"คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตความสุขในโลกกว้าง" ครั้งนี้ เป็นการเที่ยวแบบ แบ็คแพ็ค เต็มตัวจริง ๆ เป็นทริปที่ยาวนานมากที่สุด ( 29 เมษา ถึง 27 พ.ค. 58) เหนื่อย ทรหด อดทน สุด ๆ ซึ่งวัยอย่างฉัน (67 ปี) ต้องเหนื่อย และอดทนต่อความลำบากในเรื่องที่อยู่ เรื่องอาหารการกิน การขนสัมภาระต่าง ๆ มากกว่า คนอื่น ๆ ซึ่งอายุยังน้อยกว่าฉันเป็นสิบ ยี่สิบ กว่าปี ทั้งนั้น ถึงจะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ตาม แต่ก็ได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างคุ้มค่าจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ก็ได้เจอะเจอครบทุกรสชาติของชีวิต อิอิ
ทริปนี้ เป็นทริป ที่ โกศล มาชวนไป คือ ทริป อเมริกาใต้ แล้วฉันชวนหญิงกับติ่ง แต่ปรากฎว่า เขารับแค่ 10 คน ติ่งเลยอดไป ทริปนี้รวมผู้จัดทริป เป็น 11 คน โดยเป็นแบบทริปกึ่งหารเฉลี่ย คือ ผู้จัดขอค่าบริการจัดทริปคนละ 4000 บาท (ในเรื่องการติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก จัดโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น) เรามีการติดต่อกันโดยตั้งกลุ่มลายน์ อเมริกาใต้ไว้ คอยส่งข่าวคราวความคืบหน้าของทริป
และแล้ว ก็ถึงวันที่เราจะไปผจญภัยกัน ทุกคนในลายน์ดูตื่นเต้นกันมาก หญิง ให้ติ่งมาส่งที่บ้านฉัน เพื่อนั่งรถที่เหลนฉันจะมารับไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะติ่งไปสุวรรณภูมิไม่ถูก หญิงไม่อยากนั่งแท็กซี่ไป เพราะมีเงินที่จะไปเที่ยวหลายหมื่น
วันที่ 28 เม.ย. ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง เม้งมารับฉันไปสนามบิน เครื่องจะออกประมาณ ตีหนึ่งห้าสิบห้านาที ซึ่งก็ต้องนับเป็นวันที่ 29 นั่นเอง ไปถึงสนามบิน เพื่อน ๆ ร่วมทริปมาแล้วหลายคนซึ่งเรายังไม่เคยเห็นหน้า นอกจากรูปในลายน์ ยกเว้นโกศลคนเดียว บี๋ เป็นคนรับตั๋วเครื่องบินมาให้พวกเราทั้งหมด เราเจอ น้องนนท์ ซึ่งเดินมาหาพวกเราและเราก็จำหน้ากันได้ เพราะในลายน์มีรูปให้ดู ทักทายกันแล้ว ก็พากันไปเช็คอิน และเอากระเป๋าไปโหลดกัน ต่างคนก็ยังใหม่ เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ครั้งนี้ที่ไปพร้อมกัน มี 8 คน คือ ฉัน หญิง โก จิน นนท์ บี๋ ติ๋ม และหลิน ส่วน ตุ๊ก จะบินจากแวนคูเวอร์พร้อมกับปีเตอร์ ส่วนแป๋ว ซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์ครั้งนี้ จะไปรอรับพวกเรา 8 คน ที่ ลิมา ประเทศเปรู
ทริปนี้ โชคดี มีคนเก่งภาษาอังกฤษหลายคน มาช่วยหัวหน้าทัวร์ เช่น น้องนนท์ (หมอ นนทกร) บี๋ และตุ๊ก
คืนนี้ เรามาทางเกรด 7 เพื่อขึ้นเครื่องเมื่อถึงเวลา กว่าเครื่องจะออกก็ตีสองครึ่ง ต้องใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง มีอาหารแจกให้ทานบนเครื่องบิน 2 มื้อ นั่งจนก้นเมื่อยไปหมด มาถึงสนามบินอัมสเตอร์ดัม เป็นเวลา 10.30 น.ของเวลาที่นี่ เวลาในไทย ประมาณบ่ายสามโมงกว่า น่าจะช้ากว่าไทย ประมาณ 5 โมง นะ พวกเราอยู่ในสนามบินประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ต่อเครื่องบินเป็นสาย เคเอลเอ็ม เพื่อบินไปที่เมืองลิมา ของประเทศเปรู อีก ประมาณ 13 ชั่วโมง มาดูรูปที่เราถ่ายกันที่สนามบินอัมสเตอร์ดัม ค่ะ
มาถึงสนามบิน ของเมืองลิมาแล้ว ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองไม่ยากนัก ถามว่า มาประเทศเขาทำไม มาอยู่กี่วัน เท่านั้น หลังพิธีแล้ว พวกเราก็ต้องมารอรับกระเป๋า น่าสงสารหญิง กระเป๋าไปหลงอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม ต้องไปทำการแจ้ง เพื่อเป็นหลักฐานในการเคลมเรื่องประกัน คือ ให้ หาซื้อของใช้ต่าง ๆ แล้วเอาใบเสร็จไปเบิกเมื่อกลับกรุงเทพฯ
คนขับรถที่แป๋วส่งมารับที่สนามบินมีสองคัน ชูป้ายให้ทราบว่าใครเป็นผู้ให้มารับ ใช้ชื่อ มาลัยพร กับจินดา
น่าจะประมาณ20 นาทีนะ ก็ถึง โฮสเทล หรือที่เรียกว่า ดอมส์ ต้องหิ้วกระเป๋าขึ้นบีนไดชั้นสองด้วย กรรม ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลยนะเนี่ย ลีฟก็ไม่มี ทุกคนต้องช่วยตัวเอง คนแข็งแรงก็หิ้วขึ้นบันไดไปลิ่ว ๆ ฉันสะพายเป้ด้านหลัง 1 ใบ ค่อย ๆ หิ้วกระเป๋าซัมโซไนส์ ที่หนัก ประมาณ 14 กิโล ค่อย ๆ วางขึ้นบันไดทีละขั้น นี่แหละ ถึงได้บอกว่า จะเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค ให้มาเมื่ออายุยังไม่มาก อิอิ แต่ บุญของฉันยังมีอยู่ หิ้วได้ประมาณ 5-6 ขั้น เจอหนุ่มน้อยน่าจะเป็นชาวจีนหรือคนทางเอเซียนั่นแหละ เขาเดินลงมาจากชั้นสอง ตรงเข้ามาช่วยเหลือ หิ้วขึ้นบันไดไปอีกเป็นสิบ ๆ ขั้น ฉันกล่าวขอบคุณเขาอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ เขาถามฉันว่า มาจากประเทศไหน ฉันตอบเขาว่า มาจากประเทศไทย เขายิ้มกว้างพยักหน้า แล้วลาจากไป เฮ้อ ! รอดตายไป 1 ครั้ง ฮ่าฮ่า
เจอ แป๋ว หัวหน้าทัวร์ อยู่ที่เคาน์เตอร์ พวกเราต้องนำพาสปอร์ตเพื่อลงทะเบียนการเข้าอยู่ในดอมส์นี้ ประมาณ 20 นาทีได้ แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเรากลุ่มละ 2คนบ้าง 3 คนบ้างไปที่ห้อง เห็นห้องแล้ว ก็ต้องทำใจนะจ๊ะ ฉันและโกโดนแยกไปที่ห้องที่แป๋วอยู่ เป็นห้องแคบมาก มีเตียงทั้งหมด 6 เตียง เป็นเตียงสองชั้น แป๋วย้ายขึ้นเตียงบน เพื่อไม่ต้องให้ฉันปีนบันไดขึ้นไป ส่วนอีก 3 เตียงเป็นฝรั่งผู้ชาย ในห้องมีตู้เล็ก ๆ ให้เราเก็บของสำคัญ ทุกคนต้องเตรียมกุญแจมาล็อกเอาเอง พวกฝรั่งวางของระเกะระกะ เวลาเดินต้องระวังไปเหยียบของของเขาเข้า กลิ่นก็ไม่พึงประสงค์ นี่แหละละ ที่เขาเรียกว่า ดอมส์ หรือ ที่ฉันเคยเจอที่ฮ่องกงสมัยแรก ๆ เริ่มเที่ยว เรียกว่า เกสเฮาส์ แต่ไม่อึดอัดมากเท่านี้ ได้รสชาติของชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ห้องน้ำอยู่ในห้องนอน ต้องรอคิวกันเข้า โชคดี พวกฝรั่งส่วนใหญ่กลับมาดึก ๆ หรือเช้าเลย การแย่งเข้าห้องน้ำ จึงมีไม่มากนัก มาดู สภาพดอมส์ แห่งแรกซึ่งมีชื่อว่า Pariwana Backpacker Hostels ฉันถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ
หลังจากที่เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ต้องออกไปหาที่แลกเงินเปรู เรียกว่าเงิน เปโซ ที่เปรูหาที่แลกง่าย มีการบริการให้แลกตามถนนหนทาง และแต่งเป็นชุดแบบฟอร์มด้วยนะ ให้ราคาดีกว่าตามร้านแลกเงินโดยทั่วไป แต่พวกเราก็ยังไม่กล้าแลกเงินเยอะนัก กลัวเงินปลอม แลกกันคนละ 40 ดอล ก่อน แล้วไปหาข้าวทาน เป็นร้านอาหารจีน ฉันสั่งข้าวผัดกินกับหญิง 2 คน เพราะจานใหญ่ กินคนเดียวไม่หมด มาดูบรรยากาศในร้านอาหารกันค่ะ
หลังอาหาร ก็เดินเล่นแถวนั้น และหาร้านค้าที่ขายพวกสบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ของหญิง ซึ่งกระเป๋า ตกเครื่อง แล้วจึงกลับที่พัก
30 เมษายน 58
วันนี้ แป๋ว นัดเวลา 7:8:9 คือทานข้าวเช้า 8 โมงเช้าของที่นี่ 9 โมงเช้า เริ่มทัวร์ การเข้าห้องน้ำเช้านี้ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะฝรั่งที่อยู่ห้องเดียวกัน เขายังไม่กลับมา อิอิ อาหารต้องเดินขึ้นชั้นสาม ซึ่งกลางคืนจะกลายเป็นบาร์ เสียงเฮฮา ปาร์ตี้ สนุกสนานกัน
หลังอาหารเช้า พวกเราก็เริ่มออกจากดอมส์ ก่อนจะเล่าถึงเรื่องเที่ยวในวันนี้ ขอเล่าถึง ประเทศเปรูและ เมือง ลิมา อย่างคร่าว ๆ เป็นพื้นฐานก่อนนะคะ
ประเทศ เปรู หรือ สาธารณรัฐเปรู ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีป อเมริกาใต้ ประเทศเปรู สืบเชื้อสายมาจากวัฒนธรรม Andean หรือ อินคา ตกเป็นอาณานิคมของประเทศสเปนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2067 ได้อิสรภาพ เมื่อ พ.ศ. 2364 ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ ปกครองโดยประธานาธิบดี วาระเดียว 5 ปี
เมือง ลิมา เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเปรู ตั้งอยู่ริมฝั่งตอนกลางของประเทศ เป็นจังหวัดเอกเทศ ไม่ขึ้นกับแคว้นใด เป็นเมืองหลวง
อาหารอร่อยของ ประเทศเปรู ชื่อว่า เซวิเช่ ลักษณะคล้ายสลัดทะเล โดยนำเนื้อปลาสดหรือกุ้งสดที่หมักในน้ำมะนาว และพริกไทย มาผสมกับหัวหอมไทย แต่พวกเรา ก็ไม่มีใครไปลองลิ้มชิมรส
เมืองลิมา เป็นเมืองที่มีเสน่ห์และเป็นขุมทรัพย์แห่งประวัติศาสตร์สำคัญ เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของเผ่าอินคาโบราณ มีพระราชวังที่หรูหราสร้างในยุคอาณานิคมของประเทศสเปน
ทราบความรู้คร่าว ๆ เกี่ยวกับประเทศเปรูแล้ว ต่อไป ก็ตามพวกเราไปเที่ยวสถานที่ตามโปรแกรมของเราค่ะ พวกเรา ขณะนี้ มี 9 คน อีก 2 คน คือ ตุ๊ก และ ปีเตอร์ คงมาช่วงเย็น เราจ้างแท็กซึ่ 2 คัน เพื่อไปเที่ยวชมวิหาร Cathedral of Lima เป็นวิหารที่สร้างในสมัยเป็นอาณานิคม สถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป คือ สเปน วิหารโรมันคาธอลิก แต่ทุกคนไม่อยากเข้า เนื่องจากต้องเสียค่าผ่านประตู คนละ 10 เปโซ แต่เราก็ไปเข้าชมอีกแห่งหนึ่งซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรี เที่ยวบริเวณจัตุรัส มีน้ำพุ มาชมภาพโบสถ์และสิ่งก่อสร้างสวยงาม ค่ะ
พวกเราได้เข้าชมสถานที่อีกแห่งหนึ่ง คือ โบสถ์ Monastery of San Francisco เป็นโบสถ์คาทอลิก ที่สร้างขึ้นในศตวรรตที่ 17 มีสไตล์บาโรกแบบสเปน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลิมา เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เป็นโบสถ์สีเหลืองโดนเด่นมองเห็นแต่ไกล ตกแต่งสไตล์บาร็อก สเปน เพดานแกะสลักสวยงาม เสียเงินคนละ 7 เปโซ มีวิทยากรพูดภาษาอังกฤษอธิบายสถานที่นี้ด้วย น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป สถานที่แห่งนี้ เก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของประเทศเขาไว้ มีห้องใต้ดินด้วย เป็นที่เก็บกระดูกของชาวเปรูที่ถูกฆ่าตาย ในสมัยที่โดนชาวยุโรปรุกราน กระดูกมีเยอะมาก เป็นแถวยาว แยกชิ้นส่วนด้วย ดูแล้วปลงจริง ๆ น่ะนะ ในห้องใต้ดิน ติดไฟ สลัว ๆ บรรยากาศดูอึมครึม หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง พื้นใต้ดิน เป็นดิน ไม่มีการลาดซีเมนทร์ บางที่เป็นทางเดินแคบ ๆ วิทยากรก็อธิบายไป ฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่สันนิษฐานได้ว่า คงต้องเป็น กระดูกที่ขุดค้นพบแล้วนำมารวมกันไว้ เพื่อศึกษา กระมัง กว่าจะออกจากห้องใต้ดินมา ก็น่าจะครึ่งชั่วโมง ขึ้นมาชั้นบน ค่อยหายใจคล่องหน่อย
เดินเที่ยวจนเหนื่อย ท้องก็เริ่มหิว เราก็เดินหาร้านอาหารกัน แล้วก็ได้แม็คโดนอล สั่งไก่เป็นกระป๋องใหญ่หลายชิ้น มีมันฝรั่งทอดและน้ำอัดลมของที่นี่ 1 ขวดใหญ่ กินกันประมาณ น่าจะ 6 คน เฉลี่ยเงินคนละกี่เปโซ จำไม่ได้แล้ว
หลังจากทานอาหารกันอิ่มแล้ว พวกเราก็เดินเที่ยวกันในเมืองลิมาต่อไป โดยมี นนท์ โกศล ดูจากแผนที่ ดูจาก จีพีเอส บ้าง ก็ได้เห็นสถานที่สวย ๆ งาม ๆ ฉันก็ถ่ายรูปมาให้ชม แต่ก็ไม่ได้ความรู้อะไรหรอกนะ เนื่องจากไม่มีมัคคุเทศก์ บางแห่งพอจะค้นคว้าได้ ฉันก็ค้นคว้ามาให้เป็นความรู้ ค่ะ มาชมภาพสวย ๆ ต่อไป ค่ะ
จากนั้น เราผ่านพิพิธภัณฑ์ อีกแห่งหนึ่งก็แวะเข้าไปชม มีของต่าง ๆ จัดแสดงไว้มากมาย ฉันก็ได้ถ่ายรูปมาให้ชม ค่ะ
หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว พวกเราก็เดินเที่ยวต่อไป วันนี้ เป็นรายการเดินทั้งวัน น่าจะเดินเป็น 10 กิโลเมตรหรือเกินกว่านั้นได้ สถานแห่งที่ใดสวย ฉันและเพื่อน ๆ ก็ถ่ายรูปมาฝาก แม้แต่ตลาดสด ฉันก็ถ่ายมาฝากนะคะ อิอิ
เดินไปถึงแหล่งที่เรียกว่า ไชน่าทาวน์ ฉันก็ถ่ายรูปมาฝากแต่ไม่ได้เดินเข้าไปในแหล่งนั้น เพราะจะไปเที่ยวที่อื่นต่อ
พวกเราเดินไปตามถนนหนทางในเมืองลิมา มาเจอจิตรกรรมตามกำแพง ดูแล้วสวยงามดี ฉันเลยถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ
เดินไปถึงแหล่งสลัมของ เมืองลิมา ซึ่งเป็นสถานที่อันตราย เพื่อนร่วมทริปบางคนขึ้นเขาไป เล่าว่า มีตำรวจติดตามขึ้นไปด้วยและไม่ให้เข้าไปลึกนัก เฮ้อ! ทุกประเทศคงมีแหล่งชุมชนยากจน แต่แปลกที่ว่า ประเทศนี้และประเทศอื่นในอเมริกาใต้ที่ฉันไป แหล่งสลัมจะอยู่บนเขาสูงทั้งนั้น มาชมภาพที่ฉันถ่ายจากที่ไกล ๆ โดยใช้วิธีซูมเอาค่ะ
ตอนนี้ สมาชิก 2 คน คือ ติ๋ม กับโก เดินไปชมแหล่งสลัม ยังไม่กลับ พวกเราที่เหลือ เลยไปเดินห้างขายสินค้าบริเวณนั้น เพื่อรอจนน่าจะ เกือบ ห้าโมงเย็น ติ๋มกับโก ก็มา พวกเราเลยจะจ้างแท็กซี่แถวนี้กลับที่พัก ปรากฏ แท็กซี่ไม่รับ น่าจะเป็นเพราะคนละเขตพื้นที่กัน พวกเราต้องเดินย้อนกลับไปทางเก่าอีกไกลมาก จึงสามารถจ้างแท็กซี่กลับที่พักได้
เย็นนี้ เราเดินไปชมชายหาดซึ่งเดินไปไกลจากที่พักเราพอสมควรจะไปดูพระอาทิตย์ตก เป็นชายหาดที่สวยงาม แต่เราไม่ได้ลงไปเดินชายหาด ส่วนใหญ่ไปยืนชมพระอาทิตย์ตกบริเวณจุดชมวิว แถวนััน มีคนมาชมและรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกมากพอสมควร ค่ะ
น่าจะเกือบสองทุ่มนะ แป๋ว ก็พาหญิงสาวและผู้ชายมาที่ห้องที่ฉันพักอีกสองคน หญิงสาวที่ว่านี่ คือ ตุ๊ก เขาเป็นเด็กน่ารัก เห็นฉันแล้ว ยังกับรู้จักฉัน (คงเห็นจากรูปในลายน์ อิอิ) ยกมือไหว้สวัสดีฉัน ฉันรับไหว้ยิ้มให้และทักทายกัน แป๋วย้ายจากห้องฉันไปห้องอื่น เพื่อให้ ตุ๊กนอนห้องนี้กับฉัน ส่วนปีเตอร์ นอนเตียงบนอีกเตียงที่ฝรั่งที่เคยนอนย้ายไปแล้ว ห้องฉัน จึงมี 4 คน รวมฝรั่งที่มีอยู่อีก 2 คน เป็น 6 คน
วันที่ 1 พ.ค. 58
เช้านี้ หลังอาหารเช้าที่ ดอมส์ แล้ว พวกเราก็ออกจาก โฮสเทล เดินทางด้วยเท้า เพื่อจะไปชม อัวกา ปุกยานา( Huaca Pucllana ) ซึ่งเป็น พิรามิดเก่าที่เคยใช้ฝังมัมมี่ในสมัยก่อน ระหว่างทางที่เดินไป ต้องดูแผนที่ โดยมีนนท์และโกเป็นผู้ดูและบอกทาง บางครั้งเจอตำรวจ เจอผู้คน เราก็ถามทางไปเรื่อย ปรากฏว่าเดินเลยล็อก ต้องเดินย้อนกลับอีกหลายล็อก เล่นเอาเหงื่อไหลเหมือนกัน ระหว่างทาง ฉันก็ถ่ายรูปมาฝากค่ะ น่าเสียดาย เมื่อไปถึงปรากฏว่า สถานที่นี้ไม่เปิด เพราะวันนี้เป็นวันกแรงงานแห่งชาติ เราเลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอก มาชมภาพของฉันค่ะ
หลังจากกลับจากเที่ยว อัวกา ปุกยานา พิรามิด แล้ว ก็เดินกลับมายังแถว ๆ ที่พัก ในซอย มีร้านอาหารตามสั่ง ราคาไม่แพงนัก เราตกลงทานกันที่ร้านนี้ อาหารจานใหญ่มาก ฉันกับหญิงสั่งปลากับข้าวมาแบ่งกันคนละครึ่งกับฉัน โก กับ หลิน สั่งแกะ ทานกัน กลุ่มของแป๋ว ก็สั่งทานอีกโต๊ะหนึ่ง สั่งกันคนละอย่าง จะได้ลองชิมกินกัน ฉันถ่ายรูปมาฝากด้วย
หลังจากทานอาหารมื้อกลางวันแล้ว จ้างรถไปเพื่อชมสวนสาธารณะ ชื่อ Parque De La Reserva แต่ปรากฏว่า คนเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อบัตรเข่าชมสวน แดดร้อนเปรี้ยงเหลือเกิน ทุกคนตัดสินใจว่าไม่เข้าชมแล้ว นั่งรถไปชมน้ำพุ Magic Water Circui
วันที่ 2 พ.ค. 58
วันนี้ แบ่งเป็นกลุ่ม ตามอัธยาศัย เพราะบ่าย 3 เราจะต้องบินไปเมือง กุสโก (Cuzco) ติ๋ม หญิง หลิน ปีเตอร์ ตุ๊ก โก น่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่าง หรืออย่างไร ฉันไม่ได้ถาม ส่วนฉัน แป๋ว นนท์ บี๋ จิน เดินไปชมชายหาดที่เราเคยไปตอนกลางคืนอีก
ครั้งหนึ่ง ซึ่งยังเก็บความสวยงามในด้านศิลปะไม่ครบ วันนี้พากันไปซ่อมเพิ่มเติม ได้เจอกลุ่มคนไทยสองกลุ่มมาเที่ยวที่นี่ด้วย พอได้ยินเราพูดภาษาไทย พวกเขาก็มาทักทาย ถามเรื่องเที่ยว พักที่ไหน มากับทัวร์อะไร ประมาณนั้น พอเขาพูดว่ามากับทัวร์ พักโรงแรมหรู ๆ ดูจากการแต่งกาย เพชรแพรวพราว นนท์เลยชะงักไม่กล้าตอบว่า เราพักโฮสเทล อิอิ ได้แต่บอกว่าก็พักโรงแรมแถว ๆ นี้แหละ เรามาเที่ยวกันเอง ห้าห้า ไม่ได้มากับทัวร์ พวกเราผลัดกันถ่ายรูป เก็บภาพศิลปะสวย ๆ บริเวณหาดนี้ เชิญชมค่ะ
ประมาณ บ่ายโมง พวกเราก็ไปสนามบิน เป็นการบินภายในประเทศเปรู จากเมืองลิมา บินไปเมือง กุสโก (Cuzco) ชื่อสายการบิน Star Peru ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง ถึงที่สนามบิน กุสโกเป็นเวลา 18.00น.
ที่สนามบิน เราจ้างรถตู้ไปส่งพวกเราที่โรงแรม ชื่อ Milhouse Hostel ซึ่งแป๋วได้จองล่วงหน้ามาแล้ว ขนาดที่เรานั่งรถมาที่โรงแรม ก็มีหญิงสาวตามขึ้นรถมาด้วยเพื่อมาขายทัวร์ที่จะไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ แป๋วก็ต่อรองราคาทัวร์จนเป็นที่พอใจกันแล้ว มีการเซ็นสัญญาด้วยนะ
ไปถึงที่โรงแรมนี้ ก็เหมือนเดิม ต้องขอพาสปอร์ลงชื่อ เข้าพัก ที่แห่งนี้ เป็นดอมส์แห่งที่ 2 โชคดี คืนนี้ได้นอนชั้นล่าง ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันได คืนนี้ เป็นห้อง 3 เตียง มีฉัน หญิง และติ๋ม หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ติ๋มกับหญิงก็ชวนฉันออกไปเดินเล่น ชมเมืองยามค่ำคืน ติ๋มเป็นคนถ่ายรูปให้เป็นส่วนใหญ่
ได้ชมภาพสวยงามยามราตรีของเมืองกุสโก แห่งประเทศเปรูแล้ว เรามารู้จักเมืองกุสโก สักหน่อยนะคะ
เมืองกุสโก (Cuzco) ตั้งอยู่ในเทือกเขา แอนดิส ความสูงประมาณ 3,300เมตรอยู่ห่างจากเมืองลิมามากกว่า 1.000 กิโลเมตร เป็นเมืองในหุบเขาที่สวยมาก องค์การยูเนสโก ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม เมื่อ ปี พ.ศ. 2526 อากาศหนาวเย็น กลางวันประมาณ 15 องศา เมืองกุสโก เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอินคา เมืองนี้ มีความสำค้ญและเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เมื่อได้มีการค้นพบ "มาชูปิชู" ในปี พ.ศ. 2454 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศเปรู ที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากมาเยือน มาชูปิชู สักครั้งหนึ่งในชีวิต
วันที่ 3 พ.ค. 58
เช้านี้ เราต้องนำกระเป๋ามาฝากที่โฮสเทล แล้วจัดเสื้อผ้า 1 ชุด เพื่อไปค้างอีกแห่งหนึ่ง เพราะจะไปเที่ยวมาชูปิชู ในวันที่ 4 แล้วกลับมาพักที่นี่อีก
หลังจากที่ทานข้าวเช้าแล้ว พวกเราก็มารอคนนำทัวร์มารับไปเที่ยวตามโปรแกรมที่ตกลงกันไว้ คือ ตลาดที่เมืองปิซัก (Pisac) และหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ( Sacred Valley )ระหว่างทางที่ผ่าน ทิวทัศน์สวยงามมาก ฉันถ่ายภาพมาให้ชมด้วยค่ะ
ตลาดปิซัก เป็นตลาดนัดของชาวอินเดียน มีชื่อเสียงเรื่องหัตกรรมและของที่ระลึก สีสันของตลาดอยู่ที่เครื่องแต่งกายของชาวพื้นเมืองและข้าวของที่นำมาขาย ยังมี Chinchero อีกแห่ง ทั้งสองแห่งถือเป็นตลาดหัตถกรรมใหญ่ที่สุดใน กุสโก รถมาจอดที่ตลาดนี้ ให้เราเดินชมตลาด ซึ่งมีของขายมากมาย แต่ฉันก็ไม่ได้ซื้ออะไร แต่ บี๋ เขาซื้อที่ติดตู้เย็นมาหลายตัว ถามว่าใครสนใจบ้าง ฉันเลยซื้อต่อจากเขาสองตัว 5 เปโซ แล้วก็ไปเดินชมร้านค้าและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
จากตลาดปิซัก เราก็เดินทางต่อไปเพื่อไปชมหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างทาง ที่มีจุดชมวิว ก็จอดให้พวกเราถ่ายรูป ค่ะ
หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Valley)คือหุบเขาของแม่น้ำ อูรูบามบา ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบผจญภัย ทั้งล่องแพ ขี่ม้า ขี่จักรยาน ขึ้นบอลลูนและเดินเขาตามรอยอินคา (เราเลือกวิธีเดินอย่างเดียว อิอิ) เหตุที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะมีแม่น้ำ อูรูบามบา(Urubamba River) เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา หุบเขานี้ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า Urubamba Valley ตามชื่อแม่น้ำ หุบเขานี้เป็นที่ตั้งของตัวเมืองโบราณและวัดมากมาย รวมถึง มาชูปิชูด้วย
หุบเขาที่นี่ สวยงามมาก ต้องเดินไกลมาก และต้องเดินขึ้นเขาอีก สมาชิก เอากระเป๋าลง เพราะจะไม่กลับกับรถที่เราซื้อทัวร์มา เพราะจะเดินเที่ยวเลยเวลาที่กำหนด ประกอบกับ สถานีรถไฟที่เราจะกลับคืนนี้ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ส่วนฉันกับหลิน ไม่อยากเดินขึ้นเขาสูง จะอยู่เที่ยวเท่าที่จะเดินไหวและตามเวลาที่ทัวร์กำหนด เพื่ออาศัยรถไปส่งยังที่ที่ใกล้สถานีรถไฟมากที่สุด เรามาชมภาพสวย ๆ ของหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ ค่ะ
เมื่อถึงเวลาที่ทางทัวร์กำหนดแล้ว คือประมาณ 3 โมงเย็น มั้ง ฉันกับหลินก็มาขึ้นรถ รถมาถึงสักพัก ก็บอกเราว่า ที่จะลงสถานีรถไฟ ใกล้แล้วให้ลงตรงนี้ แล้วเดินไปตามซอยเล็ก ๆ ไปอีกไม่ไกล โชคดี เจอ ผู้หญิงน่าจะเป็นคนอเมริกาใต้ เขาคงมาเที่ยวที่กุสโก (เจอเขาที่มาชูปิชูด้วย ดีใจทักทายกันใหญ่เลย เขามาเที่ยวคนเดียว) ก็จะไปขึ้นรถไฟเหมือนกัน เขารู้จักสถานีรถไฟ พากันไป 3 คน พูดกับเขารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง รู้ว่า ต้องเดินอีกไกล แต่มีรถตุ๊ก ๆ รับจ้างไปส่งที่สถานีรถไฟ ดูเหมือนจะเสียงเงินคนละ 1 หรือ 2 เปโซ ฉันจำไม่ได้แล้ว พาเราไปส่งที่สถานีรถไฟ แล้วเราก็ถ่ายรูปทั้งกล้องเขาและกล้องเรา ไว้เป็นที่ระลึกด้วย ค่ะ
เพื่อนที่เจอนี้ เขาไปรถไฟรอบ 5 โมงเย็น แต่ของฉันเป็นรอบ ทุ่ม จึงต้องเดินเล่นอยู่แถวสถานีรถไฟ อีก สอง ชั่วโมง และรอเพื่อน ๆ ที่ยังมาไม่ถึงสถานี รอจนเกือบทุ่มแล้ว ชักใจไม่ดี เดินออกไปดูตรงประตูทางเข้าสถานีรถไฟ ก็ไม่เห็น มาทราบอีกที พวกเขาก็รอฉันกับหลินอยู่ด้านนอก และไม่สามารถเข้ามาในสถานีได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา อ้อ! แสดงว่า ตอนที่ฉันกับหลินเข้ามา เขายังไม่มีการตรวจเนอะ
เมื่อถึงเวลาประมาณ 1 ทุ่มแล้ว รถไฟขบวนที่เราจะไปก็มาถึง พวกเราเตรียมขึ้นรถไฟ โดยต้องแสดงตั๋วรถไฟที่เราจองไว้ให้ตรวจก่อนขึ้นรถไป ลองมาดูรูปในรถไฟ บ้างค่ะ
พวกเรานั่งรถไฟ ประมาณ 2 ชั่งโมง ก็มาถึงเมืองนี้ เกือบ 3 ทุ่มของที่นี่ เดินหาที่พักกันนานมาก น่าจะเกือบชั่วโมงมั้ง ถามคนแถวนั้นถึงชื่อโฮสเทลที่เราจะมาพัก พวกนี้ตอบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เดินวนอยู่บริเวณนั้น เดินเลยไปอีกหลายบล็อก เฮ้อ! โชคดี โก คงสงสารฉันที่ต้องแบกเป้หนักอึ้งเพราะใส่สัมภาระที่จะต้องนำมานอนค้างที่นี่ 1 คืน โก เลยช่วยหิ้วเป้ให้ฉัน ต้องขอบใจเขามากที่ให้ความช่วยเหลือ หลาย ๆ ครั้งในเรื่องของการยกกระเป๋า จินอีกคน ก็มีน้ำใจมาก ช่วยหิ้วเป้บ้างในบางครั้ง ในที่สุดก็เจอโฮสเทลที่เราจองไว้ ดึกมากแล้ว วันนี้ ห้องนอนของเราก็เป็นเตียงสองชั้นเหมือนเดิม ห้องฉัน มี ฉัน หญิง แป๋ว ติ๋ม และฝรั่งอีก 2 คน รวมเป็น 6 คน ต่างก็เหนื่อยล้ากัน พรุ่งนี้เช้า ยังต้องรีบตื่นเพื่อไปเที่ยว มาชูปิชู กัน
วันที่ 4 พ.ค. 58
เช้านี้ ทานอาหารเช้า 6 โมง แล้วต้องรีบออกจากที่พัก เพื่อไปเข้าแถวซื้อบัตร ราคา 25 ดอล เพื่อนั่งรถบัส ประมาณ 20 นาที ไปที่เชิงเขา และเริ่มเดินขึ้นเขาเที่ยว มาชูปิชู (Machu Picchu) มีนักท่องเที่ยวมาเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อขึ้นรถบัส เมื่อเต็ม รถก็ออก พวกเราก็เข้าแถวกันเป็นหมวดหมู่ของเรา เพื่อจะได้ขึ้นรถคันเดียวกัน
ก่อนที่จะไปชมภาพสวย ๆ งาม ๆ ที่ฉันและเพื่อนถ่ายมาฝาก เรามารู้จักกับ ประวัติของสถานที่นี้ก่อนนะคะ
มาชูปิชู (Machu Picchu) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองสาบสูญแห่งอินคา" เป็นซากอารยธรรมโบราณของอินคา ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอนดิส มีความกว้างใหญ่ไพศาล ถึง 13 กิโลเมตรของหุบเขา อุรุบัมบ้า มีความสูง 6,750 ฟิตจากระดับน้ำทะเล ถ้าอยู่ที่ตีนเขา จะไม่สามารถมองเห็นเมืองนี้ได้ เมืองนี้มีลักษณะการสร้างเป็นขั้นบันได ไล่ลงมาตามความชันของหุบเขา แต่ละชั้นสูง 3 เมตรมีจำนวนทั้งหมด 40 ชั้น ซึ่งถูกเชื่อมถึงกันด้วยบันไดกว่า 3,000 ขั้น มีสิ่งก่อสร้างด้วยหินมากกว่า 200 หลัง สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นป้อมปราการแหล่งสุดท้ายของชาวอินคาที่ต่อสู้กับชาวสเปนที่มาล่าอาณานิคม (แต่ไม่ตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของสเปน) เมืองมาชูปิชู ประกอบด้วยราชวัง ซึ่งมีวิหาร คฤหาสน์ล้อมอยู่รอบ ๆ ซึ่งรวมไปถึงที่พักของผู้ที่ทำงานในสถานที่นั้น ๆ คาดว่า ถ้าเป็นหน้าฝนหรือช่วงที่ไม่มีเชื้อพระวงศ์มาพัก น่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่เกิน 750 คน
เมืองนี้ตั้งอยู่บนสันเขาระหว่าง ภูเขาสองลูก คือ เขา มาชูปิชู และอวยนา ปิดชู เป็นเหมือนปราการธรรมชาติอย่างวิเศษ มองจากหน้าผาชันลงไปเบื้องล่าง จะเห็นภาพความงดงามของหุบเขาแคบ ๆ มีแม่น้ำ อูรูบัมบาไหลผ่านและเป็นทางที่ศัตรูจะต้องเดินทัพผ่านเพื่อมุ่งสู่เมืองกุสโก
ที่มาของชื่อ มาชูปิชู ซึ่งแปลว่า "ยอดเขาผู้ชรา" เป็นความเข้าผิดของคนตอบคำถาม กล่าวคือ ผู้ค้นพบเมืองนี้ (ชื่อ "ไฮแรม บิงแฮม นักโบราณคดี ) ได้ถามว่าเมืองนี้ชื่ออะไร ชาวพื้นเมืองเข้าใจว่า ถามชื่อของภูเขา จึงได้ตอบว่า มาชูปิชู จึงเป็นที่มาของโบราณสถานแห่งนี้
ความงดงามของสถานที่แห่งนี้ คาดว่า สร้างขึ้น ประมาณ ค.ศ. 1450 จักรพรรดิปาซากูตีของชาวอินคาเป็นผู้สร้าง แต่น่าเสียดายที่ต้องถูกปล่อยร้างมาเป็นร้อยปี เพราะชาวสเปนเข้ามาล่าอาณานิคม ฆ่าชาวเปรูและชาวอินคาตายเป็นจำนวนมากและเป็นเมืองร้างไป จนในปี ค.ศ 1911 ไฮแรม บิงแฮม นักโบราณคดีมาค้นพบ และมีการเผยแพร่ ออกไป มาชูปิชู จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาชื่นชมความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอินคาแห่งนี้ และกลายเป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อีกทั้งเป็นแรงจูงใจให้มาเที่ยวประเทศเปรู
ปี พ.ศ. 2526 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ มาชูปิชู เป็น มรดกโลก เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ และ เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มาชูปิชู ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยวิธีการลงคะแนนทางอินเทอร์เน็ตทั่วโลกและทางโทรศัพท์มือถือ
มาชูปิชู ห่างจากเมืองกุสโกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร ยอดของทิวเขา มาชูปิชูดสูงจากระดับน้ำทะเล 2,350 เมตร ถือเป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญทางโบราณคดีของอเมริกาใต้
ท่านผู้อ่านก็ได้ทราบประวัติความเป็นมาของ มาชูปิชู อย่างคร่าว ๆแล้วนะคะ เวลาดูภาพที่นำมาให้ชม ก็คงจะเห็นภาพตามไปด้วยได้เป็นอย่างดี พวกเรามาถึงที่นี่ ก็ต้องเข้าแถว เพื่อที่จะตรวจบัตรเข้าชมที่เราซื้อมาเมื่อเช้า 25 ดอล เข้ามาในสถานที่แล้ว ก็เดินชมกันไป ผู้คนก็มากมายเหลือเกิน โก บอกว่า พี่แอ๋ว ผมจะถ่ายรูปมุมที่เห็นว่าสวยให้พี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะต้องล่วงหน้าไปก่อน พี่จะได้มีรูป แล้วเรานัดเจอกันตรงศาลาที่รอรถบัสรับกลับที่พัก (ฉันต้องเดินช้า และตามพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไม่ทันแน่นอน โก เขาก็มีน้ำใจ ถ่ายรูปให้ประมาณ 5-6 รูปได้ พวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามสมรรถภาพของแต่ละคน บางคนก็เดินถึงยอดเขา คือจุดหมายที่จะไป คือ อวยนา ปิกชู บางคน ก็ไม่ไหว บางคนก็เพลิน ไม่ได้ดูเวลาที่เขาจะให้ขึ้นเขานี้ เลยอดขึ้น เพราะเขาจะให้ขึ้นเขาลูกนี้เป็นรอบ ๆ รอบกลุ่มเรา เวลา 7-8 โมงเช้า บางคนเพลินอยู่กับการถ่ายรูป เลยเวลา ก็เลยอดขึ้น ส่วนฉัน ก็เดินตามสบายของฉัน มีเวลาถึงบ่ายสองตามที่นัดกับโกไว้ เดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ระหว่างทางเจอหลิน เจอปีเตอร์ ถ่ายรูปให้กันบ้าง แล้วก็แยกกันไป เพราะฉันไม่นิยมถ่ายซ้ำ ๆ ในที่เดียวกัน ถ้าฉันเดินไปถึงที่ไหนสวย อยากถ่าย ก็ขอร้องให้ ฝรั่งที่อยู่ในบริเวณนั้นให้เขาถ่ายให้ฉันบ้าง ประมาณ 4-5 รูปได้มั้ง นอกนั้น ฉันก็ถ่ายทิวทัศน์ที่สวยงาม อลังการ จริง ๆ ฝีมือมนุษย์ในสมัยนั้นสุดยอด หินเป็นก้อน ๆ นำมาสร้างเป็นบันได เป็นขั้น ๆ โดยไม่มีเครื่องจักรอะไรช่วยเลย
เดินเที่ยวไปเพลิน ๆ เจอติ๋มเดินอยู่คนเดียว ถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ที่เขาเห็นว่าสวย เขาถ่ายให้ฉันหลายรูปเหมือนกัน บางที ฉันก็ถ่ายให้เขาบ้าง แต่ฉันไม่ถนัดกล้องใหญ่ของเขา เลยไม่ค่อยสวยมั้ง
มาดูรูปสวย ๆ ของ อาณาจักรโบราณแห่งนี้กันดีกว่าค่ะ
ฉันเดินชมและดื่มด่ำกับความงามของ มาชูปิชู จนถึงประมาณ เที่ยงกว่า ๆ ก็ค่อย ๆ เดินกลับลงเขา ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่า มานั่งอยู่บริเวณที่จะออกจากประตูตรวจบัตร ยังไม่ได้ออกไปที่ศาลารอรถตามที่นัดกับโกไว้ นั่งทานขนมปังซึ่งซื้อมาเป็นอาหารมื้อเที่ยง ไม่ได้อร่อยเลย ดื่มน้ำตามลงไป กินเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น เวลาผ่านไปใกล้จะบ่ายสอง โก ก็มาตามที่นัดกันไว้ พวกเราไปรอที่ศาลารอรถบัส เพื่อรอกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน ตามเวลานัด คือบ่ายสอง คนที่มาสายสุด คือ หญิง ปีเตอร์ มาเอาตอนบ่ายสองกว่า แต่พวกเราก็รอเข้าแถวเพื่อขึ้นรถไปพร้อมกันทุกคน ไปถึงที่พักประมาณบ่าย 3 โมง พวกเราก็ต้องเตรียมขนกระเป๋าเดินไปขึ้นรถไฟกลับไปเมืองกุสโก รถไฟออกประมาณ 16.43 น. ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ยังมีเวลาเหลือ ก็เดินช้อปปิ้ง ได้เสื้อยืด สัญลักษณ มาชูปิชูพอใช้ได้ ผ่านบริเวณนั้น เห็นวิว สวย โก ถ่ายให้ 1 รูป
