คณะเราเป็นคณะที่มีนักศึกษาน้อยมาก รุ่นเราก็ 47 คน เพราะคนสุดท้ายรหัส 47 พอขึ้นปีสองก็มีคนถูกไทร์บ้าง สอบใหม่ติดก็ย้ายที่เรียนบ้าง ช้า บ้าง แต่ก็มีรุ่นพี่ที่ลงมาเรียนด้วยกับพวกเราเพราะบางวิชาจะเปิดปีละครั้งถ้าติดก็ติดไปเลยหนึ่งปี ตอนจบพวกเราจบกัน 44 คน ... จำแม่นอีกก็ เพราะเราต้องแบ่งกลุ่มทำงานห้ากลุ่ม กลุ่มละ 9 คนแต่กลุ่มเรามี 8 คน รวมแล้ว 44 คนรุ่นน้องเข้ามาใหม่ เราก็มีน้องรหัสหนึ่งคนเป็นผู้ชาย " คนเมือง " ... คนเหนือจะเรียกตัวเองว่าคนเมือง อู้กำเมือง กิ๋นกับเข้าเมือง ... สามีเคยถูกคุณแม่ถามว่าเป็นคนเมืองหรือคนไทย ทำเอางง แล้วตอบตามสัญชาตญาณว่า " คนไทยครับ " ทั้งที่ในใจคงจะคิดว่า ก็เราเป็นคนไทยไม่ใช่ต่างด้าวซักหน่อย เพราะคนภาคอื่นที่ไม่ได้เป็นคนเมือง หมู่เฮาคนเมืองจะฮ้องว่า " คนไทย " หมดเลยได้น้องผู้ชายเราจึงสบายมาก ไม่ค่อยได้ช่วยน้องเท่าที่พี่รหัสได้ช่วยเหลือเรา ครอบครัวรหัสหมายถึง ทุกชั้นปีที่มีระหัสเลขท้ายตรงกัน คณะเราก็สองตัวเช่น รหัส 197401 ( สมัยเรามีแต่ 6 หลัก ) ก็มีครอบครัวหัสที่ 01 เช่น มีน้องรหัส 207401 พี่รหัส 187401,177401 เป็นต้นแต่รุ่นเราก็มีหน้าที่ต้องคอยคุมน้องเชียร์ พารับน้องขึ้นดอย และก็จัดงานรับน้อง ... เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนมกันเร็วขึ้น ... ที่คณะเราไม่ค่อยมีพื้นที่มากเมื่อเดินสำรวจรอบคณะก็ลงความเห็น เลือกบริเวณ ที่คนไข้นั่งรอทำบัตรซึ่งวันเสาร์อาทิตย์จะว่างตลอด รับน้องในตอนกลางวันและมีงานรับน้องขันโตกดินเนอร์ที่ ฟู้ดเซนเตอร์ของคณะในตอนกลางคืน ... ศูนย์อาหารของคณะจะเป็นลานใต้ถุนตึก มีเจ้าที่มาขายอาหารอยู่เจ้าเดียวหรือสองเจ้าแค่นี้แหละ บอกแล้วว่าเป็นคณะเล็ก ๆ ไงปีสองนี้เราก็ยังต้องเรียนวิชาพื้นฐานที่ฝั่ง ม.ช. อยู่เหมือนเดิมคือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แมท ที่คณะวิทยาศาสตร์ อังกฤษ ที่คณะมนุษย์ เศรษฐศาสตร์ และวิชาที่จดจำได้คือ soc สังคมวิทยามนุษยวิทยา ของคณะสังคมวิชา soc เรียนปี 2 เทอม 2 ที่เรียนต้องท่องจำ วิชาพวกนี้เราจะไม่ชอบเรียนคือโดดบ่อย ( โสน้าหน้าเนาะ ) ไม่ค่อยอ่านจนรู้ตัวเลยว่าเสร็จแน่ ข้อสอบเป็นเติมคำในช่องว่างแบบจะยกมาทั้งหน้าแล้วเว้นคำไว้ให้เติม เป็น D ตัวเดียวที่ได้ ซ่อนเกรดแม่น่าดูเลย กะว่าเปิดเรียนภาคฤดูร้อน จะลง regrade ซะหน่อย เขาปิดวิชานี้ไปเลยค่ะ ไม่มีวิชานี้อีกแล้วในหลักสูตร ถ้าคิดในแง่ดี เราอาจจะสมควรได้ F ก็ได้แต่อาจารย์ก็เห็นว่าเขาจะไม่เปิดสอนอีกแล้วเลยให้ D เรามา แต่ก็ยังเครียดอยู่ดี