ไดอารี่สีน้ำเงิน
ไดอารี่สีน้ำเงิน
เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันได้รับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมาจากเพื่อนคนนึง
เพื่อนซึ่งฉันทำเค้าหล่นหายไปกับกาลเวลานานพอดู
เกือบปีที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย
ครั้งสุดท้ายฉันรู้จากเพื่อนอีกคนเพียงว่า เค้าป่วยแล้วลาออกจากงาน
แล้วพาตัวเองหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองกลับไปช่วยกิจการของของที่บ้านที่เกาะเล็ก

แห่งหนึ่งในจังหวัด ตราด...

ฉันแกะกล่องพัสดุฯ แล้วฉันก็ได้พบ “ Diary สีน้ำเงิน” เล่มหนา
ที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
พร้อมกับข้อความที่เขียนด้ายปากกาเส้นเล็ก ๆ ว่า
“สำหรับความรู้สึกที่ดี ของความเป็นเพื่อน” พร้อมกับลายเซ็นของตัวเอง ....
นี่มัน Diary
ของฉันที่เคยเขียนไปได้เพียงครึ่งหน้า
และได้ให้กับเพื่อนคนนี้ในวันหนึ่งที่ฉันได้รับรู้เรื่องราวไม่สบายใจของเขา
และพบว่าที่เขาเล่าให้ฉันฟังมันไม่ใช่ความทุกข์ที่เค้าอยากจะระบายออกมาทั้งหมด...
ฉันเลยแนะนำให้เขาเขียนในสิ่งที่เขาอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
และให้บรรยายมันลงใน Diary
ของฉันเล่มนี้ แล้วบอกเขาด้วยว่า
ถ้าวันนึงที่เขาไว้ใจเพื่อนอย่างฉันเขาคงเล่าความทุกข์ของเขาทั้งหมดให้ฉันได้รับรู้

ฉันพลิกดู Diary สีน้ำเงินเล่มนี้อย่างคร่าว ๆ จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย
... ไม่หน้าเชื่อเพื่อนของฉันคนนี้เขียนมามันจนหมดทุกหน้า ...
ไม่บ่อยครั้งนักที่ฉันจะได้เห็นผู้ชายมานั่งเขียนอะไรมากมายอย่างนี้
..และในหน้าสุดท้าย
ฉันก็พบรูปของตัวเอง ที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นที่คั่นหนังสือ
กับข้อความหลังภาพที่ว่า “ หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน
ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน”

ฉันพลิกกลับมาที่หน้าแรก ตั้งต้นอ่านมันอย่างตั้งใจ จากหนึ่ง เป็นสอง สาม
และสี่ ..ตามลำดับเรื่อยมา ... ฉันได้พบชื่อของตัวเองบ่อยครั้งใน Diary
สีน้ำเงินเล่มนี้ เหมือนกับเป็นการเล่าสู่กันฟังของเพื่อนกับเพื่อน
เรื่องราวที่ฉันได้รับรู้จาก Diary หลายต่อหลายครั้งทำเอาฉันนั่งน้ำตาซึม
...
ไม่น่าเชื่อนะ ผู้ชายแข็ง ๆ กระด้าง ๆ
ที่มักจะทำอะไรให้คนอื่นได้ยิ้มได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลาจะเก็บเอาอะไรมาคิดได้มากมายอย่างนี้....

ฉันอ่านมันหน้าแล้วหน้าเล่า...
แล้วฉันก็พบว่าเพื่อนที่ฉันเคยคิดว่าฉันรู้จักเขามากพอดู
มาวันนี้ฉันกลับรู้สึกว่าฉันไม่ได้รู้จักในตัวตนของเขาสักเท่าไหร่เลย
ฉันสัมผัสเค้าได้แค่เพียงเปลือกนอกที่เค้าแสดงออกมาให้คนอื่นได้รับรู้เพียงแค่นั้น...
มีบางแง่มุมที่ไม่เคยได้รู้ ฉันก็ได้รู้
บางเรื่องที่ฉันลืมไปอย่างไม่ได้ใส่ใจก็กลับมาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง ..

ฉันได้อ่าน Diary สีน้ำเงินเล่มนี้ได้มากพอดู ถึงได้รู้ว่า
สาเหตุที่เธอกลับมาอยู่ที่เกาะ มาช่วยกิจการที่บ้าน
เพราะอาการป่วยของเธอนั่นเอง
เธออยากกลับมาอยู่ใกล้ ๆ กลับมาดูแลแม่ของเธอในวาระสุดท้ายของตัวเอง
...หมอบอกเธอว่า
โรคมะเร็งที่เธอเป็นอยู่มันจะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก
เธอไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องนี้กับแม่ซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิต
โดยที่ทั้งแม่และเธอไม่เคยได้รับการใส่ใจดูแลจากผู้เป็นพ่อเลย
..เธอกลัวแม่ของเธอรับไม่ได้ ..เธอไม่เคยบอกใครถึงสิ่งที่เธอเป็นอยู่
ทางบ้านรับรู้เพียงว่าเธอสุขภาพไม่ดี ....

ฉันนั่งนึกถึงแม่เธอที่เคยเจอะเจอเมื่อปีก่อน ผู้หญิงที่ดูเข้มแข็ง แกร่ง
อย่างไม่น่าเชื่อ แม่เธอบอกเสมอว่าที่ท่านอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเธอ
เธอเป็นกำลังใจในการต่อสู้และการดำเนินไปของชีวิต..... แม่เธอจะรับได้ไหม
ถ้าวันนึงรู้ว่า กำลังใจของแม่กำลังจะจากไป...

ฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับจากอาการข้างเคียงของโรคผ่านตัวหนังสือใน
Diary สีน้ำเงิน เธอเขียนไว้ว่า หลายต่อหลายครั้งที่เธอร้องไห้
และคิดถึงเพื่อนอย่างฉัน ยิ่งช่วงท้าย ๆ ของ Diary
ฉันได้เห็นชื่อของตัวเองบ่อยครั้งขึ้น
บ่อยมากจนรู้สึกว่าเวลานั้นเธอคงอยากให้ฉันอยู่ใกล้ๆ เธอจริง ๆ
แต่เธอไม่เคยโกรธที่ฉันห่างหายมาอย่างนี้ เธอบอกว่า
เธอรู้ข่าวคราวและความเป็นไปของฉันตลอดจากเพื่อนอีกคน
เธอรู้ว่าฉันเองก็มีเรื่องทุกข์ใจที่ต้องเผชิญอยู่เช่นกันเธอถึงไม่เคยเรียกร้องที่จะให้ฉันไปอยู่ข้างเธอยามนี้
....

ฉันอ่าน Diary สีน้ำเงินเล่มนี้จนจบ ข้อความท้าย ๆ ของ Diary
คล้ายจะเป็นการสั่งเสีย ..เหมือนเธอรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ
และเธอกำลังต้องการเพื่อนสักคนในเวลานี้ และคน ๆ นั้นก็คือฉัน

“ หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน
ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน”

แล้วฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้ง มันเป็นข้อความสุดท้ายใน Diary
สีน้ำเงินเล่มนี้ ..ฉันอ่านมันจนจบ พร้อมกับปิดมันลงด้วยความรู้สึกผิด
นานแค่ไหนแล้วที่ฉันทำเพื่อนคนหนึ่งหายไปกับกาลเวลา
นี่ฉันเป็นเพื่อนชนิดไหนกันนี่
ยามที่เธอต้องการฉัน ฉันกลับห่างหายมาอย่างนี้

ฉันขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ฉันสัญญา
พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเหมือนก่อน กลับไปอยู่ข้างๆ
เธอยามที่เธอต้องการเพื่อนสักคน ....
แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปหาเธอแต่เช้า
กลับไปทำหน้าที่ของเพื่อนที่พึงทำให้เพื่อน
...ฉันสัญญา เธอคงกำลังรอฉันอยู่ ....

วันนี้ฉันมาหาเธอที่บ้าน แต่สิ่งที่ฉันพบ ....
คือร่างของเธอที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า
...พบแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจ
แม่โผเข้ากอดฉันเหมือนกำลังจะบอกว่า เธอไปแล้ว เธอจากไปแล้ว......
ฉันมาช้าไป มาช้าไปจริง ๆ
ฉันมาไม่ทันลมหายใจสุดท้ายของเธอด้วยซ้ำ ...

แม่เธอเล่าให้ฉันฟังหลังจากงานศพของเธอผ่านไป ...
แม่บอกว่าเธอมักจะพูดคุยถึงเรื่องราวของฉันให้แม่เธอได้รับรู้เสมอ
...เมื่อไหร่ที่เธอรับรู้ว่าฉันกำลังทุกข์ก็ดูเหมือนเธอกำลังทุกข์ไปกับฉันด้วย
..
แม่เคยบอกให้เธอมาหาฉันแต่เธอปฏิเสธ
เพราะเธอไม่อยากให้ฉันเห็นเธอในสภาพก่อนที่เธอจะจากไป
เธอกลัวว่าฉันจะเป็นห่วงเป็นกังวลไปกับเรื่องราวของเธอ
..แม่เธอบอกกับฉันว่าเธอห่วงฉันมาก แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ
เธอยังบอกกับแม่ว่า
ถ้าฉันมาที่บ้าน แสดงว่าฉันคงไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกแย่กับชีวิต
..ฉันถึงพาตัวเองมาหาทะเลมาหาเพื่อนอย่างเธอ
...เธอฝากให้แม่ดูแลฉันแทนเธอด้วย ...

น้ำตาฉันยังคงอาบแก้ม ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ
ความห่วงใยที่เธอมีให้กันเสมอจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอทะเลหน้าบ้านเธอที่ฉันเคยบอกว่า
เป็นทะเลที่สวยที่สุด วันนี้มันดูเศร้าไปถนัดตา ...หลับให้สบายเถอะเพื่อน
ฉันจะไม่มีวันลืมเพื่อนอย่างเธอไปได้เลย ..ฉันสัญญา...

วันนี้ฉันนั่งสำรวจตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับถามตัวเองว่า
ฉันทำใครหล่นหายไปกับกาลเวลาอีกไหม ... แล้วถ้าฉันพบว่ามี
ฉันจะรีบกลับไปทวงถามให้เค้ากลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ
และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาเค้าไว้กับฉันตลอดไป
...

เพื่อนยังอยู่ในใจเสมอ

ไผ่(ตัวเล็ก) : ผู้แต่ง



Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 1:36:44 น.
Counter : 630 Pageviews.

1 comment
พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
เราต่างมีวันนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น
หลายครั้งที่เราบอก กับตัวเองว่า "พรุ่งนี้"
พรุ่งนี้ค่อยทำ พรุ่งนี้ฉันจะรักเธอ
พรุ่งนี้ฉันจะฝึกสมาธิ พรุ่งนี้ฉันจะกินมังสวิรัติ
พรุ่งนี้ฉันจะเลิกบุหรี่ พรุ่งนี้ฉันจะขอโทษเขา พรุ่งให้อภัย
สารพัดสารพันพรุ่งนี้.... แต่ พรุ่งนี้..ไม่เคยมาถึง
ในความเป็นจริง เราไม่ได้มีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้
เรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้ กับห้วงเวลานี้เท่านั้น
ไม่มีใครจะล่วงรู้ได้เลยว่าเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น
หากห้วงยามนี้ฉันหลับตาลง และหลับไปอย่างนิจนิรันดร์
คงมีหลายอย่างที่ฉันพลาดไป และไม่ได้ทำในชีวิต
หลายครั้งเรารอให้โอกาสมาถึง รอให้วันพรุ่งนี้มาถึง
แต่โอกาสไม่มีวันมาถึง วันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้น
ไม่เพียงแต่เรากำลังหลอกตัวเอง แต่เรากำลังหลอกคนรอบข้าง
จริงแล้ว โอกาสอยู่ในมือเราแล้วตอนนี้ เวลานี้
โอกาสอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา
และก่อนที่เราจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
พระพุทธเจ้าสอนเราให้อยู่กับ "ปัจจุบันขณะ"
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี พูดว่า "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว"
"โอโช" บอกเราว่า "Why Tomorrow?,Why not now.!"
ใช่สิ ทำไม...ทำไมไม่เดี๋ยวนี้! เราเคยลองถามตัวเองไหม
หากได้มองกลับเข้าไปในชีวิต เราชอบที่จะผลัดวันประกันพรุ่งให้กับตัวเองและชีวิต
จริงแล้วการผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเพียงกลอุบายของจิต-ที่ทำให้เรารู้สึกมีความหวัง
แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราพลาดโอกาสไป
ในที่สุดเราก็จะมาถึงทางตันของชีวิต คือ "ความตาย"
และสุดท้ายแล้วก็ไม่มีโอกาสใดๆ หลงเหลืออีกเลยในชีวิต


ทำไมเราไม่ลองคิดว่า เราเหลือเพียงวินาทีสุดท้ายในชีวิต
เรากำลังจะตายไปจากโลกนี้ หรือโลกนี้จะแตกดับไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
หากคิดเช่นนั้น...ชีวิตเราคงจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...
เราคงจะมีชีวิตอยู่กับ "ชีวิตจริงๆ" ของเรามากขึ้น
มากกว่าที่มีชีวิตอยู่กับบ้านหลังใหญ่ หรือหลังต่อไป
รถคันใหม่ หรือคันต่อๆ ไป ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงในธนาคาร
เก้าอี้ในสำนักงาน ตำแหน่งที่วาดหวัง
หรืออยู่กับการเข่นฆ่า แย่งชิงความเป็นใหญ่ หรือการทำสงครามใดๆ ในโลก
คนส่วนใหญ่วางแผนการดำเนินชีวิตไว้ราวกับว่า
ชีวิตคือสิ่งที่ออกแบบได้ตายตัว และเป็นอมตะนิรันดร์
เขาวางไว้ว่าจะเรียนจบเมื่ออายุ 21 หลังจากนั้นทำงาน
เก็บเงินแต่งงานเมื่ออายุ 29 จะมีลูกเมื่อ อายุ 32
แล้วก็จะปลดละวางตัวเองตอนอายุ 50
เสร็จแล้วก็จะเดินทางค้นหาความจริงให้กับชีวิต หรือจะเข้าวัด
บ้างก็ว่าจะเดินทางรอบโลก บ้างก็ว่าจะพักผ่อนหาความสุขให้กับชีวิต
แต่เราแน่ใจได้หรือว่า วันเหล่านั้นจะมาถึง
หรือคุณจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันนั้น
ไม่หรอก...มันไม่มี เรามีเพียงวันนี้ และวินาทีนี้เท่านั้น
อย่าลังเลที่จะทำอะไร หรือเติมสิ่งดีๆให้ชีวิตเลย
การพักผ่อนไม่ใช่จะมีได้เมื่อตอนปลดเกษียณ
ฮันนีมูนก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้เฉพาะตอนแต่งงานใหม่ๆ
การจะบอกรักใครสักคนก็ไม่ใช่บอกในวันที่เขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว
หรือบางครั้งเราเองต่างหากที่จะจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกคำนั้นกับใครสักคน
การค้นหาความจริงแห่งชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน
มันไม่มีป้ายบอก วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต และวันหมดอายุ
มันมีอยู่จริงไม่ว่าเราจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ตาม
มีแต่ชีวิตเราต่างหากที่มีวันหมดอายุ
หากวันนี้เราคิดที่จะศึกษาหรือค้นหาความจริงแห่งชีวิต
ความจริงก็ได้เปิดออกอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อย่ารีรออีกเลย
เพราะพรุ่งนี้... จะไม่มีวันมาถึง

จิม โรห์น : ผู้แต่ง



Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 1:36:02 น.
Counter : 677 Pageviews.

1 comment
จดหมายถึงพ่อของหนู
จดหมายถึงพ่อของหนู
"สีจาง" เป็นชื่อที่หนูเคยโดนเพื่อนๆ ล้อเสมอ ชื่อที่ฟังดูแล้วเชย
หนูเคยถามแม่ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้หนู แม่บอกหนูให้ไปถามพ่อ
เพราะพ่อเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้หนู แม่บอกว่าถ้าหนูไม่ชอบ เอาไว้โตขึ้นหนูเปลี่ยนก็ได้
แม่คงดูออกว่าหนูไม่ชอบชื่อนี้ ทั้งที่หนูก็ไม่ได้บอกว่าหนูไม่ชอบเลย
แต่แล้วหนูก็ไม่กล้าถามพ่อ หนูกับพ่อไม่ค่อยได้พูดคุยกัน
ไม่รู้เพราะอะไรทำให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปทุกวันๆ
ทั้งที่ความทรงจำเมื่อตอนที่หนูยังเด็ก กลับมีแต่ภาพของพ่อกับหนูเต็มไปหมด
เหมือนภาพที่พ่อหยอกล้อเด็กข้างบ้าน หนูรู้พ่อชอบเด็กๆ พ่อไม่รู้หรอกว่า ลึก ๆ แล้วหนูอิจฉา
และน้อยใจพ่อแค่ไหน ถ้าการที่หนูโตขึ้นนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ของหนูกับพ่อเลือนหายไป
ทำให้เราพูดกันน้อยลง หนูก็อยากจะเป็นเด็กเช่นวันวานนั้นตลอดไป
พ่อคนที่หนูขี่คอ เมื่อหนูขี้เกียจเดิน และแกล้งหกล้ม ....................
....................หนูคิดถึงพ่อค่ะ............................
หนูอยากบอกพ่อว่าหนูภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ หนูอาจจะเคยน้อยใจ
ที่เราเกิดมาไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่น
เหมือนน้าผู้หญิงที่เป็นเมียครูและมีหน้ามีตา คนที่เคยเป็นพี่เลี้ยงหนู หนูจำได้ เมื่อหนูยังเด็ก
เราเคยสะดวกสะบายแค่ไหน หนูเคยเกลียดน้าผู้หญิง และคนอื่นๆ ที่เคยมาอาศัยบ้านเรา
ทำงานเพื่อแลกกับเงิน แต่พวกเค้ากลับไม่เคยมาเยี่ยมเยือนถามข่าวคลาวเมื่อพ่อป่วย
หรือแม้แต่ให้ความช่วยเหลือ เมื่อแม่เอ่ยปากขอยืมเงินเพื่อมารักษาพ่อ
ฐานะของเราเริ่มถอยลง เพราะพี่ ๆ เริ่มเรียนสูงขึ้น ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่
มีกันถึง 10 คน และคนงานอีกหลายคนที่มาอาศัยอยู่ด้วย และหนูก็ห่างจากพี่ๆ
ตั้งเกือบ 10 ปี นั่นทำให้หนูยังเป็นเด็กในสายตาของทุกคน
ทำไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง ยังแปลกใจว่าหนูใช่ลูกของพ่อแม่รึเปล่า แต่ไม่กล้าถาม
แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็อยากจะให้พวกเราเรียนให้สูงเท่าที่จะเรียนได้
พ่อไม่เคยบ่นให้เราฟังว่าพ่อเหนื่อยแค่ไหน ที่พ่อต้องทำงานหนัก
พ่อไม่เคยบอกพวกเราเลยซักคำว่าไม่มีเงิน พ่อเข้มแข็ง และเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกๆ เสมอ
หนูเคยคิดน้อยใจพ่อ ที่พ่อจากพวกเราไป ทิ้งให้พวกเราต้องลำบาก
หลังจากที่พ่อจากไป แม่ขายบ้านหลังนึง เพื่อใช้หนี้ทั้งหมด
และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน บ้านหลังที่มีระเบียงกว้างๆ หนูชอบนอนดูดาวตรงนั้น
และทุกครั้งหนูจะหลับอยู่ตรงนั้น แต่พอตื่นมาอีกที หนูก็จะอยู่บนที่นอนแล้ว
หนูชอบที่จะไปนอนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ ถ้าวันไหนอยากฟังนิทาน
ก็จะไปขอนอนกับพี่ พี่ที่ ถึงแม้จะเป็นผู้ชาย และห่างกันเกือบ 10 ปี
แต่ก็ยอมเล่านิทานก่อนนอนให้น้องฟังเสมอๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเดิม ซ้ำไปซ้ำมา
แต่หนูก็ชอบนิทานเรื่องนั้นมาก พี่คนที่เคยผูกชิงช้าให้น้อง หนูขอให้พี่เค้าไกวแรงๆ
จนเชือกขาด หนูร้องไห้ พี่หน้าซีดรีบวิ่งไปอุ้มหนูแล้วเขย่า ๆ
วันนั้นพี่โดนพ่อดุ และอีกหลายครั้งที่พี่โดนดุ เพราะหนู ถ้าวันไหนหนูโดนแกล้งมาจากที่อื่น
หนูจะฟ้องพ่อกับแม่ว่าพี่แกล้งหนูทุกครั้ง
เพราะหนูเจ็บใจที่ทำอะไรพวกนั้นไม่ได้ แต่หนูก็เสียใจนะที่พี่โดนดุ แต่หนูก็เด็กเกินไป
และเอาแต่ใจเกินไป........ ถ้าตอนนั้นหนูเป็นพี่นะ
หนูคงจะเกลียดเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจคนนี้มากเลยแหละ
พ่อคะ พ่อคงไม่โกรธพี่ๆ นะคะ ที่เค้าไม่เรียนต่อ
หลังจากที่พ่อจากพวกเราไปแล้ว พี่เค้าบอกว่า พี่เค้าขี้เกียจเรียน อยากจะทำงาน
แต่พ่อคะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะ เราสะบายขึ้นมามากแล้ว โรงงานของเรา
เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว พี่ๆ เค้าช่วยกันดูแลกันอยู่ และพี่ ๆ
เค้าก็ขอให้เจนเรียนสูงๆ เหมือนที่พ่อหวังไว้กับพวกเรา หนูจะตั้งใจเรียนคะพ่อ
อาจมีบ้างที่หนูขี้เกียจ แต่หนูก็ไม่เคยเหลวไหลนะคะพ่อ แต่พี่ ๆ
เค้าก็ยังแกล้งหนูอยู่ บางทีก็บังคับให้หนูตั้งใจเรียน เรียนให้เก่งๆ
ทั้งที่ตัวเองก็ไม่เห็นเอาถ่านเลย ห้ามโน่น ห้ามนี่ ห้ามมีแฟน ทั้งที่ตัวเองเจ้าชู้จะตาย
ไม่เห็นเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้เลย ชิ! ดีแต่ห้าม ๆๆๆ
แต่หนูไม่เคยทำให้แม่ต้องเป็นห่วง แต่มีเรื่องนึงที่หนูทำไม่ได้
เหมือนที่พ่อเคยบอกว่าหนูไม่ได้เลือดพ่อเลย พ่อเล่นกีฬาเก่ง พี่ๆ ก็เก่งกันทุกคน เว้นหนูคนเดียว
เมื่อพ่อไปพนันกับเพื่อน ในการแข่งกีฬาประจำโรงเรียน
ว่าหนูจะต้องชนะการวิ่งครั้งนั้น แต่หนูกลับได้อันดับสุดท้าย แต่หนูก็สู้เต็มที่แล้วนะ แค้นใจมากเลย
ไม่รู้อะไรทำให้พ่อมั่นใจว่าหนูจะชนะในครั้งนั้น
แต่หนูก็ได้นิสัยส่วนนึงมาจากพ่อแหละ แม่บอกว่า ก่อนที่พ่อจะจากไป
พ่อบอกว่าพ่อยังห่วงหนูคนเดียว พ่อก็ยังเห็นว่าหนูเป็นเด็กอยู่หล่ะสิ
หนูโตแล้วนะ และหนูก็เข้มแข็งเหมือนพ่อ แต่ถ้ายังมีพ่ออยู่ อะไรๆ ก็คงจะดีกว่านี้
หนูคงมีเรื่องราวที่จะเล่าให้พ่อฟังเยอะแยะ
หนูรู้ว่าพ่อจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจหนู
หนูเคยแอบได้ยิน พ่อคุยกับแม่นะ ตอนที่พ่อป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
หนูแกล้งหลับ หนูได้ยินเสียงพ่อร้องโอดครวญ พ่อคงเจ็บมาก จากการผ่าตัด
พ่อขอให้แม่เอายานอนหลับให้พ่อกิน พ่อไม่อยากทรมาน แม่ร้องไห้ แม่ขอให้พ่ออยู่ต่อไป
เหมือนที่แม่เคยบอกไว้กับพ่อ เมื่อตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาลตอนนั้น
แม่ขอไปก่อนพ่อ แม่ขอให้พ่ออยู่เพื่อให้แม่จากไปก่อน แม่ยังคงร้องไห้ หนูร้องไห้
พ่อเจ็บ หนูรู้ว่าแม่ก็เจ็บเหมือนกัน แม่ไม่เคยห่างพ่อเลย
เหมือนกับที่พ่อไม่เคยห่างแม่เมื่อแม่ป่วย พ่อจะอยู่เฝ้าแม่ตลอด พ่อจะไม่กลับบ้านเลย
จนกว่าแม่จะออกจากโรงพยาบาล แม่ต้องทานยาทุกวัน เพราะแม่เป็นโรคหัวใจ
แม่คงทำใจไม่ได้ที่พ่อต้องมาจากไปก่อน

เมื่อตอนที่พ่อจากไปแรกๆ หนูรู้สึกเหมือนว่าพ่อไม่ได้ไปไหน
พ่อไม่ได้จากเราไป หนูไม่มีแม้แต่น้ำตาซักหยด แต่พอเวลาผ่านไป หนูเริ่มคิดถึงพ่อ
พ่อจากไปจริงๆ หนูเริ่มรับรู้ หนูเสียพ่อไปแล้วจริง ๆ หนูยังคงร้องไห้คิดถึงพ่อ
เมื่อหนูท้อแท้ เมื่อหนูผิดหวัง และต้องการที่จะปรึกษากับใครซักคน
หนูอยากให้พ่อกลับมา กลับมาอยู่กับพวกเราเหมือนเดิม หนูรู้จักผู้คนมากมาย
แต่ไม่มีใครที่จะอบอุ่นใจได้เหมือนอยู่กับพ่อเลย ในชีวิตหนู
หนูจะโชคดีเหมือนแม่บ้างมั๊ย ที่มีพ่อเป็นคู่ชีวิต ตั้งแต่หนูจำความได้
หนูไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว พ่อไม่เคยขึ้นเสียงกับแม่เลย .......

ตอนนี้หนูรู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อเหลือเกินค่ะ
ถึงหนูจะไม่ได้ดีเลิศ เหมือนคนอื่นเค้า แต่หนูก็ไม่เคยทำให้แฟนของพ่อเสียใจ
และร้องไห้นะ เออ เสียแต่แฟนของพ่อ จะภูมิใจสิไม่ว่า ที่มีลูกดี ๆ อย่างหนู หนูรู้
หนูเป็นเด็กดี จาก ด.ญ. สีจาง ตอนนี้ เป็น นางสาว แล้วนะคะ
หนูไม่อยากรู้ว่าชื่อนี้หมายความว่าอะไรอีกแล้วค่ะ เพราะหนูรู้แล้วว่า
มันคือความรักจากพ่อที่มีต่อหนูนั่นเอง หนูอยากให้พ่อรับรู้เหลือเกิน....
ว่าหนูรักพ่อมากแค่ไหน หนูรู้ว่าพ่อรับรู้ จากที่ไหนซักแห่ง

บันทึกจาก "หนู" ของพ่อ
สีจาง : ผู้แต่ง



Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 1:35:22 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comment
อวัยวะอะไรสำคัญที่สุด
อวัยวะอะไรสำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทาย สิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก
เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็ก...
ผมเคยคิดว่าเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังนั้น ผมจึงบอกว่า “ แม่ มันคือ หู ผมไง ”
แต่แม่บอกว่า “ ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวก แต่ก็ยังอยู่ได้ ”
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะ แล้วเร็วๆนี้แม่จะถามลูกใหม่
หลายปีผ่านไปก่อนที่ แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรกผมก็พยายามครุ่นคิด
หาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมา
และในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า
” แม่ การมองเห็น สำคัญมากสำหรับทุกๆ คน
ดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลย ที่สำคัญที่สุด ”
แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า
” ลูกเรียนรู้ได้เร็วมาก แต่
ว่าคำตอบยังไม่ถูกจ้ะ เพราะว่า ยังมีคนมากมายที่ตาบอดแต่ก็ยังอยู่ได้ ”
อึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้า หาความรู้ต่อมาอีกหลายปี
และแม่ก็ยังคงถามผมอีก หลายครั้ง และทุกครั้ง
คำตอบของแม่ก็คือ ” ไม่ใช่จ้ะ แต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุกๆ นะจ๊ะ ลูกรัก ”
จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลง ...
ทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก ทุกคนร้องไห้
แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วย ผมจำได้ดีเพราะว่า มันเป็นเพียงครั้งที่สอง ที่ผมเห็นพ่อร้องไห้
แม่มองมาที่ผม ตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่ แล้วแม่ก็ถามผมว่า
” ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุด ลูกรัก ? ”
ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์ระหว่างผมกับแม่
แม่มองเห็นสีหน้ามึนของของผม และก็บอกว่า
” คำถามนี้สำคัญมากลูกมันแสดงให้เห็นความจริง ในชีวิตของเรา
สำหรับอวัยวะต่างๆที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญ ในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่า มันผิดมาตลอด
พร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิด
แต่ว่าวันนี้ เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด
แม่ก้มลงมองมาที่ผม ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนนึงจะทำได้
ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า
” ลูกรัก ส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ “ บ่า ” จ้ะ ”
ผมถามแม่ว่า ” เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ ใช่มั้ยครับ? ”
แม่ตอบว่า “ ไม่ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับ ศรีษะของเพื่อนของเรา หรือ คนที่เรารัก
เมื่อยามที่เค้าร้องไห้ คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคนไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต
ลูกรักแม่เพียงแต่หวังว่า ลูกจะมี เพื่อนและคนรัก
ที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้ ยามเมื่อลูกต้องการ
ตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเรา คือการไม่เห็นแก่ตัว
และ มันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับ คนเราอาจจะลืม สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งทีคุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม สิ่งที่ทำให้เค้าเค้า ” รู้สึก ” ได้......
ต้นฉบับของจม.ฉบับนี้มาจาก ไหนไม่ทราบ
แต่มันจะนำพรประเสริฐมาสู่คนที่เผยแพร่ข้อความนี้ออกไปต่อๆกัน เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....
คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอก
แต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณ ตลอดเวลา........

fw mail



Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 1:34:46 น.
Counter : 807 Pageviews.

4 comment
คู่มือเลี้ยงแม่
คู่มือเลี้ยงแม่
จากคอลัมน์ แกว่งเท้าหาเสี้ยน โดย พิง ลำพระเพลิง มติชน 10 มิถุนายน 2544

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา
ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ ก็มาโอบอุ้มถูกเนื้อต้องตัวเรา มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ ... พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ "มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว" ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ
เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ ... ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น ... วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร..ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย ... พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้ มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน ดีนะ ว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ
ใช่มั้ย เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วย ว่าเราจะไปทำอะไรอยากเป็นอะไร "แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย พวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย" ... นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ ... ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้ .... จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่...ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ....ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก... อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ
พอเห็นหลานตัวเล็กๆ วิ่งเข้าไปกอด ก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง ... หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆ
มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด .....ผู้หญิงคนนั้น นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต.…..



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:49:44 น.
Counter : 732 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend