เมื่อตะวันยอแสง..เรี่ยวแรงก็เริ่มอ่อนล้า..พักลงตรงนี่ที่เดิมแล้วหลับตา..
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
21 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

ท่องกองถ่ายตำนานพระนเรศวร ชมความงามสุดอลังการแห่งอโยธยา-หงสาวดี

โดย ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อเข้าเขตเมืองหงสาวดีจะมีสิงห์คู่นั่งตระหง่านคอยต้อนรับ


เพลานั้นแดดจ้าร้อนแรงได้ใจ...แต่นั่นหาได้เป็นอุปสรรคใดๆไม่ เนื่องจากภาพที่เห็นไม่ใกล้ไม่ไกลในเบื้องหน้านั้นมันดูได้ใจมากกว่านัก เพราะนั่นคือเมืองจำลองของกองถ่ายภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”ของท่านมุ้ย(หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ผู้กำกับระดับอ๋องของเมืองไทย

หนังเรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างกว่า 700 ล้านบาท นับเป็นหนังเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปีที่ท่านมุ้ยใช้เวลาเก็บข้อมูลก่อนสร้างนานถึง 3 ปี แล้วต่อด้วยการการสร้างภาค 1 กับภาค 2 อีกนานถึง 4 ปี

หลังจากชมตำนานพระนเรศวรฯจบไป 2 ภาค นอกจากเลือดรักชาติจะพลุ่งพล่านเฝ้ารอชมภาคสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ฉากต่างๆในเรื่องนี้ที่ดูสวยงามวิจิตรตระการตาและยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ว่าจะเป็น บ้านเรือน เมือง วัด วัง ท่านมุ้ยไปหาโลเกชั่นที่ไหนถ่ายทำหนังกันหนอ!?! เข้าไปถ่ายทำถึงพม่าเลยหรือเปล่า!?! เอ...แต่ว่ารัฐบาลทหารพม่าเขาจะยอมหรือ!?! ฯลฯ

พระประธานในโบสถ์วัดมหาเถรคันฉ่อง


แล้วคำถามต่างๆเหล่านี้ก็มลายหายสิ้นไปในทันทีที่เราได้ย่างก้าวเข้าเขตของกองถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เพราะบรรดาฉากอันงามโอ่อ่าวิจิตรที่เห็นในตำนานพระนเรศวรส่วนใหญ่ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในที่นี้ทั้งนั้น โดยกองถ่ายแห่งนี้สร้างบนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ บริเวณกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทางทีมงานผู้สร้างได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองกาญจน์ ตั้งแต่ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 50 เป็นต้นมา

โดยฉากต่างๆเหล่านี้ใช้เทคนิคการสร้างสมัยใหม่ที่ให้ความเสมือนจริงยิ่งนัก สิ่งก่อสร้างใดหากเป็นโครงสร้างหลักก็จะใช้ของจริงเช่นเสาไม้ เสาปูน หลังคามุงแฝก มุงกระเบื้อง รวมถึงอุปกรณ์เข้าฉากหลายๆชิ้นที่ท่านมุ้ยเลือกใช้ของจริง แต่หากเป็นสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆโตๆหรือเป็นวัสดุที่บ่งบอกถึงความเป็นปูน เช่น เจดีย์ รูปปั้นสิงห์ ระฆัง ก็จะใช้โฟมฉีดทำขึ้นมาส่วนถ้าเป็นพวกลวดลายประดับ อาวุธ หรือข้าวของที่แสดงถึงความเป็นไม้ก็จะใช้“ยางอีร่า” ยางชนิดพิเศษที่แข็งแกร่งทนทานขึ้นรูปได้เหมือนจริงสร้างมันขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นของจำลองที่ทำเลียนแบบขึ้นมา แต่ว่าด้วยความปราณีตของท่านมุ้ยที่เก็บทุกเม็ดในรายละเอียดและความยอดเยี่ยมของทีมงานก็ทำให้ฉากเหล่านี้ดูงดงามปานเนรมิตยังไงยังงั้น

สำหรับจุดเที่ยวชมในกองถ่าย แบ่งจุดเที่ยวชมเป็น 11 จุดด้วยกัน แต่จากที่เราสังเกตพบว่ามีจุดสำคัญอยู่ 4 จุดหลักด้วยกันคือ วัดมหาเถรคันฉ่อง เมืองหงสาวดี เมืองอโยธยา และท้องพระโรงหงสาวดี โดยตามจุดหลักๆ จะมีการติดตั้งทีวีไว้อธิบายฉากและอธิบายความ อีกทั้งยังมีทีมงานเฝ้าประจำเพื่อคอยตอบคำถามต่างๆที่เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆและการถ่ายทำ ซึ่งถึงแม้ว่าใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้แต่เมื่อมาเจอกับฉากอันอลังการทั้งหลายแหล่ ต่างก็อดที่จะตะลึงพรึงเพริศไม่ได้ ส่วนใครที่เคยดูหนังมาแล้วเมื่อได้เข้ามาเที่ยวกองถ่ายแล้วนึกภาพตามก็จะยิ่งได้อรรถรสในการเที่ยวมากขึ้น

กุฏิท่านมหาเภรคันฉ่อง


วัดมหาเถรคันฉ่อง

จากจุดจำหน่ายตั๋วหรือจุดเริ่มต้น “ผู้จัดการท่องเที่ยว”เดินฝ่าเปลวแดดอันร้อนระยับไปทางกำแพงเมืองหงสาวดีที่ด้านนอกมีคูน้ำล้อมรอบส่วนด้านในมีสิงคู่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ภายใน แต่ว่าเรายังไม่รีบร้อนต่อการเข้าสู่เขตแดนของพม่ารามัญ เพราะเราเลือกที่จะแวะชมตลาดโยเดียที่อยู่ทางฝั่งตรงข้ามของเมืองหงสาฯก่อน

ตลาดโยเดียเป็นการจำลองชุมชนโบราณที่พม่ากวาดต้อนเชลยจากที่เมืองต่างๆมาอยู่รวมกัน ทั้งสยาม มอญ และจีน(ทำให้ที่แห่งนี้มีศาลเจ้าจีนด้วย) ที่นี่ถือเป็นฉากเปิดตัว“ไอ้บุญทิ้ง” หรือ “ออกพระราชมนู”ในวัยเด็กที่ดูหวือหวาน่าตื่นเต้นไม่น้อย

ถัดจากตลาดโยเดียไปก็เป็นวัดมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งหลายๆคนยอมรับว่าบทนี้พี่เอกสรพงษ์ชาตรีเล่นได้โดนใจยิ่งนัก โดยเฉพาะในภาคแรกนี่ พี่เอกโดดเด่นจนขโมยซีนใครต่อใครหลายๆคนไปหน้าตาเฉย
มหาเถรคันฉ่องท่านเป็นคนมอญ เพราะฉะนั้นวัดมหาเถรคันฉ่องย่อมเป็นวัดมอญที่ในอาณาบริเวณวัดดูน่ายลไปด้วยงานศิลปกรรมแบบมอญอันสวยงาม วัดจำลองแห่งนี้มีการแบ่งพื้นหลักออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนโบสถ์และส่วนกุฏิ

พระแสงปืนต้นในห้องเก็บสิ่งล้ำค่า


สำหรับโบสถ์นั้น ถือเป็นฉากเปิดตัวของท่านมหาเถรคันฉ่องแบบง่วงๆในภาคแรก เพราะท่านเล่นเปิดตัวด้วยการนั่งสับปะหงกแบบไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จนไอ้บุญทิ้งที่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อโวยออกมาก่อนจะถูกปากะโหลกไป 1 ดอก

โบสถ์แห่งนี้ เป็นโบสถ์โล่งไม่มีผนัง แต่ว่าก็น่ายลด้วยพระประธานแบบมอญที่ตั้งเด่นเป็นสง่าดูไม่ต่างจากพระพุทธรูปจริงเลย ซึ่งพระประธานองค์เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกองถ่ายที่ทางทีมงานได้ไปกราบไหว้สักการบูชากันไม่ได้ขาด

จากส่วนของโบสถ์ที่ตั้งอยู่กลางวัด เราเดินถัดไปด้านข้างเพื่อชมส่วนของกุฏิกันบ้าง กุฏิแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งฉากสำคัญ ที่ภายในใช้เป็นที่จำวัดของท่านมหาเถรคันฉ่อง เป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป รวมถึงยังใช้หน้ากุฏิเป็นที่เฆี่ยนองค์ดำยามทำผิดด้วย โดยถัดจากตัวกุฏิไปทางด้านใน เป็นห้องเก็บของล้ำค่า ซึ่งมีพระแสงของ้าวและพระแสงปืนต้นอยู่ในนั้นด้วย แต่ว่าเขาจัดแสดงไว้แบบให้ดูแต่ตา มืออย่าต้อง เพราะของจะเสีย อีกทั้งหากใครเผลอไผลไปจับต้องเข้าบางทีอาจจะถูกดวงวิญญาณท่านมหาเถร(องค์จริง)เฆี่ยนให้ก็เป็นได้



เมืองหงสาวดีเมื่อมองไปออกไปจากสีหสาสนบัลลังก์


เมืองหงสาวดี

หลังเพลิดเพลินในวัดมหาเถรฯพอหนำใจแล้ว เราออกจากวัดเดินย้อนกลับมาทางเดิม ก่อนที่จะขึ้นสะพานข้ามคูเมืองมุ่งหน้าเข้าสู่กำแพงเมืองหงสาวดีที่จัดว่าเป็นดังไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเดินพ้นกำแพงเมืองเข้าสู่เขตพม่ารามัญจำลอง สิ่งอันชวนสะดุดตาจุดแรกก็คงจะหนีไม่พ้นสิงห์คู่ที่นั่งตระหง่านขนาบซ้าย-ขวา ตรงปากทางเข้า

ถัดเข้าไป 2 ฝากฝั่งซ้าย-ขวาจะเป็นศาลาแบบพม่าจัดแสดงภาพนักแสดงคนเด่นๆของหนังเรื่องนี้ จากนั้นเส้นทางได้ทอดยาวเข้าสู่สีหสาสนบัลลังก์ อันเป็นท้องพระโรงที่พระเจ้าสิบทิศบาเยงนองหรือบุเรงนองก่อนที่นันทบุเรงจะมารับช่วงต่อหลังพระเจ้าสิบทิศสิ้นพระชนม์

ท้องพระโรงแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการของกษัตริย์พม่ารามัญ และยังใช้เป็นสนามประลองไก่ระหว่างไก่เชลยขององค์ดำกับไก่ของมังสามเกียดในภาคแรก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วไก่เชลยชนะกลายเป็นตำนานอมตะไปตลอดกาล


สีหสาสนบัลลังก์อันงดงามในเมืองหงสาวดี


สีหสาสนบัลลังก์จำลองแบบมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์ ในประเทศพม่า ที่นอกจากจะใช้ถ่ายฉากสำคัญๆหลายฉากแล้ว ยังเป็นท้องพระโรงอันสุดแสนจะงดงามวิจิตรในศิลปะแบบพม่า ทั้งองค์บัลลังก์ ลวดลายประดับ ลวดลายเสา รวมไปถึงอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆที่งามจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือของทำเลียนแบบเลย

นอกจากงานสถาปัตยกรรมแบบพม่าอันวิจิตรแล้ว ที่สีหสาสนบัลลังก์ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่สนใจได้ เลือกแต่งตัวเลียนแบบตัวละครที่เด่นๆในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรด้วย(แต่ต้องเสียตังค์นะ) แน่นอนว่าหากเป็นฝ่ายชายก็คงจะหนีไม่พ้น พระนเรศวร แล้วก็ตามด้วยออกพระราชมนู ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นมณีจันทร์ และแม่นางเลอขิ่น

งานนี้“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไม่ยักกะเห็นว่าใครจะสนใจแต่งเป็นออกยาจักกรี(รับบทโดย ไพโรจน์ ใจสิงห์)บ้าง โดยเฉพาะตอนตัวเปล่าเล่าเปลือยแสร้งเป็นทำทีว่าหนีกองทัพพม่าว่ายน้ำเข้ามาเป็นไส้สึกในอโยธยา ซึ่งหากใครเกิดนึกอยากแต่งก็ไม่รู้ว่าทางทีมงานเขาจะมีชุดนี้ในฉากนี้ให้หรือเปล่า เพราะจะว่าไปเกิดมีคนนึกอยากเลียนแบบออกยาจักกรีในฉากนี้ขึ้นมา รับรองว่าต้องเกิดภาพที่อุจจาดตากันบ้างล่ะ

ส่วนที่ถือว่าเป็นการพลิกอารมณ์อย่างฉับพลันก็เห็นจะเป็น บรรยากาศคุกใต้ดินทางด้านซ้ายของท้องพระโรง คุกแห่งนี้ใช้เป็นที่คุมขังเชลยเมืองคังที่แม่นางเลอขิ่นนางรองต้องมาถูกจองจำอยู่ในคุกแห่งนี้แบบหมดสภาพเจ้าหญิงแห่งเมืองคัง

พระที่นั่งสรรเพชรปราสาทงามวิจิตรไม่เป็นรองใคร


อโยธยาศรีรามเทพนคร

จากกรุงหงสาฯ มีเส้นทางทอดยาวเข้าสู่กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งแน่นอนว่าไฮไลท์ในดินแดนแห่งนี้คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท อันงดงามวิจิตรเทียบเคียงได้กับท้องพระโรงสีหสาสนบัลลังก์หรืออาจจะงามมากกว่านั้นอีกหากมองกันแบบชาตินิยม แต่เป็นความงดงามแบบศิลปกรรมไทยที่เน้นในรายละเอียด ความลงตัวสมส่วน และลวดลายประดับต่าง โดยเฉพาะลวดลายเทพพนมและลายครุฑที่แบกบัลลังก์ไว้นี่งามสุดยอดทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีทวารบาลแบบศิลปะขอมตัวโตกว่าคนหน่อย ยืนทำหน้าตาขึงขังอยู่ในนี้ด้วย

สำหรับผู้ที่อยากจะชมปราสาทหลังนี้แบบเต็มๆทั้งหลัง อาจจะต้องผิดหวัง เพราะที่นี่ทำให้ชมเฉพาะภายในเท่านั้นเพื่อเป็นการลดต้นทุน(ในหนังใช้เทคนิคซีจีช่วย) ด้วยเหตุนี้ก็อย่าได้แปลกใจไปว่าหลังคาของปราสาทหลังนี้ทำไมจึงทำด้วยโครงอลูมิเนียม ส่วนใครที่อยากชมพระศรีสรรเพชรปราสาท(จำลอง)แบบเต็มๆทั้งหลังให้ไปชมกันได้ที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ

นอกจากไฮไลท์อย่างพระที่นั่งสรรเพชรฯแล้ว ในกรุงอโยธยาจำลอง ยังมีกิจกรรมขี่ช้าง นั่งเกวียน ขี่ม้า ให้อาหารช้าง เป็นกิจกรรมเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันด้วย


ลวดลายครุฑประดับ ณ พระที่นั่งสรรเพชรฯ


ท้องพระโรงหงสาวดี

ออกจากกรุงอโยธา จุดต่อไปถ้าหากเดินก็ค่อนข้างไกล แต่หากนั่งรถกอล์ฟ(ฟรี)ที่ทางกองถ่ายมีไว้บริการก็แป๊บเดียว โดยระหว่างทางจะผ่านเมืองพระพิษณุโลกและหมู่บ้านอโยธยาให้เราได้ชมผ่านๆกันพอหอมปากหอมคอ

จากนั้นรถกอล์ฟได้นำมาจอดยังท้องพระโรงหงสาวดี จุดสำคัญจุดสุดท้ายที่แม้ภายนอกจะดูเป็นโรงถ่ายธรรมดา แต่ว่าภายในกลับวิจิตรเพริศแพร้วไปด้วยงานศิลปกรรมแบบพม่าที่ท่านมุ้ยได้ทำการถอดแบบมาอย่างละเอียดเนี๊ยบนิ๊ง สะกด“ผู้จัดการท่องเที่ยว”และนักท่องเที่ยวคนอื่นๆให้ต้องมนต์กันเป็นทิวแถว จนหลายๆคนกดรัวชัตเตอร์กล้องกันไปหลายต่อหลายแชะ

ท้องพระโรงหงสาวดีที่รวมศิลปกรรมแบบพม่าอันงดงาม


ก่อนอำลาจากกองถ่าย เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งของที่นี่บอกกับเราว่า เหตุที่ทางทีมงานเก็บฉากต่างเหล่านี้ไว้ นอกจากผลด้านการท่องเที่ยวแล้ว ก็อยากจัดไว้เป็นสถานที่ศึกษาและเป็นคติเตือนใจแก่คนไทยรุ่นหลัง โดยเฉพาะสาเหตุของการเสียกรุงฯครั้งแรกนั้น ไม่ได้มาจากสาเหตุที่คนไทย เมืองไทย และพระมหากษัตริย์ไทยในยุคนั้นอ่อนแอ หากแต่มาจากการที่คนไทยบางคน(ออกยาจักรี)ที่เห็นแก่ตัวละโมบโลภมาก ได้กระทำการคิดคดทรยศต่อชาติบ้านเกิดของตัวเอง (แอบ)เปิดประตูเมืองให้พม่าข้าศึกเข้ามาตีอโยธยาจนเป็นเหตุของการเสียกรุงฯในครั้งนั้น


ศิลปกรรมแบบพม่าอันงดงามที่ท้องพระโรงหงสาวดี


“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ฟังคำของเจ้าหน้าที่สาวผู้นั้นแล้วก็รู้สึกได้ใจยิ่งนัก เพราะในยุคนี้ พ.ศ.นี้มีชายหน้าไม่กลมบางคนกำลังทำตัวคล้ายกับออกยาจักรี คือนอกจากจะคิดคดทรยศขายชาติแล้ว ยังเปิดประเทศให้ทุนต่างชาติเข้ามายึดกิจการภายใน อีกทั้งยังไปจ้างลอบบี้ยิสต์ต่างชาติให้มาบอยคอตประเทศไทย

ส่วนเขาคนนั้นคือใครหนอ???...เราเชื่อว่าหลายๆคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว


************************************************************

หมายเหตุ : เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้ อ้างอิงจากกองถ่ายและภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงอาจจะมีข้อเท็จจริงบางประการคลาดเคลื่อนจากข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ไปบ้าง

กองถ่ายทำภาพยนตร์“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ตั้งอยู่ในกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหย้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ส่วนการขี่ม้า-นั่งช้าง (2คน)-นั่งเกวียน(5-6คน)ชมเมือง รอบละ 300 บาท สอบถามการเดินทางและรายละเอียดการเข้าชมกองถ่ายได้ที่ โทร. 0-3453-2057-8

ทั้งนี้โปรแกรมเที่ยวกองถ่ายถือเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางท่องเที่ยว 3 จังหวัด อยุธยา สุพรรณฯ และเมืองกาญจน์ ตามรอยสมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) โทร. 0-2270-150-8


ขอขอบคุณข้อมูลจากเวป ผู้จัดการค่ะ






 

Create Date : 21 มิถุนายน 2550
3 comments
Last Update : 7 กรกฎาคม 2550 21:52:22 น.
Counter : 9664 Pageviews.

 

อยากไปดูด้วยตัวเองซักครั้งนึงจังเลยค่ะ คงดีไม่น้อยเลยทีเดียว

 

โดย: umi_chan (umi_chan_2 ) 22 มิถุนายน 2550 16:15:45 น.  

 

อยากไปดูด้วยตัวเองซักครั้งนึงจังเลยค่ะ คงดีไม่น้อยเลยทีเดียว

 

โดย: umi_chan (umi_chan_2 ) 22 มิถุนายน 2550 16:15:45 น.  

 

ชอบ bloggang จัง สร้าสวยอยู่ ชอบอะ

 

โดย: เอกสิทธิ์ IP: 27.130.123.132 5 ตุลาคม 2554 20:45:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สาว17
Location :
ลูกสาวเมืองสิงห์ Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Color Codes ป้ามด







เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว
มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ
เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว
มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ
ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย
ดูอย่างต้นไม้ซิ
มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล
มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ
เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี
อดทนและอดทน
เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา
เพราะเมื่อเวลามาถึงทุกสิ่งจะดำเนินไป
ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่มีสุข








Free Hit Counter ทีเว็บมาสเตอร์ รวมพลคนทำเว็บ
Google
New Comments
Friends' blogs
[Add สาว17's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.