 |
11 มกราคม 2555
|
|
|
|
เหตุการณ์ รศ. 112 (1)

อนุเสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์สูง 8 เมตร ที่เมืองเวียงจันทร์
จากการแสดง แสง สี เสียงและสื่อผสม " วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษามหาราชา" ได้ดำเนินต่อไปจนถึงรัชกาลที่สาม ซึ่งได้กล่าวถึงสั้นๆ ถึงความรุ่งเรืองด้วยการค้าสำเภา กับประเทศจีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องกล่าวว่าเงินท้องพระคลังมหาศาลนั้นได้มาจากการเปิดเสรีทางการค้า
นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา หัวใจระบบเศรษฐกิจนั้นคือการเกณฑ์แรงงาน เพื่อตอบแทนแก่รัฐและเจ้านาย แต่ในสมัยรัชกาลที่สามนั้น ไพร่สามารถที่จะจ่าย แรงงานเป็นเงินได้ ทำให้มีเวลาที่จะไปทำมาหากินสามารถเพิ่มผลผลิตเข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ยังเกิดการปลูกอ้อยทำน้ำตาลทรายเพื่อการส่งออกอย่างขนานใหญ่
นอกจากนี้ระบบเจ้านายอากรที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาก็มาเฟื่องฟูสุดๆ นำรายได้ส่งมายังท้องพระคลังมหาศาล สิ่งสุดท้ายก็คือการค้าเสรีของตลาดการค้า นานาชาติ กรุงเทพกลายเป็นแหล่งรวมสินค้าที่พ่อค้าต่างมุ่งหน้ามาเพื่อค้าขาย ขณะนั้นเงินตราต่างประเทศที่เป็นสื่อกลางก็คือเงินเหรียญเม็กซิโกของสเปน
ที่เป็นเจ้าแห่งอาณานิคมในสมัยนั้นนั่นเอง ค่าเงินของไทยแข็งตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน 3 เหริยญเงินสเปนเท่ากับ 5 บาทของไทย ในอดีตเงินรายได้ส่วนใหญ่ก็คือเงินของพระมหากษัตริย์ ที่จะโปรดให้นำไปใช้ในการพัฒนาประเทศนั่นเอง
เมื่อรัชกาลที่ 3 ใกล้จะเสด็จสวรรคต ในตอนนั้นเงินจำนวนนี้มีอยู่ 40,000 ชั่ง หรือราว 3,200,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกส่งต่อไปยังพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป โดยพระองค์ได้ทรงขอไว้ 10,000 ชั่ง เพื่อการสร้างวัดต่างๆ ที่ยังค้างคาให้สำเร็จต่อไป
เมื่อลุเข้าสู่ยุคสมัยของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมในแถบเอเชียและกีดกันสเปนออกไปจากพื้นที่ และบีบบังคับให้สยามเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินปอนด์ให้ลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มย่ำแย่ลง แต่เงินก้อนนั้นก็ยังถูกเก็บรักษาไว้
เหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงเวลาที่เลือกนำมาแสดงคือ วิกฤติการณ์ รศ. 112 แต่นั่นเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ หากเราจะเข้าใจเหตุการณ์นี้เราคงต้องย้อนเวลากลับไปถึงในสมัยธนบุรี
พ.ศ.2314 เกิดการกบฎประชาชนในดินแดนของก๊กเหวงียน นำโดยสามพี่น้องตระกูลเหงวียนชาวหมู่บ้านไตเซิน โดยมีจุดมุ่งหมาย ในการรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิ์เล ยุติการคอรัปชั่น และจัดปฏิรูปที่ดินให้เป็นธรรม
พ.ศ. 2325 องเชียงลือต้องหนีกบฏไตเซินมาหลบภัยอยู่ที่เกาะช้าง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบ จึงได้ให้ เข้ามายังกรุงเทพได้ พ.ศ. 2326 รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้ กรมพระหริรักษ์นำทัพทหาร 5,000 นาย เรือ 300 ลำ ช่วยตีพวกไตเซิน แต่ทัพเรือของไตเซินทำลายทัพเรือสยามในศึกที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง องเชียงสือต้องกลับมายังสยาม พวกไตเซินจึงมุ่งความสนใจไปที่พวกจิ่งทางเหนือ
พ.ศ. 2327 องเชียงสือส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสในการต่อสู้กับกบฏ โดยเสนอต่อราชสำนักฝรั่งเศสว่าหากองเชียงสือปกครองเวียดนามแล้วจะอนุญาต ให้ฝรั่งเศสไปตั้งป้อมปราการและเมืองท่าตามแนวชายฝั่งเวียดนามเป็นการตอบแทน
 พระเจ้ามิงหม่างจักรพรรดิองค์ที่สองของเวียดนาม
พ.ศ. 2330 เกิดความแตกแยกในหมู่พี่น้องไตเซิน ขณะเดียวกันฝรั่งเศสเซ็นสนธิสัญญา กับองเชียงสือรับปากว่าจะส่งเรือตรวจการณ์ 4 ลำ ทหารฝรั่งเศส 1650 คน ทหารอินเดีย อีก 250 คน แลกกับเกาะโกนเซินและเมืองดานัง รวมทั้งสิทธิ์ในการผูกขาดการค้า แต่ Thomas Conway เจ้าเมือง Pondichery ของฝรั่งเศสในอินเดียไม่อยากจะช่วย
ตัวแทนขององเชียงสือจึงต้องใช้เงินทุนที่ได้จากปารีสในการจ้างทหารรับจ้างแทน องเชียงสือลอบหนีจากรุงเทพกลับไปเวียดนาม รัชกาลที่ 1 ทรงทราบเรื่องแต่ไม่เอาโทษ ปีโญ เดอ เบแอนได้ร้องเรียนรัฐบาลฝรั่งเศสและจัดตั้งอาสาสมัครทหารฝรั่งเศส เพื่อช่วยเหลือองเชียงสือจนเสียชีวิตในเวียดนาม แต่กองทหารของเขายังคงต่อสู้
จนสามารถยึดไซ่ง่อนมาเป็นฐานกำลังได้ องเชียงสือส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวาย รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระราชทานเรือ อาวุธ และส่งทัพเขมรไปช่วยรบกับกลุ่มกบฏไตเซิน
พ.ศ. 2345 องเชียงสือสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ญาลองมีศูนย์กลางการปกครอง ที่เมืองเว้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงส่งสารไปแสดงความยินดี เวียดนามก็ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการมายังราชสำนักสยาม แต่ฝรั่งเศสกลับไม่ได้รับผลตอบแทนจากสัญญาที่ตัวแทนขององเชียงสีอได้ไปทำไว้
พ.ศ. 2352 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียตนามดำเนินไปด้วยดีตลอดรัชกาล
พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ ตรงกับสมัยพระเจ้ามิงหม่างจักรพรรดิองค์ที่สองของเวียดนามที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น และเริ่มแทรกแซงอิทธิพลในลาวและเขมรซึ่งในตอนนั้นเป็นประเทศราชของไทย
พ.ศ. 2368 เจ้าอนุวงศ์ได้เสด็จลงมาถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเห็นว่ากองทัพไทยอ่อนแอ เนื่องจากแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าที่มีฝีมือได้สิ้นชีวิตไปหลายคนแล้ว ต่อมามีข่าวลือไปถึงเวียงจันทน์ว่าไทยกับอังกฤษวิวาทกันจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี
พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพลงมากรุงเทพฯ โดยวางอุบายหลอกเจ้าเมือง ตามรายทางว่าจะยกทัพลงไปช่วยกรุงเทพรบกับอังกฤษ ทำให้กองทัพสามารถเดินทัพผ่านมาโดยสะดวกจนมาถึงนครราชสีมา ได้ฉวยโอกาสที่เจ้าเมืองและปลัดเมืองไปราชการที่เมืองขุขันธ์เข้ายึดเมือง และกวาดต้อนครอบครัวขึ้นไปเวียงจันทน์
เมื่อทัพหน้ายกไปถึงเมืองสระบุรี ทราบว่ากรุงเทพได้เตรียมทัพ เจ้าอนุวงศ์จึงให้กองทัพถอยกลับเพื่อรักษาตามด่านรายทาง รัชกาลที่ 3โปรดเกล้าให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปปราบและยึดเวียงจันทน์ได้ เจ้าอนุวงศ์หนีไปเวียดนาม
พ.ศ. 2370 โปรดเกล้าให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีกลับไปตีเมืองเวียงจันทน์ เพื่อทำลายเมืองให้สิ้นซาก พระยาพิชัยสงครามคุมทหาร 300 นาย ข้ามแม่น้ำโขงไปดูลาดเลาได้ความว่าจักรพรรดิเวียดนามให้ข้าหลวง พาเจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์กลับมาขอสวามิภักดิ์ฝ่ายไทยอีกครั้ง
Create Date : 11 มกราคม 2555 |
Last Update : 19 มกราคม 2555 16:39:56 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3180 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
|
 |
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
 |
|
|