www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

จาก ไลท์ DeathNote สู่ เอริก้า เบน <<< The Brave one >>> ศาลเตี้ยจงเจริญ ?



...ทันทีที่หนังจบ ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองชอบตอนจบของ The Brave one หรือเปล่า เพราะมันมีหลายความคิดความรู้สึกผสมปนเปพร้อมๆกัน เดิมนั้นตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ส่งไปให้ Cream เนื่องจากตัวละคร เอริก้า เบน มีหลายมิติที่น่าพูดถึงตรงคอนเซ็ปท์คอลัมน์ แต่คุยไปคุยมาสรุปว่าหนังไกลตัววัยรุ่นไปหน่อย บวกกับ ทางนั้นอยากได้คอนเซ็ปท์วันพ่อ ก็เลยได้โอกาสเอามาลง Blog เสียเลย

สรุปภาพรวมของหนังแล้ว ผมชอบ The Brave one ค่อนข้างมาก จากที่รู้สึกว่าปีนี้ยังขาดหนังดราม่าหนักๆที่โดนใจ หนังเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็น หนังดราม่าที่ดีเรื่องหนึ่งของปีนี้ ทั้งที่ตอนแรกเห็นตัวอย่างหนัง ความอยากดูของผมมีไม่ถึงครึ่ง จาก พล็อตเรื่องแสนโบราณบ้านๆ ประเภทให้ ผู้หญิงที่ถูกย่ำยีพลิกเป็นผู้ล่า

การมี โจดี้ ฟอสเตอร์ ช่วยให้ผมอยากดูขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากมาย เพราะคิดว่าหนังคงไม่ต่างจากสูตรเดิมๆเท่าไหร่ จนกระทั่งไปเปิดข้อมูลแล้วรู้ว่าผู้กำกับเป็น นีล จอร์แดน ความอยากก็เริ่มเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แถมยังแอบหวังเล็กๆว่าหนังจะมีอะไรแตกต่างออกไป เขาถึงเลือกมาทำหนังเชยระเบิดระเบ้อเช่นเรื่องนี้

และก็จริง

...แม้จะเคยดูพล็อต สาวซื่อเป็นสาวเหี้ยม แบบนี้มาแล้ว ในรูปแบบหนังเก่าเอ๊กซ์เซ็กส์คัลท์อย่าง I Spit on your grave ที่สาวผมยาวคนซื่อถูกชายหนุ่มกลุ่มหื่นเข้าข่มขืนเธอจึงลุกขึ้นไล่ฆ่ามันทีละคน เคยดูในรูปแบบแนวๆเท่ๆอย่าง Kill Bill ที่อดีตสาวนักฆ่าอยากกลับใจโดนลั่นไกจนสมองตาย ต้องนอนเป็นปีๆตื่นมาอีกที เจ๊อูม่า ก็ลิสต์บัญชีไล่ฆ่าคนที่ทำลายชีวิตสมรสของเธอ หรือ ใกล้ตัวสุดในรูปแบบละครเศร้ารันทดของเอ็กแซกส์ที่ สินจัย แปลงโฉมหลากรูปแบบเพื่อแก้แค้นคนที่ย่ำยีเธอกับลูกสาวจากเรื่อง ล่า

ถึงจะเคยดูทั้งหลายทั้งมวลที่ว่ามา ก็ไม่ทำให้ The Brave one ด้อยค่าลงไป เพราะ หนังเรื่องนี้ใส่รายละเอียดมากมายกว่า ความมันส์ในการทวงแค้นของตัวละคร

...โครงเรื่องปกติของหนัง สาวซื่อเป็นสาวเหี้ยม จะเป็นลักษณะนี้

A (หญิงสาวคนซื่อ) --> ถูกกระทำย่ำยี --> B (นักฆ่าจอมโหด)


หนังแทบทุกเรื่องที่ว่ามา ไม่รีรอที่จะพลิกโฉมหน้าตัวละครจาก A เป็น B อย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปสู่ความมันส์สะใจ แต่ The Brave one ต่างจากเรื่องอื่นๆตรงที่ผู้กำกับให้เวลา กระบวนการเปลี่ยนแปลงจาก A เป็น B ภายในจิตใจของตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป



....เอริก้า เบน นักจัดรายการวิทยุที่หลงรักเมืองของตัวเองเป็นอย่างมาก เธอมักจะเดินไปตามซอกหลืบๆต่างในนิวยอร์คเพื่อบันทึกเสียงความเป็นไปภายในเมือง เอริก้ากำลังจะแต่งงานกับชายคนรักในไม่กี่วันข้างหน้า หาก เอริก้ากับคนรักไม่ได้ไปเจอกับกลุ่มวัยรุ่นที่เข้ามารุมกระหน่ำทำร้ายจนคนรักเสียชีวิตและตัวเธอก็เจ็บหนักถึงกับสลบไปเป็นวันๆ

เอริก้า มีชีวิตหลังตื่นขึ้นมาจากสลบ ด้วยความเจ็บปวดเศร้าโศกกับการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจเธออย่างไม่มีชิ้นดี เมื่อลืมตาขึ้นมาพบความจริงที่ว่า คนรักเสียชีวิตไปแล้วโดยที่เธอเองไม่มีโอกาสแม้แต่จะร่วมงานศพของเขา

เธอต้องดำเนินชีวิตที่เหลือต่อด้วยความกลัว ดั่งแสดงออกมาในหลายๆอาการที่เรียกว่า PTSD – Post traumatic stress disorder (ภาวะเจ็บป่วยจิตใจหลังพบเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น สึนามิ , อุบัติเหตุ , ข่มขืน ฯลฯ) อาการที่เกิดขึ้นเช่น ตื่นตระหนกตกใจง่าย , หลีกเลี่ยงการไปในที่ถูกกระทำ หรือ ภาพในอดีตผุดขึ้นมาซ้ำๆทั้งในฝันและความจริง

จากเมืองที่เธอเคยรักและเดินอย่างสุขสบายใจ กลับกลายเป็น เมืองที่มองไปทางไหนก็เปี่ยมไปด้วยอันตราย

เอริก้า ไม่ได้ตั้งต้นไปฆ่าใครเหมือนในหนังสูตรทวงแค้น เธออาจจะคิดแก้แค้น แต่เธอเริ่มต้นมีปืนก็แค่คิดเพื่อความปลอดภัย แต่เมื่อ เธอเริ่มต้นใช้ปืนยิงคนร้าย ในซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยมือที่สั่นเครือ มือของเธอก็เริ่มนิ่งขึ้น ความคิดในการฆ่าก็ตัดสินใจเร็วยิ่งขึ้น และ จากนั้นก็พร้อมลั่นไกใส่ใครก็ตามที่เธอเห็นว่า มันเป็นคนร้ายหรือมันสมควรตาย

...เมื่อถึงตอนนั้น ปืนของเอริก้า ใน The Brave one ก็ทำให้ผม นึกถึง สมุดโน้ตของไลท์ ใน Death note สมุดที่เขียนชื่อใครลงไปก็ต้องตายตามที่เขียน

ทั้งสองสิ่งทำหน้าที่เหมือนกันคือ คอยกำจัดคนตามประสงค์ของเจ้าของ เมื่อ เอริกา กับ ไลท์ ใช้มันจัดการกับคนชั่วที่กฎหมายไม่อาจจัดการ ก็เท่ากับพวกเขากำลังทำหน้าที่ ศาลเตี้ย พิพากษาคนอื่น

...ผมมีความเชื่อลึกๆว่า แม้จะมีความศรัทธาในเรื่องกฎหมายเพียงใด แต่เราทุกคนมีเนื้อที่เล็กๆในใจแอบเห็นด้วยกับศาลเตี้ยไม่มากก็น้อย ดูได้อย่างการมีตัวละครที่แฟนๆชื่นชมอย่าง โรบินฮู้ดที่ปล้นคนรวยช่วยคนดี หรือ ซูเปอร์ฮีโร่อีกหลายๆคน ซึ่งความนิยมในโลกมายานั่นสะท้อนสภาพโลกความเป็นจริง ที่มีคนชั่วอีกจำนวนมากที่อาศัยรูโหว่ของกฎหมายเอาตัวรอด หรือ มีสิทธิมีเส้นสายประมาณ พ่อรวย พ่อใหญ่ หรือ รู้มั้ยกูลูกใคร ทำผิดแล้วก็เงียบหายไปกับสายลม

แต่ ระบบศาลเตี้ย ดีจริงหรือ ?

ต้องอย่าลืมว่า ... อำนาจที่อยู่เหนือกฎหมายไม่ใช่ ปืนหรือ Death note แต่เป็น จิตใจของผู้ครอบครอง

ต้องไม่ลืมว่า ... ความเป็นศาลเตี้ยอย่างโรบินฮู้ดหรือเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ ที่เราดูจากหนังหรือการ์ตูน พวกพระเอกทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็น มนุษย์ดีเด่นในอุดมคติที่ทำดีเพื่อคนอื่นได้ทุกลมหายใจ ซึ่งตรงข้ามกับโลกความเป็นจริงที่เราไม่มี มนุษย์ในอุดมคติ ที่จะสามารถใช้ ปืน หรือ Death note ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะ คนทุกคนล้วนมีจุดเปราะบาง มีจุดอ่อน มีรักโลภโกรธหลง

มนุษย์เมื่อได้ครอบครองอำนาจที่ไร้ขอบเขต ในประวัติศาสตร์ชาติไหนก็ไม่เคยลงเอยด้วยดี

....ไลท์ เริ่มต้นจากเจตนาดี แต่สุดท้ายความเชื่อมั่นเข้าขั้นหลงตัวเอง กับ ปมที่อยากอยู่เหนือใครๆหรือ God complex ก็เข้าครอบงำ และ ทำไปเพื่อเถลิงอำนาจ ฆ่าได้ทั้งคนดีและคนชั่วเพื่อปกป้องอำนาจของตัวเอง

