Group Blog
All Blog
|
ทนายอ้วนชวนเที่ยว - วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ตอนที่ 2 - พระร่วงโรจนฤทธิ์ สถานที่ท่องเที่ยว : พระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ตอนที่ 2, นครปฐม Thailand พิกัด GPS : 13° 49' 13.29" N 100° 3' 36.12" E บล็อก “ท่องเที่ยวไทย” ในปีนี้ก็ยังเป็นการนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้เคยไปเที่ยวมามาโพสเหมือนปีที่แล้วครับ เนื่องจากเจ้าของบล็อกกักตัวเองอยู่กับบ้านมาเป็นปีแล้วครับ ไม่ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น ในบล็อก “ท่องเที่ยวไทย” 2 – 3 บล็อก ต่อไปนี้ เจ้าของบล็อกจะพาทุกท่านไปเที่ยวที่วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ทุกๆท่านคงทราบกันอยู่ดีแล้วองค์พระปฐมเจดีย์มีความเก่าแก่ และมีความเป็นมายาวนาน ทั้งวัดพระปฐมเจดีย์ก็มีความสำคัญ มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เจ้าของบล็อกจึงอยากแบ่งบล็อกท่องเที่ยววัดพระปฐมเจดีย์เป็นซีรี่ย์ย่อยๆ 3 – 4 ตอน เพื่อไม่ให้มีเนื้อหาเยิ่นยาวเกินไปครับ วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ตอนที่ 2 – พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ในบล็อก “ท่องเที่ยวไทย” บล็อกที่แล้วได้พาไปชมพระปฐมเจดีย์ เจดีย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดในประเทศไทย ที่ตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางของวัดพระปฐมเจดีย์ มาแล้วนะครับ ในวัดพระปฐมเจดีย์ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาสักการะพระปฐมเจดีย์ก็คือ พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองเหนือ เมื่อมาถึงเมืองศรีสัชนาลัยได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ โดยเฉพาะองค์หนึ่งมีพุทธลักษณะงดงามต้องพระราชหฤทัยแต่องค์พระชำรุดเสียหายมาก ยังคงเหลืออยู่แต่พระเศียรกับพระหัตถ์ข้างหนึ่งและพระบาท ทรงสันนิษฐานว่าเป็นปางห้ามญาติ จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ หลังจากที่ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว ในปี พ.ศ. 2454 จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ จัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายในการหล่อปฏิสังขรณ์ และดำเนินการจัดหาช่างทำการปั้นหุ่นสถาปนาขึ้นให้บริบูรณ์เต็มองค์พระพุทธรูป เมื่อการปั้นพระพุทธรูปนั้นบริบูรณ์เสร็จ โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาพระพุทธรูปพระองค์นั้นที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 ซึ่งเป็นกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อการหล่อหลอมองค์พระพุทธรูปครั้งแรกได้สำเร็จลงแล้ว เจ้าพนักงานจึงได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลเสด็จฯ ทอดพระเนตร แต่ปรากฏว่าไม่เป็นที่ประสบพระราชหฤทัย ต่อมานายช่างทราบถึงพระราชประสงค์อันแท้จริง จึงหล่อให้พระอุทรพลุ้ยยื่นออกมาเหมือนคนอ้วน ใกล้จะลงพุงต่างจากครั้งแรกที่หล่อตรงพระอุทรขององค์พระแบบธรรมดา เมื่อแก้ไขเรียบร้อยแล้วจึงเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลเสด็จฯ ทอดพระเนตร คราวนี้ปรากฏว่าทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก ออกพระโอษฐ์ตรัสชมความสามารถในเชิงฝีมือของนายช่าง ทั้งนี้มีพระราชประสงค์ที่จะให้พสกนิกรทราบว่า พระพุทธรูปองค์นี้ทรงสร้างและทรงฝากอนุสาวรีย์ที่พระอุทร (เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีพระอุทรสมบูรณ์เป็นพิเศษ) หากใครมานมัสการสังเกตเห็นพระอุทรของพระพุทธรูปก็จะได้รำลึกถึงพระองค์ ดังนั้นเมื่อเรามองทางด้านตรงพระพักตรก็จะเห็นว่ามีพระพุทธลักษณะงดงามสม่ำเสมอ แต่ถ้ามองทางด้านข้างทั้งเบื้องขวาและซ้ายแล้วจะเห็นว่าพระอุทรพลุ้ยออกมา เมื่อการหล่อสำเร็จแล้ว พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ประทับยืนอยู่บนฐานทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยมนิ้วพระหัตถ์และพระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าระดับพระอุระ เป็นกิริยาห้าม มีพระอุทรพลุ้ยออกมา ห่มจีวรบางคลุมแนบติดพระวรกาย สูงตั้งแต่พระบาทถึงยอดพระเกศ 12 ศอก 4 นิ้ว (7.42 เมตร) สมบูรณ์ด้วยพระพุทธลักษณะทุกประการ เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามองค์หนึ่งของเมืองไทย สิ้นโลหะทองเหลืองในการหล่อพระ 100 หาบมี สิ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงิน 21,205.45 บาท ขอย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลพระบาทสดเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นิดนึงนะครับ ในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “วิหารทิศ” เรียงจากด้านทิศตะวันออก คือ พระวิหารหลวง (ที่เป็นด้านหน้าเดิมของพระปฐมเจดีย์อย่างที่เล่าให้ฟังในบล็อกท่องเที่ยวไทยบล็อกที่แล้วนะครับ ที่ทรงให้เอาด้านทิศตะวันออกเป็นด้านหน้าของพระปฐมเจดีย์ก็เพราะว่าเป็นด้านที่หันสู่กรุงเทพฯ โปรดให้หล่อจำลองจากพระพุทธสิหิงค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ในพระบวรราชวัง (วังหน้า – ปัจจุบันคือพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ พิพิธภัณฑสถานพระนคร) แต่ขยายให้ใหญ่กว่าองค์เดิม แล้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ซุ้มจระนำที่องค์ พระปฐมเจดีย์ ด้านทิศตะวันออกเพื่อเป็นสัญลักษณ์เป็นด้านหน้าจองพระปฐมเจดีย์) ด้านทิศใต้ คือ พระวิหารปัญจวัคคีย์ ด้านทิศตะวันตก คือ พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ และด้านทิศเหนือ คือ วิหารพระประสูติ เดิมทีนั้นเป็นวิหารปิดเช่นเดียวกับวิหารทิศด้านอื่นๆ อีกสามด้าน มิได้มีลักษณะเป็นวิหารโถงเปิดโล่งดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อการคมนาคมเจริญมากขึ้น มีการขยายทางรถไฟเพิ่มขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – เพชรบุรี เปิดให้เดินรถเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2446 (รศ. 122) โดยเส้นทางเริ่มต้นจากปากคลองบางกอกน้อยถึงเพชรบุรีผ่านนครปฐมทางด้านทิศเหนือของพระปฐมเจดีย์ โปรดเกล้าฯ ให้มีการตัดถนนและสร้างสะพานไม้จากสถานีรถไฟนครปฐมตรงมายังบันไดหน้าวิหารพระประสูติ ต่อมาเมื่อการเดินทางโดยรถไฟได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นโดยลำดับ วิหารทางด้านทิศเหนือนี้จึงเพิ่มความสำคัญขึ้นไปโดยปริยาย ส่งให้วิหารทางด้านทิศเหนือกลายสถานะเป็นทิศทางสัญจรหลักในการมาเยือนพระปฐมเจดีย์แทนที่วิหารทางทิศตะวันออกซึ่งเคยเป็นทิศหลักมาแต่เดิม จึงได้มีการปรับปรุงทัศนียภาพเพิ่มความสง่างามให้แก่พระมหาเจดีย์ยิ่งขึ้น กล่าวคือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างบันไดนาคทางขึ้นหน้าวิหารพระประสูติ โดยสร้างเป็น 2 ชั้น เพื่อให้เกิดทัศนียภาพที่โอ่โถงรับกับสถานีรถไฟ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2449 ในเวลาต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระพุทธรูปจากเมืองศรีสัชนาลัย สุโขทัย ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่มาประดิษฐาน จึงได้มีการปรับเปลี่ยนวิหารพระประสูติด้านทิศเหนือของพระปฐมเจดีย์เป็นวิหารโถงโล่งๆ ดังมีเอกสารหลักฐาน คือ หนังสือโต้ตอบกรมศิลปากร ที่ 4/889 ลงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2456 จากเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ อธิบดีกรมศิลปากร กราบบังคมทูลการแก้ไขวิหารพระประสูติ กล่าวถึง การขอรับพระราชทานเงินเพื่อแก้ไขวิหารพระประสูติเพื่อเป็นวิหารสำหรับประดิษฐานพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ฯ รวมทั้งแก้บันไดใหญ่พนักนาคทางขึ้นหน้าวิหารพระประสูติ ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถทรงสร้างไว้เดิม โดยระบุวันเวลาแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2457 สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิหารพระประสูติคือ การรื้อพระวิหารเก่าตั้งแต่มุขด้านนอกถึงห้องประธาน 1 ห้อง หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีพื้น ปั้นลายช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน บัวปลายเสา คอสอง และช่องคูหา ทาสีผนังหลังพระ เพดานทาสีปิดทองลายฉลุ แก้ช่องหน้าต่างเก่าเป็นประตู มีทางเดินเข้าทั้ง 2 ประตู หล่อฐานที่ตั้งพระพุทธรูปด้วยแฟโรคอนกรีต* ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วลงรักปิดทองประดับกระจก และแก้บันไดใหญ่พนักนาคเป็นแฟโรคอนกรีต รื้อของเก่าปูหินอ่อนฝรั่งทั้ง 2 ชั้น ทำชานพักและพนัก 2 ข้าง หล่อแฟโรคอนกรีตลูกมะหวด ราวพนักหล่อซีเมนต์ปั้นเป็นตัวนาคมีหัวและหางตามแบบที่ออกใหม่ (*แฟโรคอนกรีต (ferro concrete หรือ reinforced concrete) หรือ คอนกรีตเสริมแรง ในภาษาไทย คือ คอนกรีตที่มีการเพิ่มสมรรถภาพการรับน้ำหนัก โดยใช้วัสดุอื่นมาช่วย เช่น เหล็ก หรือ ไฟเบอร์ บางครั้งอาจใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ เพื่อเพิ่มความสามารถที่ขาดไปของคอนกรีต คือ ความเปราะ คอนกรีตเสริมแรงนิยมเรียกว่า คอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) เนื่องจากเหล็กเป็นวัสดุที่นิยมนำมาใช้ในการเสริมแรง) เมื่อดำเนินการปรับปรุงวิหารทิศทางด้านทิศเหนือ (วิหารพระประสูติ) แล้วเสร็จ โปรดเกล้าฯ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (ขณะนั้นยังไม่ได้มีพระบรมราชโองการสถาปณาพระนาม – ตั้งชื่อ) ให้อัญเชิญออกจากกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2457 เพื่อไปประดิษฐานยังพระวิหารพระปฐมเจดีย์ การอัญเชิญองค์พระจำเป็นต้องแยกชิ้นมาและมาประกอบเข้าด้วยกันที่จังหวัดนครปฐม แล้วเสร็จเป็นองค์สมบูรณ์เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2466 ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ประทับแรม ณ พลับพลาเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระพุทธรูปองค์นี้ว่ายังไม่ได้สถาปนาพระนาม จึงประกาศกระแสพระบรมราชโองการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2466 ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราชบูชนิยบพิตร" แต่ประชาชนทั่วไปจะเรียกว่า หลวงพ่อพระร่วง หรือ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ในพระราชพินัยกรรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวระบุไว้ว่า ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ไว้ใต้ฐานพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สวรรคตในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ภายหลังเมื่อได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว วันที 31 สิงหาคม พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารจากในวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปยังวัดพระปฐมเจดีย์ เพื่อทำพิธีบรรจุ พระบรมราชสรีรางคาร ณ ผนังเบื้องหลังพระร่วงโรจนฤทธิ์ ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 สิ้นพระชนม์ และได้พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสด็จฯ แทนพระองค์เชิญพระสรีรางคารพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีไปประดิษฐานไว้ที่ผนังเบื้องหลังพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตามพระราชพินัยกรรมที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวระบุไว้ว่า "...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น, ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม, แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา" และในปี พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ หลังจากการเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพระสรีรางคารเป็น 2 ส่วน แล้วเชิญพระสรีรางคารส่วนหนึ่งโปรดฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เชิญไปบรรจุ ณ ผนังเบื้องหลังพระร่วงโรจนฤทธิ์เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารของพระชนกนาถ และพระสรีรางคารของพระชนนี ขอบพระคุณท่านที่มีรายชื่อต่อไปนี้ ที่ทำให้การท่องเที่ยวของเรามีสาระมากขึ้นครับ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร – วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พระร่วงโรจนฤทธิ์ - วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พระร่วงโรจนฤทธิ์ - info.ru.ac.th เที่ยวใกล้กรุง กราบ"พระร่วงโรจนฤทธิ์"ชม"พระราชวังสนามจันทร์" - กรุงเทพธุรกิจ – ท่องเที่ยว พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ พระนามแรกตั้ง คือ พระร่วงธรรมสามีอินทราทิตย์ฯ - หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร สวัสดีค่ะคุณบอล
พี่เป็นคนนีงที่ไปกราบพระ คือกราบพระจริงๆ ไปเพราะอนากไปค่ะ ... ไม่ได้รู้ประวัติที่มาหรอกค่ะ คล้ายๆการทำบุญ เรามีความตั้งใจแน่วแน่ ก็แบบนั้นเลยค่ะ คุณบอลมีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะคะ โดย: tanjira วันที่: 23 พฤษภาคม 2565 เวลา:14:24:14 น.
อารามหลวงมักมีขนาดใหญ่โต
เดินเที่ยวเป็นชั่วโมงก็ยังเดินไม่ทั่วเลยนะครับคุณบอล ปล. หนังสือทุกเล่มในบล็อก ครูจรัลไม่ได้เขียนเลยครับ เป็นนักเขียนหรือคนใกล้ชิดจัดทำขึ้นทั้งสิ้นเลยครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 พฤษภาคม 2565 เวลา:15:31:01 น.
เห็นภาพแล้ว นึกถึงข้าวหมูกรอบนครปฐมกับ น้ำลาด อืมมม น้ำราด
ไม่หวานดีอร่อย 555 ... ขอบคุณที่แวะไปดูบล๊อก... ผมอยู่พิษณุโลกแถวโคกมะตูมมีเพื่อน สนิทหลายคน นาน ๆ กลับไปเยี่ยมคนรู้จักเพราะบ้านเพิ่งขายไปเมื่อ 7 ปีมาแล้ว เรือนแพ เขามีเลขที่ให้ ไปรษณีย์ส่งถูกบ้าน ข่าวว่าเทศบาลเขา พยายามย้ายไปอยู่อีกแห่งแถว เลยวัดจันทร์ เมื่อปี 2542 กว่าครับ แต่ยินยอมให้มีร้านอาหารลอยอยู่ตรง วิทยาลัยพิบูลสงคราม ใกล้กับสะพานนเรเศวร กับแถววัดจันทร์ โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 23 พฤษภาคม 2565 เวลา:16:12:15 น.
รอบนี้ได้รับความรู้องค์พระปฐมเจดีย์ครบเลยครับ
ภาพมุมสูง องค์พระสวยมากเลยครับ โดย: The Kop Civil วันที่: 23 พฤษภาคม 2565 เวลา:16:58:17 น.
กราบพระค่ะคุณบอล
ภาพสวยมากค่ะ นอกจากกราบพระแล้วนึกถึงไอศกรีมลอยฟ้าที่ตลาดรอบองค์พระด้วยค่ะ น้องสาวต๋าเรียน ม.ศิลปากร เลยไปนครปฐมบ่อยค่ะช่วงนั้น ขอบคุณข้อมูลความรู้นะคะ โดย: Sweet_pills วันที่: 23 พฤษภาคม 2565 เวลา:23:38:53 น.
ทักษะการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญจริงๆครับคุณบอล
บ้านเราไม่ค่อยมีการสอนการพูด จริงๆควรจะสอนการฟังด้วย การเป็นผู้ฟังที่ดี ยากไม่แพ้การเป็นคนพูดที่ดีเลยนะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 พฤษภาคม 2565 เวลา:15:13:57 น.
ผมมาเรียนรู้ทักษะการฟังมากที่สุด
ก็ตอนทำงานที่ร้านนี่ล่ะครับ ได้เจอคนเยอะมากในแต่ละวัน และผมพบว่าถ้าเราเป็นผู้ฟังที่ดี เราจะได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจากประสบการณ์ของคนที่เราได้พบครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 พฤษภาคม 2565 เวลา:20:43:47 น.
สวัสดียามเช้าค่ะคุณบอล
ผักบุ้งไทยไม่ค่อยมีวางขายค่ะ ขนาดในตลาด ตจว ยังไม่ค่อยมีเลยค่ะ จะมีก็ชาวบ้านหาบมาวางขายเองค่ะ พี่ญาติข้างบ้านเค้าปลูกไว้เยอะค่ะ ที่ติดแม่น้ำ ทำให้พี่มีผักบุ้งไทยกินตลอดค่ะ พี่ชอบแกงหมูเทโพเหมือนกันค่ะ ส่วนเอามาแกงส้มไม่ค่อยชอบ พี่ชอบมะละกอมากกว่าค่ะ ขอให้สุขกายสบายใจนะคะคุณบอล โดย: tanjira วันที่: 25 พฤษภาคม 2565 เวลา:6:29:09 น.
ผมไปนครปฐมบ่อยแต่ส่งนใหญ่ไปตลาดดอยหวายครับ 5555 กับคาเฟ่ พระปฐมเจดีย์ไปครั้งเดียวเองครับ ร้อนดี แต่ตอนเย็นๆ ของขายเยอะ
จากบล๊อก บ้านใกล้วังรอบทร่ผมไปเค้กโอเคครับ แต่มีของไม่กี่อย่างครับ หมด หมด หมด อาหารไทยๆ ดีเลยครับ แจ่บางอย่างก็ไม่ดี eighteen below ผมเคยไปครับ ชอบไอติมโฮมเมดมาก ช่วงนี้งานยุ่งมากครับ ออกไซต์ ประชุม พรีเซ็นต์งาน ดื่ม ออกบูท โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 25 พฤษภาคม 2565 เวลา:10:44:03 น.
|
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|
ย้อนรำลึกอดีต ประวัติของวัดพระปฐมเจดีย์ อีกครั้งค่ะ