ไม่ต้องมีใครมาบอกก็รู้ได้เองแหละครับ ว่าสภาพอากาศของโลกเราในวันนี้วิปริตผิดเพี้ยนไปมากขนาดไหน แล้วคงไม่ต้องโทษใครหรอก มนุษย์เรานี่แหละตัวการสำคัญที่ทำให้โลกเป็นอย่างนี้ คนละไม่คนละมือ คนละนิดคนละหน่อย จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เคยได้ยินนักวิชาการบางคนพูดว่า เร็ว ๆ นี้หิมะจะตกในเมืองไทย แถมตกตอนเดือนเมษาฯ เสียด้วย ผมฟังแล้วก็ยังแอบหัวเราะคิกคักอยู่ ว่าจะเป็นไปได้ยังไง ทว่ามาเจอลมหนาวเข้าให้ก็ชักเริ่มรู้สึกว่า เอ...ไม่แน่เหมือนกันแฮะ ทำเป็นเล่นไปนาครับ ถ้าหิมะตกเดือนเมษาฯ ขึ้นมาจริง ๆ อีกหน่อยการท่องเที่ยวชายทะเลในหน้าร้อน อาจจะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ไปเลยก็ได้ ถึงตอนนั้นผมเองอาจจะต้องมาเขียนสารคดีเรื่อง "รำลึกความหลังครั้งยังมีหน้าร้อน" ลงในอนุสาร อ.ส.ท. ให้คุณ ๆ อ่านกัน (เอ๊ะ ชักจะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แฮะ อากาศก็ไม่ร้อนนะนี่เรา)
ลมหนาวที่พัดมาทำให้ผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะไปเตร็ดเตร่รำลึกรอยอดีตของการตากอากาศบนเส้นทางสายทะเลตะวันออก ชลบุรี-ระยอง-จันบุรี-ตราด เอาไว้เสียก่อน เผื่ออีกหน่อยอากาศของโลกวิปริตมากกว่านี้ ถึงขนาดหน้าร้อนกลายเป็นหน้าหนาวหิมะตกอย่างที่เขาว่า...
ชลบุรี ต้นตำนานสถานตากอากาศแห่งสยามประเทศ
พาหนะคันเก่งแล่นลิ่วพาผมผ่านเข้าสู่จังหวัดชลบุรี เมืองที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของการท่องเที่ยวตากอากาศ แห่งสยามประเทศ มีเรื่องราวบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ความนิยมท่องเที่ยวทางทะเลในรูปแบบที่เรียกว่า "ตากอากาศ" นั้น มีที่มาจากฝรั่งชาวตะวันตกโดยในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ชาวอังกฤษที่พำนักอาศัยอยู่ในพระนครเกิดครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บไข้ได้ป่วย เนื่องมาจากอุดอู้อยู่แต่ในเมือง ไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ จึงพากันเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พื่อขอพระราชทานถนนสำหรับขี่ม้าออกกำลังกาย รวมทั้งขอพระราชทานสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจตากอากาศชายทะเลด้วย
พระองค์จึงโปรดให้ตัดถนนสายแรกขึ้นในพระนคร คือถนนเจริญกรุง และในขณะเดียวกันก็พระราชทานที่ดินในพื้นที่ "ตำบลอ่างหิน" จังหวัดชลบุรี ให้เป็นสถานตากอากาศสำหรับพวกฝรั่ง และได้มีการสร้างอาคารสำหรับเป็นที่พักตากอากาศ สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นในเวลาต่อมา คือ ตึกมหาราช และ ตึกราชินี ตำบลอ่างหินที่ว่า ได้ถูกเปลี่ยนชื่อให้ไพเราะเสนาะหูขึ้นว่า "อ่างศิลา" นั่นเอง
ไม่ใช่เท่านั้นครับ ที่ เกาะสีชัง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีนี่แหละ ยังมีสถานตากอากาศสำคัญอีกแห่งในสมัยต่อมา คือพระจุฑาธุชราชฐาน ซึ่งสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สำหรับเสด็จแปรพระราชฐานมาทรงตากอากาศพร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ถือเป็นยุคเริ่มต้นของความนิยมตากอากาศของคนไทย (เดี๋ยวนี้พระจุฑาธุชราชฐานบนเกาะสีชัง ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยความงาม ให้รำลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตอยู่ไม่น้อย ใครผ่านไปทางศรีราชาว่าง ๆ ก็ลงเรือไปดูชมกันได้)
การตากอากาศมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทยอย่างจริงจังในยุคสมัยของหัวหิน-ชะอำ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดเพชรบุรี โดยเกิดสถานตากอากาศ เมื่อมีการตัดทางรถไฟสายใต้ขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เริ่มจากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการชั้นสูง และพ่อค้าผู้มีฐานะ ยุคของการท่องเที่ยวตากอากาศ หัวหิน-ชะอำ กลายเป็นรูปแบบความหรูหรา ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านนวนิยายชื่อดัง ที่ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์หลายต่อหลายเรื่อง แบบสร้างแล้วสร้างอีก จนเป็นที่เอาอย่างของประชาชนทั่วไป ถึงหน้าร้อนเมื่อไหร่ก็ต้องไปเที่ยวทะเลกัน
ต่อมาหัวหิน-ชะอำก็เสื่อมความนิยมลง เนื่องจากมีการตัดถนนสุขุมวิทผ่านมาทาง บางปู จังหวัดสมุทรปราการ ทำให้เกิดสถานตากอากาศบางปูขึ้น และไม่นานการเดินทางด้วยรถยนต์ที่สะดวกกว่าและระยะทางที่ใกล้กว่า ทำให้นักท่องเที่ยวหันมาทางฝั่งทะเลตะวันออกแทน ชลบุรีก็กลับมามีบทบาทในฐานะสถานตากอากาศอีกครั้ง แถมคราวนี้ดังกว่าเดิม เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของมหาชน หาดบางแสน ของจังหวัดชลบุรีเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมาในยุคสมัยนี้เอง ผมเองก็ถือว่าเกิดมาทันในยุคสมัยของบางแสนครับ เห็นทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ที่นี่แหละ
สมัยเด็ก ๆ ปิดเทอมหน้าร้อน ครอบครัวก็พากันมาเที่ยวทะเลบางแสน ตอนนั้นพักที่บังกะโลของโรงแรมบางแสน ซึ่งเป็นกิจการขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.) อยู่ ยังจำได้ดีถึงความสุขในช่วงเวลานั้นว่าอยู่ที่ได้เล่นทรายชายหาด ลงเล่นน้ำทะเล ขี่จักรยานเล่นไปตามทางโรยกรวด ที่ลัดเลาะไปใต้ทิวตาลรอบอาณาบริเวณของบังกะโล และอร่อยกับไอติมโค้กหวานเย็นซ่า มาคราวนี้ก็เลยถือโอกาสขับรถวนเวียนรำลึกความหลังเสียหน่อย เพราะจะว่าไปผมเองก็ไม่ได้มานานนับสิบปีได้แล้ว
โอ้... นั่นไง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือชื่อทางการคือ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลของมหาวิทยาลัยบูรพา หรือ มศว. บางแสนในอดีต ที่สมัยเด็กเคยมาตื่นตาตื่นใจกับสารพัดสัตว์ทะเล ก็ยังอยู่ดีแถมเดี๋ยวนี้รอบข้างเจริญขึ้นเยอะ ฝั่งตรงข้ามเรียงรายด้วยห้างสรรพสินค้าเป็นแถว เลยมาอีกหน่อย อ้าว...ปากทางเข้า บางแสน มุมมองที่ผมเห็นทะเลเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งยังเด็ก วันนี้ถูกบดบังด้วยป้ายชื่อหาดขนาดมหึมาเสียแล้ว เลี้ยวไปตามถนนสายหลักที่ตัดเลียบชายหาด สองฟากฝั่งเรียงรายไปด้วยร้านอาหารและที่พักคึกคัก
บนหาดเต็มไปด้วยเก้าอี้ผ้าใบกับร่มคันโตหลากสีสัน สำหรับพักผ่อนรับประทานอาหารใต้ร่มเงาทิวมะพร้าว ทั้งยังอุดมไปด้วยหลากหลายกิจกรรมสนุกให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นห่วงยางสำหรับว่ายน้ำ บานานาโบ้ต จักรยานให้เช่า รวมไปถึงห้องอาบน้ำจืด บรรยากาศคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ส่วนใหญ่มากันแบบครอบครัว ผ่านไปทางโรงแรมบางแสนและบังกะโลหลากหลายแบบก็ยังคงอยู่ดี ต่างแต่วันนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้โอนให้เอกชนเช่าไปดำเนินกิจการนานแล้ว
ทิวตาลและถนนสายเล็ก ที่สมัยเด็กเคยขี่จักรยานลัดเลาะไปก็ยังดูเหมือนเดิม บรรยากาศยังไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ เพียงแต่พื้นที่โดยรอบอาณาบริเวณ ซึ่งเคยแลดูกว้างใหญ่ไพศาลในตอนเด็ก มาเห็นตอนนี้รู้สึกว่าแคบลงไปถนัดตา เลยเรื่อยไปถึง แหลมแท่น เดี๋ยวนี้ปรับภูมิทัศน์ใหม่ มีอนุสาวรีย์โลมาเด่นตระหง่าน หน้าศาลาทรงไทยประยุกต์ที่ยื่นลงไปในทะเล เป็นจุดชมทิวทัศน์และพักผ่อนหย่อนใจ ผมมองหาหินรูปเรือใบก้อนใหญ่ ที่เคยปืนป่ายไปยืนถ่ายภาพคู่ด้วยตอนเด็ก เดี๋ยวนี้กลายเป็นมาตั้งอยู่ชิดเบียด ติดอยู่กับลานสันทนาการอเนกประสงค์ไปแล้ว
พัฒนาการอีกก้าวของ แหลมแท่น ในวันนี้ก็คือ ในยามเย็นวันศุกร์และวันเสาร์ของแต่ละสัปดาห์ บริเวณลานสันทนาการนี้จะมีการจัดเป็นตลาดนัดในรูปแบบถนนคนเดิน Bangsaen Walking Street ซึ่งว่ากันว่าเป็นตลาดนัดที่บรรยากาศดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ด้วยฉากหลังที่แลเห็นท้องทะเลและ เขาสามมุก อยู่ไกล ๆ สินค้าที่นำมาออกร้านขายกันก็มีมากมายหลายประเภท ตั้งแต่ของเก่า ของสะสม เสื้อผ้า เครื่องประดับ และที่พิเศษไม่เหมือนที่ไหนก็คือ สินค้าแฮนด์เมดของนักศึกษาหนุ่มสาวจากมหาวิทยาลัยบูรพา ที่สร้างสรรค์มาจากความรู้และจินตนาการ อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ต้องลองมาเดินดู เพราะมากมายจริง ๆ ครับ จาระไนไม่หวาดไหว
เลียบเลาะตามทางไปจนถึง อ่างศิลา ดินแดนต้นกำเนิดการตากอากาศ สังเกตง่าย ๆ จากร้านขายครกหินน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนน ตึกเก่าที่เป็นอาศรัยสถาน หรือที่พักตากอากาศของยุคนั้น คือ ตึกมหาราช หรือ ตำหนักขาว และ ตึกราชินี หรือ ตำหนักแดง อันเป็นเรือนปั้นหยา 2 ชั้น ยังคงตระหง่านอยู่อย่างสง่างามเหนือแนวหินบนโค้งอ่าวอ่างศิลา ได้ร่มเงาของแมกไม้ ปัจจุบันดัดแปลงให้เป็น พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ เข้าไปเดินเล่นในอาณาบริเวณ ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของการตากอากาศในสมัยนั้น
ใกล้กันเป็นตลาดอ่างศิลาที่ยังคงสภาพตลาดแบบเก่า ๆ ด้วยเรือนห้องแถวไม้เรียงราย ดูรกรุงไปนิด เพราะไม่ได้มีการปรับแต่งภูมิทัศน์แต่ประการใด แต่ผมชอบครับ ดูเดิม ๆ แบบจริงใจดี หาดูยากแล้วตลาดแบบนี้ เห็นป้ายติดเอาไว้ว่า ตลาดอ่างศิลา 130 ปี ก็คงมีมาพร้อม ๆ กันกับการตากอากาศนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับว่าถึงวันนี้ผ่านไปถึงร้อยกว่าปีแล้ว
พัทยา นครตากอากาศกับสารพัดสิ่งสร้างสรรค์
จาก บางแสน ผมเลียบเลาะถนนแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ พักเดียว ก็มาถึง พัทยา เมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่ถือว่าเป็นเมืองตากอากาศ "สมัยใหม่" เติบโตเจริญรุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของสงครามเวียดนาม ด้วยหาดทรายงามริมทะเลที่ทอดยาว พร้อมด้วยนานาบริการที่สรรหามาดูดเงินจากกระเป๋า ของเหล่าจีไอทหารอเมริกัน จากสมรภูมิที่แวะมา "ขึ้นบก" ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้มาใช้เงินและช่วงเวลาว่างหาความสุขสนุกสนานกันอย่างมากมาย เป็นเหตุให้พัทยาเลื่องชื่อในเรื่องสถานบันเทิงและการแสดงโชว์ต่าง ๆ มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ความจริงแล้ว พัทยา เองก็มีหาดทรายชายทะเลที่สวยงามไม่น้อยหน้าใครที่ไหนครับ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน (เพราะส่วนใหญ่ดันชอบไปพูดถึงเรื่องอื่นกันเสียมากกว่า) หาดทรายที่มีชื่อก็คือ หาดพัทยา ที่ซึ่งผืนทรายยาวกว่า 3 กิโลเมตร ทอดยาวเป็นวงโค้งงดงาม พร้อมด้วยถนนสายเลียบหาดร่มรื่น หาดทางเหนือเป็นแหล่งกิจกรรมพักผ่อนเล่นน้ำ บรรยากาศสงบสบายส่วน หาดทางตอนใต้เป็นย่านบริการบันเทิงเริงรมย์ เต็มไปด้วยสีสัน และความวุ่นวาย
อีกแห่งหนึ่งก็คือ หาดนาจอมเทียน ที่อยู่ถัดมา แนวหาดทรายยาวกว่าหาดพัทยาคือ 6 กิโลเมตร มีถนนเลียบตลอดแนวชายหาดบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ เป็นแหล่งเล่นน้ำและกิจกรรมทางทะเลของบรรดานักท่องเที่ยว ทั้งห่วงยาง กระดานโต้คลื่น และเจ็ตสกี ไม่ต้องเล่นเอง แค่มานั่งดูก็เพลิดเพลินเหลือหลายแล้ว เพราะนักท่องเที่ยวฝรั่ง พวกนี้อยู่ว่างไม่ค่อยเป็น ว่างปุ๊บเป็นต้องสรรหาอะไรต่อมิอะไรแปลก ๆ มาเล่นกันได้เรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมี เกาะล้าน แหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่ออีกแห่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปในทะเลประมาณ 7 กิโลฯ กว่า ๆ ที่มีหาดทรายขาวสวยงามมีน้ำใสให้เล่น พร้อมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ครบครัน
ในวันนี้ พัทยา ก็ถือว่ามีอีกมุมมองใหม่ของการท่องเที่ยวครับ ในฐานะของศูนย์รวมสถานที่ท่องเที่ยว ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง เลื่องลือระดับโลกก็เห็นจะเป็น ปราสาทสัจธรรม ปราสาทหลังมหึมาที่สร้างด้วยไม้สักและไม้มีค่าอื่น ๆ อีกหลายชนิด เป็นไม้ล้วน ๆ ทั้งหลังประดับประคาตกแต่งด้วยไม้แกะสลักอย่างวิจิตรตระการตา ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งทะเลพัทยาตรง แหลมราชเวช ถือว่าเป็นปราสาทไม้ทั้งหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ ที่เด่น ๆ อีกแห่งก็คือ เมืองจำลองมินิสยาม รวบรวมเอาสถานที่สำคัญทั่วทั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย อย่างวัดพระแก้ว พระปฐมเจดีย์ ปราสาทหินพิมาย มัสยิดกลางปัตตานี ฯลฯ และสถานที่สำคัญจากประเทศอื่น ๆ ทุกทวีปทั่วโลก อย่างหอไอเฟลจากฝรั่งเศส เทพีสันติภาพจากสหรัฐอเมริกา มหาวิหารอาบูซิมเบลจากอียิปต์ ฯลฯ มาย่อส่วนจัดแสดงเอาไว้ในอัตราส่วน 1 ต่อ 25 ผมชอบที่นี่เป็นพิเศษครับ เพราะมาเที่ยวที่เดียวเหมือนได้เที่ยวไปทั่วโลก
อีกแห่งที่น่าทึ่งไม่แพ้กันก็คือ พิพิธภัณฑ์ขวด ที่ยิ่งจิ๋วเข้าไปใหญ่ เป็นแหล่งรวบรวมผลงานของ มิสเตอร์ปีเตอร์ เบย์เดอเลย์ ชาวฮอลแลนด์ ที่ได้เพียรพยายามจำลองสิ่งต่าง ๆ เข้าไปไว้ในขวดแก้ว แล้วนำมาจัดแสดงเอาไว้ มีเป็นนักร้อยชิ้นทีเดียวเชียวละ แหล่งท่องเที่ยวประเภทให้เข้าไปเที่ยวดูเที่ยวชมอย่างนี้ ในพัทยายังมีอีกเยอะครับ อย่าง อุทยานหินล้านปี และ ฟาร์มจระเข้พัทยา, หมู่บ้านช้างพัทยา, ตลาดน้ำ 4 ภาค, สวนน้ำพัทยาปาร์ค, อันเดอร์ วอเตอร์เวิร์ล, พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ เชื่อหรือไม่ ฯลฯ
นี่ยังไม่นับกิจกรรมท่องเที่ยวประเภทผาดโผนผจญภัย อย่างการกระโดดบันจีจัมป์ เพนต์บอลสนามแข่งรถโกคาร์ต และอีกมากมายจาระไนไม่หมดครับ เพราะมีนับหลายสิบแห่ง ถ้าจะเที่ยวชมเที่ยวเล่นให้ครบทั่วถึงหมดทุกแห่ง คงต้องใช้เวลาหลายวัน เราคงไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นครับ ก็คงต้องเลือกเที่ยวเฉพาะที่สนใจ เที่ยวไม่หมดเก็บไว้วันหน้าวันหลังมาเที่ยวใหม่ก็ได้ เพราะเราคงไม่ได้มาแค่ครั้งเดียวในชีวิต เที่ยวเมืองไทย เที่ยวได้ทั้งปีอยู่แล้ว
ระยอง หาดทราย เกาะสวรรค์ และย่านเมืองเก่า
ผ่านมาทางสัตหีบ ว่าจะแวะเข้าไปเที่ยวในเขตทหารที่ฐานทัพเรือสัตหีบเสียหน่อย แต่นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร์ ติดภารกิจออกเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยทางภาคใต้ ไม่มีเรือก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ผมก็เลยมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปคือจังหวัดระยอง
รองนั้นเป็นที่รู้จักโด่งดังจาก เกาะเสม็ด อันเลื่องชื่อ ด้วยหาดทรายขาวสะอาดงาม น้ำสีครามสวยใสเหมือนกับเกาะที่อยู่กลางทะเลลึก แต่เป็นเกาะอยู่ใกล้กับชายฝรั่งมากที่สุด ด้วยความงามอย่างที่ว่า แถมอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกด้วย หากเทียบกับทะเลที่อื่น ๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่แพงมาก ก็เลยเป็นที่นิยมให้หมู่นิสิตนักศึกษามาท่องเที่ยวตากอากาศ สัมผัสธรรมชาติบรรยากาศท้องทะเลกัน
เมื่อ 20 ปีก่อน สมัยผมยังเป็นนิสิตเรียนมหาวิทยาลัย เกาะเสม็ด นี่ฮิตมากครับ ใครต่อใครก็ต้องมากัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยววัยรุ่นหนุ่ม ๆ สาว ๆ จนมีคำกล่าวว่า "มาเกาะเสม็ด เสร็จทุกราย" ผมได้ยินคำร่ำลือก็ตะเกียกตะกายมาเที่ยวกับเขาเหมือนกัน มาแล้วก็เสร็จจริง ๆ ด้วย (หมายถึงตกหลุมรักในความงดงามตามธรรมชาติของเกาะเสม็ดน่ะครับ อย่าคิดมาก รู้นะ... คิดอะไรอยู่) เห็นนักท่องเที่ยววัยรุ่นแบกเป้เดินลงเรือไปเที่ยวเกาะเสม็ดกัน ก็อดนึกไปถึงตัวเองสมัยก่อนไม่ได้ สงสัยจะแก่แล้วแฮะเรา มาคราวนี้มีแต่รำลึกความหลังล้วน ๆ
นอกจาก เกาะเสม็ด บนชายฝั่งของระยองก็มีหาดทรายอยู่หลายแห่ง ให้นักท่องเที่ยวเลือกได้ตามอัธยาศัย แต่ละแห่งบรรยากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อนทั้งนั้น ทอดตัวยาวไล่เรียงกันไปตามชายทะเลตั้งแต่ หาดแสงจันทร์ หาดแม่รำพึง และหาดแม่พิมพ์ บนชายฝั่งทะเลระยองนี่ผมก็มีความหลังอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าระยองเป็นทะเลสวยที่ใกล้กับกรุงเทพฯ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เลยได้มาบ่อย ๆ อบรมวาดภาพสีน้ำช่วงปิดเทอมภาคสนาม ก็มาทะเลระยอง เก็บข้อมูลทำวิจัยทางสังคมวิทยาก็มาทะเลระยอง
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจังหวัดระยอง เป็นอีกแห่งที่ผมมาระยองแล้วต้องแวะเวียนเข้าไป ชอบดูมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้วครับ เพราะประทับใจจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่บางแสน สนุกตรงได้เห็นบรรดาสัตว์น้ำนานาชนิด หน้าตาแปลก ๆ ไม่พอ บางทียังมีท่าทางและวิถีชีวิตที่แปลก ๆ ให้เห็นด้วย ยิ่งได้ฉากและบรรยากาศในตู้จัดแสดงที่สมจริงสมจัง ให้ความรู้สึกคล้ายกับได้ลงไปเดินเที่ยวใต้ทะเลยังไงยังงั้น ที่ประทับใจเป็นพิเศษโดยเฉพาะ ก็คือในส่วนของทางเดินที่ทำเป็นอุโมงค์กระจกโค้งใสเดนิลอด ผ่านเข้าไปในใจกลางของบ่อเลี้ยง ความใสของกระจกรอบด้านทำให้มองเห็นได้รอบทิศทาง บางครั้งฝูงปลาเรียงแถวกันเป็นแผงใหญ่ว่ายเวียนผ่านเหนือหัว บางทีก็มีฉลามหรือกระเบนขนาดใหญ่โบกครีบเหินผ่านไปในระยะกระชั้นชิด ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เข้ามาแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะออกไปง่าย ๆ ละครับ ดูโน่นดูนี่เพลิดเพลินเจริญใจ ส่วนใหญ่ผมก็จะอยู่จนเขาปิดบริการแทบทุกที คราวนี้ก็เหมือนกัน
ยามเย็นแดดร่มลมตก ก็ถึงเวลาไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ย่านเก่าเมืองระยอง ที่ผมเองเคยมาขี่จักรยานเที่ยวเป็นที่สนุกสนานเมื่อไม่นานมานี้ ครั้งนี้จังหวะดีครับ มาตรงกับช่วงที่เขากำลังมีงานวันอนุรักษ์มรดกไทยพอดิบพอดี บน ถนนยมจินดา ถนนหลักสายเก่าของเมืองระรอง ก็เลยครึกครื้นไปด้วยเวทีการแสดง ร้านค้า และผู้คนที่มาเดินเที่ยวจากทุกสารทิศ เมืองเก่าระยองนี้ ได้มีการฟื้นฟูตึกรามร้านรวงดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ เป็นถนนให้คนเดนิเที่ยวได้ในบรรยากาศคลาสสิกจากอาคารเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตึกสิงห์กราย ซึ่งเป็นตึกแห่งแรกในย่านนี้ บ้านสัตย์อุดม ซึ่งเปิดเป็นนิทรรศการภาพเก่าเมืองระยองให้ชม บ้านบูญศิริ เรือนเก่าแก่ที่ยังรักษาสภาพเดิมไว้พร้อมสวนสวยรายรอบ บ้านยมจินดา ที่เปิดเป็นร้านอาหารริมน้ำ ร้านกล่องเงิน ที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวให้ได้ชื่นชมข้าวของภายในร้าน มีทั้งสินค้า ข้าวของเครื่องใช้สมัยเก่า ของเล่นโบราณ
ในวันมีงานอย่างนี้ ตึกรามอีกมากมายที่หลายแห่งก็เปิดเป็นร้านขายอาหาร เข้ากับบรรยากาศ สองฟากฝั่งถนนยังเรียงรายไว้ด้วยร้านอาหารคาวหวาน ขนมนมเนยโบราณ ที่หาชิมได้ยากอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พลาดไม่ได้ "ร้านกาแฟราย็อง" ตรงหัวมุมถนนที่เป็นแหล่งชุมนุมของผู้มาเยือนด้วยอาหารว่างอร่อย ๆ กับหลากหลายเครื่องดื่ม กินไปนั่งชมบรรยากาศเมืองเก่าและของเก่า ๆ ในร้านไป สุโขสโมสรอย่าบอกใครเลยเชียวครับ
อาจจะด้วยความนิยมจากย่านเมืองเก่าระยองนี่เอง ล่าสุดก็เลยมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่สไตล์ย้อนยุค เกิดขึ้นอีกแห่งในเมืองระยอง อยู่ที่สี่แยกเกาะกลอย ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท. ตรงข้ามกับห้างบิ๊กซี สาขาระยอง ผมเองตอนแรกเลี้ยวเข้าไปในปั๊มก็ยังแปลกใจ เมื่อเห็นซุ้มประตูใหญ่ด้านในปั๊มมีป้ายชื่อเขียนไว้ว่า ตลาดเกาะกลอย เดินเข้าไปดูข้างใน ปรากฏว่าเป็นตลาดสร้างขึ้นมาใหม่ แต่สร้างในสไตล์ตลาดย้อนยุค ตัวตลาดเป็นห้องแถวชั้นเดียวเรียงรายแบ่งเป็นห้อง ๆ มีทางเดินกว้างใหญ่ปูด้วยไม้ยาวตลอดแนว
ร้านแรกเป็นร้านกาแฟแบบเก่า ในร้านจัดแบบย้อนยุค ประดับประดาด้วยพิมพ์ดีดโบราณ กล้องถ่ายรูปโบราณ มุมหนึ่งเป็นตู้โชว์แสดงสินค้าอุปโภคบริโภคจำพวกแชมพู สบู่ ยาสีฟัน มีแม้กระทั่งผ้าอนามัย สนุกเฮฮาตรงที่ได้เห็นสินค้าคุ้น ๆ บางยี่ห้อที่เคยเห็น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว อย่างสินไทย ที่มีทั้งยาสีฟัน ผงซักฟอก หรือยาสีฟันวาว
ร้านถัดไปแต่ละห้องก็จะขายสินค้าแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเลียนแบบย้อนยุค มีทั้งของเล่นขนมนมเนย เสื้อผ้า ข้ามสะพานไปก็จะเป็นส่วนของร้านอาหาร เป็นห้องแถวไม้ชั้นเดียวเหมือนกัน แน่นอนครับ อาหารก็เป็นอาหารคาวหวานแบบไทย ๆ ที่มีขายตามตลาดโบราณนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมหม้อแกง ไอศกรีมโบราณ และขนมไทยอีกมากมายชนิด ช่วงที่ผมมาเดินเที่ยวยังเห็นป้ายเชิญชวนร่วมงานฉลองครบรอบ 1 ปีของตลาดแห่งนี้ด้วย แสดงว่าก็ได้รับความนิยมไม่น้อยอยู่ ใครผ่านไปผ่านมาทางนี้ก็ลองแวะดูแล้วกันนะครับ เข้าท่าดีเหมือนกัน
จันทบุรี วงรอบท่องเที่ยวสายใหม่ เลียบชายทะเล
เมื่อก่อนเอ่ยถึงการเที่ยวทะเลตากอากาศ ผมเองไม่ค่อยนึกถึงจันทบุรี ด้วยความที่ชายทะเลแถบนี้ไม่ค่อยมีหาดทรายยาว ๆ สวย ๆ ที่พักริมทะเลอะไรก็ไม่ค่อยมีกับเขา แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ ตั้งแต่มีการตัดถนนเฉลิมบูรพาชลทิต สายเลียบชายทะเลจันทบุรี ถึงแม้จะไม่ทำให้มีหาดทรายสวยขึ้นมาได้ แต่ก็ช่วยให้การเที่ยวทะเลจันทบุรีน่าสนใจขึ้น เพราะขับรถเที่ยวได้แบบเป็นวงรอบ วงเดียวเที่ยวได้ครบ เพราะถนนตัดเลียบไปตามชายฝั่งทะเลจันทบุรี หาดคุ้งวิมาน อ่าวคุ้งกระเบน หาดเจ้าหลาว อ่าวหมู อ่าวยาง ไปจนกระทั่งถึง แหลมสิงห์ ที่มีหาดทรายสำคัญของเมืองจันท์ อันเป็นที่ตั้งของ ตึกแดง และ คุกขี้ไก่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์
เมื่อเชื่อมเข้ากับทางหลวงหมายเลข 3 ก็จะกลายเป็นวงรอบเมืองจันท์ ที่ผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทกิจกรรมอย่าง โอเอซีส ซีเวิลด์ วัดวาอารามก็มีทั้ง วัดมังกรบุปผาราม หรือ วัดเล่งฮกยี่ ที่งดงามอลังการแบบจีน และ วัดชากใหญ่ ที่ในบริเวณดารดาษไปด้วยประติมากรรมเรื่องราวในพระพุทธศาสนา ขนาดมหึมานับร้อย ประเภทโบราณสถานอย่าง ค่ายเนินวง พิพิธภัณฑ์พาณิชย์นาวี เมืองเพนียด ไหนจะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติประเภทน้ำตก ซึ่งมีถึง 2 แห่ง 2 บรรยากาศ คือ น้ำตกคลองนารายณ์ อันเงียบสงบเป็นธรรมชาติ ต่างไปจาก น้ำตกพลิ้ว ที่อยู่ไม่ไกลกัน ซึ่งครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยว
สะพานเฉลิมพระเกียรติ ที่ทอดข้ามปากน้ำแชมหนู และ สะพานตากสิน ซึ่งทอดตัวยาวข้ามปากน้ำแหลมสิงห์ อันเป็นส่วนหนึ่งของถนนสายเฉลิมบูรพาชลทิตเอง ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปในตัวด้วย ในช่วงเช้าและเย็น ผมชอบขับรถขึ้นไปจอดรถรับลมเย็นจากมุมสูงบนสะพานทั้ง 2 แห่งนี้แหละครับ เห็นท้องทะเลและกระชังปลา ตลอดจนเรือประมงที่แล่นเข้าแล่นออกได้ไกล ท่ามกลางทิวทัศน์ท้องทะเลสีครามแบบรอบทิศทาง 360 องศา บนเส้นทางเลียบทะเลสายนี้ ยังมีที่พักมากมายผุดโผล่ขึ้นตามชายทะเลจันทบุรี ไม่เน้นที่กิจกรรมชายหาดหรือการลงไปเล่นน้ำ แต่เน้นที่การตกแต่งประดับประดาในแบบบูติกรีสอร์ต และบรรยากาศพักผ่อนกินลมชมวิวทะเลเป็นหลัก ดูเป็นเอกลักษณ์ เก๋ไปอีกแบบ
ชายทะเลเมืองจันท์จะว่าไปแล้ว รู้สึกว่าจะออกไปในแนวแปลก ๆ ประเภทหนึ่งเดียวในเมืองไทย ไม่เหมือนใคร และก็ไม่มีใครเหมือน จากจันทบุรี หนทางของเราก็มาสุดปลายชายทะเลตะวันออกที่จังหวัดตราดครับ จังหวัดนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อลือชาก็คือ เกาะช้าง ซึ่งเป็นเกาะใหญ่อันดับสองของประเทศไทย
บนเกาะมีหาดทรายขาวใสสวยอยู่ 3 หาด จำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนผมมาทำงานอนุสาร อ.ส.ท. ครั้งแรกก็ไปประเดิมที่เกาะช้างนี่แหละครับ เกาะยังคงสวยใสสะอาด เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด มีรีสอร์ตอยู่ไม่กี่แห่ง บรรยากาศเงียบสงบ ทางบางส่วนยังเป็นลูกรัง นั่งสองแถวไปที่ที่ทำการอุทยานฯ ลงจากรถมายังหัวแดงเป็นฝรั่งไปตาม ๆ กันเพราะฝุ่นบนถนน ล่าสุดที่แอบไปดูมา ความเจริญเข้ามาเยือนเกาะข้างอย่างเต็มที่ มากมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสีสัน กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเล ที่ครึกครื้นของประเทศไทยไปอีกแห่งหนึ่ง
ทว่า ความสงบเป็นธรรมชาติเหมือนเกาะช้างในอดีตก็ยังคงหาได้ใน เกาะกูด ที่อยู่ห่างไกลออกไป บรรยากาศความสงบที่พบเห็นนั้น ละม้ายคล้ายกับเกาะช้างในอดีตไม่ผิดเพี้ยน เหมือนกับจำลองเอามา นอกจากหาดทรายสวยเงียบสงบหลายต่อหลายแห่งแล้ว บนเกาะยังมีน้ำตกผืนป่า และต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าขนาดหลายคนโอบให้ได้สัมผัส มาถึง เกาะกูด ก็ถือว่าสุดปลายทางทะเลตะวันออกแล้วจริง ๆ ครับ เพราะเป็นเกาะสุดท้ายในเขตราชอาณาจักรไทย เลยออกไปก็เข้าเขตน่าน้ำทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน
ความจริงทางหลวงหมายเลข 3 นั้น มาสุดที่ตราด ผมก็แถมให้เสียไกลไปถึงเกาะกูดโน่น การเดินทางมาตากอากาศทะเลตะวันออกของ ผมก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้ก่อน แน่นอนว่ายังมีครั้งต่อไป ตราบเท่าที่หน้าร้อนยังคงเป็นหน้าร้อน และที่สำคัญต้องไม่มีหิมะตกลงมานะครับ
คู่มือนักเดินทาง
หากต้องการให้เป็นเส้นทางย้อนยุคสถานตากอากาศอย่างแท้จริง ต้องใช้ทางหลวงหมายเลข 3 จากสมุทรปราการ ซึ่งผ่านสถานตากอากาศบางปู หนึ่งในสถานตากอากาศยอดนิยมในอดีต ก่อนตรงไปยังตัวเมืองชลบุรี
บนทางหลวงหมายเลข 3 จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวสถานตากอากาศทางทะเลในอดีตหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นอ่างศิลา หาดบางแสน จนถึงศรีราชา อันเป็นท่าเรือสู่เกาะสีชัง สถานตากอากาศคลาสสิกอีกแห่ง ก่อนจะเข้าสู่เมืองพัทยา เมืองท่องเที่ยวทันสมัยที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีเกาะล้านและหาดสวย ๆ หลายแห่ง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างปราสาทสัจธรรม อันเดอร์วอเตอร์เวิร์ล หมู่บ้านช้างพัทยา เมืองจำลองมินิสยาม ตลาดน้ำ 4 ภาค อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา พิพิธภัณฑ์ขวด ฯลฯ
ผ่านไปถึงสัตหีบ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหารให้เที่ยวชม ภายในฐานทัพเรือสัตหีบ ไม่ว่าจะเป็น เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร์ หาดเตยงาม หาดนางรำ และอ่าวดงตาล ศูนย์อนุรักษ์พันธ์เต่าทะเล พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ผ่านอำเภอบ้านฉาง เข้าสู่จังหวัดระยองอันเป็นที่ตั้งของเกาะเสม็ด สามารถแวะเวียนไปบริเวณชายฝั่งที่เรียงรายด้วยหาดแสงจันทร์ หาดแม่รำพึง หาดแม่พิมพ์ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง และแหลมแม่พิมพ์ ในเมืองยังมีย่านเมืองเก่าระยองให้เยี่ยมชมบรรยากาศย้อนยุค ในช่วงที่ไม่ได้มีงานก็จะมีตลาดนัดถนนคนเดินกัน ในช่วงเย็นวันศุกร์และวันเสาร์ในสัปดาห์แรกของทุกเดือน
จากระยอง ผ่านอำเภอแกลงและอำเภอนายายอาม เข้าสู่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งบนเส้นทางมีน้ำตกคลองนารายณ์ น้ำตกพลิ้ว วัดมังกรบุปผาราม และในตอนนี้มีถนนสายใหม่ ถนนเฉลิมบูรพาชลทิตเลียบชายฝั่งทะเลเมืองจันทบุรี สามารถเลียบเลาะหาดคุ้งวิมาน อ่าวคุ้งกระเบน หาดเจ้าหลาว ไปถึงหาดแหลมสิงห์ อันเป็นที่ตั้งของตึกแดง และคุกขี้ไก่ บรรจบกับทางหลวงหมายเลข 3 เป็นวงรอบได้ ผ่านอำเภอขลุงไปยังมีศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนลุ่มแม่น้ำเวฬุ เป็นแหล่งดูหิ่งห้อยและบ้านเหยี่ยว แหล่งอาศัยของเหยี่ยวนานาชนิด ทางหลวงหมายเลข 3 จะไปสิ้นสุดที่จังหวัดตราด อันเป็นจังหวัดสุดท้ายปลายทะเลตะวันออก
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ปีที่ 51 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2554
//travel.kapook.com/view27125.html