และอีกหลายประเทศอย่างที่เคยได้นำเสนอกันไปแล้ว หรือหากจะให้พูดง่ายๆ และจำกันง่ายๆ ก็คือกลุ่มประเทศที่เคยปกครองโดยเหล่านักรบชาวไวกิ้งในครั้งประวัติศาสตร์นั่นแหละ เดนมาร์กถือว่าเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และประชากรก็ไม่มากเท่าไหร่หากเทียบกับประเทศอื่นในแถบยุโรป ซึ่งประเทศเดนมาร์กตั้งอยู่ทางยุโรปตอนเหนือ และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมัน ที่เป็นเพื่อนบ้านทางภาคพื้นดินเพียงประเทศเดียว เนื่องจากพื้นที่ของประเทศตั้งอยู่บนทะเลเหนือ และทะเลบอลติก นอกจากนี้ ประเทศเดนมาร์กยังมีหมู่เกาะน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อย ทั้งที่มีประชากรอาศัยอยู่ และไม่มีประชากรอาศัย หรือหากมีก็เบาบางมาก รวมถึงเมืองหลวงอย่าง โคเปนเฮเกน ก็ตั้งอยู่บนเกาะที่ชื่อว่า Zealand เช่นกัน
ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางราชการ และใช้ร่วมกับภาษาของเกาะกรีนแลนด์ และเกาะแฟโร ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น อีกทั้งทางตอนใต้ที่ติดกับประเทศเยอรมัน ก็มีประชากรใช้ภาษาเยอรมันบ้างประปราย
ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีสวัสดิการรัฐขนาดใหญ่ และมีรายได้เข้าประเทศที่จัดเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศยุโรป จึงทำให้ประชากรภายในประเทศได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึง
และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ที่ประเทศเดนมาร์กนี่แหละ เป็นบ้านเกิดของนักแต่งนิทานที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เชน ผู้ซึ่งแต่งนิทานที่พวกเราคงเคยผ่านตากันมาเป็นอย่างดีเช่น พระราชากับชุดล่องหน เงือกน้อยผจญภัย ลูกเป็ดขี้เหล่ และอีกหลายๆ เรื่อง ทีนี้พอจะคุ้นเคยกับประเทศนี้ขึ้นมาบ้างหรือยัง
หากอยากจะมาแลนดิ้งกันที่ประเทศนี้ ต้องขอบอกก่อนว่าอุณภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 10-20 องศาเซลเซียส ก็คงเหมาะสำหรับคนที่ชอบความเย็นสบาย ซึ่งหน้าร้อนอยู่ช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม อุณภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส แต่หากอยากจะมาท้าสายลมหนาวยะเยือกก็ช่วงฤดูหนาวเดือน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ เพราะอุณหภูมิจะอยู่ที่ -5-5 องศาเซลเซียส คงสะท้านทรวงทีเดียว แต่ไม่ว่าจะย่ำเท้าไปเยือนดินแดนใดในเขตยุโรป ก็คงต้องเป็นช่วงหน้าร้อนเห็นจะเหมาะกับสภาพร่างกายอย่างเรามากที่สุด นอกจากนี้ กิจกรรมของประเทศแถบหนาวทั้งหลายก็มักจะจัดกันมากมายในช่วงหน้าร้อน โดยจะออกมาจัดงานเริงร่ากันกลางแจ้ง รวมถึงห้างร้านต่างๆ ก็จะเปิดเกินเวลาให้ได้สนุกสนานกันเต็มที่ เพราะนานๆ ทีถึงจะมีอากาศอบอุ่นให้ออกมารื่นเริงกัน ว่าแล้วเราไปตะลุยเมืองหลวงกันดีกว่า เพราะเมืองหลวงนี่แหละ ที่เป็นแหล่งรวมนานาสาระให้ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น หากพร้อมก็ตามกันมาที่ โคเปนเฮเกน
Copenhagen (โคเปนเฮเกน)
เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาราวๆ ศตวรรษที่ 10 และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ จึงมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นพอสมควร อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการบริหารประเทศที่เป็นที่ตั้งของ รัฐสภา รัฐบาล และพระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์เดนมาร์ก
นอกจากนี้ หากเดินชมรอบๆ เมือง ก็จะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเดนนิชอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก โคเปนเฮเกน เป็นทั้งเมืองท่าศูนย์กลางการขนส่งสินค้า การทำประมง การท่องเที่ยว เรียกว่าครบวงจรภายในเมืองเดียว
นอกจากนี้ สีสันที่ขาดไม่ได้ตามวอร์คสตรีทในช่วงหน้าร้อนก็คือ เหล่าศิลปินหลากหลายสาขา ทั้งจิตรกร นักมายากล ต่างออกมาอวดฝีไม้ลายมือกันอย่างล้นหลาม อีกทั้งเป็นแหล่งรวมของประชากรหลากหลายเชื้อชาติ จึงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เพลิดเพลิน และสนุกสนาน
และหนึ่งสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สาวเท้าเข้าไปดั่งต้องมนต์คือ โคเปนเฮเกน ซิตี้ฮอลล์
Copenhagen City Hall (โคเปนเฮเกน ซิตี้ฮอลล์) คือศาลากลางของเมืองโคเปนเฮเกน เป็นสำนักงานใหญ่ของสภาเทศบาลนายกเทศมนตรี
อาคารหลังปัจจุบันออกแบบโดยสถาปนิกนามว่า มาร์ติน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบสถาปัตยกรรม City Hall of Siena ของประเทศอิตาลี แล้วเสร็จและเปิดใช้เมื่อวันที่ 12 กันยายน 1905 เป็นต้นมา
ด้านหน้าศาลากลางแห่งนี้ มักจะมีประชาชนออกมาผึ่งแดดรับลมกันอย่างคับคั่งในช่วงซัมเมอร์ และยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน เช่น การเล่นดนตรี การโชว์มายากล การวาดภาพของเหล่าศิลปิน อีกทั้งยังมีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ หรือเป็นจุดนัดพบ โดยหาซื้อขนมหน้าตาดีแถวนั้นมานั่งจุ๊บจิ๊บไปเพลินๆ ค่าเวลาก็ชิวดี
นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆ ที่เกริ่นมาให้พอรู้จักกับเดนมาร์ก แดนดินถิ่นนิทานเท่านั้น เดี๋ยวตอนหน้าจะพาตะลอนทัวร์ให้ทั่วแดน ดูสิว่าจะหนุกหนานกันแค่ไหน แบกเป้ให้กระชับ แล้วขยับตามกันมาที่ตอนสอง
เพราะเมืองนี้มีสถานที่ที่น่าสนใจใคร่รู้รออยู่มากมาย วันนี้ขอแต่งตัวดีๆ เพื่อให้เกียรติสถานที่กันสักนิด ซึ่งในชีวิตก็ไม่ค่อยจะได้พิถีพิถันอะไรสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากจุดหมายในวันนี้คือการไปเยือนพระราชวัง ซึ่งไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นถึงสองแห่งในวันเดียว ถ้าพร้อมแล้วก็ตบเท้าเข้าแถวตามกันมา พระราชวังแห่งแรกที่โดดเด่นเป็นสง่าคอยท่าอยู่เบื้องหน้าคือ
Amalienborg Palace (พระราชวัง อามาเลียนบอร์ก) เป็นสถานที่ประทับในช่วงฤดูหนาวของราชวงศ์เดนมาร์กมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1794 ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโคเปนเฮเกน ตัวสถาปัตยกรรมภายนอก และการตกแต่งภายในอาคารพระราชวังเป็นสไตล์ร็อคโคโค
บริเวณพระราชวังประกอบด้วยสี่ส่วนหลักๆ และด้านหนึ่งได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมห้องต่างๆ ที่เคยเป็นที่พำนักของราชวงศ์ในอดีตเมื่อปีค.ศ.1863-1947 เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณพระราชวัง สิ่งแรกที่พบคืออนุสาวรีย์ของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่4 ทรงประทับอยู่บนหลังม้า ตั้งอยู่ตรงกลางลานแปดเหลี่ยม
ซึ่งพระเจ้าเฟรดเดอริกที่4 ทรงเป็นผู้ก่อตั้งและพำนัก ณ พระราชวังอามาเลียนบอร์กแห่งนี้ จากนั้น พระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ต่างใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่พำนักสืบต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กได้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้ ทางพระราชวังก็จะมีการสับเปลี่ยนทหารยามหน้าวังทุกวันในตอนเที่ยง และหากมาตอนช่วงที่เค้ากำลังเปลี่ยนทหารยามกันล่ะก็ จะได้ดูเหล่าทหารเดนนิชเดินสวนสนามกันอย่างเป็นระเบียบ เพลินตาเลยทีเดียว เห็นแล้วอยากกินคุ๊กกี้กล่องแดงที่บ้านเราจัง มันจะเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย
ขอหยุดความคิดและสะกดความหิวเพื่อไปลุยต่อกันอีกหนึ่งพระราชวังเลยดีกว่าที่ ปราสาทเฟรเดอริคส์บอร์ก
Frederiksborg Palace (ปราสาทเฟรเดอริคส์บอร์ก หรือ พระราชวังเฟรเดอริคส์บอร์ก) คือปราสาทที่งดงามในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบเลอเนซอง สร้างขึ้นโดย พระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 2 และเป็นที่ประทับของกษัตริย์คริสเตียนที่ ในราวศตวรรษที่17
ในอดีตพระราชวังแห่งนี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา และพิธีสำคัญอื่นๆ ของพระมหากษัตริย์อย่างเช่น พิธีปราบดาภิเษก และยังเป็นสถานที่เก็บของสะสม ตลอดจนผลงานศิลปะของเชื้อพระวงศ์อีกด้วย จึงเปรียบเสมือนเป็นสถานที่แห่งชาติที่ชาวเดนนิชภาคภูมิใจ
ปราสาทหรือพระราชวังเฟรเดอริคส์บอร์ก ตั้งอยู่บนทะเลสาบที่สวยงามในเมืองโคเปนเฮเกนซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติทางประวัติศาสตร์ของประเทศเดนมาร์ก ภายในตกแต่งด้วยความวิจิตรอ่อนช้อยอร่ามตาไปด้วยสีทองตามแบบฉบับเลอเนซอง และมีห้องจัดแสดงกว่า 70 ห้องที่เปิดให้เข้าชม บนเพดานเกือบทั้งพระราชวังเป็นงานจิตรกรรมของจิตรกรที่มีชื่อเสียง อันแสดงถึงเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ บริเวณโดยรอบพระราชวังมีการตกแต่งสวนอันเขียวชอุ่มในรูปแบบของบารอค ซึ่งนับว่าคุ้มค่าต่อสายตาผู้มาเยือนจริงๆ
หลังจากซึบซับดูดดื่มกับชาววังกันแล้ว ขอนำทางไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวเมืองเดนนิชกันบ้าง โดยเดินลัดเลาะไปเรื่อย เพื่อจะไปสัมผัสการคมนาคมของชีวิตคนเมืองโคเปนเฮเกนที่สถานีรถไฟ แต่ก็ต้องขอหยุดพักเท้ากันสักนิด ณ ที่ทำเลเหมาะแห่งนี้ เพราะมีตำนานที่น่าสนใจไม่เบา ซึ่งมันก็ฉุดกระชากต่อมใคร่รู้ให้ทำงานอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโคเปนเฮเกนเช่นกัน
Gefion Fountain (น้ำพุแห่งราชินีเกฟิออน) เป็นน้ำพุขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตา คล้ายธารน้ำตกที่ไหลริน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าท่าเรือเมืองโคเปนเฮเกน มีตำนานเล่าว่า ราชินีเกฟิออนได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ให้กอบกู้ชาติบ้านเมือง พระนางจึงให้พระโอรสทั้งสี่ของพระองค์แปลงกายเป็นพระโค เพื่อช่วยกันไถพื้นดินจนกลายเป็นแผ่นดินเดนมาร์กในปัจจุบัน แล้วชาวเดนนิชก็ได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระนางและพระโอรสทั้งสี่พระองค์ไว้เพื่อเป็นเกียรติ และเพื่อเป็นการระลึกถึง อืม แปลกดีแฮะ ตำนานของฝรั่งเนี่ย
แต่สถานที่แห่งนี้มันให้ความร่มรื่นได้ดีจริงๆ เพราะเสียงสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ บวกกับละอองน้อยๆ ที่กระเซ็นมาให้ความชุ่มชื่น ชวนให้เปลือกตาเริ่มคล้อยลงต่ำ เห็นทีจะต้องยืดเส้นยืดสายแล้วไปกันต่อดีกว่า กับสถานีรถไฟ เป้าหมายของวันนี้ แต่ไม่ได้เดินทางไปไหนหรอก ก็แค่ไปนั่งดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ว่าเค้าจะรีบเร่งเหมือนคนบ้านเรามั้ย
Copenhagen Central Station (สถานีรถไฟโคเปนเฮเกน) เป็นศูนย์กลางการขนส่งและคมนาคมของเมืองโคเปนเฮเกนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเดนมาร์ก และเป็นเส้นทางของการเดินรถไฟแห่งประเทศ โดยรถไฟทุกสายจะมีเส้นทางเดินรถไปทั่วทั้งประเทศเดนมาร์ก รวมถึงประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป จึงมีผู้คนหนาแน่น ต่างแบกเป้ ลากกระเป๋า แล้วแต่จุดหมายปลายทางที่ใกล้ไกลแตกต่างกัน
ใกล้ๆ สถานีรถไฟแห่งนี้ยังมีสวนสนุกทิโวลี ซึ่งเป็นสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดของโลก สร้างขึ้นราวศตวรรษที่19 โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงฤดูร้อน และก่อนวันคริสต์มาสหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งชาวเดนนิชถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ โดยที่จะต้องออกมาเดินเล่นที่สวนสนุกแห่งนี้เป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูร้อน
ชีวิตคนเมืองที่นี่ก็รีบเร่ง และพลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่ของทุกประเทศทั่วโลก ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสาวเท้าได้เร็วกว่ากัน แต่เราเลือกที่จะสาวเท้าช้าๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อไปตามหาบรรพบุรุษนักรบ ผู้ถ่ายทอดสายพันธุ์ชาวเดนนิชที่พิพิธภัณฑ์กันในตอนหน้าดีกว่า