พฤศจิกายน 2552

1
2
3
4
5
9
10
11
12
13
15
17
18
19
20
22
24
25
27
28
29
 
 
All Blog
หมอเถื่อน ณ บ้านไพร ตอนที่ 18


กลุ่มคนมากกว่ายี่สิบคน ซึ่งเดินบุกตะลุยเข้าไปพงหนาทึบ มีเสียงพูดคุย เสียงเอะอะ ตะโกนหากันลอดออกมาอยู่ตลอด ป่าทั้งป่าไม่เคยเงียบเลย ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ล้วนฝากร่องรอยเหยียบย่ำ รอยหักล้างกิ่งไม้ ใบหญ้าจนเป็นเทือกทาง ทั้งฝูงสัตว์ ลิง นกต่างแตกฮือไปตามทิศทาง เป็นจุดสังเกตุอย่างดี

ไล่หลังมาห่างๆ มีร่างเงาคนกลุ่มหนึ่งคอยหลบๆซ่อนๆ แอบสะกดตามร่องรอยนั้น คล้ายฝูงหมาป่าไล่เนื้อตามเหยื่อไม่ให้รู้ตัว แต่ก็พอห่างๆ ด้วยไม่ประสงค์ดีของพวกมัน

“จ่าบะลูๆ ผมส่งวิทยุตติดต่อกอง บก.ของทหารกะเหรี่ยงพุทธ ตามคำสั่งแล้วครับ”ลูกน้องคนหนึ่งทำลายความเงียบมาเบาๆ ขณะหยุดยืนรายงานวิทยุ หลังต้นสักใหญ่ พวกมันหลบอยู่หลังแนวไม้ขณะมองตามหลังคณะเพทย์อาสาเห็นหลังไกลๆไปประมาณห้าสิบเมตร

“ดีมาก”เสียงดังงเหี้ยม หลุดออกมา จากเจ้าคนที่ถูกผ้าพันแผลจนรอบกว่าครึ่งศีรษะ มีเลือดชึมออกมาแดงฉาน เส้นเลือดฝอยในดวงตาข้างที่ไม่ถูกผ้าปิด เพ่งมองภาพกลุ่มคนเป้าหมาย ความคั่งแค้นมันทะลักออกมาจากดวงตา แสยะริมฝีปากอันน่าเกลียดตอบลูกน้องทันใด“ให้เจ้าถิ่นเขาจัดการไปก่อน ส่วนเราก็คอยคุมเชิงอยู่เบื้องนอกก็พอ”

ลูกน้องคนนั่นพูดรายงานออกมาต่อด้วยท่าทีหวาดๆ“ในวิทยุเขาสั่งให้เราติดตามและรายงานข่าวมาเรื่อยๆด้วยนะจ่า”

เจ้าหน้าบากถึงกับหันกลับมามองลูกน้องด้วยไฟอารมณ์“ชิชะ! ไอ้พวกนี้มันกล้าสั่งพวกเรา ทหารรัฐบาลเลยเรอะ!”อารมณ์โกธรกริ้วของทหารร่างใหญ่ ผู้ปราชัยย่อยยับ จากเมื่อก่อนกลางวันยังคงคั่งค้าง แม้จะรักษาชีวิตคืนมาได้ แต่ก็มีความอัปยศอดสู ทำได้แค่เพียงทุบกำปั่นหนักๆ เข้าที่ต้นไม้หลังกำบังไพร เฝ้ามองศัตรูเหมือนคนขลาด พ้นลมหายใจหอบแรงพยายามคุมอารมณ์ของตนให้อยู่แต่พอหันไปมองสภาพลูกน้อง ที่เหลือล้วนสะบักสะบอม อิดโรย อาวุธก็ไม่มีในมือ หัวใจของนักรบแทบไม่เหลือ

มีคนหนึ่งร้องทักด้วยอารมณ์หวาดๆเดินเข้ามาใกล้อย่างโผเผ“จ่า... เราอย่าต่อกรอะไรกับไอ้พวกนี่อีกเลย ไอ้พวกนี่มันเป็นคนเผ่าว้าล่าหัวคน ในป่าพวกว้ามีแค่มีดเล่มเดียว มันก็ล่าหัวเราได้แล้ว โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นมีไอ้เสือดำอยู่ด้วย เราตายแน่ๆถ้าไปยุ่งกับมัน เลิกเถอะจ่า”

ดวงตาอันเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยนั่นถึงกับ“หุบปาก!...”ชัดด้วยหลังมือเต็มๆจนเจ้าคนนั่นกระเด็น เซถลาเป็นนกปีกหัก การต้องสูญเสียลูกน้องไปถึงสี่คน ความแค้นจึงเพิ่มทวีคูณ

เอาเท้าเหยียบอกคนทำลายขวัญ

“โอ๊ย!...จ่าอย่าทำโผมม...”

“ฉันจะฆ่าพวกมันทั้งหมดแกได้ยินไม่!...”

ว่าแล้วก็ใช้เท้าหนักๆกระทืบซ้ำบนยอดอก ชี้หน้าตะโกน ระบายเพลิงโทสะเหมือนกระทิงป่า หันซ้ายหันขวามองคนอื่นด้วยดวงตาลุกวาว ลูกน้องแต่ละคนต่างรีบถอยกรูดออกห่างไม่คิดไม่คิดโต้แย้งอีก

“โอะโอ้ย!...”ร่างสูงใหญ่ถึงไหวสั่นเซปัดเป๋ เอามือกุมแผลซึ่งเย็บกว่ายี่สิบเข็ม ร้องโวยวายหายาแก้ปวดทันที มีคนหนึ่งรีบนำถุงยามาใส่ในอุ้มมือ แล้วถอยกรูดเพราะกลัวลูกหลง

“นี่มัน”จ่าหน้าบากถึงกับจ้องนิ่งงัน

ซองยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ที่หมอหน้าขาวคนนั่น ยัดมาให้พร้อมทั้งย้ำให้กินตามคำสั่งในสลาก ซึ่งเขียนเป็นภาษาพม่าให้เรียบร้อย หมอผู้ชายที่ดูอ้อนแอ่นผู้เป็นคนเย็บแผลให้ และยังพูดอย่างแผ่วเบาหวานให้รักษาตัวให้ดี

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ในโลก” จ่าคิด มันทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะเมื่อนึกถึงเค้าหน้างามโสภาผิดแผกแต่ว่า เขา เป็นชายเท่านั้น

มือขย้ำถุงยา เพ่งมองและเงยหน้ากรอกตาไปมา แล้วก้มมองอีกครั้ง คิดสับสนในอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะกระสับกระส่ายอีกครั้งด้วยอาการปวดแผล อารมณ์ร้อนแรงเมื่อครู่พลันดับวูบลง จนลูกน้องที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆเกิดความสงน





พื้นลาดชันกว่า ๕๐ องศา อุดมไปด้วยต้นไม้ตระกูลยางอันสูงกว่าห้าสิบเมตรและมีขนาดโคนต้นใหญ่มาก แผ่กิ่งก้านสาขาจนเหมือนหลังคาคลุมป่า ถัดลงมาก็เป็นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางซึ่งสามารถขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ได้ ต้นไม้ตระกูลปาล์มอันรกทึบ ไม้ล้มลุก ระกำ หวาย ไม้ไผ่ต่างๆอันมีหนามแหลมคมอันตรายต่อเนื้อหนัง สีเขียวของมอสและเฟิร์นที่ขึ้นปกคลุมลำต้นของไม้เล็กใหญ่ ก้อนหินแต่ละก้อนล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวทึบ เถาวัลย์อันมากมายระเกะระกะ มองแล้วไม่น่าอำนวยในการเดินเลยสักนิด

เกตุเอามือปาดเหงื่อตามใบหน้า เป่าปาก หอบจนตัวโยน หันไปจ้องตาขุ่นๆที่แผ่นหลังเล่าอูเหมือนระแวงว่าจะได้คำสั่งจากนายสัณฑ์ให้มาแกล้งพวกเธอรึเปล่า แต่พอหันไปเจอหมอกฤษณ์ยืนหายใจหอบแฮ่กๆ เอาผ้าซับเหงื่อที่ไหลไม่หยุดก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่

“ขอโทษครับนาย”เล่าอูหน้าแห้ง กลืนน้ำลายอึก เหงื่อซึมผุดหน้า หันมาพูดกับหมอด้วยท่าทีสำรวม

“ขอโทษจริงๆ ที่ต้องพานายลำบากเร่งเดินมากันขนาดนี้ ทางก็เดินยากอีกต่างหาก นายสัณฑ์แกสั่งไว้น่ะครับ ว่าให้เราตัดป่ามุ่งมาที่นี้ให้เร็วที่สุดแล้วมันก็ผิดเส้นทางที่เราจะไปตั้งแค้มป์เสียด้วย

หมอก้มเอามือทั้งสองจับเข่าอันสั่นกระทบกัน “ไม่เป็นไรผมทนได้” ผิวหน้าอ่อนๆของหมอเห็นเลือดฝาดแดงกล่ำเหนื่อยเอามากๆจนผู้ช่วยอภิรักษ์เข้ามาประคองให้ยืน ผู้ช่วยเองก็แทบกลืนไม่ลง หายใจไม่ทัน ต้องอ้าปากถามเร็ว

“แล้วนายของเราล่ะ เขาบอกด้วยรึเปล่า? ว่ามีเรื่องอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น ถึงต้องเร่งเดินกัน?ขนาดนี้ มันเกี่ยวกับเสียงปืนที่ได้ยินมาแว่วๆหรือเปล่า” อภิรักษ์ชี้นิ้วขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งอยู่สูงขึ้นไปไม่มากนัก

“เออ แฮะๆ” เล่าอูไม่ตอบ มัวแต่ทำสีหน้าเก้อ เกาหัวแกรกๆ

ผู้กองหาญศึกเดินมาใกล้โดย เอามือยันต้นกะบากทรงตัวจากพื้นอันลาดชัน“คุณหมอครับ ผมจะให้ทองปาขึ้นไปบนเนิน ผูกเชือกส่งลงมาให้ แล้วเราค่อยไต่เชือกนั่นกันขึ้นไป มันจะดีกว่าเพราะ พวกเราแต่ละคนเวลานี้ กำลังขาคงจะไม่ไหวแน่ๆ”เขากล่าวเสียงเกือบหอบ

“อือ ใช้ครับ”หมอพยักหน้าตอบรับโดยเร็ว

เพราะหันไปดูแต่ละคน ที่พิงตัวไปกับต้นยางขาว ต้นมะไฟบ้างต่อสู้กับความลาดชัน หน้าซีดเหงื่อโทรมไปตามๆกัน มีก็แต่ยอดหญิงนักกีฬากับรุ่นน้องทั้งสาม ซึ่งกำลังฮาเฮชุลมุนปีนเก็บลูกมะไฟป่าที่ออกผลกันกันเป็นพรืด บนต้นเท่าลำแขน อันกำลังโยกไหวโครมครามทำท่าจะหักเอา ที่แต่ละกิ่งก้านออกลูกดกเป็นพรืดยังกะดอกชัยพฤกษ์อันเหลืองอร่ามไปทั้งต้น

เกตุร้องเสียงแหลม ถือกิ่งไม้โดดเหยงๆไล่ตี “เจ้าพวกบ้า! ลงมาเดี๋ยวนี้นะ! ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง...”พวกนายคงเลยปีนสูงขึ้นไปอีก หาญศึกเห็นเข้ารีบตะโกนกวักมือเรียกไหวๆ ให้เธอหยุดทำเรื่องต่อหน้าหมอ

ยอดนักกีฬาสาวเดินหน้ามุ้ยกลับมาทันที“ไม่ไหวๆเจ้าพวกนี่ น่าอายแทนชะมัด” ทิ้งกิ่งไม้ หันไปชะเง้อมองเจ้าพวกลิงค่างบนต้นอย่างอารมณ์เสีย กลับไปรวมกับทุกคนด้วยทาทางเเข็งแรงเหมือนเดิม

“ขอโทษพี่หมอแทนพวกนั่นนะคะ”เธอยิ้มกว้างเมือมาถึง

“ไม่เป็นไรจ๊ะ”หมอยกมือโบกปัดกับเรื่องเล็กน้อยขณะเอาผ้าซับเหงื่อ

“พวกเขาคงกินไม่อิ่มจากตอนมื้อเที่ยง ปล่อยพวกเขาอย่างนั้นไปเถอะ น้องเกตุอย่าไปดุพวกเขาเลยนะ”

หาญศึกคว้าเอวบางของหล่อนเอาไว้ รวมกับทุกคน มองตามพรรคพวกซึ่งกำลังปีนขึ้นไปเพื่อผูกเชือก นั่นน้าทองปาจะทำอะไร เกตุถามขณะจะตามขึ้นไปด้วยอีกคน คนร่างสูงใหญ่อันยืนเป็นหลักพิงเพียงบอกว่าไม่ต้องแล้ว กระชับร่างบางของนักกีฬาสาวไม่ให้ห่างตัว เพราะพื้นลาดชันอย่างมากไม่ใครก็ใครหากกำลังขาไม่พอตอนนี้อาจกลิ้งตกลงไปได้ทุกเมื่อ



“วู้ๆๆ”

ทุกคนต้องหันขวับไปกับเสียงอันดังแสบแก้วหู พอเงยหน้ามองขึ้นข้างบนก็เห็นหน้าดำๆเต็มไปด้วยหนวดเคราของใครคนหนึ่ง ชะโงกหน้าออกมา แล้วเล่าอูตะโกนโต้ตอบ กลับขึ้นไป คนๆนั่นเดินลับหาย จากเหลี่ยมมุมไปไม่กี่วินาที จากนั้นก็มีเถาวัลย์ถูกเหวี่ยงลงมาเส้นยาวเฟื้อยปลายจรดถึงพื้น ทองปาซึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนหน้าผา พลันหันกลับมองลง หาญศึกพยักหน้าให้เขาปีนขึ้นไปทำการผูกเชือกตามเดิม

“นายสัณฑ์!!”

พวกนายคงบนต้นมะไฟชะเง้อคอมองเหมือนฝูงลิงเจอเสือ ก่อนที่พวกมันจะวูบลงไปกับต้นไม้ เสียงเฮ้ยๆโวกว๊าก!... ตื่นตกใจกันใหญ่เพราะต้นไม้กำลังเอนลง รากค่อยๆถอนขึ้นเพราะทนรับน้ำหนักไม่ไหว ล้ม ครื้น!... จนแม้ฝูงลิงที่แอบมองหลบคน จากบนต้นไม้เงียบๆ ถึงแตกกระเจิง โดดเกาะไปตามยอดไม้ สั่นไหวโครมคราม ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก! ลั่นป่า น้ำขังบนใบไม้ร่วงกราวเป็นฝน ตกมาใส่ทุกคนเบื้องล่างจนเปียกไปตามๆกัน ทำเอาลูกพี่อย่างเกตุหน้าแตก ทนไม่ไหว หันวิ่งกลับไปคว้าหินมาหลายก้อน ระดมคว้างปาใส่ไม่ยั้ง

“นี่แนะๆเจ้าพวกบ้า! ไม่อายเค้าบ้างรึไงฮ้า!...”อารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้หญิงดีเดือด ที่พอห้ามแล้วไม่ฟังก็ใช้กำลังทันที พวกลิงนอนขดแอ้งแม้ง ใต้ต้นไม้ทับ กลายเป็นเป้าอย่างแม่นยำ ร้องอุบ! โอ๊ยๆพยายามเอามือปิดตัวปิดหน้ากันพัลวัน จนมีใครคนหนึ่งมาห้ามไว้

ใครคนนั่นคว้าข้อมือเธอหมับ

“อย่าทำอย่างนั่นนะเกตุ” เสียงทุ่มนุ่มของหมอกฤษณ์ที่ขยับมาขวาง จนใบหน้าใกล้กันจนชิด เขาส่ายหน้าเบาๆว่าอย่าทำอย่างนั้นนะ

“เออ...แฮะๆ”ปล่อยผละก้อนหินจากมือ หลบสายตา อายม้วนเพราะลืมไปว่ามีพี่หมออยู่ด้วย

หมอยิ้มมองค้างอยู่ครู่หนึ่ง กุมมือเธอไว้ก่อนยกขึ้นมาระดับอก พูดสั่งสอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

“ไม่เอานะไม่เอา” ดวงตาสีฟ้าสดใสตามพันธุกรรมอารยันของเขา ที่ประสานสายตากับหญิงสาวไว้ เหมือนมีอำนาจสะกดจิตใจได้

“เราเป็นผู้หญิง ไม่ควรทำกิริยาอย่างนั่น มันไม่งามเลย พี่ขอเถอะนะ”

“น้องแค่สั่งสอนพวกมันนิดหน่อยเอง เดี๋ยวจะทำรุ่มร่ามอีก เออ...”น่าขายหน้าชะมัด เธอคิดอย่างนั้น เบียนหน้าหลับตาปี๋ใกล้อ้อมอกของเขา คิดจนหน้าแดงเพราะไปทำรุ่มร่ามซะเองต่อหน้าคนสำคัญอย่างพี่หมอ จะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีต่อหน้าพี่เค้ารึเปล่าก็ไม่รู้

ระหว่างที่เกตุกำลังอ้ำๆอึ้งๆต่อหน้าหมอกฤษณ์ อภิรักษ์ได้ปลีกไปปรึกษากับพวกเล่าอูสามคนซึ่งกำลังยืนมอง อุปสรรค์ตรงหน้า นิ้วชี้โน่นชี้นี้ปรึกษาเรื่องการขึ้นไปบนเนิน เพราะมันอุดมไปด้วยเครือเถาของไม้หนามอันแหลมคม เช่นไม้หวาย ต้นสีเสียด การปีนไต่เชือกยังไงก็อาจโดนหนามพวกนี่เกี่ยวอยู่ หนึ่งในนั้นหันมาขอพูดกับนายหมอ

“นายหมอครับ”เสียงแทรกขึ้นของนายจะงอย ชายร่างเล็ก อายุประมาณสามสิบปี อีกหนึ่งคนในคณะฯ

“พวกผมกับเล่าอูจะถากทางขึ้นไปให้ก่อน บนเนินมีหนามหวายค่อนข้างมาก ไต่ขึ้นไปทันทีคงไม่ได้แน่ครับ” หมอกฤษณ์เอามือจับคาง หันไปพิจารณาตามนั่น มองเนินดินอันอุดมไปด้วยเครือหวาย

“ได้ซิ แต่ระวังตัวด้วยนะ”หมอพยักหน้าเป็นการตอบรับ นายจะงอยตอบ”ครับ”อย่างสุภาพกับผู้เป็นนาย แว้งตัวกลับโดยมีนายตะบันชายร่างใหญ่บึกบึนอีกคน ผู้มีหน้าดำๆเป็นมันมะเมื่อง ดวงตาแข็งกร้าว ดุดัน ในมือถือมีดเดินป่ากรุกรีใบใหญ่ยาวกว่า ๑๒ นิ้ว สันหนาเป็นเงาวาว เอี้ยวตัวกลับไปแต่ไม่วายหันมามองนายทหารไทยด้วยตาแข็งๆอยู่แวบหนึ่ง





ในระหว่างที่รอพวกนั่นฟันไม้เลื้อยเปิดทางขึ้นไป ผู้กองหาญศึกก็เข้ามาพูดคุยด้วยท่าทีสนิทสนมและเสนอตัวเข้าช่วยอีกแรง“คงไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี่เอง เอาไว้ทางข้างหน้าเราคงต้องอาศัยพวกคุณบ้างแน่ๆ”หมอตอบโดยที่ตายังมองคนของตน

“ว่าแต่ว่า... คุณหมออึดกว่าที่พวกผมคาดไว้ซะอีกนะครับ เจอทางขนาดนี้เข้า ยังเห็นเฉยๆขนาดพวกผมเป็นทหารอาชีพแท้ๆยังเต็มกลืนเลย” คำพูดอย่างเอาใจของนายทหารได้ยินไปถึงหูพวกลูกน้องนายสัณฑ์ พวกต้องหันมาเหล่ตามองอยู่เป็นระยะ

“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง”หาญศึกกอดอกด้วยท่าทางกระปรี่กระเปร่า แววตาชื่นชมคนตรงหน้า

“คุณหมอเก่งมากนะครับ ที่สามารถรวบรวมคนเหล่านั้น มาร่วมเป็นคณะแพทย์อาสาได้ ฝีมือในการต่อสู้ของพวกเขาพอๆกับทหารเจนศึกเลย”



หมอกฤษณ์หันมาตอบรับด้วย

“ถูกต้องครับ พวกเขาเคยเป็นทหารมาจริง บางคนเคยทำหน้าที่ทหารเสนารักษ์มาก่อนด้วยซ้ำ เลยทำหน้าที่ได้อย่างคล่องแคล้ว แต่อาจดูแข็งกร้าวในสายตาของคุณไปบ้างคงเข้าใจนะครับ พวกเขาเป็นคนแบบแข็งๆแต่ก็จริงจังกับการทำงานนะครับ” หันมาสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากอิ่มได้รูป นัยน์ตาคู่สวยวาวหวามเป็นประกาย เมื่อมองมาทางเขาทำเอานายทหารถึงจังงัง หลบหันข้างมายืนคอแข็ง ทำตาพอง

“เออ...ต้อง ต้องขอบคุณหมอนะครับ ผมไม่รบกวนล่ะ เดี๋ยวผมกับทองปาจะจะช่วยถากทางขึ้นไปด้วย”

หาญศึกรีบตัดบท ลุกลี่ลุกลน เมื่อเผอิญสบตาของหมอกฤษณ์จังๆ ในใจเกิดเต้นตุ่มๆต่อมๆ ยังไงชอบกล รีบจ้ำอ้าวขึ้นเนินและกวักมือเรียกทหารพรานทองปาที่ยังเก้ๆกังๆคอยอยู่ขึ้นไปด้วย

เกตุเข้ามาเกาะเเขนพี่หมอต่อ มองตามหลังร่างสูงใหญ่“พี่หาญศึกแกเป็นอะไรไปนะ ไม่อยู่ๆก็มาชวนคุย แล้วก็เดินหนีไปเองดื้อๆไม่เข้าใจเลยเนาะพี่หมอ” มองหลังร่างใหญ่ฉกรรจ์อันกำลังไต่เนินขึ้นไปงุดๆไม่มองหลังอีกเลย แหวกพงรกเปิดทางไปเอง โดยไม่สนเชือกเถาวัลย์ของพวกนายสัณฑ์

หมอหน้าสวยหันมาจับมือเกตุ และมองข้ามไหล่เธอส่งสัญญาณให้ทุกคนเดินทางต่อได้

“เอาละถึงตาพวกเราขึ้นไปได้แล้ว”เสียงกระซิบแผ่หวาน

“คะ พี่หมอ”เธอทำหน้าจริงจังอีกครั้ง

ชายหนุ่มหน้าสวย ผู้ทำให้ผู้กองหาญศึกเกิดกระอักกระอวลใจ หันความสนใจมาที่หญิงสาวข้างตัวบ้าง เธอยิ้มตอบรับอย่างเป็นสุข ทั้งหมดจึงเริ่มไต่เนินขึ้นไป อันเป็นช่วงสุดท้ายแล้วสำหรับวันนี้ โดยอาศัยเชือกเถาวัลย์เส้นเขื่องขนาดข้อมือ ซึ่งถูกมัดปลายต่อๆกันหลายท่อน ยอดนักกีฬายืนเบ่งมองเนินสูงเบื้องหน้าอยู่ชั่วแวบหนึ่ง แล้วก็ผงกศีรษะ หันกลับมาทางหมอ กฤษณ์

“ปีนเนินแค่นี้ น้องเคยปีนอยู่บ่อยๆคะ ตอนเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมปีนหน้าผาจำลองยังดูบากกว่านี้เลย พี่หมออยู่ใกล้ๆน้องไว้นะคะ”เกตุพูดปลอบใจ
หมอตาลุก ดวงตาสีฟ้าใสหันมาจ้อง ก่อนขยับเข้าคว้ากุมมือของหล่อนเขย่าด้วยความชื่นชมยิ่ง ปากก็ชมเชยไม่หยุด จนเธออายบิดไปมาอย่างสุดขวยเขิน ตอนหลังนี้เป็นพี่หมอเองที่เข้ามาใกล้ชิดกับเธอตลอดเลย จนรู้สึกใกล้ชิดกันมากเหลือเกิน

กฤษณ์แหงนคอมองเหมือนจะลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่พอเห็นทุกคนพร้อมก็ตัดสินใจในฉับพลันนั้น“เอาล่ะ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว เราก็เริ่มขึ้นไปได้”หมอพูดเสียงดังอย่างกล้าหาญ

เล่าอูเกาะห้อยต่องแต่ง อยู่กลางทางเนินสูงตะโกนมา“นายครับ! นาย สังเกตดูที่ตอไม้เล็กๆที่พวกผมฟันไว้ให้ดี เอาเท้าเหยียบยันเอาไว้แล้วแล้วก็โหนตัวเหนี่ยวพยุงขึ้นไปที่ละขั้น อย่างที่เจ้าจะงอยมันทำอยู่ตอนนี้ ไม่ต้องกลัวว่าเชือกเถาวัลย์จะขาด มันเหนียวพอจะรับน้ำหนักคนเป็นสิบได้อย่างสบาย แต่ต้องระมัดระวังหน่อย เส้นเถามันออกจะลื่น”

เกตุพอยืนฟังอยู่ด้วย รีบเอาถุงมือหนังมาสวมอย่างมีไหวพริบไม่ต้องกลัวว่ามือจะลื่น ยิ้มอย่างเข้มๆตามวิสัยนักสู้ มองสูงขึ้นไปแม้ใบหน้าจะซีดขาวไปบ้างจากความเหนือยอ่อน“ไม่เท่าไหร่น่า”เธอหันมายิ้มผงกศีษะให้พี่หมอสร้างความเชื่อมั่น

เกตุขอเป็นผู้นำขึ้นไปก่อน โหนเชือกใช้เท้าเหยียบก้อนหินงอก แล้วกัดฟันรวบรวมกำลังส่งตัวโผนขึ้นไป เอาเท้าอีกข้างเหยียบตอไม้เล็กๆ เท่าหัวนิ้วเท้า ที่ถูกพวกเล่าอูตัดฟันไว้ ด้วยท่าทางลีลานักปีนเขา หมอกฤษณ์ตามรอยเท้ามาอย่างรวดเร็วโดยโหนเชือกเส้นเดียวกัน



พอไปได้สักครึ่งทาง“เอ้า! ส่งมือมาคะพี่หมอ ตรงนี้มันมีตะไคร่น้ำ ลื่นมากด้วย”

“ไม่ ไม่เป็นไรจ๊ะเกตุ น้องดูแลตัวเองก่อนพี่ช่วยตัวเองได้!”

โผล่ขึ้นไปเหยียบหน่อหินก้อนหนึ่ง อันเขียวคล่ำด้วยตะไคร่น้ำ แล้วยังส่งมือลงไปให้หมอกฤษณ์ ฉุดดึงกันขึ้นมาอย่างขลุกขลัก พลังงานในส่วนพิเศษนี่ที่ทำให้เธอมีกำลังขึ้นอีกครั้ง มือจับเชือกโหนตัวขึ้นไปอีกอย่างปราดเปรียว เท้าช่วยส่งถีบยันเป็นแรงส่ง พอเงยหน้าก็เห็นหลังหาญศึกกำลังโหนตัวอยู่สูงเหนือขึ้นไปอีกเพียงไม่กี่วา

ความเหนื่อยความตรึงเครียดจากเรื่องร้ายๆมาถึงสองเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน มันสะสมและมาออกฤทธิ์เอาในตอนนี้เอง นักกีฬาสาวที่ต้องอ้าปากค้างอย่างพยายามสูดเอาออกซิเจนเข้าไป อย่างไม่รู้จักพอเพราะต้องต่อสู้กับแรงดึงดูดของโลก เธอปีนล่ำห่างทุกคนออกไปทุกที พยายามไล่ตามหาญศึกให้ทัน

เกตุมาหยุดนิ่งๆอยู่กึ่งกลางของเนินสูง เพราะรีบสาวไต่เชือกขึ้นมาอย่างเร็วจนหมดกำลัง ยามนี้หน้าของเธอซีด ปากสั่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลย้อยหยดจากผิวหน้าไม่หยุด เพราะรู้ว่ากำลังของตัวมาถึงที่สุดแล้ว มือจับเถาวัลย์เหมือนว่ามันจะลื่น และตัวก็กำลังไถลลงมาที่ละน้อยอย่างคุมไม่อยู่ ในใจที่กำลังบอกว่าแย่แล้วทำไงดี

มองไปข้างบนไปเล็กน้อยเห็นหาญศึก กำลังขยับปากเหมือนจะตะโกนอะไรบางอย่าง แต่หูของเธอไม่ได้ยินเพราะมันลั่นอื้อไปหมด หาญศึกก็กำลังกระเทิบเข้ามาใกล้พยายามส่งมือมาให้เธอ แต่ภาพทุกอย่างมันกำลังมืดลงทุกที

“เกตุ!! ทำใจดีๆไว้”หาญศึกตะโกนเสียงหลง

ทุกคนที่กำลังปีนตามขึ้นมาถึงกับชะงัก เพ่งมองไปที่ร่างของหญิงสาวเพียงจุดเดียว ร่างนั้นกำลังโงนเงน สองมือทำท่าจะคลายจากเชือกไปทุกขณะจิตแล้วอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ของการล่วงหล่นลง มันย่อมหมายถึงการหล่นล่วงลงไปปะทะกับแง่หินแหลมซึ่งตั้งชันรอรับอยู่เบื้องล่าง ที่ไต่ขึ้นมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

“อย่าเพิ่งเป็นลม!... พี่กำลังจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แล้ว...”เสียงร้องละล่ำละลักของหาญศึกเพราะมีแต่เขาที่อยู่ใกล้พอจะช่วยเธอได้ ร่างของเกตุอยู่ห่างอีกเพียงปลายนิ้ว แม้พยายามเอื้อมมือไปจนสุดแล้ว ไม่มีแง่หิน รากไม้ที่จับยึดอันจะส่งตัวให้เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ชะตากรรมของหญิงสาวผู้กำลังจะร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา

“ปรี๊ด!!...”

เสียงเป่าปากแหลมดังของนายสัณฑ์ ผู้ชะโงกหน้ามองลงมาจากบนเนินหินผาอย่างท่วงทันเวลาพอดี เสียงเสียดแก้วหูนั้นมันปลุกประสาทคนได้ดีนัก เกตุสะบัดหน้าเร่าๆเหมือนตื่น โดยที่สองมือยังเกาะกุมเชือกไว้มั่น รอดจากการเป็นลมหวุดหวิด พอเงยหน้าไล่ตามเสียงซึ่งปลุกเธอไว้นั้น ก็เห็นหน้าดำๆของใครคนหนึ่ง ยื่นโผล่จากขอบชาน พอตั้งสติมั่นก็เห็น ชายคนนั้นยิ้มยิงฟันมา ฟันแต่ละซี่ขาวจนสะท้อนแสงอย่างเด่นชัด

“นายสัณฑ์!” เกตุหรี่ตาข้างหนึ่งมองอย่างแทบไม่เชื่อสายตา เจ้าคู่ปรับตัวฉกาจโผล่หน้ามาตอนนี่ได้ไง

แล้วดู...นั้นเจ้าแว่นดำ มันกำลังเชิดหน้ายิงฟันยิ้ม แต่เอียงหน้าใช้หางตาชำเลืองมองมา อกกระเพื่อมขึ้นลงคล้ายกำลังหัวเราะลงมา อย่างคนเหนือกว่า

รี่ตามอง คิ้วขมวดจนชนกัน“หนอย!” กัดฟันกรอดสองมือกำเชือกแน่นทันที

เจอเติมเชื้อเพลิงความโกธรเข้าให้ แค่เห็นเจ้าคู่ปรับโผล่หน้ามาเยาะเย้ย ในสำนึกของเธอใบหน้าของคนกวนประสาทมันลอยละล่อง รุมหัวเราะเยาะ อยู่เต็มไปหมด

“กล้าดียังไงมาขโมยบราฯของฉัน ไอ้คนทุเรศ... รอก่อนเจ้าเคราดำฉันจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละ พอขึ้นไปแม่จะอัดให้แว่นแตกเลย...”เสียงตะคอกออกมาเป็นคำๆไต่เดี๊ยะขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่สติยังไม่กลับมาดี

ฝ่ายคนหน้าเป็นข้างบน ซึ่งหมอบคลานกับขอบผา มองลงมาพอเห็นเข้าก็ขำกลิ้ง นอนกลิ้งเกลือกไปกับพื้นทันที

“ก๊ากๆๆ ขำจริงๆ โอ้ย!โอ้ย!... แม่เจ้าประคุณ ทำตลกอะไรขนาดนี่ ไม่ได้ขำอะไรมาขนาดนี้เลย”มนุษย์ชอบกวนโทสะทำสำเร็จอีกครั้ง

ลากคอเสื้อลูกน้องไปชะโงกดู“เล่าอูดูซี... นายดูนั้น ยัยเด็กบ๊องทำหน้ายังกะลูกแมวกำลังโกธรครางหึมๆเลยวะ ฮ่าๆ”

เล่าอูหัวหัวเราะไม่ออก“นายเราเล่นพิเรนทร์ทั้งกะปี” อีกคนไม่ขำ นั่งหน้าแหย พยายามเรียกปลุกพ่อคนเส้นตื่น

สัณฑ์ทำเสียงขรึมลุกขึ้นมานั่ง“มีปัญหาอะไรเหรอ ตาเล่าอู...” ขยับแว่นดำให้ชิดดั้ง ในกรอบแว่นปรากฏภาพใบหน้าเด๋อด๋าบวมกลมของพรานขี้เหล้า

เล่าอูต้องถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนพูด“ก็ เรื่อง ที่ต้องวิ่งกันจนลิ้นห้อยมาที่นี้ตามคำสั่งของนายไงละ นายถามได้”

พลันรอยยิ้มของคนมีนวดเคราหุบลงทันที ท่าทีอันตลกคะนองได้เปลี่ยนมาเป็นนิ่งเฉย ปากหุบฟันลง จนนิ่งและน่ากลัวอันเป็นบุคลิกอันแท้จริง

“พลตะเวนของกะเหรี่ยงคริสต์ไปเจอเอาทหารกะเหรี่ยงพุทธจนเกิดการยิงปะทะกัน”สัณฑ์พูดอย่างเครียดขรึม

“แล้วผลละครับนาย”เล่าอูถึงกับเปลี่ยนสีหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนั่น

อีกฝ่ายถึงกับแยกเขี้ยวด้วยความโกธร ลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น แสยะริมฝีปากพูห้าวดัง“กะเหรี่ยงคริสต์ถูกฆ่าตายหมดเพราะอีกฝ่ายมีมาถึงหนึ่งกองร้อย”

“หะหา!...นะนายว่าอะไรนะ??ทหารกะเหรี่ยง ตั้งหนึ่งกองร้อย!...”

“ยัง ยังหรอก ไอ้ที่แย่ก็คือพวกทหารรัฐบาลพวกที่เราปล่อยไป มันดันไปเข้าพวกกับทหารกะเหรี่ยงพุทธ พันธมิตรของพวกมัน แล้วเรื่องที่พวกเรารับทหารไทย หรือคนของทางการไทยเข้ามาก็แดงขึ้น ผิดข้อตกลงที่พวกมันสั่งห้ามไว้เด็ดขาด ว่าห้ามพวกเรารับคนนอกเข้ามาไม่งั้นจะถือว่าเป็นไส้ศึก”

“หมายความว่าเรากำลังถูกตามล่า!รึนาย”เล่าอูรีบถาม

“ใช่ เราถูกตามล่า”

“ว่าแล้ว! ว่าแล้วเซียว!... ลางไม่ดีตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านแล้ว เราจะทำไงดี นายสัณฑ์ พวกทหารกะเหรี่ยงมันไม่เอาเราไว้แน่”

“ใจเย็นอย่าพึ่งเสียงดังไป”เขาชี้นิ้วไปข้างล่างแล้วบุ้ยใบ้ว่าห้ามเสียงดังเพราะกลัวหมอกฤษณ์ได้ยินไปด้วย

เล่าอูต้องส่ายหัว แววความกังวลออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด“เพราะพวกผู้กองหาญศึกแท้ๆ เราผิดข้อตกลงนำคนนอกเข้ามาก่อน พวกนั่นต้องไม่ปล่อยเราไว้แน่”

สัณฑ์เหมือนจะหัวเราะทีหนึ่ง มองลูกน้องผู้ตีตนไปก่อนไข้

“มันก็แค่ข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น เจ้าพวกนี่ต้องการกำจัดฉันมาตั้งนานแล้วละถ้าโอกาสอำนวย สงสารก็แต่พวกหมอๆกับเด็กพวกนั่นจะต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ความจริงเรื่องของเรื่องคือ...พวกมันต้องการพื้นที่ชายแดนฝั่งนี่ที่เราดูแลอยู่ โดยเฉพาะเจ้านายพลยี่เส มันต้องการตลาดชุมสิงของฉัน เอามาร่วมหุ้นกับนายทุนฝั่งไทยเปิดบ่อนกาสิโนขึ้นที่นั่น เพราะได้ข่าวว่าทางการไทยจะพัฒนาชายแดนฝั่งตรงข้าม โดยตัดถนนเข้าใกล้เพื่อทำแหล่งการค้าเสรี”

“นายมีแผนจะรับมือพวกกะเหรี่ยงแล้วเหรอ" เล่าอูถาม

สัณฑ์สบัดหน้า ปากบื้อใบ้ กลางมือ

“ไม่มีแผน เฮ้อ...”

ความครุ่นคิดอย่างหนักปรากฏแก่สีหน้ามือขวาคนสนิททันที เล่าอูห่วงใยแผ่นดินเกิดของเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องการให้กลุ่มอิทธิพลใดๆมาแผ่อำนาจ มาสร้างความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงแถบนี่

นายสัณฑ์เคราดำเข้าชิดตัว รวบคอเล่าอูมากระซิบ “ให้ฉันตายก่อนแล้วพวกมันก็เอาแผ่นดินไป” พยักหน้าแล้วยิ้มให้อย่างที่เข้าใจกันดี

คำพูดทุกอย่างมันตีบตันไปหมด กะเหรี่ยงโปว์อย่างเขารู้ว่า "ชายคนนี้" พูดจริงทำจริงไม่ได้ขี้เล่นเหมือนภาพภายนอก คนเดียวที่เสี่ยงตายถ่วงเวลาให้ทุกคนหนีมาโดยไม่คำนึงถึงความเป็นตายของตนเอง แม้เรื่องถึงขนาดนี้ก็ยังปิดเงียบ จะมีก็แต่เขาคนเดียวที่รู้ คนๆนี้แม้ตายก็ไม่ขอคำสดุดีจากใคร

“นายครับ”พูดเสียงสั่นเครือ

“เฮ้ย! อย่าร้อง มันน่าเกลียดชิบ ไปๆ”

ร่างขมุกขมอมพลิกลุกขึ้นเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ที่เล่าอูเห็นริ้วรอยบาดแผลน้อยใหญ่ สบักสบอมไปทั้งร่างกาย จากการรับศึกหนักคนเดียว ก็แทบน้ำตาไหล หลายปีมานี้นายสัณฑ์ไม่เคยกินอิ่ม นอนหลับสักมื้อ กรำกับการทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คณะฯ จนผอมบักโกรก ไอ้เรื่องที่ไปค้าสมุนไพรนั้นมันแค่บังหน้า ความจริงคือไปปราบโจรผู้ร้าย ที่มันจะเป็นอันตรายต่อคณะแพทย์ของหมอกฤษณ์ บุกเบิกเส้นทางที่ปลอดภัยให้เรื่อยมา แม้เวลานี้ก็ยังปิดบังไม่ยอมให้หมอกฤษณ์เห็นร่างอันบอบช้ำ เพราะไม่ต้องการให้รับรู้ เหตุอันร้ายกาจฉกรรจ์ แต่จะแบกรับไว้ผู้เดียว

มีแต่เล่าอูคนเดียวเท่านั้นที่รู้

สัณฑ์กวักมือคนสนิทให้รีบไปจากขอบผา พวกข้างล่างกำลังไต่เถาวัลย์ขึ้นมาถึงแล้ว สองนายบ่าวเดินเคียงกันไปปรึกษากันไป สู่ใต้ร่มเงาใบบัง ใต้แผ่นผา ปากถ้ำใหญ่ตระหง่านเบื้องหน้า

“นาย แน่มากนะครับ คนเดียวสกัดพวกมัน จนถ่วงเวลาให้พวกเรามาถึงที่นี้ได้ เยี่ยมจริงๆ”เสียงสั่นเครือตาแดงมองไปที่นาย

สัณฑ์หัวเราะเบาๆเอามือตบบ่าลูกน้อง“ไม่หรอก ฉันแค่ใช้ ระเบิดเคโม สักสองสามลูกคอยสกัดมันไว้ก็เท่านั้น ไม่ได้บู๊มากซะหน่อย”



“ฟู่!” เสียงหายใจเฮือกใหญ่ครางฮือๆของบางคนที่กว่าจะมาถึง อาการหายใจออกทางปาก หอบฮัก แต่ไม่วายตาพาลรีพาลขวางค้นหาเจ้าคู่อริซึ่งหายไปแล้ว

หาญศึกคลานพ้นขอบผาตามมาติดๆ“ไง คนเก่ง”กรากเข้ามาจับบ่าค่ำไว้ ก่อนที่ร่างของเกตุจะลงไปนอนแผ่หลาอย่างหมดแรงเมื่อมาถึงที่หมาย

“เรานะมันสำคัญจริงๆนะ ขนาดตัวคนเดียวยังเต็มกลืน แล้วยังอุตสาห์ไปช่วยหมอเขาอีก”หาญศึกส่ายหัว แค่นหัวเราะออกมา ทั้งที่ตัวเขาเมื่อกี่ก็ อกสั่นขวัญแขวนไปเหมือนกัน

“รายนั่นนะ เค้ามีคนคอยช่วยอยู่แล้ว สำคัญตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”หาญศึกหัวเราะ หึๆ หันไปมองหมอกฤษณ์ที่ขึ้นมาถึงแล้วอย่างสบายเพราะมีเล่าอู กับอีกหลายๆคนช่วยต่อๆกันจนถึงฝัง

เกตุดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือมาลูบเรือนผมอันฟูกระเซิงให้เข้ารูปอย่างไว้มาด ทำเสียง “ฮึ!”ในลำคอ หางตามองหาญศึกอย่างค้อนๆแวบนึ่ง

“โถจิ๊บๆแค่นี่เนี๊ยะน้องบ่หยั่นหรอก...” ฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้ง ปากซีด มาดยอดนักกีฬาทีมชาติจะให้มาเสียฟอร์มเอาตอนนี่ได้ไง เอามือยันหัวเข่าลุกขึ้นยืนอย่างเต็มผงาดอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องตัวงอเอามือกุมท้อง เสียงท้องร้องเพรียกหาอาหารดัง “โอ๊ก...”ต้องรี่ตาข้างหนึ่ง ซีดด์ ปากเพราะหิวสุดทนต้นเหตุข้อหนึ่งที่ทำให้เกือบเป็นลม

รู้งี้กินลูกมะไฟป่าไปกับพวกนั้นก็ดีหรอกไม่น่ามาแอ๊กท่าอยู่เลยเรา เกตุคิด

อีกฝ่ายชี้นิ้วหยอยๆไปที่ขาคู่สั่นของเธอ

“แล้วทำไม เรา ขาสองข้างของเรามันถึงสั่นละหึ”หาญศึกแหนมเข้าให้ เอามืออุบ! กลั้นหัวเราะจนแก้มป้อง

ตาพองขึ้นทันที“พี่หาญใจร้าย! ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”กระทืบเท้า สะบัดหน้า วิ่งแจ้นไปทางหมอกฤษณ์ซึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมคนของเขา



“เฮ้อ...ให้มันได้อย่างงี้ซิ”หาญศึกได้แต่ส่ายหัว คิ้วตกก้มหน้าถอนหายใจก่อนเงยขึ้นมา นั่งเอามือเท้าคาง มองไปยังร่างของเด็กสาว ที่วิ่งลิ้วไปเกาะแจอยู่กับนายของคณะแพทย์อาสา ด้วยลักษณะอันแข็งแรงร่าเริงเช่นเดิม

ดูท่าจะติดกันมากจริงๆ เขาคิด

“เพิ่งจะเห็นยัยตัวยุ่งเป็นผู้หญิงกะเขาก็วันนี้แหละ จริงๆเลยนะหมอกฤษณ์นี้ เสน่ห์ร้ายกาจจริงๆ”หาญศึกนึกคิดทบทวนเรื่องของเกตุ ภาพความทรงจำถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในอดีต ที่มักจะไปมีเรื่องต่อยตีกับเด็กผู้ชายไปทั่วทั้งซอย เป็นหัวโจกพิทักษ์คุณธรรม มีเด็กผู้ชายเป็นลิ่วล้อห้อยตามสองสามคนซึ่งก็เหมือนพวกนายคงตอนนี้ นิสัยห่ามๆเหมือนเด็กผู้ชาย ทั้งๆที่มีแม่เป็นคนอ่อนโยนเรียบร้อยซึ่งเกตุไม่มีข้อนี้เลย แต่กลับไปถ่ายทอดเอานิสัยดุร้ายมาจากผู้เป็นพ่อมาจนหมด

สามคนแม่ลูกซึ่งครอบครัวของเขาอุปถัมภ์ไว้ และอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน คิดๆไปแล้วคุณแม่ของเกตุนั้นสวยมากจริงๆ จนบางครั้งแอบคิดว่า เธอเป็นเมียน้อยพ่อของเขาและเกตุอาจเป็นน้องสาวต่างแม่ก็เป็นได้

รอยยิ้มอันปรากฏอยู่ที่มุมปาก บนใบหน้าอันหล่อเหลาของนายทหารหนุ่ม เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองไปยังแม่น้องสาวต่างสายเลือด“เสียดายรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่ทุกอย่างแต่ นิสัยนี้สิ” พึมพำกับตนเองหาญศึกลุกขึ้นยืนอย่างเต็มสัดส่วนสูงใหญ่ คว้าเอาหมวกผ้ามาตบปัดตามขากางเกง เสื้อผ้า จนฝุ่นดินร่วงกราว จัดหมวกให้กับเข้าศีรษะอีกครั้ง ปากก็ขมุบขมิบกับคำพูดประโยคสุดท้าย

“หวังว่าน้องคงไม่ผิดหวัง เลือกผู้ชายไม่ผิดนะ อือม์คงใช่น่ะ”เรื่องวุ่นวายเล็กๆในหัวของยอดทหาร

“ช่วยด้วย ผู้กอง!”ยืนเหม่อไม่ถึงครึ่งวินาที ก็ต้องสะดุ้งโหยง หันเหะหะมองซ้ายขวาเบื้องเท้าแล้วก็เห็น

“จ่าแจ๋ว!...”

เสียงเอ็ดดังอย่างตกใจลืมตัว ผู้กองลืมไปเลยว่ายังมีพรรคพวก กำลังไต่ตามขึ้นมา รีบก้มตัวลงเอามือฉุดดึง บัดนี้ตัวอันใหญ่โตเทอะทะของจ่ากำลังโผล่พ้นหน้าผามาได้ครึ่งตัว แต่ความที่น้ำหนักตัวมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมและพุงใหญ่ๆกำลังติดขอบผา

“อุบ! ช่วยด้วยเร็ว!ผู้กอง พวกเรากำลังจะตาย!อยู่แล้ว!!...”

เสียงตะโกนปลิมจะขาดใจของลูกน้อง หมู่แม็กและยังทหารพรานทองปาสองคนที่เอาไหล่เบ่งเสียง อื๊ดๆ ช่วยดันก้นอันมหึมาของจ่าส่งขึ้นไป ร้องละล่ำละลักให้ช่วยเพราะพวกเขากำลังจะหมดแรงอยู่มะรอมมะร่อ หาญศึกรีบจับสองแขนจ่า ออกแรงชักเย่อ ไม่กี่อึดใจก็ลากร่างอันใหญ่โตของจ่ามาพ้นอย่างทุลักทุเล มันหนักหนากว่าที่ตอนเกตุจะตกเขาเสียอีก

“ให้ตายสิจ่า ต่อไปต้องคุมเรื่องอาหารซะบ้างนะ”

ต้องปาดเหงื่อหนสองเรื่องยุ่งๆของผู้กองมันมีมากจริง จ่าก็ได้แต่หัวเราะเสียงค่อย นั่งจ่ำเบ้าเอามือลูบๆพุงที่ถูกคราดไปกับขอบผาเมื่อกี้ ก่อนจะยกก้นลุกยืนตามผู้กองไป



เกือบทั้งหมดได้ยืนอยู่ บนชานหินราบเรียบ พื้นที่ประมาณหนึ่งไร่ มีต้นไม้ยืนต้นแผ่กิ่งก้านปกคลุมจนมิด มีไม้ประเภทหนามมากมายแวดล้อมปิดชายขอบทีเห็นแสงด้านนอกรางๆว่าคือขอบผา พื้นที่ตรงนี้มันคือส่วนที่ยื่นล่ำไปกลางหน้าผา มีทางขึ้นแค่ทางเดียวคือที่ทุกคนขึ้นมา และในความมืดสลัวในป่าหย่อมๆแห่งนี้ ปรากฏโพรงปากถ้ำขนาดใหญ่ ซ่อนเร้นอยู่

ปากถ้ำอันกว้างใหญ่ขนาดเอาตึกสี่ชั้นสิบคูหาไปยัดใส่ได้สบายเพียงแต่มีรากไม้ย้อยลงมาพรางขนาดปากถ้ำจริงๆเอาไว้ แสงสลัวรางของหินสีขาวเรืองแสงชนิดหนึ่งเด่นจับตาตรงหน้า มีใครบางคนเอาไฟฉายกราดเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นเสาค่ำมหึมา มีหินงอกหินย้อย สะเก็ดแสงเพชรพราวมันระยิบล้อแสงไฟทุกที่อันไฟฉายกราดถึง ความกว้างใหญ่โอ่โถงขนาดให้คนเป็นร้อยมาพักอาศัยได้อย่างสบาย

ทันทีที่ก้าวขาใกล้เข้าไป สัมผัสอันเย็นยะเยือกของหินผาซึ่งสั่งสมความเย็นมาชั่วกาลนาน เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าคนนำไปเบื้องหน้าที่กำลังกราดไฟฉายวอมแวมสับสนไปหมด ความอ้างว้าง วังเวงเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ป่าช้าโบราณกระนั้น ได้ยินเสียงเหมือนของนายเต๊อะกำลังพูดกับพวกของเขาถึงประวัติของถ้ำนี้ เกตุถึงขนาดกางหูคอยเงี่ยฟังด้วยใจระทึก ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆ หญิงสาวผู้ไวกับเรื่องพวกนี้ถึงกับดอดเข้าเกาะแขนของคนร่างใหญ่อย่างหาญศึกหวังพึ่งอาศัย เพราะเรื่องที่ได้ยินมันชักไม่เข้าท่า

“แม่เจ้าโว้ย ลึกลับเสียจริงถ้ำนี้ ปากทางมีป่ากฐินยักษ์คลุมไว้ซะอีก ข้างบนก็เป็นรากไม้เถาวัลย์สะไว้สะอีก”ผู้กองส่องไฟมองเงยสูงอย่างสนใจยิ่ง

“มันเหมาะแก่กายหลบซ่อนภัยนะครับ รึจ่าว่าไง”หมู่แม็กพูด หันไปทางจ่าแจ๋ว

“อือม์ฉันก็ว่างั้น ขาเข้ามามันยากมากและก็คงมีทางเข้าทางเดียวแหละมันเหมาะแก่การป้องกันถ้าจะศัตรูตามมา”จ่าให้ความเห็นบ้าง

“ผมเห็นด้วยกับจ่านะ และมันจะต้องเกี่ยวข้องกับที่คณะแพทย์อาสาเร่งเดินทางมานี้อย่างเอาเป็นเอาตายแน่ มันเหมือนกับเรากำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่เลยนะ” คำพูดดังๆของนายทหารเหมือนจะจงใจให้คนอื่นได้ยินเพื่อมาตอบคำถามแล้วนายเต๊อะก็หันมาทางพวกเขาจริง

“ถูกแล้วครับคุณหาญศึก”เต๊อะเจ้ากะเหรี่ยงผู้นำทางมาแต่แรก เดินเข้ามา กล่าวขึ้น

“มีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ไม่งั้นนายสัณฑ์กะน้าเล่าอูไม่เร่งเดินทางขนาดนี้แน่แถมยังออกนอกเส้นทางอีกตะหาก”

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันแต่ที่รู้แน่ๆว่า ถ้าไม่ขับขันจริงๆนายสัณฑ์จะไม่ออกนอกเส้นทางเลย ตัวผมเองก็มีสถานะเช่นเดียวกับพวกคุณคือ เดินตามอย่างเดียว”

แล้วมันจะทะลึ่งมาพูดทำไมเนี่ย ผู้กองคิด

เกตุไวพอดูรีบช่วยถามแทนให้“ช่วยบอกเรื่องของถ้ำแห่งนี้หน่อยได้ไหม?จ๊ะเต๊อะ ฉันรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล”เธอใช้คำว่าฉันกับคนที่วัยเดียวกัน เต๊อะพยักหน้ายิ้มให้เกตุอย่างมั่นใจในการตอบคำถามนี้

“ถ้าคุณเกตุจะรู้สึกสังหรณ์ รึหวาดๆจนขนลุกออกมามันก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมเองเป็นครั้งที่สองแล้วกับถ้ำนี้ มาครั้งแรกยังผวาเลยเพราะได้ยินเสียงแปลกๆข้างใน”

“แล้วที่แปลกๆมันยังไง? ล่ะ” หญิงสาวทำตาละห้อยลากเสียงสะยาว

“หึๆ”

เสียงหัวเราะเย็นเยือกของผู้กอง จนเกตุต้องชุนขึ้นจมูกสะบัดหน้าไปมองปรามก่อนกลับมาลุ้นฟังคลายแมกค์ต่อ

“ที่แห่งนี้เคยเป็นที่หลบซ่อนตัวของทหารสมัยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย สมัยโบราณโน่น...”เขาลากเสียงยาวบรรยายด้วยสีหน้าจริงจัง

“เวลามีรบทัพจับศึกระหว่างสองประเทศ ไทยกับพม่า ทหารไทยทุกสมัยก็ล้วนมาหลบรวมพลกันอยู่ที่นี้ เพื่อชุมนุมพลเอยเพื่อหลบภัยเอย โดยเฉพาะกองซุ่มโจมตีมักจะมารวมพลกัน”

“นายรู้ได้ยังไงว่ามันใช่อย่างที่นายพูดจริง” ผู้กองแย้งอย่างไม่เชื่อถือเพราะเขาก็เคยเรียน ภูมิประวัติศาสตร์ทหารไทยสมัยตอนที่ยังเรียนโรงเรียนนายร้อย

“ข้างในมีหลักฐานอื้อเลยครับอาวุธสมัยโบราณทั้งนั้นพวกนักเลงของเก่ามาเห็นต้องตาลุกแน่ๆ”เต๊อะชูหัวนิ้วโป้งกระดิกชี้ไปที่ข้างในถ้ำที่พวกเขากำลังเดินมาถึงปากทวาร หาญศึกแอบสังเกตเงียบๆว่าเต๊อะใช้สำเนียงการพูดแบบคนเมือง แล้วยังเนลอญที่พูดสำเนียงไทยได้ชัดเจนเขาจะต้องอ่านคนพวกนี้ให้ละเอียดอีกครั้ง

“ฉันอยู่ชายแดนนี่มานานไม่เคยได้ยินถ้ำไหนอย่างที่เต๊อะพูดเลย ข้างในมันมีจริงเรอะอาวุธที่ว่า”

“อีกประเดี๋ยวเดียวคุณทหารก็จะเจอกับมัน แต่ขอเตือนไว้ก่อน ของทุกชิ้นในนั่นมีเจ้าเข้าเจ้าของ ผมหมายถึงเจ้าถ้ำแห่งนี้ ใครก็ตามที่เข้ามาในนี้จะคิดครอบครองหยิบฉวยเอาออกจากข้างในออกมาไม่ได้เด็ดขาด ดวงวิญญาณอาถรรพ์จำนวนมากในนี้ครอบครองอยู่ ใครจะหยิบมีหวังถูกดวงวิญญาณทหารในนี้ฟันคอขาด มีคนเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในนี้มานักต่อนักแล้วเพราะโลภหวังแต่ได้ ของเก่าๆโบราณๆทั้งน้าน...บรรพบุรุษทหารของคุณเป็นคนทิ้งไว้ให้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ชาวป่าชาวเขาทุกคนต่างรู้จักและขนานนามถ้ำแห่งนี้ว่า ถ้ำเจ้าขุนทหาร”



ทุกคนมองฝ่าความมืดในโพรงมายังป่าเขา อันกว้างใหญ่ แถบทิศตะวันตก เห็นอยู่ไกลๆมีเมฆดำกำลังมีฝนยังกะเทน้ำจากท้องฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบ น่ากลัวจะมาถึงนี้ในไม่ช้า เล่าอูสั่งลูกน้องเร่งปัดกวาดพื้นถ้ำ เศษกรวดหิน วัชพืชให้นำออกไป จนโล่งตา ตามพื้นมีกระดูก ท่อนฟืนใหญ่มีรอยกินไฟ วางไว้ก่อนเหมือนจะเคยมีคนมาพัก ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าโพรงถ้ำแห่งนี้เป็นจุดพักล่าสัตว์ของพวกพราน ในถ้ำเย็นและชื้นมากแต่เมื่อเทียบกับข้างนอกซึ่งกำลังทวีความหนาวจนจะใกล้ติดลบ ในนี้เลยอุ่นไปทันที ธรรมชาติตรงนี้มีหินชะเงื่อมง้ำออกมากำบัง มีสัณฐานคล้ายหลังคาไปในตัว มีหินก้อนใหญ่มหึมาทางด้านข้างและด้านหลัง ทำหน้าที่เหมือนกำแพงกั้นได้อย่างดี กลุ่มต้นกฐินยักษ์หน้าปากโพรงปกคลุมบังไอหนาวได้พอสมควร

มีเสียงดังอึงมี่มาจากกลุ่มผู้กองซึ่งกำลังสุมส่องไฟฉายดูบางอย่าง มีเสียงโลหะแกร่งหล่นทับกระทบกันดัง”เก๊ง!เก๊ง!เก๊ง!”และยังกระแทกกันอีกหลายๆทีจนทุกคนหันไปมองพวกเขา

“โทษทีครับคุณหมอ คือพวกเรากำลังตื่นเต้นกับดาบโบราณอยู่น่ะครับ”

“ไม่เป็นไร คุณหาญศึกเชิญตามสบายเถอะครับ”เสียงโต้ตอบอันดังสะท้อนไปมาทั่วโถงถ้ำอันเงียบเฉียบและเย็นเฉียบ

อาวุธมีดดาบ ศัตราวุธของสมัยโบราณ สัณฐานเป็นรูปดาบชัดเจน ฝักและด้ามดาบผุพังทันทีเมื่อมันหล่นกระแทกพื้น ไม่มีปัญหาสำหรับคนที่เรียนประวัติศาสตร์สงครามสมัยโบราณ บอกได้ทันทีว่ามันเป็นอาวุธโบราณชัดแจ้งสมดังที่เต๊อะได้บอกไว้

“ดูนี่ซิครับผู้กอง”น้ำเสียงอย่างตื่นเต้นของหมู่แม็ก กับโลหะมีคมบนมือของเขา

ท่อนโลหะอันวางเรียงรายพิงกับผนังถ้ำเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ สัญฐานที่บอกได้ทันทีว่ามันเป็นปืน ผู้กองสั่งห้ามแตะต้องเพราะด้ามปืนเป็นไม้พร้อมจะผุพังสลายไปในทันทีด้วยความเก่าแก่ของมัน

นายทหารยิ้มและมองตรงไปยังเต๊อะคนเดิมเพื่อขอคำตอบชี้แนะ ผู้ช่วยนายหมอลังเลเล็กน้อยเพราะกำลังเตรียมตั้งเต็นท์นอน ก่อนหมอกฤษณ์พยักหน้าอนุญาต

“ปืนคาบชุด ปืนคาบศิลาครับ นอกจากนี้ด้านใน”เขาชี้ไปที่ก้นถ้ำอันมืดมิดลึกเข้าไป ทำหน้าที่มัคคุเทศก์นำเที่ยวทันที

“ยังมีอาวุธหลักของพลเดินเท้าทิ้งไว้ตามพื้นระเกะระกะเลยครับ ถึงจะมีปืนแต่อาวุธหลักสมัยนั้นอย่างเช่น ดายทวน ธนู หอก แหลน หลาว ยังคงใช้ควบคู่กันอยู่ ส่วนที่มันเป็นไม้ไม่ต้องพูดถึงมันผุพังไปนานแล้วหากแต่ยังเหลือเค้ารางให้เห็นได้ชัดเจนครับ”

“นึกไม่ถึงว่าเราจะมาเจอแหล่งของโบราณทางประวัติศาสตร์ทหารเอาที่นี้ได้ ขอบใจจริงๆเต๊อะที่พามา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบพูดกับคนมีภูมิความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยอยู่แล้ว”

หาญศึกมีความพอใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาก กรากเข้ามาโอบไหล่สร้างความคุ้นเคยทันที พลางชี้นิ้วไปยังตำแหน่งต่างๆของถ้ำ เพื่อขอคำตอบ แล้วพากันเดินลึกเข้าข้างในการพูดคุยเรื่องประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องการทหารที่ทั้งสองฝ่ายมีภูมิดีทั้งคู่ เต๊อะสารภาพบอกอย่างจริงใจว่าที่เขารู้เพราะเป็นคนไร้สัญชาติแต่เติบใหญ่ ได้เรียนถึงชั้นอุดมศึกษาในไทย และประวัติศาสตร์เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาชอบเรื่องรู้ มันทำให้สำนึกต่างๆของเขาเป็นไทยทั้งหมด

ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือกลในอะไรให้เป็นพิรุธในแววตา หาญศึกเหมือนได้มิตรเพิ่มและลดศัตรูไปหนึ่งคน

“ถ้าผมจำไม่ผิด การจัดทัพในสมัยโบราณ มีการจัดกองทัพออกเป็น ๓ เหล่าใหญ่ๆ คือ พลช้าง พลม้า พลเดินเท้า อาวุธในนี้เป็นของพลเดินเท้าทั้งหมด”ผู้กองชี้ไปที่อาวุธตรงพื้น

“นี่คือ ดั้ง รูปร่างคล้ายกาบกล้วยใช้ป้องกันอาวุธของข้าศึกในระยะประ ชิดตัว แล้วยังมี โล่ เขน ทบทู่ เป็นเครื่องป้องกันโดยใช้บังหรือห่อตัว ต้องเป็นของหน่วยโจมตีกองหลังของข้าศึก ฉันเข้าใจอย่างนี้นะ”สองคนนั่งเอาเข่าคู้ดินข้างหนึ่ง วาดมือสาธิตวิธีการใช้และยังพูดจาอย่างถูกคอ จนลืมคำถามของเกตุไปเลย

“เช่นกันครับ”เต๊อะยิ้มตอบหนักแน่น

“เออ ผมขอวกไปพูดเรื่องเดิมที่พูดค้างไว้กับคุณเกตุนะครับ”

รู้สึกได้ถึงร่างหญิงสาวนางหนึ่งมายืนค่ำอยู่ข้างหลัง กอดอกยืนจ้องอยู่นาน หาญศึกหันคอไปมองแล้วต้องครางเสียงใส่ยกใหญ่

“เอ้!... เรานี้ยังไงกัน กลัวผีแล้วทำไม?ต้องชอบฟังเรื่องผีด้วยนะ แอบตามมาอีกทำไม?เราต้องอยู่กับพี่หมอนะ”

“ก็เต๊อะเค้าดันพูดค้างไว้นี่คะน้องคาใจกลัวมากๆด้วย”

“.....”

หาญศึกเดินมาคว้าเอวคนชอบเถียงมาพิงตัวเขาไว้ เอามืออังหน้าผาก คอ แล้วปัดเศษฝุ่นตามร่างกายออกให้ โดยเฉพาะตรงท้องน้อย ที่เขาเอามือลูบอย่างระวังเพราะเธอเอาตัวเข้าครูดกับผาสะเเรงเมื่อกี่ ปากก็พูดให้ระวังสุขภาพให้ดีและให้อยู่ใกล้ๆพี่หมอเข้าไว้

เต๊อะนั้นทำเป็นมองไปทางอื่น แต่ก็ดูออกว่านายทหารคนนี่ห่วงแหนเธอเพียงใด กับอาการประคบประงมของนายทหารคนนี่ที่มีต่อหญิงสาวมันมีมากกว่าคำว่าพี่น้องแล้ว

“เราน่ะ ที่บ้านมีแต่แผ่นซีรีย์หนังผียกชุด แผ่นซีดีหนังผีไม่รู้กี่โหล รายการทีวีทอล์กโชว์เรื่องผีๆเราไม่เคยพลาดหน้าจอสักครั้ง จนผีมันไปอยู่ในสมองหมดแล้วรู้มั้ย”

เกตุคลายมือเขาออกจากเอวของเธอ“น้องก็แค่อยากรู้ จะได้เตรียมระวังป้องกันตัวไว้ต่างหากพี่หาญศึกห่วงไม่เข้าเรื่อง” แก้เกี้ยวไปงั้น ท่าทีสะบัดสะบิ้งของคนโดนรู้ทัน กอดอกทำเชอะ เมินไปทางอื่นแต่ก็ยังทวงเรื่องเดิมกับนายเต๊อะ

พอเธอเดินมาใกล้ เต๊อะก็รู้สึกประหม่าทันที เกาหัวตัวเองเพราะดันเตี้ยกว่าหญิงสาว ทั้งที่ตัวเขาเองสูง ๑๗๐ เซนติเมตร เกตุก็คงประมาณ ๑๗๕ เซนติเมตรเห็นจะได้ ร่างสูงเพรียวได้สัดส่วนซึ่งกำลังกอดอกมองมา ดวงตางามมีเสน่ห์คู่นั้น โดยเฉพาะสะโพกกลมกลึงแน่นกระฉับ ขาเรียวยาวคู่สวยนั้น ที่เขาแอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เกรงนายทหารร่างยักษ์จะจับได้

ไหน เรื่องที่พูดค้างไว้ นายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ เล่าให้มันจบๆสิ ฉันคงไม่มีทางพักในถ้ำนี่แน่ถ้าเรื่องมันยังค้างคาอยู่ในหัว

“เอาเป็นว่าเมื่อกี้ผมพูดเล่นครับแฮะๆ”

“เดี๋ยวโดนเดี๋ยวโดน”

“อะอื้อ...ผมจะพูดแล้วนะ”

“ทำไม? ต้องทำเสียงน่ากลัวด้วย”

“เรื่องมันก็มีอยู่ว่า หน่วยลอบโจมตีฝ่ายไทยที่กำลังรวมพลกันที่นี้ในถ้ำแห่งนี้”เขาย่ำเสียงหนักๆบิดข้อควงส่องไฟฉายไปมาอย่างไม่มีความหมาย

หาญศึกเองลุกเดินไปตรวจอย่างอื่นต่อ กราดไฟฉายส่องดูโน่นนี้ไป เพราะขี้เกียจฟังเรื่องไร้สาระจากนายเต๊อะคนขี้เล่นมากกว่าจริงจัง

การบรรยายเนื้อเรื่องตำนานลึกลับเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน คนเล่าก็เสริมแต่งไปตามจินตนาการ คนฟังที่เอาแต่ยืนเอามือลูบแขน สอบถามเนื้อเรื่องเสียงเจื้อยแจ้ว ฟังอย่างใจจดใจจ่อจนรู้สึกถึงความวังเวงอีกครั้ง

“สุดท้าย ฝ่ายไทยโดนดัดหลัง ถูกทหารพม่ามันดักล้อมกรอบ ไม่มีทางออกด้วยกำลังที่มีมากกว่าฝ่ายพม่าเลยรุมฆ่าทหารไทยจนหมด ณ ถ้ำแห่งนี้ กระดูกที่เราเห็นเรี่ยราดตามพื้นถ้ำมันคือเศษซากกระดูกของมนุษย์นะหาใช่กระดูกสัตว์ที่ไหนล่ะ”

เกตุอึ่งคอแข็งไปทันทีพอรู้เรื่องกระดูกพวกนั่น แต่ลูกตากลับกรอกกลิ้งมองทุกอย่างรอบตัวอย่างหวาดระแวง แต่กลับเห็นความมืดสนิทไปรอบด้าน หาญศึกก็หายไปอย่างรวดเร็วเมือนถูกผีเอาไปซ่อน หินทุกก้อนในถ้ำมันช่างเย็นเหลือเกินจนเธอต้องกอดอกห่อตัวสั่นสะท้าน

นายเต๊อะวาดความน่ากลัวต่อ“ที่นี่เป็นสุสานจริงๆ วันดีคืนดีจะได้ยินเสียงร้องโหยหวลดังระงมออกมา เสียงโลหะกระทบกันราวกับมีการรบกันขนานใหญ่ ได้ยินไกลไปตามสายลมถึงประเทศไทยโน่น...เลย”

หนุ่มกะเหรี่ยงขี้เล่นแอบยิ้มเล็กๆที่ได้กระเส้าเย้าเเหย่ “ยัง...ยังมีที่สยองกว่านี้อีก... “ซ้อนยิ้มแล้วยกกระบอกไฟฉายส่องหน้าตนเองเฉย กระเเซะเข้าไปชิด

“ไม่เห็นต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี่นะ เดี๋ยวนายโดนเตะแน่”เธอเอามือดันหน้าเต๊อะออกไปให้ห่าง ชักฉิว เต๊อะยังคงเล่าเรื่องเขย่าประสาทเธอต่อ

“พอเถอะ ฉันไม่ฟังแล้ว”เจ้าแม่หนังผีชักสีหน้ากลัว สั่นหน้ายอมแพ้

เกตุเลี้ยวหน้าลอกแลกหาพรรคพวก กลับเห็นแต่ความมืดมิดแสนเย็นยะเยือกในถ้ำ เห็นหน้ากันอยู่แค่สองคน เต๊อะก็ก้มหน้านิ่ง หมอบคู้ลงกับพื้นไปดื้อๆ แล้วเนื้อตัวก็เริ่มสั่นเทิ้มเหมือนผีเข้า เกตุพยายามเรียกยังไงก็ไม่ขานรับ

“นั่นๆ! กระดูก อย่าเหยียบกระดูกของเขา”

“กรี๊ด!!...”

พรวดพราดพูดแล้วเต๊อะก็ปิดไฟฉายวิ่งหนีไปทันที

“กรี๊ดๆ พี่หาญศึกช่วยน้องด้วย!...โฮๆๆ”

เสียงฝีเท้าวิ่งบนกรวดทรายห่างออกไป และเสียงร้องกรี๊ดๆๆลั่นถ้ำจนสุดแสนแสบแก้วหู คนกลัวผีวิ่งแล่นอย่างไม่รู้ทิศ ศีรษะชนพุ่งเข้าชนตึ่ง!กับสิ่งหนึ่งอย่างจัง

“จริงๆเลยนะเธอ จะเอาหัวพุ่งชนกำแพงตายรึไง”เป็นเสียงบ่นดังๆของหาญศึกในความมืด เกตุคว้าสะเปะสะปะเสียงอู้อี้ พอเปิดสวิตไฟฉาย ก็รู้ว่าเขายืนอยู่ระหว่างศีรษะของเธอกับผนังถ้ำ

กอดเอวหาญศึกไว้ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นนายตัวดี ที่หายหัวไปแล้ว ต้องกัดฟันกรอดทั้งน้ำตาริน เจ็บใจที่อุตสาห์ไว้ใจ หน้าตาก็ดีไม่น่าเจ้าเล่ห์เหมือนนายสัณฑ์เลย

“ไปหลงฟังคนเจ้าเล่ห์นั้นทำไม? หน้าตาก็บอกยี่ห้อเดียวกันกับนายสัณฑ์นะแหละ”เขามีอารมณ์ฉุนๆหาญศึกยกไฟฉายกระบอกนั่นให้ แล้วเอาไฟฉายกระบอกจิ๋วมาเปิดแทน ก้มมองๆไปตามผนังถ้ำ ก่อนจะชะงักมองบางสิ่ง

“หาอะไร? อยู่ค่ะ”

“พี่กำลังตรวจดูช่องลมตามผนังถ้ำ”

หาญศึกชี้ให้เธอระวังกระดูกตามพื้นเพราะมันเป็นกระดูกคนจริง เล่นเอาหล่อนผวาเข้าไปหลบข้างตัวเขาทันที

“กระดูกคนสมัยโบราณใหญ่จังเลยนะคะ นั่นคงเป็นกระดูกหน้าแข้งแน่”กราดไฟฉายให้ดู พอมาอยู่ใกล้พี่ชายตัวโตๆเธอก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

“คนโบราณเนี๊ยะ ตัวใหญ่มากนะค่ะคงจะพอๆกับพี่แน่ๆเลยนะ”หันมาสบตาเขา

“เป็นทหารมันก็ต้องตัวใหญ่สิ”ตอบโดยไม่หันมอง

“แล้วพี่สูงเท่าไหร่ น้ำหนักแค่ไหนล่ะ”

“พี่สูง ๑๙๕ เซนติเมตร หนัก ๙๘ กิโลกรัม พอใจหรือยัง”

ร่างสูงระหงพยายามเขย่งเท้าวัดความสูงของเขากับตัวเอง

“เคยมีหลายคนทักว่าน้องตัวสูงจัง แต่มาเทียบกับพี่หาญน้องดูเตี้ยไปเลยนะ”หล่อนหัวเราะชอบใจ ดังคิกๆ อีกฝ่ายไม่รู้ขำไปทำไมกันเลยหันไปทำงานของตนต่อ

“แล้วตอนนี้เจออะไรเข้าล่ะ ไหนให้น้องดูบ้าง”เอาตัวเข้าเบียดแทรก ตัวเขาที่ยืนชิดผนัง ชะโงกหน้าไปในช่องหิน

“โอ้โห้!...อู้ฮู้... นี่มันข้างนอกนี้ เป็นกลางคืนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นดาวเต็มท้องฟ้าเลย พี่หาญศึกรีบๆมาดูทางนี้สิคะ...” ชายหนุ่มหญิงสาวเหมือนยืนเกาะหน้าต่างของตึกสูง มองทิวทัศน์เบื้องนอกอย่างตะลึงลาน พระจันทร์เสี่ยวพึ่งลอยอยู่เหนือขุนเขา ท้องฟ้าใสกระจ่าง หมู่เมฆขาวนวลเคลื่อนตัวช้าๆโดยมีดวงดาวเป็นฉากหลัง เปล่งแสงเพชรระยิบระยับ ท้องฟ้าราตรีอันมิมีสิ่งใดมาแปดเปื้อนบดบังเช่นชีวิตคนเมืองได้เห็นเป็นปกติ

กายพิงผนัง มือเท้าคาง ริมฝีปากเม้มก่อนเผยอเห็นไรฟันขาวสะอาด หญิงสาวหลับตาพริ้มก่อนขนตากระดิก แสงของดวงดาวในดวงตาเธอ ผิวสาว ถูกขับเน้นจนสวยมากเหลือเกินจากแสงจันทร์ เอามือลูบเสยผมที่ไหวคลอเคลียแก้มเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เส้นผมที่ยาวตามจำนวนวันเดินทางอันหนักหนา ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยพบมาก่อน จนดวงตาทั้งคู่เริ่มพล๊อยหลับไป

ชายหนุ่มผู้ยืนเหมือนกำแพงเหล็กเบื้องหลังอย่างองครักษ์ กลับหาได้เสพสุขจากภาพเบื้องหน้า เพราะดวงตาคมกล้ากำลังจ้องมองผืนป่าใต้เบื้องหน้าผา เห็นแสงคบไต้จำนวนมากพุ่งทะยานเป็นเส้นสาย “คน”เท่านั่นและจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อย

ต้องมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นข้างนอกโดยที่เราไม่รู้แน่นอน และมันต้องเกี่ยวกับที่พวกนั่นพาทุกคนมาหลบในถ้ำแห่งนี้เป็นแน่ หาญศึกคิด

---------------------------------------------------------------
**ระเบิดเคโม จะเป็นลูกเหล็กขนาดเล็กๆ หลายร้อยลูก ติดกันเป็นแผงยาวๆ เวลาใช้งานจะนำดินระเบิดมาแปะไว้ด้านหลัง (จะเป็น TNT หรือ C-4 ก็ได้ )โดยมาตรฐานจะใช้ C-4 1 แท่ง 1 หรือ 2 ปอนด์ แรงระเบิดจากดินระเบิดจะทำให้ลูกเหล็กเม็ดเล็กๆนัน กระจายออกไปในทิศทาง ที่กำหนด เหมือนเป็นลูกกระสุนปืนดีๆนี่เอง ใช้ในการสังหารบุคคล และจะน่ากลัวมากเมื่ออยู่ในมือโจรก่อการร้าย

ส่วนเรื่องการวางนั้น มันแล้วแต่จะประยุกษ์ อาจเป็นเซ็นเซอร์จับเคลื่อนไหว แบบรีโมท์ ใช้โทรศัพท์กดสั่งหรือเอาแบบคลาสสิคๆง่ายๆก็เส้นเอ็น ขึงกับตัวสลักจุดเชื้อประทุ

วิธีการจุดระเบิดของ C-4 จะประกอบด้วย 2ตัว ดินระเบิดกับเชื้อประทุ
ตัวดินระเบิดนั้นจะมีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน ไม่สามารถทำให้ระเบิดได้ด้วยการจุดไฟธรรมดา ต้องใช้เชื้อประทุในการจุดระเบิดเท่านั้น ส่วนเชื้อประทุจะเป็นแท่งๆ เวลาจุดเชื้อประทุจะเกิดการระเบิดคล้ายๆประทัดแต่อานุภาพมันจะแรงกว่า



Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 10 มีนาคม 2553 18:46:54 น.
Counter : 1094 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แจ็ค ในสวนถั่ว
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ยินดีต้อนรับสู่บ้านของคนชอบคิดชอบเขียนครับ
New Comments