| สะพานมิตรภาพไทย - ลาว เเห่งเเรก | | | จังหวัดน้องใหม่ล่าสุด อย่าง บึงกาฬ ที่เพิ่งแยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคายเมื่อปีที่แล้ว แต่ถึงจะแยกจากกัน ก็คล้ายจะจากกันเพียงกาย แต่ยังเชื่อมร้อยความสัมพันธ์กันไว้ด้วยเส้นทางเลาะเลียบริมแม่น้ำโขง อันเป็นที่มาของเส้นทางท่องเที่ยวเลาะเลียบฝั่งโขง หนองคาย - บึงกาฬ ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานอุดรธานี(รับผิดชอบพื้นที่ อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ) ร่วมกับนิตยสาร Voyage ร่วมกันส่งเสริมให้เป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวอันน่าสนใจในภาคอีสาน อันเป็นเป้าหมายในการออกทัวร์ของ ตะลอนเที่ยว ในทริปนี้
|
| หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย | | | เส้นทางนี้เริ่มต้นกันที่ วัดโพธิ์ชัย ใน อ.เมือง จ.หนองคาย ซึ่งภายในพระอุโบสถประดิษฐาน หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ซึ่งถ้าใครจะไปสักการะนั้น ต้องจุดธูปเทียนบูชาภายนอกพระอุโบสถก่อน จึงจะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระใสที่ด้านใน
หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก และเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปสามพี่น้อง คือ พระเสริม พระสุก พระใส ซึ่งมีตำนานการสร้างว่า พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง (บ้างก็ว่าเป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช) ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ ตามลำดับ จากนั้นก็ประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรล้านช้าง
|
| อุโบสถวัดโพธิ์ชัย ที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส และ พระธาตุอรหันต์ | | | ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ จึงมีการยกพลมาปราบ เมื่อสำเร็จแล้วก็ได้มีการอันเชิญ พระเสริม พระสุก และพระใส ประดิษฐานมาบนแพไม้ไผ่ล่องมาตามแม่น้ำงึม เพื่อจะมาที่หนองคาย แต่เกิดพายุแรงจนพัดพระสุกจมลงน้ำหายไป และได้อัญเชิญองค์พระที่เหลือคือพระเสริม ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย และพระใส ประดิษฐานไว้ที่วัดหอก่อง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระใสและพระเสริมมาประดิษฐานไว้ที่วัดปทุมวนาราม โดยนำขึ้นประดิษฐานบนเกวียน เมื่ออัญเชิญหลวงพ่อพระใสมาถึงวัดโพธื์ชัย ก็มีการแสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงได้อัญเชิญหลวงพ่อพระใสมาประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัยจนถึงปัจจุบัน และได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก" ส่วนพระเสริมนั้นลงมาประดิษฐานที่ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
|
| บรรยากาศร้านค้าภายในตลาดท่าเสด็จ | | | มาถึงหนองคายทั้งที จะให้เข้าวัดเข้าวาเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ ไหนๆ ก็มาเลาะเลียบริมแม่น้ำโขง ก็ต้องมาแวะที่ ตลาดท่าเรือ หรือ ตลาดท่าเสด็จ ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ที่เป็นตลาดริมแม่น้ำโขง และหากมองไปยังฝั่งตรงข้ามก็คือ นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว
|
| ท่าเสด็จยามพลบค่ำ | | | ตลาดท่าเสด็จเป็นตลาดการค้าของไทย-ลาว มาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากแถบอินโดจีนและยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูปต่างๆ และอาหารท้องถิ่นของชาวหนองคายที่ไม่ควรพลาดจะลองลิ้ม เพื่อจะได้การันตีว่ามาถึงถิ่นแล้วแน่ๆ
เลือกชมเลือกชิมให้อิ่มท้อง แล้วมาอิ่มตาอิ่มใจกับบรรยากาศสบายๆ ริมแม่น้ำโขง บางแห่งก็ยังเป็นจุดโพสต์ท่าถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือใครมีเวลามากหน่อย อาจจะทำเรื่องผ่านแดน ข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว (แห่งที่ 1) ไปเที่ยวยังฝั่งเพื่อนบ้านของเราได้ด้วย
|
| ศาลาแก้วกู่ | | | เที่ยวหนองคายจนเพลิน และอิ่มหนำไปกับการช้อปปิ้งของกินของใช้แล้ว ก็ไปต่อกันบนเส้นทางสู่บึงกาฬ แต่ก่อนนั้นขอแวะพักเที่ยวที่ ศาลาแก้วกู่ หรือ วัดแขก ที่มองแล้วคล้ายพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ เพราะจัดแสดงรูปปั้นทางศาสนา ตามความเชื่อของหลวงปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ที่ว่า หลักคำสอนของทุกศาสนาสามารถนำมาผสมผสานกันได้ จึงทำให้ที่นี่มีทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้าในศาสนาฮินดู รูปปั้นในศาสนาคริสต์ รูปปั้นจากเรื่องรามเกียรติ์ และรูปปั้นจากตำนานพื้นบ้านต่างๆ
|
| รูปปั้นต่างๆ ตามความเชื่อของหลวงปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ | | | ภายในความกว้างใหญ่ของสถานที่ที่จัดแสดงรูปปั้นมากมาย หากเดินชมไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ชมศิลปะการปั้นแล้ว ก็ยังจะได้ความรู้และคติเตือนใจจากคำบรรยายของรูปปั้นต่างๆ เดินดูเดินอ่าน แล้วก็คิดตามไปด้วย เชื่อว่าคงได้ประโยชน์กับตัวเองไม่มากก็น้อย
จากศาลาแก้วกู่ ตะลอนเที่ยว เดินทางเลาะเลียบฝั่งโขง มุ่งหน้าสู่ จ.บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ของไทย ที่เพิ่งผ่านวันเกิดครบ 1 ขวบปีมาได้ไม่นาน
|
| ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค | | | ในเส้นทางนี้ ระหว่างทางนั้นจะผ่าน อ.โพนพิสัย และ อ.รัตนวาปี ของจังหวัดหนองคาย ก่อนจะเข้าสู่ อ.ปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งเส้นทางนี้นอกจากจะลัดเลาะเลียบริมแม่น้ำโขงแล้ว หากใครที่รู้จักกับบั้งไฟพญานาค จะต้องรู้จักชื่อของอำเภอโพนพิสัยเป็นอย่างดี จากปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือช่วงคืนวันออกพรรษา
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้นจะปรากฏให้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมารอชมลูกไฟกลมๆ สว่างๆ ที่ผุดขึ้นจากน้ำ ลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วหายไปในอากาศ แม้จะยังอธิบายอย่างแน่ชัดไม่ได้ แต่ปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน มาที่ อ.โพนพิสัย รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง มารอชมความน่าอัศจรรย์ของปรากฏการณ์นี้
|
| วัดอาฮงศิลาวาส | | | เมื่อมาถึงบึงกาฬ จุดแรกที่พลาดไม่ได้ก็คือ วัดอาฮงศิลาวาส ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งประดิษฐาน พระพุทธคุวานันท์ศาสดา พระพุทธรูปที่งดงามลักษณะเดียวกันกับพระพุทธชินราช และมีความเชื่อว่า หากใครมาสักการะก็จะประสบความสำเร็จด้านโชคลาภ และเมตตามหานิยม
|
| พระพุทธคุวานันท์ศาสดา | | | อีกจุดสำคัญก็คือ แก่งอาฮง แม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดอาฮง เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง เรียกกันว่า สะดือแม่น้ำโขง ซึ่งเคยมีการวัดความลึกโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปด้านล่าง วัดได้ถึง 98 วา (ประมาณ 196 เมตร) ชาวบ้านเชื่อว่า ณ จุดสะดือแม่น้ำโขงนี้ก็คือวังบาดาลของพญานาค และเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคอีกแห่งหนึ่งของลำน้ำโขง
|
| แก่งอาฮง-สะดือแม่น้ำโขง | | | มาที่ แก่งอาฮง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจในบึงกาฬ นอกจากจะมาชมบั้งไฟพญานาค ในวันออกพรรษา ก็ยังสามารถมาชมทัศนียภาพของที่นี่ได้ทั้งปี โดยในช่วงน้ำหลาก กระแสน้ำจะไหลวนเป็นกรวยขนาดใหญ่ และเมื่อกรวยน้ำแตกจะได้ยินเสียงคล้ายกระแสน้ำไหลเซาะโขดหิน แต่หากมาในช่วงน้ำแล้ว ก็จะสามารถมองเห็นแก่งได้อย่างชัดเจน และกลุ่มหินที่ปรากฏบริเวณแก่งอาฮงจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิ้นนาค หินปลาเข้ ถ้ำปลาสวาย เป็นต้น
|
| หลวงพ่อพระใหญ่วัดโพธาราม พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองบึงกาฬ | | | ส่วนพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวบึงกาฬ ก็คือ หลวงพ่อพระใหญ่ แห่งวัดโพธาราม พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านช้าง ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านบอกว่า มีการพบหลวงพ่อพระใหญ่บริเวณป่าทึบเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว (บ้างก็ว่าท่านลอยน้ำมาติดที่ริมน้ำโขง)
|
| วิธีแก้บนโดยใช้บั้งไฟหรือตะไล เอกลักษณ์ของวัดโพธาราม | | | สมัยก่อนนั้นหากมีผู้มาขอพร เมื่อได้รับพรสมความปรารถนาแล้ว ก็จะนำสีเหลืองมาทาองค์หลวงพ่อ ทำให้ในปัจจุบัน หลวงพ่อพระใหญ่มีสีเหลืองทอง ส่วนการแก้บนวิธีอื่นๆ ก็จะใช้บั้งไฟ หรือ ตะไล มาแก้บนกับองค์หลวงพ่อ โดยการจุดบั้งไฟน้อย 9 ลูก ยิงข้ามไปยังฝั่งโขง นับเป็นการแก้บนที่มีเอกลักษณ์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มากราบไหว้ก็มีความเชื่อว่า จะทำให้เจริญรุ่งเรือง มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่ขึ้น และมีโชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย แต่ข้อห้ามของที่วัดนี้ก็คือ สงวนสิทธิ์การขึ้นไปกราบไหว้บูชาภายในพระอุโบสถให้เฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงนั้นห้ามขึ้น ให้กราบไหว้สักการะได้บริเวณหน้าโบสถ์เท่านั้น
|
| ภูทอก วัดเจติคีรีวิหาร | | | สถานที่อีกแห่งที่ ตะลอนเที่ยว อยากจะแนะนำเพราะเป็นสถานที่ขึ้นชื่อและโดดเด่นของจังหวัดบึงกาฬ นั่นก็คือ ภูทอก แห่งวัด วัดเจติคีรีวิหาร หรือ วัดภูทอก ใน อ.ศรีวิไล
ภูทอก เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่ทางวัดเจติคีรีวิหาร เปิดให้ประชาชนทั่วไปขึ้นไปเที่ยวชมได้ ดังนั้นการขึ้นเที่ยวชมภูทอกต้องสำรวม ไม่ส่งเสียงดัง เคารพสถานที่ และแต่งกายให้สุภาพ ผู้หญิงที่นุ่งสั้นทางวัดไม่อนุญาตให้ขึ้น
|
| บรรยากาศชั้นที่ 5 ซึ่งสามารถที่จะกราบไหว้ขอพรและนั่งพักตากลมชมวิว | | | คำว่า ภูทอก ในภาษาอีสานนี้หมายถึง ภูเขาที่โดดเดี่ยว และก็น่าจะโดดเดี่ยวตามชื่อ เพราะต้องเดินผ่านเส้นทางวนขึ้นเขาถึง 7 ชั้น ก่อนจะขึ้นไปชมทัศนียภาพรอบๆ และขึ้นไปถึง วัดเจติคีรีวิหาร หรือ วัดภูทอก ซึ่งเส้นทาง 7 ชั้นที่ว่านี้ เป็นสะพานไม้ที่สร้างด้วยแรงศรัทธาของพระสงฆ์ สามเณร และชาวบ้าน รวมเวลากว่า 5 ปี จึงจะแล้วเสร็จ
เส้นทางในการเดินขึ้นในแต่ละชั้นทำให้เหนื่อยเมื่อยล้าพอควรเพราะมีความลาดชัน แต่ด้วยความสวยงามและความร่มรื่นของเส้นทางก็ทำให้พอหายใจหายคอได้สะดวก เมื่อถึงชั้นที่ 5 ก็จะพบกับศาลาและกุฏิพระ ซึ่งก็สามารถที่จะกราบไหว้ขอพรและนั่งพักตากลมชมวิวได้เช่นกัน ส่วนจุดชมวิวที่สวยที่สุดนั้น ก็คือบริเวณทางขึ้นระหว่างชั้น 5 ชั้น 6 และชั้น 7 จะมีลักษณะเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขาที่สูงชัน ระหว่างเดินอาจเกิดความหวาดเสียวสักเล็กน้อย แต่ใครที่กลัวความสูงหรือใจไม่กล้าพอก็อาจจะต้องถอดใจ
|
| สะพานไม้สุดเสียวขึ้นภูทอก | | | แม้ว่าจะเสียว แต่เส้นทางนี้ก็มีทิวทัศน์ที่ถือว่างดงามมาก และนับเป็นไฮไลท์ในการมาที่ภูทอก ระหว่างทางเดินนั้น มีบางมุมที่สามารถมองไปถึงภูลังกาที่อยู่ห่างออกไป (จะมองเห็นหากท้องฟ้าเปิดโล่ง) หรือบางมุมก็เห็นไปไกลถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับจังหวัดนครพนม สำหรับการเดินบนเส้นทางนี้ต้องใช้ความระมัดระวังพอควร เนื่องจากเป็นจุดที่อยู่สูงมาก แต่ถึงจะเหนื่อย เมื่อย และเสียว พอได้เห็นภาพในมุมสูงที่สวยประทับใจแล้ว ก็ทำให้ลืมความรู้สึกเหนื่อยเมื่อยไปได้เลย
|
| ทัศนียภาพมุมสูงบนภูทอก | | | เส้นทางการท่องเที่ยวในบึงกาฬยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ น้ำตกภูถ้ำพระ น้ำตกชะแนน น้ำตกสะอาม หรือใครที่นิยมชมชอบการกินนั้น ก็ยังมีตลาดลาวในอำเภอเมืองให้ได้แวะลองชิมอาหารพื้นถิ่นและเลือกซื้อสินค้ามากมาย ซึ่งตลาดจะเปิดเฉพาะวันอังคารและวันศุกร์ โดยจะมีพ่อค้าแม่ขายชาวลาวมาขายของให้เราได้จับจ่าย
และนี่ก็คือเสน่ห์ของ 2 ดินแดนริมฝั่งโขง หนองคาย-บึงกาฬ ที่แม้ปัจจุบันจะถูกแยกเป็นคนละจังหวัดกัน แต่ในความสัมพันธ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิมนั้นยังคงแนบแน่น ไม่ได้เสื่อมคลายหายไปไหน
*************************************************** ผู้สนใจสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทาง ใน จ.หนองคาย-บึงกาฬ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุดรธานี (ดูแลพื้นที่ อุดรฯ หนองคาย บึงกาฬ) โทร.0-4232-5406-7
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ |