ นี้เป็นเรื่องของกฎป่าที่ถือว่าอำนาจเป็นใหญ่ ดังนั้นตัวที่อ่อนแอก็ต้องสยบยอมตัวที่แข็งแรง แต่มองในอีกแง่หนึ่ง จะสังเกตว่าสัตว์เหล่านี้ไม่เคยเถียงกันว่า ใครผิด ใครถูก แน่ละมันคงไม่มีปัญญาพอที่จะตั้งมาตรฐานถูก-ผิดอย่างมนุษย์ แต่อย่างน้อยมันก็รู้ว่าการเป็นศัตรูกันนั้นไม่มีผลดีทั้งต่อตัวมันเองและต่อทั้งฝูง มันอาจโง่ในหลายเรื่อง แต่มัน "ฉลาด" พอที่จะรู้ว่าเป็นมิตรกันนั้นดีกว่าเป็นศัตรูกัน จะโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการส่งผ่านทางพันธุกรรมก็แล้วแต่ การคืนดีจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของสัตว์เหล่านี้

ในฐานะที่เป็นสัตว์ชั้นสูง มนุษย์ก็มีสัญชาตญาณคืนดีเช่นเดียวกัน ถึงแม้เราจะเลิกเลียตัวหรือหาเหาให้กันมานานแล้ว แต่เรามีวิธีหลากหลายมากในการคืนดีและผูกไมตรีกัน การให้ของขวัญเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่วิธีหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับมนุษย์เราก็คือ การขอโทษ

การขอโทษเป็นสิ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของมนุษย์ จากการอาศัยพละกำลังเป็นเครื่องตัดสิน (might is right) มาเป็นการตัดสินโดยอาศัยความถูกต้องเป็นใหญ่ (right is might) กล่าวอีกนัยหนึ่งการขอโทษได้ช่วยให้การคืนดีพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง แทนที่การริเริ่มคืนดีจะเป็นหน้าที่ของผู้อ่อนแอ ก็กลายเป็นภาระของผู้ที่ทำผิดพลาด แม้ว่าผู้นั้นจะมีอำนาจหรือพละกำลังเหนือกว่าก็ตาม

การขอโทษมิใช่เครื่องหมายแสดงความอ่อนแอ มีแต่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้นที่ตัวอ่อนแอเป็นฝ่ายคืนดีก่อน แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้วผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหากคือผู้ที่เข้มแข็งกว่า เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด เข้มแข็งเพราะเขากล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตาที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น

การขอโทษเป็นเครื่องแสดงถึงความมีอารยะของบุคคลผู้กระทำการดังกล่าว เพราะแสดงให้เห็นถึงความรู้ผิดรู้ชอบในมโนธรรมสำนึกของเขา เป็นมโนธรรมสำนึกที่บอกเขาว่าความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอำนาจ เยอรมนีเป็นประเทศที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าโปแลนด์ แต่เมื่อนายวิลลี่ บรันดต์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์วีรชนโปแลนด์ที่กรุงวอร์ซอเมื่อ 35 ปีก่อน เพื่อแสดงการขอโทษแทนชาวเยอรมันที่ก่อกรรมทำเข็ญแก่ชาวโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามิได้ทำให้เยอรมนีตกต่ำหรืออ่อนแอลงเลย ตรงกันข้ามเยอรมนีกลับมีเกียรติภูมิสูงส่งขึ้นในสายตาของชาวโลก เป็นเกียรติภูมิที่ไม่อาจสร้างขึ้นได้ด้วยแสนยานุภาพทางทหารหรือความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

การขอโทษ แม้จะกล่าวด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำว่า "ผม (ฉัน) ขอโทษ" แต่ก็มีพลังพอที่จะสมานไมตรีที่ขาดสะบั้นให้กลับมั่นคงดังเดิมได้ในชั่วพริบตา คำขอโทษเปรียบเสมือนน้ำเย็นที่ดับเพลิงแห่งโทสะ เป็นดังมนต์วิเศษที่สยบความโกรธ และทำลายความพยาบาทในปลาสนาการไป

เด็กคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด หนึ่งในคณะศัลยแพทย์เสียใจมากที่เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อออกจากห้องผ่าตัด เขาเดินไปหาแม่เด็กและกล่าวคำขอโทษ ในเวลาต่อมาแม่ของเด็กได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากหมอ ปรากฏว่าศัลยแพทย์ถูกฟ้องทุกคนยกเว้นหมอผู้นั้นผู้เดียว ทนายความของคณะศัลยแพทย์เกิดความฉงนสงสัย แต่หมอผู้นั้นก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทนายความจึงถามแม่ของเด็กระหว่างการซักพยานว่าทำไมถึงไม่ฟ้องหมอผู้นั้นด้วย คำตอบของเธอก็คือ "เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ใส่ใจ"

มีคำไม่กี่คำที่สามารถเยียวยาจิตใจของผู้สูญเสียและเจ็บปวดได้ หนึ่งในนั้นคือคำขอโทษ แต่ทุกวันนี้คำขอโทษกลับเป็นคำที่ผู้คนเปล่งออกมาได้ยากที่สุด คนจำนวนไม่น้อยกลัวว่าการขอโทษเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของตน และเปิดช่องให้ผู้อื่นเล่นงานตนได้ หากหมอขอโทษก็แสดงว่ายอมรับผิด เท่ากับเปิดช่องให้ผู้เสียหายทำการฟ้องร้องได้ ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ แต่ใช่หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น เพราะยั่วยุให้อีกฝ่ายทำการตอบโต้หรือกดดันด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้น จนอาจลงเอยด้วยความเสียหายของทั้งสองฝ่าย

ทุกวันนี้เราใช้ "หัว" กันมากเกินไป จึงนึกถึงแต่ผลได้กับผลเสีย เราใช้ "ใจ" กันน้อยลง จึงไม่รู้สึกถึงความทุกข์ของผู้ที่เจ็บปวดจากการกระทำของเรา ยิ่งไปกว่านั้นนับวันเราจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกันน้อยลงทุกที การคิดคำนวณถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นทำให้เราปิดใจไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ และเฉยชาต่อเสียงร้องของมโนธรรมสำนึกภายใน แต่เราจะรู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้จิตใจของเราแข็งกระด้าง และลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราให้เหลือน้อยลง

การขอโทษอาจทำให้เรารู้สึกเสียหน้า แต่แท้จริงแล้วตัวที่เสียหน้านั้นคือกิเลสมารต่างหาก เมื่อเราขอโทษ สิ่งที่จะเสียไปคืออหังการของอัตตา แต่สิ่งที่เราจะได้มานั้นมีคุณค่ามหาศาล นอกจากมิตรภาพแล้ว เรายังฟื้นความเป็นมนุษย์และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กลับคืนมา

อย่าโยนหน้าที่ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินความถูก-ผิด ไม่ว่าจะทำอะไรไปก็ตาม ควรให้มโนธรรมสำนึกในใจของเราเป็นเครื่องตัดสิน เมื่อผิดควรยอมรับด้วยตนเองว่าทำผิด ไม่ใช่ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน เพราะหากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลหรือใครก็ตาม ไม่ช้าไม่นานสำนึกในความผิดชอบชั่วดีของเราก็จะปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นเราจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ

อันที่จริงการขอโทษไม่จำเป็นต้องหมายถึงการยอมรับผิดเสมอไป เมื่อดารายอดนิยมเกิดตั้งครรภ์ก่อนแต่ง แม้เธอจะไม่เห็นว่านั่นเป็นความผิด แต่ก็สมควรที่เธอจะเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้แฟนๆ เจ็บปวดหรือผิดหวังในตัวเธอ คำขอโทษไม่ได้เกิดจากสำนึกในความผิดพลาดเท่านั้น หากยังเกิดจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเขา และพร้อมรับผิดชอบในความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะเรา

การขอโทษไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงแต่เปิดใจรับรู้ความทุกข์ของผู้อื่น เมื่อนั้นความเห็นอกเห็นใจก็จะตามมา จิตใจของเราจะอ่อนโยนและพร้อมที่จะช่วยปลดเปลื้องเขาให้พ้นจากทุกข์ ถึงตอนนั้นคำขอโทษจะออกมาเองโดยแทบไม่ต้องพยายาม ด้วยการขอโทษ เราไม่เพียงลดทอนความเจ็บปวดของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยปลดเปลื้องทั้งเราและเขาให้พ้นจากวังวนแห่งความขัดแย้งและการเป็นปฏิปักษ์กัน

มนุษย์เรายากที่จะหลีกเลี่ยงการทำร้ายกันได้ จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม การรู้จักขอโทษช่วยให้เราคืนดีและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ บ้านเมืองจะมีความสุขมากกว่านี้หากผู้มีอำนาจรู้จักขอโทษผู้ด้อยอำนาจ พ่อแม่รู้จักขอโทษลูก เจ้านายรู้จักขอโทษลูกน้อง เจ้าอาวาสรู้จักขอโทษลูกวัด หมอรู้จักขอโทษคนไข้ และนายกรัฐมนตรีรู้จักขอโทษประชาชนกัน

การขอโทษเป็นวิธีสร้างสันติที่สิ้นเปลืองน้อยที่สุด เพราะอาศัยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ เป็นเพราะเราไม่รู้จักขอโทษกัน จะเพราะกลัวเสียหน้าหรือเพราะอหังการก็ตาม เราจึงสูญเสียกันอย่างมากมาย ยิ่งใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งโดยวาจาและการกระทำด้วยแล้ว ความสูญเสียก็ยิ่งทวีคูณ

ไม่มีการขออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการขอโทษ เพราะเป็นการขอที่ไม่ได้ออกมาจากจิตที่เห็นแก่ตัว แต่มาจากจิตที่มีมโนธรรมสำนึก รู้สึกรู้สากับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ และอ่อนน้อมถ่อมตน ไร้อหังการ เป็นการขอที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสูญเสียเลยแม้แต่น้อย

คำขอโทษเป็นประดิษฐกรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ไม่ใช่เพราะมันทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เท่านั้น หากยังเพราะช่วยให้มนุษย์คืนดีและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่ใช้ความฉลาดที่ได้มาเพื่อการทำลายล้างกันเท่านั้น

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02070149&show=1§ionid=0130&day=2006/01/07



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 23:08:50 น.
Counter : 701 Pageviews.

0 comment
เสียงที่ไม่มีวันจางหายไปจากโลก
เสียงที่ไม่มีวันจางหายไปจากโลก
ปลายฤดูใบไม้ผลิปี 1939 เด็กชายอาร์โนอายุครบหกขวบ แม่ส่งเขากับน้องชายวัยห้าขวบขึ้นรถไฟสาย Kindertransport* ไปอังกฤษ ข้างกระเป๋าเดินทางเขียนชื่อย่อของเขาและน้อง ลูกอมหนึ่งถุง แม่ติดป้ายชื่อของเขากับน้องที่เสื้อ

แม่บอกเขาว่า ดูแลน้องชายให้ดี และกำชับให้เขาอย่าทำป้ายชื่อหายเป็นอันขาด เสียงของแม่ราบเรียบ ไม่ร้องไห้เช่นผู้ใหญ่คนอื่นๆ อาร์โนได้ยินเสียงหวูดรถไฟ แล้วรถไฟก็แล่นจากไป

อาร์โนเกิดที่ มูนิค เยอรมนี ในครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิว อาศัยอยู่ในห้องใหญ่ เขาชอบไต่ขึ้นลงเตียงแคบๆ สามชั้นอย่างมีความสุข

พวกผู้ใหญ่จับกลุ่มซุบซิบกันถึงเรื่องน่ากลัว อาร์โนรู้ว่าบางสิ่งที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมาเป็นยิว ผู้ใหญ่บอกว่าทุกอย่างดีขึ้นหากสามารถเดินทางไปถึงดินแดนใหม่ที่เรียกว่า อเมริกา

ผู้ใหญ่บอกว่าสงครามกำลังจะมา แต่อาร์โนไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวตรงไหน แม้เมื่อครอบครัวของเขาถูกเนรเทศออกนอกประเทศไปยังโปแลนด์ เขาก็ไม่คิดว่ามันน่ากลัว จนกระทั่งถึงวันที่เขากับน้องชายแยกจากพ่อแม่เดินทางออกไปสู่ดินแดนแปลกถิ่นเพียงลำพัง

อาร์โนเกลียดกระเป๋าเดินทางตั้งแต่บัดนั้น

หลายเดือนถัดมา อาร์โนแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นแม่อีกครั้ง แม่ตามมาสมทบจนได้ หลังจากได้รับใบอนุญาตออกนอกประเทศ ไม่นานต่อมา พ่อตามมาสมทบอีกคน ทั้งครอบครัวมีความสุข แม้ไม่รู้ชะตาชีวิตในอนาคต

แล้วสงครามโลกครั้งที่สองก็บังเกิด

โชคดีที่พ่อมีวิสัยทัศน์ไกล ซื้อตั๋วไปอเมริกาล่วงหน้าถึงหนึ่งปีครึ่ง ครอบครัวของอาร์โนจึงเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา เมื่อไปถึงดินแดนใหม่ พ่อกับแม่หางานทำ พ่อได้งานไม้ในพิพิธภัณฑ์ แม่เย็บเสื้อในโรงงาน ไม่นานอาร์โนก็เข้าโรงเรียน

ที่อเมริกาพวกเขาไม่ได้ยินเสียงระเบิด เสียงปืนจากสมรภูมิรบ เสียงร้องโหยหวนของผู้คนที่ถูกสังหาร แต่รู้ดีว่าพวกเขารอดจากการตกเป็นเหยื่อการสังหารหมู่ชาวยิวหกล้านคนมาได้หวุดหวิดเพียงใด อาร์โนคิดในใจ จะเกิดอะไรขึ้นหากพ่อกับแม่หนีออกมาจากประเทศนั้นไม่ทัน เกิดอะไรขึ้นหากเขาทำป้ายชื่อหลุด

อาร์โนตั้งใจเรียนเพื่อหนีให้พ้นความยากจนและชีวิตอดอยากช่วงสงคราม อาร์โนชอบดาราศาสตร์ เขาเลือกเรียนฟิสิกส์ และไม่คิดว่าเขาไปไกลถึงขนาดประสบความสำเร็จในงานของเขา

งานของเขาคือวิจัยและศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์วิทยุ ฟังเสียงแห่งจักรวาล ช่วงหลายปีนั้นอาร์โนกับเพื่อนร่วมงาน ได้ยินเสียงหึ่งๆ ผ่านการวัดค่าแผ่รังสีคลื่นไมโครเวฟ เสียงแผ่วนั้นดังมาจากทุกทิศของโลก ความยาวคลื่น 7.3 เซนติเมตร ที่อุณหภูมิ 2.7 K เสียงนั้นพิสูจน์ว่า กำเนิดของจักรวาลที่เรียกว่า บิ๊ก แบง เกิดขึ้นจริง ซากของเสียงแห่งกำเนิดจักรวาลเดินทางมาถึงโลกหลังจากผ่านไปหนึ่งหมื่นห้าพันล้านปี ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานชิ้นนี้**
ผ่านมาหลายสิบปี อาร์โนยังคงได้ยินเสียงหวูดรถไฟของการเดินทางเที่ยวนั้น เขารู้แล้วว่า วันนั้นเป็นการทำใจที่ยากที่สุดของแม่ แม่คงพยายามเต็มที่ที่จะไม่ร้องไห้ต่อหน้าลูก ในวัยผู้ใหญ่เขารู้ว่ามันยากเพียงใดที่แม่คนหนึ่งจะส่งลูกเล็กๆ สองคนเดินทางตามลำพังไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก โดยไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แต่แม่ก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องไห้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม

ผ่านมาหลายสิบปี อาร์โนยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงปืน เสียงสงคราม เป็นเสียงที่ไม่มีวันหายไปจากโลก ได้ยินโดยไม่ต้องใช้เครื่องมืดใดๆ วัด และกลบเสียงกำเนิดของจักรวาล...


* Kindertransport เป็นชื่อสายรถไฟช่วยเหลือเด็กออกจากพื้นที่ที่นาซีครอง เช่น เยอรมนี ออสเตรีย เชคโกสโลวาเกีย โปแลนด์ เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยชาวยิวในอังกฤษที่เสนอต่อรัฐสภาให้ช่วยนำเด็กอายุ 5-17 ปีเข้าไปอยู่ในอังกฤษ เด็กแต่ละคนได้รับเงิน 50 ปอนด์เพื่อให้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวชาวอังกฤษ หรือบ้านเด็กกำพร้า หลายคนทำงานตามไร่ หลายคนที่โตครบ 18 ได้เข้าร่วมเป็นทหารอังกฤษและออสเตรเลีย เด็กนับหมื่นคนเดินทางโดยรถไฟโดยไม่มีพ่อแม่ไปด้วย เที่ยวสุดท้ายออกเดินทางสองวันก่อนสงครามโลกครั้งที่สองระเบิด หลายคนไม่ได้พบกับพ่อแม่ของตนอีกเลย

** Arno Penzias กับ Robert Wilson ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี 1978


วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com/



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 23:07:55 น.
Counter : 737 Pageviews.

0 comment
ปล่อยเมื่อไร สบายเมื่อนั้น
ปล่อยเมื่อไร สบายเมื่อนั้น
รินใจ

เธอครองชีวิตร่วมกับเขามานานกว่า ๑๐ ปี แล้ววันหนึ่งก็พบว่าเขาปันใจให้หญิงอื่น เธอจึงแยกทางจากเขา แต่เขาหาได้ไปจากจิตใจของเธอไม่ ทุกครั้งที่นึกถึงเขา เพลิงแค้นก็ลุกท่วมหัวใจ เธอแค้นที่ถูกเขาทรยศ แค้นที่เขาทำลายชีวิตที่ดี ๆ ของเธอ ยิ่งนึกก็ยิ่งรุ่มร้อน จนอยากตบ อยากทำร้าย อยากทำลาย "มัน"
เธอหันหน้าเข้ากรรมฐาน แต่ความแค้นยังตามมารังควานเธอ แม้เรื่องจะจบไปนานแล้ว แต่เธอไม่ยอมจบด้วย ใจยังหวนกลับไปขุดเรื่องราวในอดีตให้มาทิ่มแทงเธอไม่หยุดหย่อน เสียงด่าดังก้องอยู่ในใจทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีแต่ความเงียบสงบ
แต่ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน มีเกิดก็มีดับ ตอนนั้นเธอกำลังเดินจงกรม มือประสานกันที่ท้อง เธอรู้สึกว่าเมื่อยเหลือเกินเพราะกุมมือในท่านั้นนานเป็นชั่วโมงแล้ว จึงปล่อยมือลง ทันทีที่ปล่อยความเมื่อยก็หายไป ความรู้สึกสบายกายสบายใจเกิดขึ้นตามมา ชั่วขณะนั้นเองเธอได้ประจักษ์แก่ใจว่า "แค่ปล่อย เราก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป" แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา
วินาทีนั้นเองที่เธอระลึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่เธอคับแค้นไม่เลิกราก็เพราะไปยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะเธอไม่ยอมปล่อยมันไปนั่นเอง เธอจึงทุกข์แล้วทุกข์เล่า เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอจึงปล่อยมันออกไปจากใจทันที
เธอเล่าว่าในการปล่อยมือครั้งนั้น เธอได้ปล่อยความแค้นและเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับเขาไปด้วย จิตใจบังเกิดความเบาสบายสงบเย็นขึ้นมาทันที
มือที่กุมไว้นาน ๆ ย่อมเมื่อยฉันใด ใจที่ยึดไว้ไม่เลิกรา ย่อมเป็นทุกข์ฉันนั้น ไม่มีอะไรที่จริงยิ่งไปกว่านี้ แต่ความจริงง่าย ๆ อย่างนี้น้อยคนจะตระหนัก ทั้งนี้ก็เพราะเราคุ้นชินกับการยึดจนเป็นนิสัย อะไรก็ตามที่ติดเป็นนิสัยแล้ว เรามักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว คนที่เคร่งเครียดจนเป็นนิสัย ก็เอาแต่เคร่งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวด เกร็งมือเกร็งคอ ไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะรู้สึกเมื่อยล้า ก็หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะนิสัยดังกล่าวนั่นเอง แต่ทันทีที่รู้ตัวและผ่อนคลายลง เขาก็จะรู้สึกสบายทันที
อะไรก็ตามถ้าเราไปยึดติดแบกถือแล้ว ล้วนทำให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น แม้ว่าสิ่งนั้นดูเหมือนเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ แต่ก็ประมาทไม่ได้ สิวเพียงไม่กี่เม็ด ถ้าไปหมกมุ่นครุ่นกังวลกับมันทั้งวันทั้งคืน ก็สามารถทำให้เด็กสาวฆ่าตัวตายเพราะความอับอายได้ ดังเคยเป็นข่าวมาแล้ว
มีเรื่องเล่าว่าชายผู้หนึ่งเข้าไปกราบทูลระบายความทุกข์กับสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์หนึ่ง เขาเอาแต่บ่นว่า "หนักครับ.....ช่วงนี้แย่มากเลยครับ" เมื่อสมเด็จ ฯ ถามว่าหนักเรื่องอะไร เขาก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าชีวิต สุดท้ายก็ทูลว่า "ตอนนี้ผมจวนจะแบกไม่ไหวแล้วครับ"
สมเด็จ ฯ ฟังสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของเขา แล้วรับสั่งว่า "นั่งอยู่นี่แหละ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว"
เขานั่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน แต่สมเด็จ ฯ ก็ยังไม่เสด็จออกมาเสียที จนเขาเริ่มเมื่อยล้า กระดาษดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก
ในที่สุดสมเด็จ ฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม แล้วทรงถามชายผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร
"หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"
"อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?" สมเด็จ ฯ รับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"
กระดาษแม้จะบางเบา แต่ถ้าไปยึดถือมันนาน ๆ ก็จะกลายเป็นของหนักจนสู้ไม่ไหว อารมณ์โกรธเกลียด ท้อแท้ กลัดกลุ้ม แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าไปแบกไว้ทั้งวันทั้งคืน ใจเรานั่นแหละที่จะแย่ ตรงกันข้ามกับหินก้อนใหญ่ ตราบใดที่ไม่ไปอุ้มไปแบก ก็ไม่มีวันหนัก
เป็นเพราะไม่รู้ตัวใช่ไหมเราจึงเผลอไปแบกหรือยึดความทุกข์เอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ยิ่งแบกยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ยังไปแบกไปยึดอยู่นั่นเองเพราะทำจนเป็นนิสัยเสียแล้ว ความรู้ตัวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่หนทางแห่งความไม่ทุกข์ เพราะเมื่อรู้ตัวแจ่มชัดเราก็ประจักษ์แก่ใจว่าได้เผลอแบกยึดอะไรต่ออะไรไว้มากมาย ถึงตอนนั้นการปล่อยวางก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม ควรหมั่นมองตนสำรวจจิตเพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ ความรู้ตัวนี้แหละจะช่วยปลดเปลื้องสิ่งหมักหมมที่ค้างคาในจิตใจจนทำให้ชีวิตเบาสบาย
เทศกาลปีใหม่มาถึงแล้ว ใคร ๆ ก็อยากได้ของขวัญ แต่ถ้าอยากให้ชีวิตเบาสบาย ไม่มีอะไรดีกว่าการปล่อยวางสิ่งที่ทำความหนักอึ้งแก่จิตใจ อย่าแบกข้ามปีให้เหนื่อยใจอีกต่อไปเลย
วันนี้สิ่งสำคัญจึงมิใช่คำถามว่าเราได้อะไรมาบ้าง ? แต่ได้แก่คำถามว่าเรา "ปล่อย"ไปมากแค่ไหนแล้ว?


จาก budpage.com



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 23:07:18 น.
Counter : 632 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend