การเล่าเรียนปีแรก มช. 2519
ศาลาธรรม
ตอนเข้ามาเรียน มช. ปีหนึ่งตอนนั้นเป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระเบียบใหม่ของมหาวิทยาลัยว่าด้วยการรีไทร์
เดิมจะมีรีไทร์เฉพาะปี 1 ถ้าเรียนแล้วได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 1.5 แล้วปีสองขึ้นไปจะไม่มีการรีไทร์ แต่ต้องเรียนให้ครบหลักสูตรให้ครบภายในแปดปีสำหรับหลักสูตรสี่ปี สิบปีสำหรับหลักสูตรห้าปีตอนนนั้นก็มีคณะเภสัชศาสตร์ และสิบสองปีสำหรับหลักสูตรหกปีอันได้แก่แพทย์ และทันตแพทย์
ส่วนระเบียบใหม่ ปีหนึ่งจะถูกรีไทร์เมื่อได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 1.5 ปีสองขึ้นไปจะต้องไม่ให้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 1.75
เมื่อเข้าไปเรียนใหม่ ๆ จึงมีพวกที่ยังหลงระเริงแสงสีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ได้พบเพื่อนใหม่ ได้ไปเที่ยวสถานที่ที่ได้มาอยู่ใหม่จึงทำให้เกรดจะไม่ค่อยดีในเทอมแรก
พอขึ้นเทอมสอง พวกที่เรียนคณะเราที่ต้องเรียนวิชาหลักและวิชาบังคับเลือกอยู่แล้วร่วมเทอมละ 22 หน่วยกิต ถ้าจำไม่ผิดเขาให้ลงได้เทอมหนึ่งสูงสุด 25 หน่วยกิตต้องไปหาลงวิชาที่จะฟัน A มาให้ได้ช้วร์ ๆ
วิชาและคณะที่หอมหวลที่สุดก็คือวิชา stat หรือสถิติ ของคณะศึกษาศาสตร์ คณะที่นิยมไปลงเพื่อดึงเกรดขึ้นคือพวกวิศวะ และสายแพทย์นี่แหละเพราะพวกนี้จะเคยเรียนมาตอนอยู่ ม.ศ. 4-5 อยู่แล้ว พอถึงเวลาเรียนส่วนใหญ่จะโดด แล้วจะไปแต่ตอนสอบ อาจารย์ที่สอนก็เลยมีมาตรการเช็คชื่อให้คะแนนคนเข้าเรียนด้วย ไม่งั้นขยันเรียนก็ยังโดนเป็นฐาน curve ของพวกขี้เกียจอยู่ดี
มีเพื่อนเราคนหนึ่งเป็นไม่เบื่อไม้เมากับภาษาอังกฤษมาก เขาเรียน ประวัติศาสตร์คณะมนุษย์ศาสตร์ แล้วขอย้ายไปเรียน รัฐศาสตร์ ตอนนั้นสังกัดคณะสังคม ลงภาษาอังกฤษตัวแรกก็หลายทีกว่าจะผ่าน ตัวที่สองน่าจะตัวสุดท้ายเธอไม่ยอมลงเก็บเอาไว้ลงเทอมสุดท้าย ... วิธีนี้ก็เรียนรอดมาเหมือนกันเนาะ
อีกวิชาที่นิยมคือ rhythm ของ พลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์เช่นกัน เป็นวิชาที่สอนการเต้นรำแบบ step ต่าง ๆ วิชานี้หนุ่ม ๆ ชอบไปลงกันมาก เพราะสมัยนั้นยังค่อนข้างถือเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงกันอยู่
เมื่อพยายามวิธีปกติกันแล้วก็ จะมีวิธีไสยศาสตร์ คือบนศาลพระภูมิหน้ามอ และองค์พระธาตุดอยสุเทพ
การแก้บนก็มีทั้งวิ่งรอบสนามหน้ามอ เดินขึ้นไปวัดพระธาตุดอยสุเทพทางที่รถวิ่ง ระยะทาง 14 กม. ก็เดินเคยขึ้นกันมาแล้วตอนรับน้อง
ภาพนี้ราวปี 249X
ทางลัดเดินขึ้นดอยสุเทพบ้างก็ว่าไปทางวัดฝายหินก็ได้ แต่ที่เคยไปจะไปทางหลังมอ สุดถนนสุเทพ จะขึ้นเนินหากเลี้ยวซ้ายจะเข้าอ่างเก็บน้ำศูนย์เกษตร และร้านอาหารกาแล แต่ทางขวามีทางคนเดินเพื่อขึ้นดอยสุเทพ ทางนี้จะไปเจอถนนรถวิ่งที่หน้าบ้านผาลาด ซึ่งตอนนั้นจะมีบ้านรับรองแขกบ้านแขกเมืองอยู่ บ้านผาลาดเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงรูปตัว I หลังคาแดง หน้าบ้านเป็นระเบียงทอดตลอดความยาวของบ้านและมีพวงแสดเลื้อยอยู่ ตรงกลางเป็นโถง มีเตาผิงชิดผนังด้านหลัง ด้านซ้ายและขวาเป็นห้องนอน ปลูกชิดเขา ซึ่งถ้าเข้าบ้านทางด้านหลังบ้านจะขึ้นบันไดแค่ขั้นเดียว ข้างบ้านน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ริมถนนขึ้นดอยสุเทพราว ๆ กม. 7 ... ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า จากตรงนี้ก็จะมีทางเดินป่าขึ้นต่อจนไปโผล่ที่โค้งขุนกัน คือโค้งหักศอกสุดท้ายก่อนถึงวัดพระธาตุ
และจากนี้ไปต้องตั้งใจเรียนแล้ว เมื่อรอดหวุดหวิดมาได้ ก้มีเพื่อนเราคนหนึ่งอยู่คณะมนุษย์ก็ถูกรีไทร์ไป แต่ระหว่างที่เขาเรียนปีหนึ่งที่นี่เขาก็ได้ลงทะเบียนเรียนรามควบไปด้วย ที่จริงเขาห้ามนะตอนนั้นแต่เขาคงตรวจสอบไม่ได้ ก็เลยจบพร้อม ๆ กับเพื่อนรุ่นเดียวกันได้
ปลายปีก็ได้ไปเลี้ยงกันที่รอดมาได้ ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่เชียงใหม่
ช่วง summer ก็มีบางวิชาที่คนเรียนรวมหลายคณะเปิด เช่นภาษาอังกฤษ หรือเปิดให้ซ่อม ก็ลงได้ สูงสุด 10 หน่วยกิตสำหรับคนที่อยากจบไว ๆ จำได้ว่าลง แต่จำวิชาไม่ได้ แต่เราไม่เคยสอบซ่อม เคยแต่ได้ D มาตัวหนึ่งตอนปีสอง
Create Date : 06 สิงหาคม 2553 |
|
31 comments |
Last Update : 22 สิงหาคม 2553 12:17:23 น. |
Counter : 3583 Pageviews. |
|
|
34ปีมาแล้ว จะมีก็แต่คนที่บ้านที่ทายถูก