|
2 ตุลาคม 2558
|
|
|
|
จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 : ของจริงหรือของปลอม (4)
งานวิจัยนี้ถูกนำไปสู่การอภิปรายที่สยามสมาคมเรื่อง ศิลาจารึกหลักที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 4 มีนาคม 2532 ณ ห้องประชุมใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ ถ. สีลม กรุงเทพฯ มีพระดำรัสเปิดโดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา ฯ ในฐานะประธานในที่ประชุม
อ. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมจากบทความเดิมว่า
ศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น มีการชี้เค้าเงื่อนไว้ในหนังสืออภินิหารการประจักษ์ ที่นิพนธ์โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในปีพุทธศักราช 2411 เป็นหนังสือที่กล่าวถึงบุญบารมีของรัชกาลที่ 4
ที่ทรงพบแท่นศิลาที่ชาวเมืองนับถือว่าเป็นของขลังไม่มีใครเข้าไปใกล้ แต่พระองค์เสด็จขึ้นประทับบนแท่นศิลานั้น รับสั่งว่า "อยู่ทำไมกลางป่า ไปอยู่บางกอกด้วยกันจะได้ฟังเทศน์จำศีล" เมื่อพระองค์เสด็จกลับจึงโปรดเกล้าฯให้ชะลอมาก่อเป็นแท่นไว้ที่วัดสมอราย
มีเรื่องเทพยดามาทูลว่า ต่อไปพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ คล้ายกับพระยาลิไทที่เคยเป็นองค์รัชทายาท แต่ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ในทันที ทั้งสองพระองค์จะได้มีโอกาสศึกษาพระไตรปิฏกอย่างลึกซึ่งเสียก่อน ดังเนื้อหาในจารึกหลักที่ 4 วัดป่ามะม่วงภาษาเขมรที่ถูกลงมาพร้อมพระแท่น
แต่ในหนังสือเล่มนี้กลับไม่มีการกล่าวถึง การนำจารึกหลักที่ 1 ลงมาด้วย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะหลงลืมที่จะกล่าวถึงเรื่องสำคัญเช่นนี้
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเลือกแปล โดยยกเอามาแต่เฉพาะบางเหตุการณ์ เริ่มที่มหาศักราช 1214 ศกปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงให้ปลูกไม้ตาล 14 ปีเข้า จึงให้ช่างถากขดานหินกลางไม้ตาลนี้ และในวันอุโบสถก็โปรดให้พระเถระผู้ใหญ่สวดธรรมแก่เหล่าอุบาสก หามิใช่วันอุโบสถพระองค์เองก็เสด็จขึ้นประทับออกว่าราชการ
ตรงกับพระราชดำริของเจ้าฟ้ามงกุฎเมื่อเสด็จสุโขทัยที่ตรัสกับแท่นศิลาว่า "ให้ไปบางกอกด้วยกัน จะได้ฟังเทศน์ถือศีล" น่าจะสันนิษฐานได้อีกว่า พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าหากเมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติขึ้นเมื่อใด ก็คงใช้แท่นศิลานี้เป็นบัลลังค์ แต่ก็มิได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์เท่านั้น
หนังสือแสดงวิธีการเปลี่ยนมหาศักราชมาเป็น พ.ศ. โดยการบวกด้วย 621 ซึ่ง อ. พิริยะนำได้ลองเปลี่ยนพุทธศักราชนั้นมาเป็นคริสต์ศักราชพบว่า
ม.ศ. 1214 ที่พ่อขุนรามคำแหงทรงปลูกต้นตาลก็จะตรงกับปี พ.ศ.1835 แต่หากเปลี่ยนจาก พ.ศ. เป็น ค.ศ. ตรงๆ ปีนั้น คือสองปีก่อนที่เจ้าฟ้ามงกุฎ จะเสด็จไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบวร อีก 14 ปีต่อมาจึงโปรดเกล้าฯให้ช่างถากกระดานศิลา (พระแท่นมนังคศิลา) ก็จะตรงกับปี ศ.ศ.1849 คือสองปีก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์
แต่เนื้อหาต่อไปเรื่องที่พ่อขุนรามคำแหงให้ขุดเอาพระธาตุ กลับกล่าวว่า เป็นปีศักราช 1209 ปีกุน แต่ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ระบุว่าเป็นศักราช 1207 ปีกุน เป็นเจตนาที่จะแสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างของเวลาสองปี
ดังนั้นถ้าเอาสองปีมาเพิ่มเข้าไป
ม.ศ. 1835 ปีที่พ่อขุนรามคำแหงปลูกต้นตาล +2 ตรงกับ ค.ศ 1837 ที่เจ้าฟ้ามงกุฎจะเสด็จไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบวร ม.ศ. 1849 ปีที่พ่อขุนรามคำแหงโปรดเกล้าฯให้ช่างถากกระดานศิลา +2 ตรงกับ ค.ศ. 1851 ที่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์พอดี
ม.ศ. 1209 ที่พ่อขุนรามคำแหงให้ขุดเอาพระธาตุออกไปให้คนทั้งหลายเห็น แล้วเอาลงไปฝังไว้กลางเมืองศรีสัชนาลัย หากบวก 623 จะตรงกับ ค.ศ. ที่เจ้าฟ้ามงกุฎโปรดเกล้าฯให้ขุดศิลานิมิตแล้วทรงให้ผูกนิมิตใหม่
ม.ศ 1205 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์ลายสือไทยนั้น หากบวก 623 จะตรงกับปีที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีพระราชศรัทธาที่จะนำเอาพระวินัยมอญ มาเป็นข้อปฏิบัติในธรรมยุตนิกาย และอาจจะทรงริเริ่มประดิษฐ์อักษรอริยกะ
สรุปได้ว่า ศิลาจารึกหลักนี้น่าจะจารขึ้นในช่วง พ.ศ. 2376 2398 หรือระหว่างปีที่พระองค์ทรงค้นพบจนถึงพระราชทานแก่เซอร์จอห์น เบาว์ริ่ง ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่าไม่สามารถนำศิลาจารึกหลักนี้ มาใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยสุโขทัยได้
Create Date : 02 ตุลาคม 2558 |
|
2 comments |
Last Update : 5 ตุลาคม 2558 15:10:28 น. |
Counter : 2104 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ชีริว 3 ตุลาคม 2558 8:11:24 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
|
|
|
อีกเรื่องที่ถกเถียงหาข้อยุติกันยาวนานก็เห็นจะเป็นที่ตั้งของเจดีย์ยุทธหัตถีพระนเรศวรครับ