เป็นงานแต่งที่กระชับ ไอเดียเก๋ ไม่น่าเบื่อในรอบหลายปี แถมเจ้าบ่าวทำเซอร์ไพรส์ด้วย
ออกตัวก่อนว่าไม่ชอบไปงานแต่ง เพราะว่างานมันน่าเบื่อ เปลืองตังค่าซอง ค่าตังค่าแต่งหน้า ทำผม ค่าแท็กซี่ แถมเสียเวลาไปตั้งหลายชั่วโมงกับการเตรียมตัวและไปร่วมงาน การที่เราไม่ได้ซอง เราไม่เสียใจเลย ดีซะอีก ไม่เปลืองตัง ไม่เสียเวลา แต่ถ้าเพื่อนสนิทหรือกัลยาณมิตรเนี่ย ไม่ต้องได้ซองหรอก แค่ได้ยินว่าจะแต่งงานก็จะรีบโทร ก็ไปช่วยตั้งแต่ตี 3 เลยนะ ทุ่มเทมาก ใส่ซองเยอะด้วย อิอิ ยิ่งถ้าไม่ค่อยรู้จักใครในงาน จะรู้สึกว่าเสียเวลาที่จะต้องไปปั้นหน้า ไม่มีใครให้เม้า แถมทุกคนก็ต่างก้มหน้าจิ้มมือถือตัวเอง ฯลฯ แล้วงานแต่งงานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จัดเพื่อบ่าว สาว ส่วนใหญ่ก็จัดเป็นหน้า เป็นตาให้พ่อแม่ แล้วงานจัดงานใหญ่โตก็ไม่ได้การันตีว่าจะอยู่กันรอด เรื่องไม่ชอบไปงานแต่ง ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเราเล่าไปหลายรอบมากเกือบทุกปีที่ได้ไปงานแต่งดังลิงค์ด้านล่าง จะกี่ปี ความคิดเราก็ยังไม่เปลี่ยน พ.ย.52การจัดงานแต่งงานที่ดีที่สุดคือการไม่จัด ม.ค. 54อีกครั้งกับความเหนื่อยของเพื่อนจะแต่งงาน ก็บอกแล้วว่าการจัดงานแต่งงานที่ดีที่สุดคือการไม่จัด เพื่อนเจ้าสาวธีมสีทอง พร้อมเม้ามอยคาถาหาสามีจากเพื่อนเจ้าสาวที่แต่งงานแล้ว ก.พ. 55 ไปงานแต่ง แทนที่จะได้คุย แต่ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าจิ้ม IPHONE!!! มี.ค. 55 ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาที่อยากแต่งงาน ถ้าไม่รวยมาก ก็ต้องจนมากจริงหรือเนี่ย พ.ย. 55 คนจะแต่งงาน ถ้าไม่สนิทอย่ามาแจกซองได้มั้ย มันเปลืองนะเฟ้ย ปี ๆ นึงชั้นไม่ได้ซองเธอแค่คนเดียวนะ!! ถามว่า แล้วพอถึงงานเธอ เธอจะจัดมั้ย โอ๊ย ขอให้มีผู้ชายเข้ามาในชีวิตก่อน ณ จุดนี้ เรื่องแต่ง คุยล่วงหน้าแค่ 3 วันยังทัน เพราะถ้าเป็นไปได้ เราไม่จัดอยู่แล้ว ถ้าพ่อแม่ฝ่ายชายเค้ายอมน่ะนะ เพราะฝ่ายเรา เราคุยเรียบร้อยและพ่อแม่ฝั่งเราก็เห็นด้วยไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่มีผู้ชายผู้โชคดี (เอ๊ะ หรือโชคร้าย) เข้ามาสร้างว่าตื่นเต้นเร้าใจและวุ่นวายในชีวิตเท่านั้น ฮา ๆ อาทิตย์ก่อน เราได้มีโอกาสไปงานแต่งที่เรารอคอย หลังจากที่ไม่เอ็นจอยกับการไปงานแต่งมาหลายปีแล้ว แต่งานนี้อยากไป ที่อยากไปเจอพี่ที่ทำงานเก่าที่หลังจากโดนการปรับองค์กร กว่า 80% ก็กระจัดกระจายไปทำที่อื่นกันหมด รวมถึงเรากับเจ้าสาวด้วย งานนี้เลยเหมือนเป็นการได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วเราก็สนิทและผูกพันกับที่ทำงานเก่ามาก เพราะทุกคนเป็นกันเอง อายุพอ ๆ กันหมด แล้วเราก็อยู่ที่นั่นนานสุดในชีวิตการทำงาน ณ ตอนนี้ด้วย แล้วพี่เค้าเชิญเกือบทุกคนในยุคนั้นมาหมดเลย มากัน 40-50 คนได้ แล้วที่สำคัญ งานแต่งครั้งนี้เป็นโต๊ะจีน!!! คือทำไมต้องตกใจ คนอื่นเป็นไงไม่รู้นะ แต่ 4-5 ปีหลังมาเนี่ย เราไม่เคยไปงานแต่งที่เป็นโต๊ะจีนเลย คุยกับพี่บางคนที่มางานแต่ง เค้าก็บอกเหมือนกัน ก็เข้าใจว่าโต๊ะจีนมันแพง แล้วยิ่งถ้านั่งกับคนไม่รู้จักก็ยิ่งกร่อยเข้าไปใหญ่ พวกค็อกเทลมันก็ดีตรงนี้ 2 ทุ่มก็เผ่นได้แล้ว แต่งานนี้ ทุกคนอยู่กันถึง 4-5 ทุ่มจ้า ตามประสาคนไม่ได้เจอกันมาร่วม 3-4 ปี แล้วไม่มีใครนั่งกดมือถือเล่นให้เสียมารยาทด้วยจ้า ตอนแรก ๆ ก็นั่งที่นั่งตัวเอง แต่หลังจากตัดเค้ก ทุกคนก็กระโดดไปคุยกัน 4-5 โต๊ะมั่วไปหมด สนุกสนาน มีความสุขกันมาก แล้วโต๊ะจีน เราสามารถนั่งคุยกันได้ยาวกว่าปรกติโดยไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนด้วย เพราะกว่าจะเสริฟจนถึงของหวานก็ปาเข้าไป 3 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว โต๊ะอื่นทยอยกลับ เหลือแต่ไอ้ 4-5 โต๊ะพวกเราเนียแหละที่ยังนั่งเม้ากันอยู่ แถมออกมาถ่ายรูปกับบ่าว สาวอีกรอบก็ยังยืนเม้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครเดินแยกกลับกันเลย เลยเป็นงานแต่งที่สนุกมากในรอบหลายปี แล้วในงานก็จัดได้ครีเอทและกระชับ ไม่น่าเบื่อไม่แพ้กัน เพราะหลังจากบ่าว สาวเดินขึ้นเวที ก็มีการเปิด VTR ซึ่งทุกงาน น่าเบื่อหมด หรือว่าคนไปงานมันไม่สนุกก็ไม่รู้ ทุกอย่างเลยดูน่าเบื่อ แต่งานนี้มีแต่คนกันเอง ทุกอย่างเลยดูสนุก อินไปกับบ่าว สาว แล้วมาแซวมาเม้าบ่าว สาวกันบนโต๊ะอีกก็ไม่รู้ คือ VTR เป็นการขอแต่งงานของเจ้าบ่าว ซึ่งเจ้าสาวไม่รู้เรื่องด้วย ดูแล้วอินมาก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ่าว ที่เราเคยเจอไม่กี่ครั้ง คุยด้วยไม่กี่คำ แต่ก็พอรู้ว่าพี่เค้าเป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ แต่สามารถจัดงานเซอร์ไพรส์เจ้าสาว โดยจัดงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ออฟฟิศที่เจ้าบ่าวทำงาน มีการจัดงานเล่นเกมส์ ตอบคำถาม พอเจ้าสาวตอบถูกก็มีให้มายืนรอรับรางวัล แล้วมีเพื่อน ๆ ในออฟฟิศเจ้าบ่าวมายืนล้อม แล้วพลิกป้ายว่า Will you marry me? แล้วพี่เจ้าบ่าวก็เดินมากลางวง พูดอะไรซึ่ง ๆ กับเจ้าสาวนิดหน่อย แล้วคุกเข่าลงไปขอแต่งงาน กรี๊ดดดดดด!!!!!! เหลือเชื่อมากกก เพราะบุคลิกพี่เค้าไม่ใช่แบบนั้นเลย น้ำตาคลอเลยชั้น แต่เป็น VTR ที่สั้นมากนะ ไม่ยืดยาดน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แล้วก็มีอีก VTR นึงที่บ่าวสาวทำเซอร์ไพรส์พ่อกับแม่ตัวเอง โดยเอารูปที่ถ่ายกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็กมาโชว์พร้อมกับมีเพลงรักแม่เท่าฟ้าคลอ ใครไม่เคยได้ยิน เอาแปะมาให้ฟังนะ VIDEO โอย น่ารักมาก กินใจมาก สั้น ๆ เหมือนกัน แล้วก็ให้ประธานมาพูด ซึ่งประธานเจ๋งมากค่า ด้วยความที่พี่เค้าอายุไม่เยอะ ประมาณ 40 กว่า เค้าก็จะอวยพรสั้น ๆ ได้ใจวัยรุ่นแล้วก็ลงเวทีไป ทำให้เราตั้งใจฟังโดยไม่น่าเบื่อเหมือนประธานรุ่นใหญ่มาพูดเหมือนปราศรัยหาเสียง ยาวยืดและหลายคนเหมือนบางงาน จากนั้นก็มีสัมภาษณ์บนเวทีแค่ 2-3 คำถาม แล้วก็ถึงเวลาบ่าว สาวขอบคุณแขก เจ้าสาวก็ขอบคุณไป เจ้าบ่าวเนี่ยสิ ขอบคุณแขกหมดก็มาขอบคุณเจ้าสาวแล้วก็เซอร์ไพรส์เจ้าสาวด้วยการร้องเพลงให้!!! พี่ที่เราเห็นว่านิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ทั้งร้องเพลง ทั้งคุกเข่าขอแต่งงาน ทำไปได้ กะแต่งครั้งแล้ว เอาให้คุ้ม ปล่อยของหมดแม็ก สุดยอดเลยค่ะพี่ หนูอินกะพี่มาก 555 ดูเสร็จ ก็แซวในโต๊ะว่า เดี๋ยวคืนนี้กลับไปต้องทำลิสไว้ละว่าจะพูดอะไรดี น้องอีกคนบอกว่า ไม่ต้องหรอกพี่ งานหนูเนี่ย หนูชิงร้องไห้เลย ให้เจ้าบ่าวมันพูดแทนหมดเลย ฮา ๆ เออ พูดถึงเรื่องนี้ คือเราเป็นคน sensitive ใช่มะ พี่ที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกันจะรู้ดี เพราะร้องไห้ให้เค้าเห็นบ่อย เพราะอย่างที่เคยเล่าไป ปฏิบัติธรรมกลับมาก็ปิติ ร้องไห้ 8 วันสำหรับความเจ็บปวดอันคุ้มค่า กับการไปปฏิบัติเตโชวิปัสนาของคนหนักไม่เอา เบาไม่สู้และรักสบายอย่างเรา แฮ่ มีคุณลุงฝรั่งชมว่าเราสวยก็ร้องไห้ (เพราะไม่เคยมีคนชมว่าสวยเลยตลอด 30 ปีที่เกิดมา แล้วก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นอาหมวยที่ไม่สวย มันเลย touch มาก) น้ำตาไหลเลยเมื่อมีคนมาบอกว่าเราสวย เป็นคนแรกในชีวิต 30 ปีที่เกิดมา T-T น้องลูกครึ่งเกาหลี-เมกันที่เราตกหลุมรักเค้ากลับประเทศก็นั่งร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่แทบไม่เคยคุยกันเลย พี่เค้าก็งงว่าอิชั้นไปผูกพันกะอิน้องนี่ตรงไหนเนี่ย มีดบาด...ไกลหัวใจ แต่ทำไมมันเจ็บไปถึงหัวใจ T-T ไหนจะพี่เกาหลีที่เราสนิทกับเค้ามาก 5 วันตอนมาประชุมแล้วเค้าก็กลับประเทศไป เราก็ร้องไห้คิดถึงอนนี่ พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนที่ 1 พี่เค้าเลยบอกว่า ถ้ายัยนี่ได้แต่งงานนะ ไม่ต้องให้มันพูดอะไรหรอก คาดว่ามันจะร้องไห้ 3 วัน 3 คืน แล้วในงานแต่ง มันคงร้องไห้ทั้งวันจนพูดอะไรไม่ออกแล้วให้เจ้าบ่าวพูดหมดนั่นแหละ เยอะมั้ยล่ะ แฮ่ รู้อีก หนูคงร้องไห้สงสารเจ้าบ่าวน่ะ หรือไม่ก็ ดีใจกับตัวเองจังเลย มีสามีเป็นของตัวเองแล้ว อะไรประมาณนี้ อ้าว นอกเรื่อง ถึงไหนนะ ในงาน มี 2 VTR สั้น ๆ แล้วก็ 2-3 คำถามสั้น ๆ แล้วก็ขอบคุณแขกแล้วก็เจ้าบ่าวก็ร้องเพลงให้เจ้าสาว สุดท้ายเป็นการโยนช่อดอกไม้ใช่มั้ย งานนี้ไม่มีโยนจ้า ครีเอทกว่านั้น เค้าให้เพื่อนเจ้าสาวขึ้นมาหน้าเวที 20 คน แล้วให้ลูกโป่งคนละลูก ตรงลูกโป่งจะมีกระดาษติดอยู่ ใครได้ไม่เหมือนใครก็ได้ช่อดอกไม้เจ้าสาวไปเลยอย่างไม่ต้องแก่งแย่ง น่ารักดี ถามว่ายัยนี่ขึ้นไปมั้ย เอิ่ม ถึงจะโสด แต่ไม่เคยออกไปแย่งช่อดอกไม้กะเค้าซักทีนะ เขิน แล้วส่วนใหญ่ไม่เอ็นจอยกับงานแต่งอยู่แล้ว ก็ไม่รูสึกอยากร่วมอะไรเท่าไหร่ คิดว่า ถ้าไปงานแต่ง คือไปแบบเสียไม่ได้จริง ๆ ต้องไป ไม่งั้น ฝากเงินใส่ซองหมด ซึ่งเราค่อนข้างมีกฎของตัวเองเลยว่า จะไปงานแต่งไม่เกิน 3 งานต่อปี เว้นแต่เพื่อนสนิทแต่งกันเกิน 3 คนจริง ๆ ถึงจะยอมแหกกฎ แต่ถึงตอนนี้ ขอโทษเถอะ เราไปปีเว้นปี หรือเว้น 2 ปีจ้า แม้ว่าอายุตอนนี้คือช่วงอายุที่เพื่อนแต่งงานชัด ๆ แต่อิชั้นก็ไม่ไปจ้า ปีนึงก็แค่ 1-2 งานเต็มที่ ไม่สำคัญจริง ๆ เราไม่ไปนะ แล้วไม่อยากได้ซองเพิ่มจากพวกที่จะแจกซองต่อในงานแต่งเพื่อนเลย เลยพยายามทำตัวมีเพื่อนน้อย แต่มีคุณภาพ ที่เจอ ๆ คุย ๆ กันบ่อย ๆ ก็แค่ 4-5 คนนะ แล้ว 4-5 คนนี้ก็ไม่รู้จักกันเลยด้วย ทั้งเพื่อนสมัยเรียนหลายที่ สมัยทำงาน กินข้าวแต่ละทีก็นัดกันแค่ 2 ต่อ 2 ได้คุยกัน มองตากันเน้น ๆ คุยได้หมดจิต หมดใจแล้วเรื่องก็ไม่ค่อยรั่วไหล จะว่าไป ช่วงอายุเราตอนนี้เนี่ย มันคือช่วงอายุที่ความรักสุกงอมจริง ๆ นะ บ้างก็แต่งไปแล้ว 2-3 ปีมีลูกกันแล้ว บ้างก็เพิ่งแต่งปีที่แล้ว ส่วนที่เหลือก็กำลังจะแต่งภายใน 1-2 ปีนี้ หันมามองตัวเอง แล้วตูล่ะ คือเราไม่เคยคิดอยากหาแฟนเท่าปีนี้เลยนะ เพราะได้เห็นสภาพแวดล้อมของเพื่อนรุ่นเดียวกันเนี่ยแหละ ที่แทบไม่มีใครมีสถานภาพโสดเลยอ่ะ มีแต่แม่ลูกอ่อน เจ้าสาวหมาด ๆ ว่าที่เจ้าสาว ยิ่งรุ่นพี่เรา 1 ปีที่มหาลัยเนี่ย ยิ่งเห็นภาพ เพราะผู้หญิงทุกคนในรุ่น แต่งงานกันหมดแล้ว!! แล้วรุ่นนั้น ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายด้วย แต่รุ่นเรา ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ยังไม่แต่ง แต่เกือบทุกคนก็ความรักใกล้จะสุกงอมเต็มที ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้เริ่ม!! กำลังคิดว่า ช่วงเวลาที่เพื่อน ๆ เค้าคบแฟนกันเนี่ย ตูทำอะไรอยู่วะ เอ็นจอยชีวิตโสด และอยากอยู่เป็นโสดตลอดชีวิต มีชีวิตอิสระตามใจตัวเอง ไม่มีภาระ ไม่ต้องมีเรื่องจุกจิก วุ่นวายใจ กินข้าวคนเดียว ไปดูหนัง ดูคอนเสิร์ตคนเดียว เที่ยวเมืองนอกคนเดียวอย่างสบายอารมณ์ ไปปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงธรรมะได้ง่าย เพราะการมีคนรักมันคือก้อนทุกข์อย่างนึง ทำให้เราไม่สามารถหลุดพ้นง่ายเท่าคนโสด ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นโสดน่ะ ดีแล้ว ถ้าเค้าเลือกได้ ก็จะขอเป็นโสด ฯลฯ เรามั่นใจในความโสดมาตลอดชีวิต จนมาปีนี้ ความคิดนั้นเริ่มสั่นคลอน แถมดันไปชอบหนุ่มที่แต่งงานแล้วอีก ตอนนี้ยังคิดถึงและฝันถึงอยู่เลยทั้ง ๆ ที่น้องเค้ากลับประเทศไปเป็นเดือนแล้ว เอาน่ะ เรายังมีเวลา เหมือนดั่งชีวิตสาวเกาหลีที่ได้แต่งงานครั้งแรกตอนอายุ 47 ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้คิดว่าตัวเองคงเป็นโสดไปตลอดชีวิต อย่างที่เราเม้าไปในบล็อคด้านล่างนี้ พาเพื่อนสาวชาวเกาหลีเที่ยวแล้วก็นั่งเม้า 2 วันเต็ม ดูซิว่าเราได้อะไรจากเค้าบ้าง ตอนจบ เอาน่ะ ใช้ชีวิตที่ชอบ ประกอบด้วยธรรม เดี๋ยวถึงเวลา ธรรมะก็คงจะจัดสรรให้เราเองว่าเราควรจะอยู่เป็นโสดหรือมีคู่บารมีที่จะพากันเจริญในธรรม แต่ได้อ่านตัวอย่างหนังสือเล่มใหม่ของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์แล้ว อยากตื่นเต้นกับเค้าบ้างจัง
Create Date : 31 มีนาคม 2556
3 comments
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2557 16:32:09 น.
Counter : 28732 Pageviews.
อืม
อืม