ปีนี้เราได้นักกีฬาเทนนิสมาเสริมทีมเพียบ มีมือหนึ่งชายมาจากลุ่มน้ำยม- น่าน ชื่อสุรเดช มือสองเป็นหนุ่มคณะมนษย์รูปหล่อ ... เคยเล่นหนังของศุภักษรด้วยละ ชื่อ หน่อง เราจึงเรียกสองหนุ่มหัวหอกที่สำคัญของทีมนี้ว่า สุรเดช - สุรหน่อง ได้นักเทนนิสมาจากโรงเรียนราชินีบน 4 คน แต่ละคนมือหนักทั้งสิ้น ... ตีแรง ... เป็นช่วงที่ทีมสนุกเพราะเราอบอุ่นกันดีมาก เวลาไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย ตอนนั้นน่าจะสองครั้ง มศว. เป็นเจ้าภาพครั้งหนึ่ง และจุฬาเป็นอีกครั้งหนึ่ง น้องที่อยู่กรุงเทพก็จะพาพี่ที่อยู่หัวเมือง ทั้งเดินทั้งขึ้นรถเมล์เที่ยว เช่นพาเดินไปทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแถวศรีย่าน ... เป็นร้านในบ้านถ้าไม่ได้เวลาเปิดจะไม่เปิดประตูรั้ว ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นศรีย่าน ไม่ต้องแปลกใจที่เป็นย่านนี้นะเพราะมหาวิทยาลัยเราไปพักที่สันนิบาตสหกรณ์ และน้องมีบ้านอยู่แถวสวนจิตรการไปกรุงเทพคราวนั้นมีอีกเรื่องที่แปลกมากสำหรับเราคือ รถนักกีฬาเราไปติดอยู่ที่สนามม้านางเลิ้งตอนสนามม้าเลิกพอดี เป็นครั้งแรกที่เห็นคลื่นมนุษย์ไหลออกมาจากประตูสนามม้า นานมาก ไม่หมดซักทีช่วงเวลาตอนเรียนฝั่ง ม.ช.นั้น อาหารเที่ยงจะไปทานกันที่ ยูเนี่ยน เป็นส่วนใหญ่เพราะใกล้และถูก หน้ามอ ก๋วยเตี๋ยวเพ็ญจันทร์แยกประตูสวนดอก ข้าวหมูแดง ข้าวขาหมูนครปฐมอาหารเย็น ที่หอ 4 ชายดังมาก มีข้าวราดแกง น่าจะเกิน 30 อย่างนะฝายหินเป็นเพิงตลาดเล็ก ๆ มีตามสั่งอยู่สองสามร้าน มีผลไม้ ปอเปี๊ยะทอด มีบ้านพักของเจ้าหน้าที่ ทำขนมปังปอนด์ และไอศครีมทำเองขาย เลิกเรียนไปทานบ่อยมาก อยู่ห้องแถวที่สองขวามือหน้ามอ มีร้านข้าวราดแกงและตามสั่งดูดีหน่อยก็มีร้านแกงร้อน ... ร้านเดิมอยู่เยื้องประตูหน้ามหาวิทยาลัยเลย แต่เราไม่เคยไปทานเลย จนเขาเปิดที่แกงร้อนบ้านสวนถึงเพิ่งเคยไป เรื่องเรียนก็เรื่อย ๆ ไปตามเรื่อง เอาเป็นว่าผ่านขึ้นชั้นปีสามได้ก็แล้วกันจบด้วยภาพหลังจากจบมา 25 ปี ก็ไปชมฝั่ง มช.ด้วยกัน ถ่ายรูปกับอ่างแก้วกันใหญ่เลย
แวะมาอ่านศิษย์เก่า มช.ครับ
ตอนไปเที่ยวเชียงใหม่สมัยเด็กๆ ไปเจอหมา american pitbull ตัวนึงหล่อมากค่ะ ชื่อจิมมี่ อยู่ร้านขายของที่ระลึกแถวดอยสุเทพ
พอไปอีกปีถัดไป ก็ไปถามหา จิมมี่
คนขายของบอกว่า จิมมี่ไปอยู่เมือง
งง ไปเลย จิมมี่ไปอยู่เมือง ??
ผ่านไปเกือบสองปี เพิ่งมาเข้าใจว่า
ไปอยู่เมือง น่าจะหมายถึง ลงไปอยู่เชียงใหม่แล้ว (ไม่มาร้านดอยแล้ว) ประมาณนี้หรือเปล่าคะ
(ใช่เปล่าหว่า)