เมื่อถึงเวลาพวกเราก็ขึ้นรถไฟไป ช่วงนี้ ยังไม่มืด เรามีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์ที่รถไฟผ่าน ธรรมชาติงดงาม ดูแล้วก็ชื่นใจ ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับเหลี่ยมเขาไปเป็นดวงสีแดง ระหว่างทางที่ผ่าน มีหนองน้ำ กว้างใหญ่ ดูเย็นตา สักพัก พวกเราต่างก็พักผ่อนสายตาด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะวันนี้เดินขึ้นเขา ลงเขาแต่เช้าถึงบ่าย นั่นเอง
ประมาณ 3 ทุ่ม รถไฟก็ถึงเมืองกุสโก คืนนี้เราพักที่โฮสเทลเดิม แต่ไม่ใช่ห้องเดิมเสียแล้ว กลายเป็นชั้นสอง ก็ยังโชคดี เจ้าหน้าที่โรงแรมมาช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นสองให้
วันนี้สงสารยายหลินมาก เพราะลืมกล้องถ่ายรูปไว้ที่โรงแรมที่เราไปพักก่อนจะขึ้นรถไฟกลับเมืองกุสโก เสียดายเมมโมรี่การ์ด ซึ่งถ่ายรูปไว้มากมาย เพื่อน ๆ ที่เก่งภาษาได้ช่วยกันโทรถาม แต่เจ้าหน้าที่ที่
โฮสเทลนั้น ก็ปฏิเสธ ว่าไม่รู้ไม่เห็น โธ่เอ้ย อ้อยเข้าปากช้างแล้ว เห็นก็คงบอกว่าไม่เห็น เป็นกล้องใหญ่ด้วย หลินบ่นเสียดายเมมโมรีการ์ดที่ถ่ายสถานที่เที่ยวไว้เยอะมาก ยังดีที่มีกล้องมือถือ ถ่ายเอาไว้บ้างแต่ก็น้อยกว่าเยอะ
วันที่ 5 พ.ค. 58
วันนี้เราก็ซื้อทัวร์ไปเที่ยว โดยเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่พัก โปรแกรมวันนี้ เราเดินทางไปเมือง มาราส (Maras Salt Mine (Pans) เพื่อชมบ่อเกลือของชาวอินคา ระหว่างทางได้แวะชมการย้อมสีและสิ่งทอต่าง ๆ มีสินค้าพื้นเมือง เช่น เสื้อกันหนาว หมวก ผ้าพันคอ พวกเราอุดหนุนไปหลายคน มาชมภาพการสาธิตการย้อมสีของชนเผ่าอินคา ค่ะ
หลังจากนั้น ก็ไปชมบ่อเกลือของชาวอินคาโดยมีมัคคุเทศก์พาไปและอธิบาย บางช่วง แป๋ว นนท์ ก็ช่วยแปลให้ฟัง บ่อเกลือเหล่านี้ ชาวอินคา กัก เอาน้ำที่ไหลออกจากถ้ำบริเวณใกล้เคียงมาไว้บ่อ คนรวยก็หลายบ่อมากกว่าคนจน เกลือ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากในสมัยก่อน มัคคุเทศก์ อธิบายว่า เกลือในบ่อ มี 3 ชั้น มีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน ฉันจำไม่ได้ว่า ประโยชน์ดังกล่าว มีอะไรบ้าง อิอิ ลืมเอาสมุดจดไป บ่อเกลือที่นี่ มีประมาณ 4,500 บ่อ มาชมภาพที่ฉันรวบรวมมาให้ชม ค่ะ
หลังจากชมบ่อเกลือ เราก็เดินทางต่อไปยังเมืองโมรัย(Moray)เพื่อชมการทำนาขั้นบันไดของชาวอินคาโบราณ เมืองนี้ห่างจากเมืองกุสโก ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 50 กิโลเมตร สันนิษฐานว่า ในอดีตที่นี่น่าจะเป็นศูนย์สาธิตทางการเกษตรของชาวอินคา โมรัย มีลักษณะเหมือนนาขั้นบันไดของบ้านเรา แตกต่างกันตรงที่มีลักษณะเป็นวงกลม วนขึ้นมาเป็นขั้นบันได หากมองจากมุมสูง ที่นี่ จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยสดงดงามมากอีกแห่งหนึ่ง
เรามาถึงที่นี่ ฝนตกปรอย ๆ แถมลมก็แรงมาก จึงถ่ายรูปกันได้ไม่กี่รูป และไม่ได้เดินลงไปชมด้านล่าง มาชมภาพสวย ๆ ค่ะ
หลังจากชื่นชมที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นอีก รถพาเรากลับไปกุสโก ประมาณ บ่ายสามโมง ปล่อยพวกเราเดินเล่น ย่าน Plaza de Armas ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองนี้ ฉัน โก หญิง หลิน เดินเล่นและถ่ายรูปแถวนี้ บางคน ก็กลับที่พักหรือแยกไปเที่ยวเป็นกลุ่ม ๆ ไป มีสิ่งก่อสร้างสวย ๆ แต่ไม่มีมัคคุเทศก์อธิบาย ฉันจึงได้แต่ภาพสวย ๆ มาฝากเท่านั้น ค่ะ
ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ เราก็ช่วยกันถาม เพื่อหาร้านที่จะขายกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่เท่ากล้องที่หายไปของหลิน แต่หายากหาเย็นมีแต่กล้องเล็ก ๆ ซึ่งหลินไม่อยากได้ เดินถามกันไปหลายซอกหลายซอย ไปเจอฝน หลบฝนกันในซอยเล็ก ๆ พอฝนซา ก็เที่ยวเดินหาซื้อต่อ หญิงขอกลับที่พักก่อน ก็เหลือฉัน โก และหลิน ท้องเริ่มหิว ก็เลยเข้าร้านอาหารที่ใกล้ที่พักเรา เขาขายขาหมูทอด ดูเหมือนจะ18 เปโซ จานใหญ่ แบ่งกับหลิน คนละครึ่ง ส่วนโก ทานคนเดียว พอดีอิ่ม ทานเสร็จแล้วพอจะมีแรง เราตกลงกลับที่พักก่อน เพื่อไปถามเจ้าหน้าที่ของโฮสเทล เขาน่าจะบอกแหล่งซื้อได้ดีกว่า และก็เป็นความจริง โก พาหลินไปซื้อจนได้กล้องมา เสียไป สี่หมื่นกว่าบาท แพงกว่าราคาในเมืองไทยประมาณ หมื่นบาท ไม่เป็นไรหรอก คนรวยขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกเนอะ รอบนี้ ฉันขออยู่ที่พัก เพราะเดินไม่ไหวแล้ว อากาศก็หนาวเย็นมากด้วย
คืนนี้ พวกเราต้องนั่งรถบัสไปเมืองปูโน่ เป็นรถบัสแบบปรับนอนได้ ใช้เวลายาวนานถึง 7 ชั่วโมง เมื่อถึงเวลา เราก็จ้างรถแท็กซี่มารับพวกเราที่โฮสเทล น่าจะประมาณ สามทุ่ม
ถึงที่สถานีรถทัวร์ คลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารแป๋วเป็นคนไปติดต่อเพราะเราจองตั๋วไว้แล้ว เพิ่งรู้ว่า ต้องเสียภาษีอีกคนละ กี่เปโซ จำไม่ได้แล้ว จ้ะ พอขึ้นรถ ดูเหมือนไม่มีเลขที่นั่ง หลินนั่งกับฉัน อากาศเย็น
ยะเยือกเอาการนะ เก้าอี้ปรับเอนนอนได้ ฉันหลับ ๆ ตื่น ๆ รถก็แล่นไปเรื่อย ๆ เมื่อยตัวมากพอควร คืนนี้ประหยัดค่าโฮสเทลไป 1 คืน อิอิ
วันที่ 6 พ.ค. 58
ประมาณ ตี 5 รถบัสก็พาเรามาส่งถึงเมือง ปูโน(Puno) เมืองนี้ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเปรู ตั้งอยู่ทางชายฝั่งของทะเลสาบตีตีกากา (Lake Titicaca) อยู่สูงถึง 3,800 เมตร เป็นเมืองหลวงของแคว้น ปูโน สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1668 เมืองนี้จะเห็นตัว ลามะ แกะ อัลพาคา เดินทั่วไปในที่ราบ ปูโน ชาวบ้านนำขนของสัตว์เหล่านี้มาทำสิ่งทอ
มาถึงแล้ว พวกเราก็ต้องมารอรับกระเป๋าที่ใต้ท้องรถ ส่วนใหญ่ผู้ชาย คือ โก กับ นนท์ จะมาช่วยขนกระเป๋าลงจากรถให้พวกผู้หญิง ส่วนปีเตอร์นั้น สมบัติเยอะมาก ท่านซื้อของ ช้อปทุกแห่ง และบอกว่า ผ่าหลัง เลยช่วยใครไม่ได้เลย ของตัวเองก็ให้เจ้าหน้าที่ที่พักหิ้วให้ (ถ้าเจ้าหน้าที่เขายอมนะ ห้าห้า ) เราจ้างรถแท็กซี่ที่คิวรถ ซึ่งมาติดต่อเยอะแยะ เมื่อมีรถทัวร์ลง แป๋ว นนท์ และบี๋ จะเก่งภาษาอังกฤษ เอาที่อยู่ที่เราจะไปพักให้เขาดู ราคาคงต่อรองได้บ้าง หรือถ้าไม่ได้ ก็ต้องซื้อจากบริษัทรถรับจ้างในสถานีนั้น ๆ แหละ Suites Antoni s Jr Arequipa 840,Puno,Paru คืนนี้เป็นห้อง 3 เตียง มีฉัน หญิง และ ติ๋ม
เมื่อเข้าที่พักแล้ว จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ น่าจะประมาณ 3 โมงเช้า พวกเราก็เดินทางด้วยเท้าเพื่อไปขอทำวีซ่าไปประเทศโบลิเวีย ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศอยู่ในข่ายไม่ต้องเสียค่าวีซาเข้าประเทศเขา
เดินไปไกลจากที่พักมากพอควรนะ ได้เหงื่อทีเดียวแหละ สถานที่ทำวีซ่า เป็นเหมือนตึกแถว ห้องแคบ ๆ ต้องปีนบันไดขึ้นไปชั้นบน เจอเจ้าหน้าที่ ท่าทางใจดี เมื่อแป๋วเข้าไปเจรจาแล้ว เขาก็ให้แบบฟอร์มกรอกข้อมูลเพื่อขอวีซ่า ให้พวกเราไปถ่ายสำเนาเอาเอง แถมบอกต้องมีตั๋วเครื่องบินมาประกอบ (ถ่ายสำเนา ) ฉันเดินไม่ไหว เลยให้หญิง ติ๋ม กลับไปที่ห้องเอาตั๋วเครื่องบินเผื่อฉันด้วย ฉันอยู่ที่สถานทูต ก็ช่วยกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มที่แป๋วไป ถ่ายสำเนามาให้ โดยคนเก่งภาษาอังกฤษ มีแป๋ว บี๋ นนท์ เป็นต้นฉบับ ให้ลอกตามในส่วนที่เหมือน ๆ กัน ไม่ลอกเพลิน เพราะข้อมูลบางอย่างก็เป็นข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเดือนปีเกิด เลขที่หนังสือเดินทาง เป็นต้น กว่าจะเสร็จ ก็เสียเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน
โปรแกรมวันนี้ เราซื้อทัวร์ไปเที่ยวที่เกาะ อูรอส(Iala Uros) โดยมัคคุเทศก์มารับเราเวลา 10.30 น. ล่องเรือไปในทะเลาสาบ ติติกากา ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดิส บริเวณชายแดนของเปรูและโบริเวีย ระดับความสูงเฉลี่ย 3,810 เมตร ทำให้เป็นทะเลสาบเดินเรือทางพาณิชย์ที่สูงที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 8,372 กิโลเมตร ประกอบด้วยทะเลสาบย่อย 2 แห่ง ซึ่งเชื่อมต่อด้วยช่องแคบ กุยนา มีระยะห่าง ประมาณ 800 เมตร ชูกุยโต ทะเลสาบใหญ่มีความลึกสูงสุด 284 เมตร ลึกเฉลี่ย 107 เมตรส่วนทะเลสาบ ฮุยญายมาร์กา ทะเลสาบเล็ก มีความลึกสูงสุด 40 เมตร ลึกเฉลี่ย 9เมตร ภายในทะเลสาบมีเกาะใหญ่น้อย 41 เกาะ
ส่วนเกาะ อูรอส นั้น เป็นเกาะที่อยู่ในทะเลสาบนี้ ซึ่งเป็นเกาะที่ชาวอูรอสสร้างขึ้น เป็นเกาะที่มีลักษณะแปลก เพราะเป็นเกาะที่ยึดไว้ด้วยเชือกที่ใช้ต้นโทโทราที่มีอยู่ทั่วไปในทะเลสาบวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จนกลายเป็นเกาะที่อยู่อาศัยได้ ผูกไม้ที่ปักอยู่กับพื้นของทะเลสาบ วันนี้เสียค่าทัวร์ ล่องเรือ 62 เปโซและนั่งเรือของชาวอูรอสอีก 10 เปโซ ต่อคน เรามาชมภาพที่ฉันถ่ายมาฝาก ค่ะ
โปรแกรมวันนี้ ที่จริงช่วงเย็น ยังมีการเดินขึ้นบันไดประมาณ 500 ขั้น ไปชมดวงอาทิตย์ตก เดินเล่น แต่ฉันไม่ได้ไปด้วยพักผ่อนอยู่ที่โฮสเทล ทริปการเที่ยวที่ประเทศเปรูก็จบลงเพียงเท่านี้ จ้ะ พรุ่งนี้ เราจะเดินทางข้ามไปทางชายแดนและเข้าไปเที่ยวที่ประเทศโบลิเวียแล้ว ค่ะ
ติดตามอ่านเที่ยวประเทศโบลีเวีย ต่อไปได้ นะคะ
ชอบเที่ยวแบบนี้นะคะ ที่ที่เราไม่ค่อยได้มีโอกาสไปกัน
พี่แอ๋วใช้ชีวิตคุ้มค่าเลยค่ะ