มีดบาด...ไกลหัวใจ แต่ทำไมมันเจ็บไปถึงหัวใจ T-T
เราโดนมีดบาด ลึกอยู่เหมือนกัน เราไม่เคยโดนมีดบาดมาเป็น 10 ปีแล้วมั้ง แต่กระดาษบาดเนี่ย โดนประจำเพราะทำงานที่ต้องใช้เอกสารเยอะ
ถามว่าตอนมีดบาด เจ็บมั้ย ตอบเลยว่าไม่เจ็บ มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่เสี้ยววินาที แต่สิ่งที่มันเจ็บก็คือ ตอนที่มีดบาด เราคิดถึงน้องลูกครึ่งเมกัน เกาหลีที่แต่งงานแล้ว ใครยังไม่เคยอ่านซีรี่ย์เกาหลีของเรา แนะนำให้ไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกที่เราเจอน้องเค้า
ไม่ชอบเลยกับการไปปิ๊งหนุ่ม หมดเปลืองพลังงาน แถมหนุ่มน้อยฝรั่งที่ว่า ดั๊นแต่งงานแล้ว กับ ปีนี้มีหนุ่มมาเวียนเทียนด้วย แถมหนุ่มที่ว่า เพิ่งเจอกันบนรถใต้ดินแล้วชวนไปก็ไปซะด้วย และ เราคงไม่ต้องการรอยยิ้มในมือถือก่อนจากกันไปตลอดกาลแล้วล่ะ เพราะรอยยิ้มของเค้าก็ติดอยู่ในใจเราไปเรียบร้อยแล้ว และ น้องเค้าต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราแน่เลย ถึงทำให้เราลุ่มหลงไม่เลิกขนาดนี้
แล้วซีรี่ย์นี้จะสนุกยิ่งขึ้น ฮา ๆ
จริง ๆ เราคิดว่าไอ้ซีรี่ย์เกาหลีของเรามันจะมีแค่ 4 ตอนจบนะ แต่มันไม่จบเนี่ยสิ เพราะเรายังคิดถึงน้องเค้าอยู่เลย หน้าน้องเค้าแจ่มชัดมากตอนที่เราถูกมีดบาด จากที่มันไม่เจ็บตัว แต่มันเจ็บไปถึงหัวใจเลยทีเดียว
เราเล่าเรื่องนี้ให้พี่ที่เค้าปฏิบัติธรรมมาเยอะ ๆ ฟัง พี่เค้าก็บอกว่า น้องเค้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างที่เพื่อนเราว่าจริง ๆ แหละ พี่เค้าก็แนะนำว่า ให้เรานั่งกรรมฐานแล้วอุทิศบุญให้น้องเค้า แล้วให้น้องเค้าอโหสิกรรมให้เรา ให้เราหลุดพ้นจากความลุ่มหลงและรุ่มร้อนนี้ เพราะพี่เค้าคาดว่า ในอดีตชาติ เราก็คงเลยทำกับเค้ามาก่อน ทั้ง ๆ ที่ความจริง เราไม่ควรจะโคจรมาเจอกันได้เลย คนนึงเกิดและโตอยู่กรุงเทพ อีกคนเกิดและโตอยู่เมกา ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัย ชาตินี้เราเลยต้องมาชดใช้กรรมกับเค้า
เพราะทำไมต้องเป็นคนนี้ล่ะ เราเอารูปน้องเค้าให้เพื่อนหลายคนดู บางคนก็บอกว่าไม่เห็นจะหล่อเลย หน้าตาธรรมดาจะตาย บางคนก็บอกว่าก็เป็นคนหน้าตาดีคนนึง แต่ไม่ใช่สเป๊ก คือจิตเค้าไม่ได้ถูกจริตกับคนหน้าตาแบบนี้ แต่เราเจอปุ๊บ ตกหลุมรักปั๊บ แล้วชีวิตนี้ไม่เคยเจอผู้ชายหน้าตาแบบนี้มาก่อนเลย เดินออกมาจากจิตใต้สำนึกเรารึเปล่า จะบอกว่าออกมาจากฝันก็คงเว่อร์ไป เพราะเราไม่เคยฝันถึงผู้ชายหน้าตาแบบนี้เลย แต่หลังจากเจอหน้าน้องเค้า เราเก็บเอาน้องเค้าไปฝันทุกคืน แบบว่าตอนน้องเค้ายังไม่บินกลับเนี่ย เราบ้ามากเลยนะ ตอนกลางวันก็ลุ้นอยากจะเจอหน้าน้อง ตอนกลางคืนก็ได้เจอหน้าน้องอีกรอบในความฝัน ลุ่มหลงขนาดไหนก็คิดเอาแล้วกัน เจ้ากรรมนายเวรของช้าน
พี่เค้าก็แนะนำให้เราใช้ปัญญา พิจารณา และมีสติให้มาก อย่าพยายามส่งจิตออก คืออย่าไปคิดถึงเค้านั่นเอง เพราะจิต ก็เป็นพลังงานอย่างนึง เราส่งจิตถึงเค้า เค้าก็รับรู้ได้ แม้จะอยู่กันคนละซีกโลก เราก็อาจจะแว้ปคิดถึงหน้าเราเหมือนกัน หรือเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้คิดถึงเรา แต่มันเกิดเพราะเราไปคิดถึงเค้า ไม่ใช่เพราะเค้าคิดถึงเรา บางครั้งเค้าก็อาจจะรำคาญเรา เพราะปลายสายเค้าไม่ได้ผูกพันกับเรา เหมือนเราโทรไปแล้วเค้าไม่รับสายอย่างนั้นแหละ ดังนั้น พยายามตั้งสติ อย่าโทร(จิต)หาเค้า
พี่เค้าก็เชื่อว่า การที่เราโดนมีดบาด มันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คงจะมีบางอย่างส่งมาเตือนว่า ถ้าเรายังคิดถึงน้องเค้าอยู่ ก็จะเจ็บเหมือนที่โดนมีดบาดเนี่ยแหละ นี่แค่เตือนนะ ยังไม่เจ็บเท่าไหร่ ถ้าเรายังไม่ใช้ปัญญา พิจารณา ต่อไป อาจจะมีอะไรที่ใหญ่กว่านี้ก็ได้ เราจะเพียรยับยั้งชั่งใจ ไม่โทรหาน้องเค้าให้ได้แล้วกัน เฮ้อ
จะพูดไป มันเป็นช่วงเวลามันเหมาะจริง ๆ นะ เพราะมันคือตอนที่เราออกจากปฏิบัติธรรมพอดี คือถ้าเราเจอน้องก่อนไปปฏิบัติ เราคงแย่กว่านี้หลายเท่านัก เบา ๆ ก็คงไปแล้วฟุ้งซ่านตลอด 8 วัน หนัก ๆ เลยก็คือไม่ไป เพราะอยากเห็นหน้าน้องเค้าเพิ่มอีก 5 วันทำงาน
พี่เค้าบอกว่า การเจอน้องเค้าตอนออกจากปฏิบัติธรรม ก็เป็นสิ่งที่ทดสอบเราเหมือนกันนะ เหมือนเบื้องบนส่งน้องเค้ามาทดสอบว่าเราจะผ่านบททดสอบนี้ไปได้รึเปล่า สรุปคือ ไม่รอดค่ะ ตายคาที่ ยังลุกขึ้นไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่น้องเค้าบินกลับไปร่วมเดือนแล้ว แถมยังทำให้ตัวเองเจ็บตัวตอนที่กำลังคิดถึงหน้าเค้าอีก
จริง ๆ น้องเค้าบินมาตั้งแต่ช่วงที่เราไปปฏิบัติธรรมแล้วนะ แต่กว่าเราจะเจอน้องเค้าก็เหลือไม่ถึง 10 วันที่น้องเค้าจะบินกลับ ได้แอบมอง เห็นหน้ามั่ง ไม่เห็นหน้ามั่งในแต่ละวันได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่ได้เห็นสายตา น้ำเสียง รอยยิ้ม มือไม้เวลาพูดคุยก็วันสุดท้ายที่ได้คุยกันแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น แต่ทำไมใจเราถึงได้ลุ่มหลงและรุุ่่มร้อนขนาดนี้นะ ชาติที่แล้ว เค้าคงแค้นเรามากสินะ เราถึงได้ทรมานขนาดนี้
จากวันที่น้องเค้าบินกลับไปจนถึงวันนี้ 3 อาทิตย์แล้ว ตัวและหน้าน้องก็ยังเปรอะไปทั่วออฟฟิศในความทรงจำของเรา ทางเดินตรงนี้ที่เราเดินสวนแล้วยิ้มให้กัน ตรงนี้ที่เป็นออฟฟิศที่น้องทำงาน หน้าต่างตรงนี้ ที่เราแอบมองเห็นทางเดินที่น้องเดินผ่าน ห้องอาหารนี้ที่น้องเคยนั่งกินกับกลุ่มเพื่อน ทางเดินตรงนี้ที่เราได้คุยกันสั้น ๆ วันสุดท้าย และโต๊ะตัวนี้ในห้องอาหารที่เราได้คุยกันยาว ๆ
เราไม่กล้าเล่าให้ใครในที่ทำงานฟัง แล้วพี่ที่เราสามารถเล่าให้ฟังได้ เราก็ไม่ได้ระบายแบบหมดใจแบบนี้ เรารู้ว่าเราเป็นเยอะ ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเยอะได้เลย เล่าให้หม่าม้าฟังคร่าว ๆ ไม่ได้เล่าทุกรายละเอียดเหมือนซีรี่ย์เกาหลี 4 ตอน 5 ตอนแบบนี้ แม่เรายังอุทานว่า ตายแล้ว ลูกสาวชั้น!!
เสาร์ที่แล้ว เรารู้สึก fail และ down มากจนไม่อาจอยู่บ้านได้ เราเลยออกจากหลุม ไปเดินเล่นสวนโมกข์กรุงเทพ ในสวนรถไฟคนเดียว เชื่อมั้ย พอเค้าไปห้องนิพพานชิมลอง ตรงตัวหนังสือวิ่งซึ่งเป็นคำสอนของท่านพุทธทาส เราเงยหน้าขึ้นอ่าน ตัววิ่งที่วิ่งผ่านเราประโยคแรกคือ
"หลงรักสิ่งใด ก็จะเป็นทาสของสิ่งนั้น"
โห น้ำตาจะไหลเลย มันเจ็บเข้าไปในใจ ตื่นเลย ถามว่ารู้มั้ย รู้นะ แต่การเลิกทาสก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเหลือเกิน
เราคิดถึงสิ่งที่พี่เอ๋ นิ้วกลมเขียนไว้บนสเตตัสบน facebook ของเค้า ที่เราชอบและจดเอาไว้ว่า
"90% ของสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกจดจำ มีเพียง 10% (หรือน้อยกว่านั้น) เท่านั้นที่ถูกจดจำเอาไว้ แต่ 10% ที่จดจำได้มีผลต่อชีวิตของเรามากกว่า 90% ที่เหลือมากมายนัก"
เราเชื่อว่า น้องคนนี้ก็เป็น 1 ใน 10% นั้น
เพิ่งอ่านคอมเม้นท์นึงใน pantip เกี่ยวกับเรื่องการไปยุ่งผู้ชายที่มีแฟนหรือแต่งงานแล้ว ซึ่งแม่เค้าบอกว่า
"คนที่ใช่ต้องมา ถูกที่ ถูกเวลา ถ้าต่อให้ใช่แค่ไหน แต่มาผิดที่ ผิดเวลา ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี"
ตอนนี้ ทำได้เพียง ขอบคุณ ที่น้องเข้ามาทำให้ชีวิตเราตื่นเต้น อารมณ์ดี มีความสุขในช่วงเวลาร่วม 10 วันที่น้องอยู่ในออฟฟิศเรา
หลังจากวันที่เราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้ เราจะขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณ ที่น้องเข้ามาเป็นแบบทดสอบให้เรารู้ว่าเราเข้มแข็งและสามารถผ่านมันไปได้
Create Date : 23 มีนาคม 2556 |
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2557 9:13:32 น. |
|
4 comments
|
Counter : 6732 Pageviews. |
|
|
|