 |
13 มกราคม 2555
|
|
|
|
เหตุการณ์ รศ. 112 (2)

ศาลเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร แม่ทัพใหญ่ของไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชวงศ์กลับยกพวกเข้าโจมตีทำร้ายทหารไทย ล้มตายเป็นอันมากเจ้าพระยาราชสุภาวดีเห็นพวกเวียงจันทน์ตามมาไล่ฆ่าฟัน ถึงชายหาดหน้าเมืองพันพร้าวก็ทราบว่าเกิดเหตุร้าย จึงขอกำลังเพิ่มเติมจากเมืองยโสธร
เจ้าอนุวงศ์ให้เจ้าราชวงศ์นำกำลังพลข้ามตามมาและปะทะกับทัพไทยที่บ้านบกหวาน แขวงเมืองหนองคายเกิดการต่อสู้กันผลปรากฏว่าฝ่ายเจ้าราชวงศ์ล่าถอยไป กองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดีจึงได้เร่งติดตามกองทัพลาวไปจนถึงเมืองพันพร้าว ก็ปรากฏว่ากองทัพลาวข้ามแม่น้ำโขงไปแล้ว
เจ้าอนุวงศ์เห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นก็คิดว่าสู้ไม่ได้ จึงพาครอบครัวหนีไปพึ่งเวียดนาม แต่ระหว่างทางเจ้าน้อยเมืองพวนก็ได้จับกุมตัวเจ้าอนุวงศ์กับครอบครัวส่งมาที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เอาตัวเจ้าอนุวงศ์ใส่กรงเหล็ก ประจานไว้หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าอนุวงศ์ก็สิ้นพระชนม์
พ.ศ. 2371 พระเจ้ามิงหม่างได้ส่งสารมาประท้วงสยามเรื่องการปราบปรามเจ้าอนุวงศ์ นำไปสู่จุดจบความสัมพันธ์ระหง่างสยามและเวียดนามในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2376 เมืองไซง่อนก่อการจราจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาเป็นแม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมร และหัวเมืองญวนลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่ทัพเรือ ไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน
พ.ศ. 2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นแม่ทัพเรือยกกองทัพเรือไปตีเมืองโจดก พ.ศ. 2390 ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง 14 ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้ เพราะทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคน
พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พ.ศ. 2399 คณะทูตขอมงติญี กงสุลฝรั่งเศสประจำเซี่ยงไฮ้เข้ามาทำสนธิสัญญากับไทย แบบเดียวกับสนธิสัญญาเบาว์ริงของอังกฤษเมื่อ เมื่อเดินทางออกจากไทย มงติญีได้เดินทางต่อไปยังกัมพูชา แต่นักองค์ด้วงกษัตริย์ในกัมพูชาขณะนั้นตอบว่า กัมพูชาเป็นเมืองประเทศราชไม่อาจทำสัญญาได้ตามลำพังต้องปรึกษาสยามก่อน
คณะทูตของมงติญีจึงเดินทางต่อไปยังราชสำนักเว้ของเวียดนาม หลังจากคณะทูตของมงติญีกลับไปไม่นาน นักองค์ด้วงได้ส่งหนังสือไปยังกงสุลฝรั่งเศส ของสิงคโปร์เพื่อนำไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ 3 เพื่อขอให้ฝรั่งเศสช่วยคุ้มครองกัมพูชา ให้พ้นจากอำนาจของสยามและเวียดนาม
ฝรั่งเศสยังคงมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นในเวียดนามผ่านทางองค์กรทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกทำให้ราชวงศ์เหวียนรู้สึกว่าคณะมิชชันนารีคุกคามทางการเมือง เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงอย่างต่อเนื่อง จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก
ในที่สุดบาทหลวง ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้ช่วยคุ้มครอง

คลองแสนแสบถูกขุดขึ้นเพื่อใช้ในการขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ กำลังรบ และเสบียงอาหารในราชการสงครามระหว่างสยาม-ญวน
พ.ศ. 2401 พลเรือเอกชาร์ลส์ รีโกลต์ เดอ เชอนุยยีนำกองเรือรบฝรั่งเศสและกองทัพผสม ระหว่างฝรั่งเศสและชาวพื้นเมืองในอาณานิคมฟิลิบปินส์ของสเปนเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองเว้ และต่อมากองกำลังฝรั่งเศสได้บุกโจมตีเรื่อยลงมาที่ดินแดนภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขง และยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด จักรพรรดิตึดึ๊กจึงต้องยอมสงบศึก
ฝรั่งเศสแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีนในภาคใต้ เขตอารักขาอันนามในตอนกลางและเขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ เวียดนามยังมีจักรพรรดิเป็นประมุขเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และอำนาจในการบริหารการคลัง การทหารและการทูตตกเป็นเป็นของฝรั่งเศส
พ.ศ. 2406 หลังจากที่ฝรั่งเศสดำเนินนโยบายแข็งกร้าวในการยึดครองดินแดนเวียดนาม พลเรือเอก เดอ ลากรองดิแยร์ ได้เป็นข้าหลวงอินโดจีนฝรั่งเศสได้เข้ามาติดต่อเขมรอีกครั้ง เพื่อให้าเป็นดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส กษัตริย์พระนโรดมพรหมบริรักษ์ พระโอรสของนักองค์ด้วง ได้ตกลงใจทำสนธิสัญญาดังกล่าว
พ.ศ. 2410 สยามถูกบีบบังคับให้ยกเลิกอำนาจเหนือกัมพูชา และยอมรับสถานะรัฐในอารักขาฝรั่งเศสในเขมรส่วนนอกหรือเขมรญวน นับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ สยามได้ปกครองเขมรอย่างใกล้ชิด เขมรต้องส่งพระราชโอรสมากรุงเทพ เพื่อได้รับการเลี้ยงดูอบรมผ่านการบวชเรียน
ในอุ้มชูอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก่อนจะถูกส่งกลับไปครองเมือง เมื่อมีเหตุทะเลาะวิวาทในหมู่เจ้านายสยามก็จะเป็นผู้ตัดสิน และแม้กระทั่งส่งกองทัพไปจัดการ
ฉะนั้นในเวลานั้นแทบจะไม่มีใครเชื่อว่าเขมรจะมีใจออกห่างจากราชสำนักสยามได้
พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2418 กองกำลังฮ่อที่แพ้สงครามจากประเทศจีนได้เข้ามายึดสิบสองจุไท
สิบสองจุไทเป็นกลุ่มเมืองในหุบเขาที่ไม่มีเขตอำนาจรัฐอย่างเด่นชัด เมืองที่อยู่ใกล้ประเทศจีนก็ส่งบรรณาการให้จีน บางเมืองใกล้หลวงพระบาง ก็ส่งบรรณาการให้ล้านช้าง บางเมืองใกล้ญวนก็ส่งบรรณาการให้ญวน หรือบางเมืองอาจจะต้องส่งบรรณาการให้ทั้ง 3 อาณาจักรเลยก็ได้
ดังนั้นเมื่อกลุ่มฮ่อหนีการปราบปรามมาจากเมืองจีนและเข้ายึด จึงไม่มีประเทศใดที่จะเข้าไปปราบปรามให้ปัญหานั้นหมดสิ้นลง
พ.ศ. 2418 สงครามปราบฮ่อครั้งที่ 1 พวกฮ่อมาชุมนุมที่ทุ่งเชียงคำ เพื่อจะตีเมืองหลวงพระบาง สยามจึงได้จัดกำลังเพื่อปราบฮ่อ โดยแบ่งเป็น 4 กองทัพ กองทัพแรกมีพระมหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) เป็นแม่ทัพ เกณฑ์กำลังพลจากมณฑลอุดร ร้อยเอ็ด และอุบล เพื่อป้องกันด้านหนองคาย
กองทัพที่สองมีพระยาพิไชย (ดิส) เป็นแม่ทัพ คุมกำลังพลจากมณฑลพิษณุโลก ขึ้นไปป้องกันหลวงพระบาง กองทัพที่สามมีเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธ์) เป็นแม่ทัพยกกำลังจากกรุงเทพ ฯ ไปยังเมืองหลวงพระบาง กองทัพที่สี่ มีเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) เป็นแม่ทัพ ยกกำลังจากกรุงเทพไปหนองคาย พ.ศ. 2426 สงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2 พวกฮ่อนำกำลังเข้ายึดเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหก กองทัพไทยยกไปปราบฮ่อ ครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จต้องยกทัพกลับ
Create Date : 13 มกราคม 2555 |
Last Update : 19 มกราคม 2555 16:29:05 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1593 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 14 มกราคม 2555 เวลา:0:36:39 น. |
|
|
|
| |
|
 |
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
 |
|
|
. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .
. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .
. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .
*~*~*~*..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~*