ขั้นตอนฝึกตนเองให้เป็นคนหลับง่าย
ขั้นตอนฝึกตนเองให้เป็นคนหลับง่าย
๑. อาบน้ำอาบท่าให้ร่างกายสดใสก่อนนอนก่อนนะครับ ชำระล้างสิ่งปรกออกจากร่างกาย คิดในใจว่า "ธรรมะเหมือนน้ำ กิเลสเหมือนขี้ไคล ชำระล้างกายใจให้สะอาดก่อนนอน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มต้นสร้างสรรค์คุณงามความดีกันใหม่ "
๒. ปิดไฟ นอนหลับตาในท่าสบาย ๆ ยิ้มน้อย ๆ ทำให้ร่างกายของตัวเองผ่อนคลาย แบมือหงายราบกับที่นอน เป็นสัญลักษณ์ว่าเราปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง หมดกังวลในเรื่องทั้งหลาย
๓. หายใจอย่างสดชื่น สูดลมหายใจลึกเข้าเต็มปอด อย่างอ่อนโยน ประกอบด้วยรอยยิ้ม หายใจเข้าออกช้า ๆ จินตนาการว่าลมหายใจของเรานี้ช่างละเอียดอ่อนเสียนี่กระไร
๔. เริ่มต้นกล่อมใจให้นอนหลับด้วยการนึกมโนภาพ ภาพ "เด็กทารก" น่ารักสักคนไว้ในใจ เพื่อเป็นอุบายทำให้จิตมีเมตตา (ใครนึกภาพไม่ออกไปหาภาพโฆษณาที่มีรูปเด็กมาดูให้ติดตาก่อนก็ได้)
๕. พอจิตเกิดเมตตาแล้ว ให้ส่งคลื่นแห่งความรักของเราไปยังทิศเบื้องหน้า ให้พยายามจินตนาการว่าความรักของเรากำลังแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ (เหมือนจักรวาลที่ไม่มีขอบเขต) ส่งความรักความห่วงใยไปยังทุก ๆ ชีวิต ด้วยการพูดในใจเบา ๆ ว่า "ขอให้ทุกๆชีวิตมีความสุข สุขกาย สุขใจ"
๖. ให้กลับไปเริ่มที่ขั้นที่ ๔ อีกครั้ง แล้วต่อด้วยขั้นที่ ๕ แต่คราวนี้ให้เปลี่ยนเป็นไปเป็นทิศเบื้องขวา
๗. ให้แผ่เมตตาครั้งละ ๑ ทิศเบื้องหน้า -เบื้องขวา-เบื้องหลัง-เบื้องซ้าย-เบื้องบน- และ เบื้องล่าง เป็นลำดับกันไป เมื่อครบทุกทิศแล้วให้เริ่มต้นที่ทิศเบื้องหน้า ใหม่อีกครั้ง
๘. แผ่เมตตาตามลำดับทิศเช่นนี้เรื่อยไป (เหมือนกับที่นักจิตวิทยาฝรั่งสอนให้นับแกะข้ามรั้ว) จนกว่าเราจะหลับไปด้วยรอยยิ้ม
๙. คุณจะค้นพบด้วยตัวเองว่า ในไม่ช้าคุณจะกลายเป็นคนที่หลับง่าย ฝันดี ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยจิตใจที่เบิกบานแจ่มใส


//www.budpage.com/index.shtml



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:21:35 น.
Counter : 825 Pageviews.

0 comment
เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "
เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "
เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดยเร็วที่สุด
ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้
การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง

ยกตัวอย่าง

ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"
๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้มเหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *
ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็นแก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อจะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิดอาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง


//www.budpage.com/index.shtml



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:20:55 น.
Counter : 744 Pageviews.

0 comment
ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผี
ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผี
ใครบ้างที่ไม่เชื่อเรื่องผี ยกมือขึ้น ! ถ้าถามอย่างนี้อาจจะมีคนยกมือกันเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่าใคร บ้างที่จะกล้าอาสาไปเดินในป่าช้าคนเดียวตอนดึก ๆ หรืออาสาไปนอนเล่นในห้องดับจิตหรือในโกดังเก็บศพสักคืนหนึ่ง คิดว่าถ้าถามแบบนี้คนที่ยกมือบอกว่าไม่เชื่อเรื่องผีตะกี้นี้คงจะชักมือหดมือลงเป็นแถว ๆ นี้เป็นเพราะสาเหตุใด ตอบได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะ "กลัวผี " นั่นเอง
ความเชื่อเรื่อง "ผี" เป็นความเชื่อของคนไทยมีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่สยามประเทศของเรา เสียอีก เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานานนับพันปี ความกลัวผีจึงเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกลงอยู่ในกมลสันดานของคนไทย ยากยิ่ง ที่จะถอดถอนความเชื่อนี้ออกไปได้ แม้เราจะชอบอ้างตัวเองว่าอยู่เสมอ ๆ ว่าเป็นคนที่อยู่ยุควิทยาศาสตร์ ก็ตาม
ความกลัวผีเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต บางคนกลัวมาก ๆ อาจจะถึงกับช็อคตายไปเลยก็ได้ ถ้าจะให้บอกกับตัวเองว่าเราไม่เชื่อเรื่องผี ก็ไม่ไหว เพราะทั้งที่ปากบอกว่าไม่เชื่อ ๆ แต่ใจมันก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี เพราะความคิดนี้มันฝังตัวอยู่ในสัญชาติญาณกลัวตายของเรา พูดง่าย ๆ คือ ตราบใดที่ เรายังกลัวตาย ตราบนั้นเราก็ยังคงต้องกลัวผีอยู่นั่นเอง แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดี
พุทธศาสนาเข้าใจถึงจิตใจของปุถุชนดี ท่านจึงสอนวิธีคิดชนิดที่สามารถไปสลายความกลัวผีให้หมดลงไปได้ คือทำให้ความกลัวผีลดน้อยลงไป หรือ ถึงกับเลิกกลัวผีไปเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องจำเป็นต้อง ไปเลิกเชื่อเรื่องผีแต่อย่างใด ดังจะขอยกวิธีคิด ๓ วิธีมาอธิบาย ดังต่อไปนี้


๑. คิดปรารถนาดีต่อชีวิตทั้งปวง (เมตตา) วิธีคิดนี้ง่ายมาก คือสร้างความรักความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปให้แก่ ทุก ๆ ชีวิต โดยจินตนาการให้ความรู้สึก "รัก" นี้แผ่ไพศาลไปทั่วฟ้า มหาสมุทร หรือ ถ้าเป็นสมัยใหม่นี้ ก็ต้องแผ่ไปให้ไกลทั่วแกแล็คซี่ ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ความคิด "เมตตา"เช่นนี้ถ้าคิดได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ ก็จะมีพลังมหาศาล สามารถที่จะสลายความกลัวให้หมดไป
คนที่มีเมตตามาก ๆ สามารถที่จะสร้างอิทธิพลในทางบวกให้แก่ผี เช่นแบ่งปันความดีงาม ให้ผีสางนางไม้พลอยได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย นี้แสดงถึงอำนาจของเมตตาที่มีอำนาจเหนือผีนั่นเอง
กล่าวโดยสรุป คนที่มีเจริญเมตตาอยู่ในใจตลอดเวลา จะมีสมาธิดีมาก จนอำนาจภายนอกไม่ สามารถที่จะมาครอบงำหรือหลอกหลอนได้แต่อย่างไร ไปไหนมาไหนสบายใจ ไม่ต้องสะดุ้งกลัว
วิธีคิดสร้างเมตตา (ในกรณีต้องไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว) "ขอให้ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้จงมีความสุข ขอให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ณ ที่แห่งนี้จงสุขกายสุขใจ ขอให้ความรักความปรารถนาดีของฉันจงมีแก่ทุกชีวิต ขอให้ความรักของฉันจงเผื่อแผ่ไปทั่วสกลจักรวาล อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ขอให้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกต้นทุกใบจงมีความสันติสุข ขอให้ความเป็นมิตรของฉันจงมีแก่ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขอให้ท่านสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส ขอเผื่อแผ่ความดีงามที่ฉันได้ทำไว้ มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ชีวิตทีเศร้าหมองทั้งหลายจงสดใสร่าเริง ขอให้ทุกชีวิตจงมีความสุขใจโดยพลันเทอญ ฯลฯ "
วิธีคิดให้เกิดเมตตานี้ สามารถจะปรุงแต่งเป็นความคิดต่าง ๆ นานาได้ตามความปรารถนา เพียงแต่ว่า ให้อยู่ในประเด็นหลักของเมตตา คือ แผ่ความรักปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ เท่านั้นเอง
อนึ่ง คนที่ชอบฝันร้าย หากรู้จักแผ่เมตตาก่อนนอน ก็จะฝันดี มีความสุขทั้งตอนหลับและตื่น หาก ปฏิบัติได้เป็นประจำก็ดีเยี่ยมเลยครับ

(อ่าน กรณียเมตตสูตร สุตตันต.เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )
๒. ความเชื่อมั่นเคารพในความดีงาม (ศรัทธา) วิธีนี้ ชาวพุทธที่มีความศรัทธาอยู่แล้วจะได้เปรียบสักหน่อยนะครับ เพราะความ"ศรัทธา" เป็นพลังความคิดอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสลายความกลัวให้หมดลงไปได้เช่นเดียวกัน หากท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ของศาสนาต่าง ๆ ท่านจะเห็นว่าคนที่มีความศรัทธาในศาสนามาก ๆ เขาจะไม่กลัวแม้แต่ความตาย ความศรัทธาหรือ ความรู้สึกประทับใจ เชื่อมั่น ซาบซึ้งใจ นี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของการปฏิบัติธรรม ศรัทธาทำหน้าที่สร้างพลังขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการทางปัญญา คือ ก่อนที่ปัญญาจะวิ่งไปได้ บางทีต้องอาศัย พลังศรัทธาคือความเคารพเชื่อมั่นในความดีงามนี้ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างช่องทางนำร่องให้ความคิดเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นมันคิดไม่ค่อยจะไปเหมือนกัน
ยกตัวอย่าง ชาวพุทธในสมัยโบราณก่อนที่เขาจะตัดสินใจจะทำอะไร เขาก็ตั้ง นโม..ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความบริสุทธิ์ ความมีปัญญา เพื่อให้จิตใจผ่องใส เมื่อจิตใจดีแล้วเขาก็อาศัยพลังศรัทธานั้นแหละขับเคลื่อนความคิดเชิงเหตุผลต่อไป จนกลายเป็น พลังปัญญาด้วยตัวของมันเอง (ปัญญาพละ) ที่สามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริงต่อไป นี้เป็นจุดมุ่ง หมายของศรัทธาในทางพุทธศาสนา
ผลพลอยได้ของ "ศรัทธา" คือ ช่วยทำไม่ให้กลัวผีได้ด้วยครับ อย่างที่บอกแล้วว่า คนที่ศรัทธามาก ๆ นี่ แม้ "ตาย"ยังไม่กลัวเลย แล้วจะไปกลัวผีได้อย่างไร ดังนั้นหากท่านเกิดความกลัวขึ้น ณ ที่ใด ให้สร้างศรัทธา ขึ้นในใจ ความกลัวผีก็จะหายไปในบัดดล
วิธีคิดสร้างศรัทธา (เวลาต้องไปอยู่ในที่น่าหวาดกลัว ) ให้หลับตา นึกมโนภาพว่าเรากำลังกราบพระพุทธองค์อยู่ตรงหน้าที่ประทับ พร้อมทั้งระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ห่างไกลจากความโลภ โกรธ หลงทั้งมวล (วิสุทธิคุณ) ระลึกถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ที่รักมวลมนุษย์ชาติดังมารดารักบุตร (เมตตาคุณ) ระลึกถึงปัญญาอันสว่างไสวของพระพุทธองค์ที่ทรงรู้แจ้งสรรพสิ่งในสกลจักรวาล (ปัญญาคุณ) พร้อม ๆ กับ ภาวนา คำว่า " นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ไปเรื่อย ๆ ให้นึกวาดภาพว่าตัวเองก้มกราบพระพุทธองค์ พร้อมทั้งระลึกถึงพระคุณทั้งสามประการ อยู่เช่นนี้ตลอดเวลา จิตใจของท่านจะเกิดความร่าเริงแจ่มใส ปีติยินดี ความกลัวต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายจิตใจอย่างแน่ นอน

(อ่าน ธชัคคสูตรที่ ๓ สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๘๖๓ )
๓. คิดใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา (ฉันทะ) อันนี้ใช้พลังปัญญาล้วน ๆ เลย คือความเชื่อมั่นในเหตุผล ในความจริง จิตใฝ่รู้นี้ มีพลังมหาศาล ที่ทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองจนไม่หวาดหวั่นอะไร คนประเภทนี้ผีหลอกไม่ไหวหรอกครับ เพราะจิตมีกำลังมาก (มีสมาธิ) ดังนั้นคนที่มีความใฝ่รู้จริง ๆ จึงมักจะไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผี และ ไม่กลัวผี คนประเภทนี้ถ้าผีตัวไหนขืนถลำตัวไปหลอกเข้า ผีตัวนั้นคงเป็นต้องโดนวิ่งไล่จับพิสูจน์เป็นแน่ เพราะคนใฝ่รู้เขาจะเข้าไปหาถึงตัวเลย เพื่อจะดูซิว่าผีมันมีสิวกี่เม็ด, เท้าไม่ติดพื้นจริงหรือเปล่า, เสื้อผ้าผีมีเนื้อผ้าเป็นอย่างไร, ผีทำไมต้องพูดช้า ๆ ยานคาง , ทำไมผีถึงชอบทำหน้าเละ ๆ ฯลฯ แล้วผีที่ไหนจะยอมให้พิสูจน์ล่ะครับ คงต้องหนีลูกเดียว เพราะ ผีมันก็ดีแต่เก่งแค่ทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ หลอก ๆ หลอน ๆ แต่คนขวัญอ่อนเท่านั้นเอง เจอคนจริงแบบนี้ ผีก็ไม่ไหวเหมือนกันล่ะครับ ..สวัสดี

(อ่าน ความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ของ "ปัญญา" ที่มีอยู่มากมายมหาศาลในพระไตรปิฎก )


//www.budpage.com/index.shtml



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:20:11 น.
Counter : 923 Pageviews.

0 comment
น้ำบำรุงใจ
น้ำบำรุงใจ

เขียนโดย รินใจ

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายของเรา ไม่มีอวัยวะส่วนใดที่ไม่ต้องการน้ำ ยิ่งสมองด้วยแล้ว มีน้ำอยู่เกือบ ๘๐% ขาดอาหารจึงไม่ร้ายเท่ากับขาดน้ำ อดอาหารเป็นเดือนยังอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน ก็ต้องกลับบ้านเก่า
รู้อยู่ว่าร่างกายของเราต้องการน้ำอย่างยิ่ง แต่เคยคิดไหมว่าจิตใจของเราก็ต้องการน้ำเช่นกัน น้ำอะไรล่ะที่จิตใจต้องการ ก็ "น้ำใจ" ไงล่ะ

น้ำใสช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายฉันใด น้ำใจก็ช่วยบำรุงจิตใจฉันนั้น เวลามีคนมาแสดงน้ำใจต่อเรา แม้เพียงแค่ไต่ถามทุกข์สุขหรือยิ้มให้ จิตใจเราก็ชื่นบานแล้วไม่ต่างจากดอกไม้ที่ได้น้ำ ในความทรงจำของแต่ละคน มีเรื่องประทับใจที่สวยงามแบบนี้อยู่มากมาย ๔๐ ปีผ่านไปแล้ว บางคนยังจำได้ถึงความเอื้ออารีที่ได้รับจากคุณป้าผู้หนึ่งที่เข้ามาพยุงตนเองให้ลุกขึ้นมาหลังจากหกล้มในสนามเด็กเล่น บางคนยังแย้มยิ้มในใจเมื่อนึกถึงเพื่อนชั้นประถมที่แบ่งปันขนมให้กินในยามที่ตนยากไร้
ไม่ใช่แต่น้ำใจที่เราได้รับกับตัวเท่านั้น เพียงแค่ได้เห็นผู้คนมีน้ำใจต่อกัน ก็สามารถทำให้จิตใจเกิดปีติยินดีขึ้นได้ น้ำใจอย่างนี้ช่วยให้เรามีศรัทธาในมนุษย์ และเกิดกำลังใจที่จะทำความดี หรืออย่างน้อยก็เตือนใจไม่ให้เราเห็นแก่ตัวเองมากเกินไป ใครเล่าจะไม่ซาบซึ้งเมื่อได้เห็นเด็กน้อยจูงมือคนตาบอดเดินข้ามถนนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
ประสบการณ์และเรื่องราวแบบนี้เป็นเสมือนน้ำที่ช่วยชโลมใจให้ชื่นบานได้ไม่น้อย ในยุคที่ผู้คนพากันเร่งรีบและมีเวลาให้แก่กันน้อยลง แถมเอาเปรียบกันมากขึ้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษาใจให้ชุ่มชื่นอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง ก็คือเปิดใจรับรู้และหมั่นสดับฟังเรื่องราวของผู้คนที่มีน้ำใจไมตรีต่อกัน ขณะเดียวกันก็ประทับสิ่งดีงามเหล่านั้นไว้ในจิตใจให้คงอยู่นานเท่านาน เพื่อจะได้ระลึกนึกถึงในยามที่จิตใจแห้งแล้ง จะยิ่งดีกว่านั้นหากเราช่วยกันถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย โดยเฉพาะลูกหลานและมิตรสหาย เพราะน้ำใจนั้นใคร ๆ ก็ต้องการมาบำรุงจิตใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม
เรื่องของน้ำใจถึงจะเป็นแค่นิทานแต่ก็มีพลังไม่น้อย เพราะสามารถประทับแน่นในจิตใจของเด็ก ๆ ได้ เวลาผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่ลืมเลือน เมื่อครั้งที่ผู้เขียนยังเด็ก ได้อ่านนิทานมาเยอะ และก็ลืมไปเยอะเช่นกัน แต่จำได้แม่นยำอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งที่จริงก็เป็นแค่ตอนเดียวเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่าโจรคนหนึ่งออกอุบายปลอมตัวเป็นคนหลงทางในทะเลทราย เมื่อพระเอกขี่อูฐผ่านมาพบเข้าก็ตรงเข้าไปช่วยเหลือ ผลก็คือถูกโจรปล้นชิงทรัพย์จนหมดตัว ไม่เว้นแม้อูฐ แต่ก่อนที่โจรจะจากไป พระเอกขออย่างหนึ่งจากโจร เขาไม่ได้ขอน้ำหรืออาหาร หากขอร้องโจรว่าอย่าได้ไปอวดใคร ๆ ว่าใช้อุบายอะไร เพราะต่อไปจะทำให้ใคร ๆ ไม่กล้าช่วยคนหลงทางเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นโจรปลอมตัวมา
นิทานเรื่องนี้ประทับใจผู้เขียนมาก เพราะทั้ง ๆ ที่ลำบาก แต่พระเอกไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย กลับเป็นห่วงคนบริสุทธิ์อีกมากมายที่จะต้องเดือดร้อนจากคำพูดของโจร น้ำใจอย่างนี้ลืมไม่ได้ง่าย ๆ
น้ำใจที่ตราตรึงใจคนนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยวีรกรรมหรือความเสียสละอย่างนิทานก็ได้ เรื่องจริงของคนเล็กคนน้อยก็สามารถสะเทือนใจคนได้เหมือนกัน
เด็กน้อยวัย ๑๐ ขวบเข้าไปในร้านไอสครีมชื่อดัง เมื่อนั่งที่โต๊ะเสร็จ พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาบริการ "ไอศกรีมซันเดย์ถ้วยละเท่าไหร่ครับ" เด็กชายถาม เมื่อได้คำตอบว่าราคา ๕๐ เซ็นต์ เด็กชายก็ควักเหรียญออกมานับ สักพักก็ถามว่า "แล้วไอศกรีมธรรมดาล่ะครับ ถ้วยละเท่าไหร่"
ระหว่างที่รอเด็กน้อย สาวเสิร์ฟสังเกตว่าลูกค้าเริ่มแน่นร้าน เรียกหาคนบริการ เธอจึงเริ่มจะทนไม่ไหว นึกรำคาญเด็กน้อย จึงตอบห้วน ๆ ว่า " ๓๕ เซ็นต์" เด็กน้อยได้ยินแล้วก็นับเงินอีก สุดท้ายก็บอกว่าขอไอศกรีมธรรมดาแล้วกัน
พนักงานสาวเอาไอศกรีมมาให้ วางบิลล์บนโต๊ะ แล้วเดินจากไป ส่วนเด็กชายเมื่อกินเสร็จก็เอาบิลล์ไปจ่ายที่เคาน์เตอร์แล้วเดินออกไป

เมื่อพนักงานสาวกลับมาเก็บถ้วยที่โต๊ะของเด็กน้อย เธอก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะมีเงิน ๑๕ เซ็นต์วางอยู่ข้างถ้วย เธอรู้ทันทีว่าเด็กน้อยไม่ยอมซื้อไอศกรีมซันเดย์ ทั้ง ๆ ที่มีเงินครบ ๕๐ เซ็นต์ เพราะต้องการเหลือเงินไว้เป็นค่าทิปให้เธอ
น้ำใจของเด็กคนนี้มิเพียงสั่นคลอนจิตใจของพนักงานสาวเท่านั้น หากยังสอนใจเราได้มากมาย ใช่หรือไม่ว่าโลกนี้น่าอยู่และชีวิตนี้มีความหวังก็เพราะน้ำใจแบบนี้



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:19:21 น.
Counter : 676 Pageviews.

0 comment
คนโบราณทำอย่างไรไม่ให้ท้อง
คนโบราณทำอย่างไรไม่ให้ท้อง
คนในสมัยโบราณใช้การบุกเข้ายึดบ้านเมืองอื่นเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งผู้คนที่มีความสามารถในด้านการผลิต ในด้านศิลปะ ดนตรี หรือผู้มีความรู้ในด้านเทคนิคบางอย่าง เช่น ต่อเรือ หล่อปืน หรือโลหะ ฯลฯ (คนปัจจุบันเรียกว่าการฝังตัวของความรู้ในตัวคน) หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าที่ดิน ซึ่งมีอยู่มากมายเป็นป่าเป็นเขา อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน ในระดับย่อยคือครอบครัว หลายบ้านกลับไม่ต้องการมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเพราะอาจทำให้ลำบากยากเข็ญมากขึ้น


ความกินดีอยู่ดีของทุกสังคมในทุกยุคของประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการมีความสมดุลระหว่างจำนวนประชากรและปริมาณสินค้าที่สังคมนั้นสามารถผลิตขึ้นมาให้บริโภค ซึ่งอย่างหลังนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม การเมือง และคุณภาพของประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงข้ามเวลาแล้ว ความกินดีอยู่ดีของสมาชิกอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะจะต้องรักษาความสมดุลดังกล่าวไว้อยู่เสมอ


ในระดับครอบครัว ในยุคโบราณการมีลูกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนอาจหมายถึง การอดตายก็เป็นได้ ทั้งนี้ เพราะครอบครัวก็มีชีวิตที่ไม่มั่นคงอยู่แล้ว อายุขัยเฉลี่ยก็ต่ำ ปริมาณอาหารที่มีอยู่ก็จำกัดและไม่แน่นอนขึ้นกับดินฟ้าอากาศ อีกทั้งยังมีทรัพยากรที่จำกัดสำหรับการรักษาความป่วยไข้ที่มีอยู่ดาษดื่นอีกด้วย ดังนั้น การควบคุมจำนวนสมาชิกครอบครัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ


เมื่อผมดูภาพยนต์หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้คนเมื่อหลายพันหรือหลายร้อยปีก่อนก็สงสัยทุกครั้งว่าคนเหล่านี้มีการป้องกันไม่ให้ท้องกันหรือไม่อย่างไร


เมื่อได้พบข้อเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของ Contraception ถูกใจ(History Magazine, March 2002) จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง


มนุษย์รู้มานานแล้วว่าอะไรทำให้ท้องและก็พยายามมานานแล้วที่จะยังคงกระทำอย่างนั้นแล้วไม่ให้ท้องขึ้น


ในสมัยอียิปต์เมื่อ 1,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช(เกือบ 4 พันปีก่อน) เอกสารที่มีชื่อว่า Kahun Medical Papyrus ระบุให้ใช้มูลจระเข้วางบนผ้าชิ้นบางๆ ที่ชื้นและเอาไปใส่ไว้ในช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ก็จะป้องกันไม่ให้ท้องได้


เอกสารอีกชิ้นหนึ่งที่มีอายุหลังประมาณ 300 ปี ระบุให้ใช้ยางชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Acacia ผสมกับผลอินทผลัมบดน้ำผึ้ง และเอาวางบนหนังแกะชิ้นเล็กและใส่ในช่องคลอดก็จะบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน(ตำรับนี้น่าสนใจเพราะ Acacia หมักจะกลายเป็น Lactic acid ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในยาฆ่าอสุจิในปัจจุบัน)


ในสมัยกรีกโบราณ บิดาแห่งการแพทย์ Hippocrates แนะนำให้ผู้หญิงกินดอกและใบของต้นไม้ที่มีชื่อว่า Queen Anne"s Lace หรือต้นแครอตป่าเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์


แม้แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงในชนบทบางแห่งของรัฐนอร์ทแคโรไลนาก็กินเมล็ดของพืชนี้ เช่นเดียวกับผู้หญิงอินเดียที่เคี้ยวเมล็ดแห้งของมัน ผู้หญิงจีนโบราณกินปรอท ตะกั่ว ผลิตภัณฑ์จากต้นหลิว(Willow) ต้น Pennyroyal และกะหล่ำปลีเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์


ในแถบ New Brunswick ของแคนาดา ฝ่ายหญิงจะบริโภคลูกอัณฑะแห้งของตัวบีเวอร์โดยผสมกับเหล้า ที่น่าสนใจก็คือมันมี Testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนป้องกันไม่ให้ไข่ของฝ่ายหญิงสุก


สำหรับพ่อยอดชายทั้งหลายที่โชคดีไม่ได้เป็นคนท้องแต่มิได้ลดความเป็นตัวดีลงนั้น ถุงสวมอวัยวะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการป้องกันตั้งครรภ์และป้องกันติดเชื้อโรค การเริ่มใช้เกิดขึ้นในประมาณ ค.ศ.1600 (ฝรั่งที่เข้ามาจำนวนมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อประมาณ 400 ร้อยปีก่อนเป็นผู้นำถุงอนามัยเข้ามาให้คนไทยรู้จักและมีการใช้กันตั้งแต่สมัยนั้น?) โดยในตอนแรกมีวัตถุประสงค์ป้องกันการติดเชื้อโรคมากกว่า


ถุงอนามัยในยุคนั้นทำจากไส้แกะซึ่งเป็นเนื้อเยื่อ และมีเชือกผูกรัดถุงยางไว้กับโคนอวัยวะเพศเพื่อไม่ให้หลุด(คนยุคปัจจุบันควรพอใจในสิ่งที่ใช้อยู่เพราะคงจินตนาการได้ว่าในสมัยก่อนมันทุลักทุเลเพียงใด)


ในกลางศตวรรษที่ 18 ถุงดังกล่าวมีขายในร้านพิเศษ และเหล่าโสเภณีในอังกฤษใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพที่สำคัญ(ตรงกับช่วงเวลากรุงแตกครั้งที่สอง)


การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือกลางศตวรรษที่ 18 ที่นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษชื่อ Goodyear ค้นพบวิธีทำให้ยางนิ่มและเหนียว ดังนั้น จึงเปลี่ยนมาใช้ยางทำถุงอนามัยและเกิดอุตสาหกรรมถุงยางอนามัยขึ้น มีราคาถูกลง มีการใช้อย่างกว้างขวางขึ้น ถึงกับมีการโฆษณาว่า "ล้างและใช้ใหม่ได้" ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 (ค.ศ.1900)


ในตอนแรก การใช้ถุงอนามัยในหมู่โสเภณีเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคทำให้ผู้คนมีความรู้สึกไม่ดีกับถุงอนามัย แต่เมื่อมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ความนิยมก็เพิ่มขึ้นสำหรับใช้วางแผนครอบครัว


อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่อายจึงสั่งซื้อกันทางไปรษณีย์(โดยไม่ให้ระบุสิ่งที่อยู่ข้างในกล่องพัสดุภัณฑ์) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนในทวีปอเมริกาเหนือ(อเมริกันและคนแคนาดา)


อีกวิธีหนึ่งของการป้องกันตั้งครรภ์ของผู้หญิงในศตวรรษที่ 17 ก็คือ การใช้ฟองน้ำ ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนแกะซับอสุจิก่อนที่จะเข้าไปในมดลูก และพบว่าหากชุบน้ำมะนาวหรือน้ำส้ม(Vinegar) ก็จะทำให้ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น


การใช้แผ่น Diaphragms ครอบมดลูก เพื่อไม่ให้อสุจิหลุดเข้าไปในมดลูกได้ เริ่มมีขึ้นในประมาณ ค.ศ.1850 โดยใช้แผ่นยางครอบก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเหตุเพราะต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน ซึ่งการกระทำเช่นว่าถือว่าไม่งามในยุคนั้น


นอกจากนี้ ก็มีการใช้มะนาวผ่าครึ่งบีบน้ำออกและสอดเข้าไปแทนแผ่น Diaphragms ซึ่งน่าจะได้ผลบ้างเพราะมะนาวมีกรด citric ซึ่งฆ่าอสุจิได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Pessaries เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 โดยมาจากภูมิปัญญาของคนอาหรับที่รู้มา 3 พันปีแล้วว่าถ้าเอาก้อนหินใส่ลงไปในมดลูกของอูฐตัวเมียยามเดินทางไกลก็จะสามารถป้องกันการท้องได้(ของอูฐครับไม่ใช่ของคนใส่ก้อนหิน) ไอเดียนี้จึงนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่า IUD(intra-uterine device) และ ICD(intra-cervical device)


สิ่งประดิษฐ์เป็นเส้นลวดที่เรียกว่า IUD นั้นวางไว้ทั้งหมดในมดลูก ในขณะที่ ICD ไม่อยู่ในมดลูกทั้งหมดโดยมีสองขาและมีปุ่มอยู่ตอนปลาย ไอเดียก็คือป้องกันมิให้ตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมเกาะผนังมดลูกได้ ในตอนแรกทั้ง IUD และ ICD ทำจากยาง แก้ว และโลหะ ในสมัยหนึ่งกลัวการเกิดสนิมจน ICD ทำด้วยทองคำ 14 กะรัต อย่างไรก็ดี ICD ไม่ได้รับความนิยมเท่า IUD จึงเลิกใช้ไปในที่สุด


Giacomo Casanova หรือคาซาโนวา นักรักผู้ยิ่งใหญ่แห่งปลายศตวรรษที่ 18 ว่ากันว่าใช้ถุงอนามัยอย่างระมัดระวังมาก เพราะกลัวการติดเชื้อและไม่ต้องการมีลูกกับใคร


ตลอดเวลา 15 ปีของชีวิตรัก เขาจะใช้ลูกบอลทองคำแท้สองลูกใหญ่ขนาดเกือบเท่าหัวแม่มือใส่ไว้ในช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการท้อง เพราะเชื่อว่าทองคำจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีสร้างความเป็นกรดในช่องคลอดจนฆ่าอสุจิตายหมด(นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยืนยันว่าทองคำไม่ก่อให้เกิดผลดังว่า แต่อาจมีผลปิดกั้นไม่ให้อสุจิหลุดเข้าไปผสมกับไข่ได้)


การป้องกันตั้งครรภ์ในปัจจุบันสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งด้วยยากินซึ่งเป็นสิ่งที่คนในยุคโบราณพยายามแต่ไปได้ไม่ถึง อย่างไรก็ดี ถ้าไม่มีไอเดียเริ่มต้นบางอย่างที่เข้าท่าจากคนเหล่านี้แล้ว ป่านนี้พวกเราอาจใช้ทองคำกันเปลืองกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะมัวแต่เลียนแบบคาซาโนวาอยู่ก็เป็นได้


ข้อมูลจาก

หนังสือพิมพ์มติชน




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:17:33 น.
Counter : 840 Pageviews.

7 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend