ปีนี้มีหนุ่มมาเวียนเทียนด้วย แถมหนุ่มที่ว่า เพิ่งเจอกันบนรถใต้ดินแล้วชวนไปก็ไปซะด้วย
อย่างที่บอกในบล็อคที่แล้ว
ไม่ชอบเลยกับการไปปิ๊งหนุ่ม หมดเปลืองพลังงาน แถมหนุ่มน้อยฝรั่งที่ว่า ดั๊นแต่งงานแล้ว
ว่าออฟฟิศมีฝรั่งมาประชุมแล้วก็อยู่กันเป็นเดือน ๆ เมื่อวานวันมาฆบูชา เราเนี่ย เบื่อวัดแถวบ้านแล้วที่เราไปเวียนกับป๊า ม้าทุกวันพระใหญ่ เลยถามชาวบ้านในออฟฟิศว่าเค้าไปเวียนไหนกัน ส่วนใหญ่คือไม่เวียน ส่วนที่เวียนก็ไกลบ้านเราแต่ใกล้บ้านพวกเค้าทั้งนั้น ไม่สามารถจะไปเวียนแจมได้
แล้วทีนี้ ตอนเย็น เราก็บ่นให้พี่ผู้หญิงในออฟฟิศคนนึงฟัง ซึ่งทุกทีเลิกงานปุ๊บเค้าต้องรีบไปรับลูกแล้ว แต่พอดีวันนี้ลูกสอบเลยไม่ต้องรับเค้าก็นั่งโต๋เต๋อยู่ในออฟฟิศจนถึงเย็น ไอ้เราก็ไปวิ่งสวนลุมมาก่อนแล้วก็แวะแซวพี่เค้า แล้วก็บ่นให้พี่เค้าฟังว่า เนี่ย หรือเราจะต้องไปเวียนคนเดียวเนี่ย ดูสิ เซ็งเนอะ คนโสดเนี่ย ทำอะไรเองคนเดียวหมดเลย ทำมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ดูหนังคนเดียว เที่ยวเมืองนอกคนเดียว ดูคอนเสิร์ตคนเดียว ล่าสุดกิน MK คนเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเขินสุดก็ทำมาแล้ว แล้วนี่อะไรเนี่ย เวียนเทียนคนเดียว มันจะเปลี่ยวเกินไปแล้วมั้ง
พี่เค้าก็ปลอบว่า เอาน่ะ ลองเวียนคนเดียวดูซักปีมั้ย เผื่อปีหน้าจะได้ไม่ต้องเวียนคนเดียวแล้วไง เราก็เซ็ง ๆ ๆ ก็เอาวะ แต่จะเอาจริงเหรอ เวียนคนเดียว ดูเหงาไปรึเปล่า พี่เค้าก็รำคาญ เออ ๆ พี่ไปด้วยก็ได้ เย่
เราก็นั่งรถใต้ดินไปเวียนวัดใกล้ ๆ ออฟฟิศกัน ตอนลงใต้ดินก็ป๊ะกับหนุ่มฝรั่งที่มาโครงการนี้ จริง ๆ ไม่ใช่ฝรั่งหรอก เป็นหนุ่มเกาหลี (ที่ไม่ได้หล่อเหมือนพระเอกซีรี่ย์) สัญชาติเมกันที่พี่ที่ออฟฟิศเราดีลงานกับคนนี้อยู่ ก็เลยทักทายกันนิดหน่อย เค้ากำลังจะไปหาข้าวกันอีกสถานีนึง เราก็เล่าให้เค้าฟังว่าเรา 2 คนกำลังจะไปเวียนเทียนอีก 2 สถานี แล้วพี่ที่มาด้วยก็ชวนมาไปด้วยกันมั้ย เค้าก็เลยโอเค เซย์เยส ติดตามมาด้วยอีก 1 หน่อ
คิด ๆ ไป มันเป็นเหตุบังเอิญอยู่เหมือนกันเนอะ ถ้าเรามาเร็วหรือช้ากว่านี้เพียง 1 นาที เราก็จะไม่เจอเค้ารอรถ จังหวะเวลามันพอดีกันดีจริง ๆ
เราก็ถามเค้าว่านับถือศาสนาอะไร เค้าก็บอกว่าไม่มีศาสนา เราว่าคนเมกัน คนยุโรป รวมถึงคนเอเชียรุ่นใหม่สมัยนี้เป็นแบบนี้กันเยอะนะ คือไม่มีศาสนา เชื่อในตัวเองเป็นหลักหรือเหตุผลอะไรก็ว่าไป ซึ่งเค้าก็โอเคนะ ชวนไปก็ไป ใจง่ายดี
ตรงแถววัดนี้ทำไมมีดูดวงไพ่ยิปซีตั้งโต๊ะกันเยอะจัง อยากดูเหมือนกันนะ ไม่ได้ดูนานมากแล้ว พี่ที่ออฟฟิศถามว่า ทำไม จะถามหมอดูเหรอว่าไอ้ที่ตามมาเวียนด้วยเนี่ยใช่เนื้อคู่รึเปล่า กรี๊ดดดด ม่ายช่ายยยยย
พอเวียนเสร็จก็ได้คุยกับเค้าตอนหาอะไรกินแถวนั้นเหมือนกัน เค้าบอกว่าเค้าเกิดที่เกาหลีแล้วย้ายไปอยู่เมกาตั้งแต่อายุ 15 ดังนั้น ภาษาอังกฤษเค้าก็จะไม่อเมกันจ๋าเหมือนพวกที่เกิดที่โน่น แต่ก็ดีนะ พูดได้ทั้งเกาหลีกับอังกฤษคล่องทั้ง 2 ภาษา
เค้าเคยย้ายไปประจำที่เกาหลีบ้านเกิดเค้า 2 ปีด้วย พอคนเกาหลีที่ทำงานด้วยเห็นว่าเค้าโสด ก็จะแนะนำลูกสาว หลานสาวให้มาเดทกับเค้ากันใหญ่เลย แต่เค้าก็บอกนะว่า ตอนเค้าอยู่เมกา คนเมกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นคนเมกัน พอมาอยู่เกาหลี คนเกาหลีก็ไม่รู้สึกว่าเค้าเป็นคนเกาหลี น่าสงสารเหมือนกันนะ ที่ไม่ belong เป็นคนที่ไหนเลย
แล้วเค้าก็เล่าที่เค้าไปเดทให้ฟังว่า ผู้หญิงเกาหลีน่ะ ส่วนใหญ่จะถามเค้าว่าเค้ามีรถรึเปล่า เค้าก็บอกว่าไม่มี จริง ๆ มี แต่อยู่เมกา พอย้ายมาเกาหลี 2 ปีก็ไม่ได้เอามาด้วย เพราะโซลก็เหมือนกรุงเทพนั่นแหละ รถติดจะตาย แล้วรถไฟฟ้าใต้ดินของเค้าสะดวกจะตาย มีตั้ง 9 สาย เป็นร้อยสถานีตัดกันหมดทั้งโซลและเมืองใกล้เคียง แล้วเค้าจะขับรถเพื่อมาติดบนท้องถนนทำไม เสียเวลา
แต่ผู้หญิงเกาหลีก็จะไม่ชอบผู้ชายที่ไม่มีรถ เราว่าคงไม่ใช่ผู้หญิงเกาหลีอย่างเดียวหรอกมั้ง มาเดทกับสาวไทย สาวคงอยากเห็นเหมือนกันว่าหนุ่มเค้าขับรถยี่ห้ออะไร ซึ่งเราว่ามันเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกนักนะ หนุ่มบางคนเค้าก็ไม่อยากทุ่มเงินไปกับรถ แล้วรถไฟฟ้าก็มี แม้ว่าจะสั้นจุ๊ดและลำบากหน่อยก็เหอะ
ด้วยค่านิยมที่ผิดแบบนี้ แฟนเก่าเพื่อนของเพื่อนเราเอง บ้านโทรมมาก ไม่เคยซ่อมบ้านเลย หลังคารั่ว ฝ้าก็รั่วทั้งข้างบน ข้างล่าง ประตูบ้านพัง ห้องน้ำชักโครกก็รั่วและแตกผุพัง หน้าบ้านก็เก็บของเหมือนขยะล้นออกมาจนจอดรถในบ้านไม่ได้ เค้าก็ยังทนอยู่ได้ แล้วก็ให้พ่อแม่ตัวเองอยู่กับบ้านกับสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนั้นทั้งวัน แต่เปลี่ยนรถป้ายแดงโชว์สาวเป็นว่าเล่น เปลี่ยนสาวไม่ซ้ำหน้า แต่แทบไม่เคยให้สาวมาบ้านนะ เพราะสภาพบ้านมันแย่เกินกว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่ซะอีก
หนุ่มเกาหลีคนนี้เลยบอกว่า ชั้นบอกผู้หญิงว่าไม่มีรถดีกว่า ดูซิว่าเค้าจะคบชั้นต่อรึเปล่า แต่ส่วนใหญ่ก็คือไม่ ก็แอบคิดเหมือนกันว่ามันอะไรผิดปกติรึเปล่าวะ อายุ 33 แล้ว หน้าที่การงานก็ดี แต่ทำไมยังโสด ไอ้หนุ่มลูกครึ่งเมกันเกาหลีที่เราปิ๊งที่เวิ่นเว้อไปบล็อคที่แล้ว อายุ 25-26 มันยังแต่งงานมาเป็นปีแล้วเลย เพราะจะอ้างว่าเป็นเอเชียก็คงจะไม่ใช่ เพราะคนเอเชียในเมกาก็เยอะแยะ
แล้วมันก็ถามว่าเราอายุเท่าไหร่ มันก็คงอีกว่าทำไมเรา 30 แล้วยังโสด เอิ่ม สถานการณ์ประเทศชั้นกับประเทศแกไม่เหมือนกันนะ รู้มั้ยว่าอัตราส่วนระหว่างผู้หญิงแท้กับผู้ชายแท้ในเมืองไทยเป็นเท่าไหร่ ชั้นว่าอย่างน้อย 10 ต่อ 1 นะ ชั้นไม่อยากไปต่อสู้กับผู้หญิงอีก 9 คน ชั้นอยู่โสด ๆ ของชั้นแบบนี้ก็สบายดีนะ
ได้ฟังดังนั้น มันทำหน้ากรุ้มกริ่มแล้วบอกว่า เดี๋ยวมันขอทำเรื่องย้ายมาประจำเมืองไทยมั่งดีกว่า ฮา ๆ แต่ยูต้องดูให้ดีนะว่าหญิงที่ยูเห็นน่ะ หญิงแท้หรือหญิงเทียม มันก็บอกเหมือนกันว่า เออ ทำไมเมืองไทยมี ladyboy เยอะจัง ก็ถามว่าแล้วยูแยกออกรึเปล่าล่ะ เค้าก็บอกว่า ถ้าสูง ๆ แล้วดูสวยเกินจริง เค้าจะสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่ามีอะไรผิดปกติ หรือถ้าเค้าเข้ามาหาไอก่อน ก็ต้องมีอะไรผิดปกติ
อ้าว ก็เพื่อนฝรั่งข้าง ๆ บอกชั้นเองนะ ว่าถ้าปิ๊งหนุ่มเมกันเนี่ย ยูห้ามอายนะ ถ้าอาย เค้าไม่รู้นะ ยูต้องเป็นคนรุกเข้าไปเลย เช่น เฮ้ ชั้นชื่อนี้นะ ไปกินกาแฟกัน ประมาณนี้
แล้วเพื่อนของเพื่อนก็เล่าเหมือนกัน คือเค้าไปปิ๊งหนุ่มเมกันที่เจอกันที่วิลล่า อีเพื่อนหนุ่มเมกันบอกเลยว่า เดี๋ยวชั้นจดชื่อซอสที่คนเมกันชอบกินแต่หายากหน่อยให้ยูนะ แล้วยูเอาไปให้คนนั้นหาให้ พอหาเจอนะ ก็ขอบคุณแล้วบอกว่าถ้าไม่ได้ยู ไอคงไม่ได้ซอส ไปกินกาแฟกัน นั่น เอางั้นเลยนะ
เราก็บอกว่า เอิ่ม เราไม่กล้าหรอก หญิงไทยใจงาม ได้แต่ปลื้มแล้วก็กรี๊ดอยู่ในใจ เจอหน้ากัน แค่จะมองให้เต็มตาก็เขินจะแย่ ให้คุยด้วยหรือชวนไปกินกาแฟคงไม่ไหว อีฝรั่งข้าง ๆ มันเลยบอกว่า ยูถึงโสดอยู่จน 30 นี่ไง ชิ!
แล้วก็เล่าเรื่องพวกนี้ให้หนุ่มเกาหลีที่ไปอยู่เมกามาเกินครึ่งชีวิตให้ฟัง ฮีบอกว่าไม่จริงนะ ผู้หญิงเมกันเวลาชอบใครก็ค่อยมีใครมารุกก่อนนะ อาจจะมีมองตากันบ้าง แต่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาก่อน นั่น ทฤษฎีที่ไอ้หนุ่มเมกันสอน 2 คน มันไปเอามาจากไหนวะ ดีนะไม่เอาไปทำ ฮา ๆ
พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ขอเม้าหน่อยนะ เป็นวันที่เรากินข้าวช้าที่สุดในชีวิตและรู้สึกว่าเวลาพักกินข้าวเที่ยงมันนานช้าที่สุดในชีวิต พอดีว่าวันนี้เนี่ย เรากินข้าวคนเดียวที่โรงอาหาร ทุกทีจะมีกลุ่มกินข้าว แต่วันนี้เค้าต้องไปประชุมเลยหายกันไปหมด เราก็นะ กินคนเดียวก็ได้ ดี จะได้มองหนุ่มที่แอบปิ๊งด้วย เผื่อจะกินในนั้น หรือเค้าเดินผ่านจะได้เห็นด้วย ไม่ต้องมองมั่ง ไม่มองมั่งให้คนในกลุ่มเค้าจับได้ว่าชอบหนุ่มคนนั้น เลยเลือกที่นั่งติดหน้าต่างแต่มันเป็นโต๊ะใหญ่
แล้วทีนี้ ยังไม่ทันจะนั่งเล้ย เสือกเจอหนุ่มคนนึงที่เราอยู่ในทีมที่ดีลงานด้วย แต่มันไม่ต้องดีลกับเรา แม่ง ไม่รู้เป็นบ้าไร ตูไปที่ไหนก็จะเจอแต่หน้ามัน ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเจอเล้ย มาถามก่อนเลยว่าวันนี้มาคนเดียวเหรอ นั่งตรงไหน ขอนั่งด้วยคนนะ โห่ ตู ทำไงดีวะ กะจะนั่งเปลี่ยว ๆ ส่องหนุ่มอยู่คนเดียวอย่างสบายใจซะหน่อย ดันไม่เปลี่ยวซะละ จะไม่ให้มันนั่งก็ไม่ได้ เลยเอาวะ นั่งด้วยก็ได้ แต่ไม่นั่งตรงกันนะ บังวิวตูหมด เดี๋ยวหนุ่มคนนั้นเดินผ่านมาแล้วมองไม่เห็น นั่งเยื้อง ๆ กันเพราะโต๊ะมันนั่งได้ 6-7 คน
แล้วทีนี้ ทีมมันมา มีแต่แก่ ๆ ผิวสีอีกต่างหาก นั่งดำทะมึนเต็มโต๊ะ มีตูเป็นอาหมวยผิวขาวหยวกอยู่คนเดียว จะหนีก็ไม่ได้
คิดดูสิ ทั้งชั่วโมงนั้นน่ะ กว่าเราจะกินข้าวได้แต่ละคำ แล้วต้องนั่งกับใครก็ไม่รู้ไม่รู้จัก เค้าก็ไม่ได้คิดจะรู้จักเรา แต่เราก็ไม่คิดอยากจะทำความรู้จักกับพวกเค้า จะลุกหนีไปนั่งที่อื่นก็กลัวจะเสียมารยาท แล้วอีกอย่าง โต๊ะติดหน้าต่างดั๊นมีโต๊ะเดียว ถ้าไปนั่งที่อื่นก็จะไม่เห็นหนุ่มที่ปิ๊งเดินผ่าน เพราะวันนี้สายรายงานว่า หนุ่มคนนั้นใส่เสื้อลายสก๊อตน่ารักมากถึงมากที่สุด โอย อยากจะเห็นใจจะขาด (เอ๊ะ ได้ข่าวว่าหนุ่มคนนั้นแต่งงานแล้วนี่หว่า) สุดท้าย ช้ำใจมาก หนุ่มที่ว่าก็ไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ทนนั่งอยู่ 1 ชั่วโมงพักเที่ยง เซ็งและช้ำใจเป็นที่สุด โฮ ๆ
แล้วเม้าอีกเรื่อง พูดถึงหนุ่มที่ปิ๊งจากบล็อคที่แล้ว คือเค้ายังไม่บินกลับล่ะ แต่จะกลับภายในวัน 2 วันนี้ เมื่อวาน ไม่รู้ว่าเค้ากลับวันไหน แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอถ่ายรูปด้วยซะหน่อย แล้วปรึกษาชาวบ้านแล้วว่าขอถ่ายรูปผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย เราก็ไม่ได้เจอเค้าอีก แล้วเค้าก็เป็นฝรั่ง เค้าไม่คิดอะไรหรอก
นั่งรอที่โรงอาหารจนเห็นว่าเค้าจะเดินกลับออฟฟิศคนเดียว ก็รวบรวมความกล้าที่สะสมมาตลอดเสาร์ อาทิตย์ เดินตามหลังน้องเค้าไป แล้วถามว่ายูบินกลับวันไหนเหรอ หน้ายูออกเอเชีย ยูเป็นลูกครึ่งเอเชียรึเปล่า เค้าก็บอกว่าเป็นลูกครึ่งเกาหลี โอ้ว เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลูกครึ่งเกาหลีหน้าหวานและหน้าตาดีขนาดนี้ ทุกทีที่เห็นลูกครึ่งหน้าตาดีคือครึ่งญี่ปุ่น ไม่ก็ครึ่งเวียดนาม อันนี้พูดในใจนะ ในมือเราถือมือถือกำลังจะขอเค้าถ่ายรูป ปรากฎว่า เพื่อนมันอีก 3-4 คนเดินตามหลังมาถึงพอดี โห่ อดเลยตู ก็เลยโอเค บาย
จังหวะไม่ได้จริง ๆ เราไม่อยากขอถ่ายรูปเวลากลุ่มมันอยู่ง่ะ อยากขอถ่ายตัวต่อตัว เราจะได้ไม่เขิน แล้วเค้าก็อาจจะไม่เขิน แต่เพื่อนบอกว่า จริง ๆ เพื่อนมันมาก็น่าจะขอถ่ายนะ จะได้ให้เพื่อนมันถ่ายให้ โห่ ใครจะไปกล้า อยู่ดี ๆ โผล่มาตั้งหลายคน แล้วชายล้วนอีกต่างหาก โอย
แค่มีอยู่วันนึงที่จะต้องเอาเอกสารไปที่ออฟฟิศพวกมัน เปิดประตูเข้าไป ผลัวะ! ฝรั่งชายล้วนประมาณ 30 คนนั่งประชุมหันกลับมามองเราเป็นตาเดียว โอย ณ จุดนั้น สวย ไม่สวยก็แทบจะละลายกองลงไปกับพื้นเลยจ้า 555
เล่าให้เพื่อนฝรั่งในออฟฟิศที่นั่งข้าง ๆ กันฟัง ฮีขำมากแล้วบอกว่า ตอนหนุ่ม ๆ ทุกคนหันมามอง ยูไม่แนะนำตัวเลยล่ะ ว่ายูชื่ออะไร แล้วต่อท้ายว่ายังโสดนะ ก๊าก ๆ ใครจะไปกล้าวะ แค่จะทำหน้ายังไงตอนเจอสายตา 30 คู่ที่มองมายังยากเลย นี่ขนาดหนุ่มพวกนั้นอ่อนกว่าชั้นนะเนี่ย ถ้าทั้งหมดนั่น อายุเท่าชั้น ชั้นคงแย่กว่านี้นะ ฮา ๆ
แต่พี่คนที่ไปปฏิบัติธรรมกลับมาบอกว่า ปิ๊งหนุ่มที่แต่งงานแล้ว ๆ จะไปขอถ่ายรูปกับเค้าเนี่ย จะถ่ายไปทำไม เพื่ออะไร จะเอาไปเพ้อดูก่อนกินข้าววันละ 3 เวลาหรือยังไง มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะเค้าแต่งงานแล้ว แล้วเค้าก็มาเมืองไทยแค่เดือน 2 เดือนแล้วเค้าก็กลับ แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิต ยิ่งได้รูปมา นั่งสมาธิก็ยิ่งคิดถึง ไม่มีสติ ไม่เหนื่อยเหรอไง นั่งวิปัสนาปวดขาเป็นชั่วโมง ๆ แล้วไม่ได้ปัญญา แต่ได้แต่ไอ้หน้าหนุ่มน้อยคนนั้นน่ะ
โห เจ็บอ่ะ ฟังแล้วตื่นเลย เออ เอาวะ ไม่เอาแล้วก็ได้ ได้รูปมาก็เท่านั้นอ่ะ เอามาทำไม? เอาเค้าเข้ามาในจิต แล้วก็ต้องนั่งใช้ไฟเตโชเผาเค้าออกจากจิตอีก ไม่รู้ว่าเผานานอีกกี่วัน กี่เดือนถึงจะหมดความหลง ไม่เหนื่อยเหรอไง เอาพลังงานไปเผาอย่างอื่นที่สั่งสมอยู่ในสังขารไม่ดีกว่าเหรอ เฮ้อ ความหลงนี่มันมีอนุภาพร้ายแรง น่ากลัวดีจริง ๆ
มีภาคต่อด้วยนะ ยังเวิ่นเว้อไม่จบไม่สิ้น
เราคงไม่ต้องการรอยยิ้มในมือถือก่อนจากกันไปตลอดกาลแล้วล่ะ เพราะรอยยิ้มของเค้าก็ติดอยู่ในใจเราไปเรียบร้อยแล้ว และ น้องเค้าต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราแน่เลย ถึงทำให้เราลุ่มหลงไม่เลิกขนาดนี้ รวมถึง มีดบาด...ไกลหัวใจ แต่ทำไมมันเจ็บไปถึงหัวใจ T-T
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2556 |
|
2 comments |
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2557 8:56:01 น. |
Counter : 6219 Pageviews. |
|
|
|