Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนจบ

มาเล่าต่อจากภาคแรก

พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนที่ 1


เราถามพี่เค้าว่า ทำไมคนเก่าถึงลาออกล่ะ
แต่พอรู้ว่าเค้าแต่งงานไป
คือสาวเกาหลีคนเก่าเนี่ย
ถ้าจำไม่ผิด เค้าอายุ 46-48 เนี่ยแหละ
เป็นเกาหลีแท้ ๆ แบบก่อนศัลยกรรมเหมือนกัน
แต่งงานกับคนเมกันแล้วไปอยู่ที่เมกาแล้ว
บุคลิกเค้าก็เป็นผู้หญิงโสด ๆ นิ่ม ๆ เฉื่อย ๆ แฉะ ๆ
อันนี้ไม่ได้เห็นคนเดียวนะ พี่เค้าก็บอกแบบนั้นเหมือนกัน
ภาษาก็ไม่ได้ดีเท่าพี่คนนี้เลย
แล้ว love story เค้าเป็นยังไง มาฟังกันเลย แต่ได้มาแค่คร่าว ๆ เท่านั้นนะ






คือคุณป้าคนนี้น่ะ เรียกคุณป้าแล้วกันนะ จะได้ไม่สับสนกับพี่ที่มาใหม่
มีอยู่วันนึง
คุณป้าแกไปหาหมอใน รพ ในออฟฟิศ (ออฟฟิศใหญ่น่ะนะ)
แล้วระหว่างรอหมอ
ก็มีฝรั่งคนนึงซึ่งเป็นหมอเดินผ่านมา
แล้วก็เกิดปิ๊งคุณป้าคนนี้เข้าให้
แล้วก็หาข้อมูลจนได้มาเดทแล้วก็แต่งงานกันในที่สุด
เป็นการแต่งงานครั้งแรกของสาวโสดอายุเกือบ 50 ที่ปล่อยวางเรื่องการมีคู่และแต่งงานมาเนิ่นนานแล้ว โอ้ว
เหมือนพรหมลิขิตเลยเนอะ
อยู่กันคนละประเทศ มาเจอกัน ณ จุดใดจุดหนึ่งบนโลกใบนี้
คิดดูสิ
ถ้าวันนั้นคุณป้าไม่ได้ไป รพ แล้วไม่ได้นั่งรอหมอ ณ เวลานั้น
เค้า 2 คนก็คงไม่ได้เจอกัน
เราเป็นคนพุทธ เหตุบังเอิญไม่มีในโลก
ทุกอย่างมีเหตุ มีปัจจัยทั้งหมด
ฟังแล้วดูชวนฝันมาก





แล้วคือ
ก่อนหน้านั้น
คุณป้าคนเนี้ยก็เคยมีแฟนนะ
แถมคบกันมายาวนานซะด้วย แต่ไม่ได้แต่งงานกัน
คบเป็น 10 ปีเลยล่ะ
แล้วสุดท้าย
อิผู้ชายเกาหลีก็บอกว่า ชั้นไม่อยากแต่งงานกะเธอแล้ว
แล้วเธอก็แก่แล้วด้วย
ถ้าจะแต่ง ชั้นอยากแต่งกันคนที่เด็กกว่า
แล้วมาทิ้งกันตอนเกือบ 40 หรือ 40 กว่าเนี่ยแหละ
ฟังแล้วช้ำใจเนอะ

แต่ตอนนั้น
คุณป้าแกก็ไม่ย่อท้อนะ
ก็ไปที่บริษัทจัดหาคู่ (บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเกาหลี)
แต่บริษัททุกแห่งก็ปฏิเสธทั้งหมด
แล้วบอกว่าเธอแก่เกินไปแล้ว
โห ฟังแล้วเศร้าเนอะ

แต่สุดท้าย
พรหมลิขิตก็ชักนำให้คุณป้าแกได้แต่งงานตอนอายุเกือบ 50
ว้าว




ตอนแรกเธอก็ไม่อยากไปนะ
เธอก็คิดหนักมากเลยว่าจะแต่งตามสามีไปอยู่เมกาดีมั้ย
เพราะอยู่อย่างไม่มีความหวังว่าจะแต่งงานมาเป็น 10 ปีแล้ว
อยู่เกาหลีแบบโสด ๆ ก็สบายดี ไม่มีภาระ
หน้าที่การงานก็มั่นคงแล้วก็ทำมา 20-30 ปีแล้ว
พี่ ๆ ญาติ ๆ ที่แต่งงานแล้วก็บอกเธอว่า
จะแต่งทำไม อายุขนาดนี้แล้ว
แต่งไปก็ไม่มีความสุขเท่าอยู่เป็นโสดหรอก
อยู่เป็นโสดแบบนี้น่ะ ดีแล้ว สบายจะตาย
เอิ่ม ได้ข่าวว่าอิพวกที่พูดเนี่ย แต่งงานแล้วทั้งนั้นเลย






เราว่า
มันเปรียบเสมือนการกระโดดลงสระน้ำน่ะ
พวกที่โดดลงไปแล้ว แล้วไม่ชอบก็จะรู้สึกว่า
เธอไม่ต้องโดดลงมาหรอก มันไม่สนุกหรอก ทำให้เธอเปียกด้วย
ชั้นพูดเนี่ย ชั้นหวังดีกับเธอนะ จะได้ไม่ต้องมาเปียกเหมือนชั้น
แต่ว่า
คนที่เค้าโดดลงไปเนี่ย คนที่เค้าสนุกกับการว่ายน้ำก็มีเยอะแยะ
อย่างน้อยในชีวิตนึง เราควรจะกระโดดลงไปให้รู้ไม่ใช่เหรอ
ชีวิตมันก็ต้องมีความเสี่ยงบ้าง
ถ้าโดดลงไปแล้วไม่ชอบก็ขึ้นมาก็ได้
ยังไงถ้าคุณป้าแกแต่งไปแล้วมันไม่ work ก็กลับมาเกาหลีก็ได้นี่
เพราะครอบครัวเธอก็อยู่ที่นี่






เราไม่มีทางรู้หรอกว่าแต่งไปแล้วมันจะดีหรือไม่ดี
บางครั้ง เราก็ควรออกจาก comfort zone ไปเจออะไรใหม่ ๆ บ้าง
ไม่ดีก็กลับมา ก็เท่านั้นเอง

แลกกันมั้ยคะคุณป้า
ตอนนี้หนูรู้สึกอยากจะกระโดดน้ำมากเลย
เสียแต่ว่าไม่มีใครเข้ามาฉุดแขนให้กระโดดลงไปเท่านั้นเองน่ะค่ะ แหะ ๆ

แล้วสุดท้าย
เธอก็ตัดสินใจเสี่ยง กระโดดลงน้ำ ตามสามีไปอยู่เมกาในที่สุด
โอย
อยากกระโดดมั่ง ณ จุดนี้ 555
ตอนนี้ยังไม่มี
แต่ไม่เป็นไร เรายังมีเวลา
เค้า 47 เค้ายังได้แต่งเลย
เป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรามาก หุหุ





คุยเรื่องแต่งงานไปแล้ว
เรามาคุยเรื่องหย่าร้างกันบ้าง
พี่คนนี้ก็บอกว่า
ตอนนี้นะ
ที่เมกาน่ะ
อัตราการหย่าร้าง 50% เลยนะ
แล้วพี่เค้าก็ถามเราว่า
ถ้ายูจะแต่งงานเนี่ย
ยูแคร์มั้ย
ว่าจะเป็นคนที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อน
หรือคนที่เคยแต่งแล้วหย่า
เราก็บอกว่า
ตอนนี้นะ
ขอให้มาเถอะ ไม่เลือก อะไรก็ได้ 555





เค้าบอกว่า
สำหรับเค้าน่ะ
ถ้าแต่งแล้วหย่าเนี่ย เค้าไม่เอาเลยนะ
เพราะว่าถ้าเคยหย่ามาแล้ว
มันมีแนวโน้มว่าจะหย่าอีกได้ง่าย
แล้วแค่พ่อแม่เค้าเคยหย่ามาเนี่ย
ต่อให้ผู้ชายยังไม่เคยแต่งงาน เค้าก็ไม่แต่งด้วย
เพราะเค้าเชื่อว่า
ถ้าครอบครัวไหนที่พ่อแม่หย่ากัน
ยีนส์นั้นมันจะติดมาถึงลูก ถึงหลาน
สังเกตุได้ง่าย ๆ เลย
ส่วนใหญ่ที่พ่อแม่หย่ากัน
สุดท้าย เค้าก็จะหย่ากับภรรยาเหมือนกัน





อันนี้เหมือนเป็นธรรมเนียมคนจีนด้วยนะ
เพราะเพื่อนเราหมวย ๆ หลายคน ป๊าม้าเค้าก็จะถามลูกเวลามีแฟน
ว่าครอบครัวเค้า พ่อแม่ยังอยู่ด้วยกันหรือหย่ากัน
ถ้าหย่ากันก็จบ ไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับคนพวกนี้

เราว่ามันก็น่าจะคล้าย ๆ กันกับหนังสือเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกที่เราอ่าน
ประมาณว่า
การที่เราเลือกคู่เนี่ย จิตใต้สำนึกจะเป็นตัวบงการ
จิตใต้สำนึกของเราก็มาจากประสบการณ์ที่เราสั่งสมมาในอดีตตั้งแต่เกิด
ผู้ชายบางคนเกลียดแม่ตัวเอง
แต่สุดท้ายก็ได้ภรรยาที่นิสัยเหมือนแม่
บางคนหย่าร้าง เกลียดนิสัยภรรยาสุด ๆ แล้วก็สาบานกับตัวเองว่า ภรรยาคนใหม่ขอนิสัยไม่เหมือนคนเก่า
แต่สุดท้ายก็ได้เหมือนคนเก่าเป๊ะ
อะไรประมาณเนี้ย





แต่เรากลับคิดอีกแบบนึงนะ ว่า
การที่เค้าแต่งงานแล้วหย่าแล้วเนี่ย
มันน่าจะดีกับคนใหม่นะ
เพราะเค้ารู้แล้วว่าอะไรที่เค้าทำผิดพลาดในอดีต
เค้าก็จะปรับแก้ไข แล้วไม่ทำให้เกิดขึ้นในอนาคต

แต่หลายคนยืนยันว่าไม่จริง
เพราะคนที่เคยหย่ามาแล้วนะ
มันก็จะหย่าอีกได้
เหมือนเราผ่านความเจ็บปวดจากการหย่าร้างครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัดสินใจยากและทรมานมากมาแล้ว
ครั้งต่อไปก็จะสบายละ ไม่รู้สึกแย่หรือดาวน์มาก ๆ เหมือนครั้งแรก





แล้วถ้ามันแต่งกับเรา
ต่อไป มันเจอคนที่รู้สึกรักมากกว่า
มันก็หย่าอีกแล้วไปแต่งกับอีกคน
มันก็เป็นวงจรอุบาทว์ ไม่จบไม่สิ้น
จะมาอ้างว่า คนนี้ใช่กว่า แต่เจอกันช้าไป (เหมือนที่เรายังไม่ลืมน้องลูกครึ่งเกาหลีที่แต่งงานแล้วคนนั้น ยังแอบมีหวังว่าจะได้เจอกันอีก 10 ปีข้างหน้าเมื่อเค้าหย่าแล้ว ฮา ๆ)


การอ้างแบบนี้เป็นการอ้างที่เห็นแก่ตัวมาก
อ้าว แล้วตอนเมิงแต่กับคนแรก
เมิงก็ต้องรู้สึกว่าใช่ แล้วก็จะหยุดกับคนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ
ตอนแต่งก็คงไม่ได้บอกหรอกนะว่าถ้าเจอคนใช่กว่า ฉันขอหย่านะ
ถ้าเค้าหย่าแล้วมาแต่งกับเราได้ ต่อไปเค้าก็หย่าเราแล้วไปแต่งกันคนอื่นได้เหมือนกัน
อืม
ก็เป็นความรู้อย่างนึงเหมือนกัน





แล้วตอนจากกัน
วันสุดท้าย
เราขอนายลาครึ่งวัน
แล้วพาพี่เค้านั่งเรือไปเที่ยววัดพระแก้วกับพระบรมมหาราชวัง
แล้วก็นั่งคุย นั่งกินข้าว ถ่ายรูปกัน
แล้วก่อนหน้านั้น เราก็พาพี่เค้าช้อปปิ้งหลังเลิกงานหลายวัน
จริง ๆ เย็นวันนั้น
เรากะจะเที่ยวถึงแค่เค้าปิดตอน 4 โมงครึ่ง เพราะเรามีนัดนวดตอนเย็น (กว่าจะจองได้ก็นานนะ)
แต่เค้าก็ชวนไปนั่งเล่นที่ห้องเค้าแล้วก็กินข้าวเย็นกันที่ executive lounge ข้างบน
แล้วเค้าก็บอกว่าถ้าอยากจะนอนห้องเค้าเลยก็ได้นะ แต่เค้าต้องออกจากโรงแรมตอนตี 4 ไปสนามบิน แต่ยูก็นอนต่อได้ถึงเที่ยงนะ

เราก็ใจอ่อน เห็นว่าเป็นวันสุดท้ายของเค้า
แล้วเค้าก็มาเมืองไทยครั้งแรก แล้วเราก็คุยกันถูกคอ มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกันทุกวัน คุยกันทุกหัวข้อ
เราก็อยากจะอยู่กับเค้าให้นานที่สุด (เว่อร์เนอะ)
แต่คิดแบบนั้นจริง ๆ และคาดว่าพี่เค้าก็คิดแบบเดียวกับเรา
เราก็เลยโทรไปยกเลิกนัดนวด
แล้วก็ไปนั่งเล่น นั่งคุยที่ห้องพี่เค้าแล้วก็ขึ้นไปกินแล้วก็คุยกันต่อข้างบน





เค้าก็เล่าให้เราฟังว่า
ยูเชื่อมั้ย
ว่าชั้นก็เคยทำแบบนี้กับคนญี่ปุ่นคนนึงที่เค้ามาเที่ยวเกาหลี
คือตอนนั้นเค้าอยู่ม.ปลาย ภาษาอังกฤษง่อยมาก
มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นท่าทางเป็นเด็กมหาลัยมาถามทางเค้า
แต่เค้าพูดไม่เป็นเลยตัดสินใจพาผู้หญิงญี่ปุ่นที่มาคนเดียวนี้เที่ยวในโซล 1 วันเต็ม ๆ
พาไปทุกที่ ๆ นักท่องเที่ยวควรจะไป ไปกินสิ่งที่เค้าควรจะได้ลิ้มลอง
แล้วสุดท้ายมันดึกมาก เค้าก็โทรไปบอกที่บ้านว่าไม่กลับ
แล้วเค้าก็นอนพักในโรงแรมกับคนญี่ปุ่นคนนั้นแหละ





ตอนแรกเค้าก็แปลกใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ เรามาเทคแคร์เค้าดีขนาดนี้
เหมือนเพื่อนสนิทกันเลย ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งเคยเจอกันเมื่อวันจันทร์
แต่เราคุยกันถูกคอ วันอังคารถึงวันศุกร์เราก็เทคแคร์เค้าอย่างดีทุกวัน
เรากินข้าวด้วยกัน 2 คนทุกเที่ยง ไปเดินช้อปิ้งกัน ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ
เค้าบอกว่า
มันเหมือนเป็นการ pay it forward
เค้าเชื่อว่าการที่เราเทคแคร์พาเค้าเที่ยวในวันนี้
เหมือนการที่เค้าได้เทคแคร์คนญี่ปุ่นคนนั้นในอดีต
แล้วเค้าก็บอกเราว่า ยูไม่ต้องกังวลนะ
เค้าเชื่อว่า ในอนาคต ก็จะมีคนมาเทคแคร์ยูเหมือนกับที่ยูเทคแคร์ชั้นในวันนี้แหละ
โห
ฟังแล้วซึ้งเลย
เราก็เชื่อเรื่องกรรมดีแบบนั้นเหมือนกัน
การที่เราทำดีในตอนนี้ ทุกอย่างไม่มีวันสูญ เราจะได้รับสิ่งนั้นในอนาคต
เหมือนกับที่เราปลูกมะม่วง ในอนาคต เราก็จะได้กินผลมะม่วง ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่สิ่งนี้ เราทำด้วยจิตที่อยากจะทำให้ มิได้หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด





ตอนจากกัน
เราก็กอดกัน
เราไม่ร้องไห้นะ
แต่เค้าพูดเล่น ๆ ว่าเค้าจะร้องไห้
แต่พอวันเสาร์
เราเศร้าทั้งวันเลย คิดถึงพี่เค้า
เรารู้สึกว่า
ตลอดช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา
เราเจอเรื่องแบบนี้ 2 ครั้งติดกันเลยนะ
คือเรื่องที่มีใครคนนึงเดินเข้ามาในชีวิตเรา
ทำให้เราตื่นเต้น มีชีวิตชีวา แล้วอีก 1-2 อาทิตย์ เค้าก็จากไป
ทิ้งแต่ความทรงจำดี ๆ ในช่วงนั้น แล้วก็ความทรมานหลังจากนั้นไว้ให้เรา
ทั้งหนุ่มลูกครึ่งเกาหลีที่แต่งงานแล้ว ซึ่งเราได้เขียนเป็นซีรี่ย์ 4 ตอนด้านล่าง (คาดว่ายังไม่จบ เพราะตอนต่อไปสั้น ๆ กำลังจะมา เพราะเรายังลืมน้องเค้าไม่ได้เลย T-T)

ไม่ชอบเลยกับการไปปิ๊งหนุ่ม หมดเปลืองพลังงาน แถมหนุ่มน้อยฝรั่งที่ว่า ดั๊นแต่งงานแล้ว
กับ
ปีนี้มีหนุ่มมาเวียนเทียนด้วย แถมหนุ่มที่ว่า เพิ่งเจอกันบนรถใต้ดินแล้วชวนไปก็ไปซะด้วย

และ
เราคงไม่ต้องการรอยยิ้มในมือถือก่อนจากกันไปตลอดกาลแล้วล่ะ เพราะรอยยิ้มของเค้าก็ติดอยู่ในใจเราไปเรียบร้อยแล้ว

และ
น้องเค้าต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราแน่เลย ถึงทำให้เราลุ่มหลงไม่เลิกขนาดนี้

สุดท้าย
มีดบาด...ไกลหัวใจ แต่ทำไมมันเจ็บไปถึงหัวใจ T-T



แต่พี่สาวเกาหลีคนนี้ซึ่งเป็นซีรี่ย์ 2 ตอนจบคือตอนที่แล้วด้านล่าง

พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนที่ 1



เราเป็นคนประเภทหมดใจน่ะ
ผูกพันไม่นานก็ให้ใจไปเลยเต็มร้อย
แล้วสุดท้ายมันก็เจ็บจริง อะไรจริง แถม emotional เยอะ
ทุกคนจะเป็นห่วงเรามาก
เพราะสังคมสมัยนี้มันฉาบฉวย ความสัมพันธ์มันยิ่งดูผิวเผิน ตื้นเขิน
คนแบบเราจะอยู่รอดยาก
ถ้าอยู่ได้ก็จะเจ็บแบบซ้ำๆ จบแบบช้ำๆ เรื่องราวก็ซ้ำ ตรงคำว่าเสียใจ (คุ้น ๆ มั้ย)

แต่เราก็รู้สึกดีนะ
ที่อย่างน้อยก็มีคนเข้ามาทำให้ใจเราสั่นไหวบ้าง ตื่นเต้นบ้าง
คนเรามันก็ต้องเสี่ยง
ถ้าวันแรก เราไม่เข้าไปทักพี่เค้าก่อน ไม่ชวนเค้าคุย ไม่ชวนเค้าไปกินข้าว เราก็คงไม่สนิทกันขนาดนี้
จริง ๆ ชีวิตเค้า 2 คนไม่จำเป็นต้องเดินมาเจอเราเลยนะ
คนนึงอยู่ California อีกคนอยู่เกาหลี ดันมาเจออีกคนที่กรุงเทพฯ
แต่การที่เราได้เดินมาเจอกัน ณ ช่วงเวลาใด เวลาหนึ่งบนโลกใบนี้
มันก็เป็นช่วงเวลาที่งดงาม
ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย ที่เกิดขึ้นภายใน 5 วัน




 

Create Date : 16 มีนาคม 2556
6 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2558 11:37:33 น.
Counter : 3054 Pageviews.

 

ชอบอ่านบล๊อคนี้ก้เพราะลีลีเป็นคนมองโลกแง่บวก ขอให้โชคดีจ้า

 

โดย: แฟนlinKinPark 17 มีนาคม 2556 2:13:32 น.  

 

รออ่านต่อตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แล้ว
จะว่าไปก็เป็น destiny จริงๆแหละ โชคดีจัง

 

โดย: davidchung IP: 125.27.181.101 17 มีนาคม 2556 10:43:51 น.  

 

ชอบ 2 คอมเม้นท์ข้างบนจริง ๆ
รวดเร็วได้โล่
เหมือนเรามีแฟนคลับที่เฝ้าติดตามยังไงยังงั้นเลย

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
เวลารู้ว่ามีคนรออ่าน
เราก็มีกำลังใจในการเล่าขึ้นเยอะเลยค่า

 

โดย: หนูลีลี 17 มีนาคม 2556 18:35:24 น.  

 

ก็อก ก็อก ก็อก ^^
เข้ามาเคาะประตู บอกเจ้าของบ้านว่า
คิดถึงเหมือนกันค่ะ

ลีลี ไฟว์ติ้ง ^^

 

โดย: nobuta wo produce 19 มีนาคม 2556 12:39:55 น.  

 

ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะ

 

โดย: คน IP: 124.122.219.74 25 พฤศจิกายน 2556 16:45:16 น.  

 

I for all time emailed this web site post page to all my friends, as if like to read it after that my contacts will too.
Louis Vuitton outlet online //www.k2resources.com/

 

โดย: Louis Vuitton outlet online IP: 94.23.252.21 2 สิงหาคม 2557 12:07:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.