วิตามินเสริม จำเป็นหรือเปล่า
การรับประทานอาหารในแต่ละวัน หากรับประทานได้ครบทั้ง 5 หมู่ และในปริมาณที่พอเหมาะ ร่างกายก็น่าจะได้รับวิตามินในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ซึ่งหากเรารับประทาน วิตามินเสริม และได้รับมากเกินความพอดี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
วิตามิน คือกลุ่มสารอินทรีย์ เป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการแต่เพียงจำนวนน้อย ๆ แต่ขาดไม่ได้ สารกลุ่มนี้มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย บำรุงผิวพรรณ เหงือก ผม ตา เนื้อเยื่อ และช่วยต้านทานโรค
วิตามิน แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ
- พวกที่ละลายได้ในไขมัน (วิตามิน เอ, ดี, อี, เค)
- พวกที่ละลายได้ในน้ำ (วิตามิน บี, ซี,)
วิตามินเอ
พบมากในไข่ น้ำนม ตับ ปลา พืช ผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง ซึ่งจะมีสารเบต้าแคโรทีน เพราะเบต้าแคโรทีน คือ ตัวการที่ทำให้พืชผัก และผลไม้มีสีสรร เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุกและผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ต้นหอม ผักบุ้ง ผักตำลึง เป็นต้น
ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU
เมื่อเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอ มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณอย่างมาก ช่วยสายตาให้มองเห็นชัดขึ้นในที่มืดหรือเวลากลางคืน ช่วยป้องกันผิว ที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอย
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจกตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ
เบต้าแคโรทีนยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ซึ่งคอยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่จะไปทำปฏิกิริยาทำลายส่วนประกอบต่าง ๆ จนทำให้เซลล์นั้นมีการเจริญเติบโตผิดปกติ เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งในช่องปาก กล่องเสียง ตับ โรคเส้นเลือด หัวใจอุดตัน และโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ เป็นต้น
ถ้าวิตามินเอสะสมในร่างกายมากเกินไปก็จะเกิดอาการปวดศีรษะไม่สบายได้
ความจริงแล้ว ในแต่ละวันเรามักได้รับเบต้าแคโรทีนจากอาหารเพียงเล็กน้อยท่านั้น เพราะเบต้าแคโรทีนจะถูกทำลายได้ง่าย จากความร้อนในการปรุงอาหาร อีกทั้งร่างกายจะสามารถดูดซึมเบต้าแคโรทีนไว้ได้เพียงร้อยละ 25-27 เท่านั้น
ดังนั้นในแต่ละวัน เราจึงควรรับประทานอาหารที่มีสารเบต้าแคโรทีนให้เพียงพอ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี อย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลในการป้องกันการแก่ก่อนวัย โรคมะเร็ง และต่อต้านโรคภัยต่าง ๆ
วิตามิน บี -1 หรือไธอามีน
มีมากในรำข้าว, ถั่วตากแห้ง, เนื้อแดง และปลา ช่วยในขบวนการปลดปล่อยพลังงานจากสารคาร์โบไฮเดรตที่เรากินเข้าไป ช่วยให้สมองและระบบประสาทปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยการเต้นของโรคหัวใจ
ร่างกายของเราต้องการ วิตามิน บี1 เพียงแค่ 3.5 - 9.2 มิลลิกรัม เท่านั้น
วิตามิน บี -2 หรือไรโบฟลาวีน
พบในลูกนัท, ผลิตผลจากน้ำนมและตับ วิตามินนี้ช่วยในการทำงานของผิวหนังประสาทและระบบย่อยอาหาร ถ้าขาดวิตามินนี้จะทำให้เป็นแผลที่มุมปาก(ปากนกกระจอก)
- ทารก ต้องการประมาณ 0.4 0.6 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก 0.8 1.2 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่ 1.2 1.7 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ มากกว่า 3 มิลลิกรัม/วัน
- หญิงให้นมบุตร มากกว่า 0.5 มิลลิกรัม/วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และการขับออกของร่างกาย
วิตามิน บี-5 หรือกรดแพนโตธีนิก
พบในเมล็ดข้าว ถั่วตากแห้ง ไข่และลูกนัท วิตามินนี้ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี5 อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม
วิตามิน บี-6 ไพริด็อกซิน
พบในเมล็ดข้าว ถั่วตากแห้ง ไข่และลูกนัท มีความสำคัญในขบวนการทางเคมี ของสารโปรตีนและกรดอะมิโน เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของสมองและการสร้างเมล็ดเลือดแดง
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินบี6 ประมาณ 1.5 มิลลิกรัม
วิตามิน บี-12
พบในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ น้ำนมและเนื้อกุ้ง ปู ช่วยในขบวนการสร้างเมล็ดเลือดแดง
ผู้ใหญ่ต้องการวิตามินบี 12 วันละ 2.4 ไมโครกรัม
วิตามิน ซี
พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศและผักสด ช่วยให้เหงือกแข็งแรง ผนังหลอดเลือดแข็งแรงไม่แตกเปราะ ฟันแข็งแรง ไม่เป็นโรคลักปิดลักเปิด ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และช่วยให้แผลหายเร็ว
ถ้าร่างกายมีอาการของหวัด โรคภูมิแพ้ ร่างกายอ่อนแอ ควรได้รับวิตามิน ซี วันละ 1,000 2,000 มิลลิกรัม
ถ้าอยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ หรือมีความเครียดสูง ควรได้รับวิตามิน ซี วันละ 1,000 มิลลิกรัม
ถ้าต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพ ควรได้รับวิตามิน ซี วันละ 1,000 มิลลิกรัม
วิตามิน ดี
พบมากในน้ำนมและตับ ปลาทะเล ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง มีความจำเป็นในการดูดซึม ธาตุแคลเซี่ยม
ขนาดรับประทานต่อวันคือ 200 - 400 IU หรือ 5 - 10 mcg.
ตอนนี้ทานอาหารไม่สมดุลย์เลย
สรุปต้องทานวิตามินเสริมเอา
เพื่อความสบายใจค่ะคุณปาน
ขอบคุณกับสาระดีๆเช่นเคยจ้า
โหวตหมวดสุขภาพเช่นเดิมน๊า