แรกๆสังคมดูจะสะอาดขึ้น แต่นานวันผ่านไป สังคมกลับไม่ได้อะไรจาก อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของไลท์ และ จะว่าไป สังคมก็ไม่เคยได้อะไรจากการกระทำของผู้นำหรือกลุ่มคนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นนี้ เพราะสุดท้ายพวกเขาหรือเธอเหล่านั้นก็ลงเอยด้วยการพยายาม ปกป้องอำนาจหรือปกป้องตัวเองและพวกพ้อง

....เราสะใจเวลาเห็นคนชั่วถูกลงโทษทันควันจาก Death note หรือ จากปืนของเอริก้า เพราะมันเกิดขึ้นรวดเร็วดั่งใจ เป็นความสะใจทีได้เห็นคนชั่วถูกลงทัณฑ์ มันเป็นโอกาสที่ได้ตบหน้าระบบกฎหมายที่เชื่องช้าหรือไม่สมบูรณ์เพียงพอ แต่เมื่อเวลาผ่านช่วงไป นอกจาก คนที่ใช้อำนาจขาดความเที่ยงธรรม มันก็ยังมีคำถามชวนให้ต้องฉุกคิดว่า คนชั่วๆเหล่านั้นล้วนสมควรตายจริงหรือ ?

เด็กวัยรุ่นกวนเมืองบนรถไฟใต้ดินใน The Brave one ทำผิดจริง สมควรโดนลงโทษ แต่โทษของพวกเขาเหล่านั้นควรถึงขั้นกับการตายด้วยหรือไม่ ?

จะน่ากลัวเพียงใด ถ้ากฎหมายการครอบครองปืนอย่างเสรีทำให้ใครๆก็สามารถพกปืนได้ และ ตั้งตัวขึ้นมาเป็น ศาลเตี้ยตามจัดการคนร้ายที่กฎหมายปล่อยปละละเลย

นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคม การตั้งตนเป็นศาลเตี้ยยังมีผลที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัว

....ไลท์อาจไม่รู้สึกรู้สามากมายนัก เพราะ บุคลิกของเขาถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นเสมือนคนที่ไร้ศีลธรรมหรือไร้ Superego ในใจ สามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีสำนึกถูกผิด แต่ เอริก้า ไม่เป็นเช่นนั้น

เอริก้า บรรยายว่าเธอพบ คนแปลกหน้าอีกคนที่อาศัยอยู่ในตัวเธอ คนแปลกหน้าที่เริ่มคุ้นเคยกับปืน และ เริ่มใช้ปืนนั่นอย่างไม่ลังเลใจ ไม่ใช่แค่จัดการ คนที่เข้ามารุกราน

คนแปลกหน้านั้นแท้จริงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันก็คือ ความเจ็บปวด ความโกรธแค้นและความหวาดกลัวของตัวเธอเอง ที่เข้ามายึดครองตัวตนเดิมๆ

ดังนั้น แม้สมมติว่าสุดท้ายเธอได้ล้างแค้นด้วยมือของตัวเอง แต่ คนแปลกหน้าคนนั้นจะหายไปหรือไม่ เอริก้าจะสามารถมีชีวิตสงบสุขต่อไปหรือไม่ หรือ ต้องแบกความรู้สึกเลวร้ายในการฆ่าคนตามมา หรือ พร้อมจะฆ่าคนอื่นได้อีกเมื่อจำเป็น หรือ เอริก้าจะถูกแทนที่ด้วยคนแปลกหน้าตลอดไป

เพราะถ้าไม่สามารถสลัดหลุด สุดท้าย ไลท์ และ เอริก้า ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า ฆาตกร




....นีล จอร์แดน ผู้กำกับจอมเก๋าในวงการคนหนึ่ง แทบจะไม่เคยสร้างงานที่ทำให้นักวิจารณ์ต้องส่ายหน้า ผลงานที่ผ่านมามีทั้งขึ้นหิ้งอย่าง The Crying Game เป็นที่จดจำอย่าง Interview with the Vampire เขาหยิบพล็อตเชยๆเหมือนเหล้าเก่าเอามาเขย่าใหม่ในวิธีการชงของตัวเอง จนออกมาเป็นหนังดราม่าที่มีความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะแต่ก็ไม่ลืมที่จะใส่ฉากตื่นเต้นแอคชั่นเป็นระยะๆ

นีล จอร์แดน สร้างบรรยากาศของหนังในเรื่องนี้ให้อยู่ท่ามกลางความเศร้าเดียวดายในครึ่งแรก ผ่านภาพที่ถ่ายทอดอย่างนุ่มนวลและบทบรรยายของตัวละครแต่ละคนที่ล้วนมีความหมาย ยิ่งเพลงประกอบแต่ละเพลงที่เลือกมายิ่งทำให้ความรู้สึกเศร้าเอาตายเลยทีเดียว

โจดี้ ฟอสเตอร์ ในวัย 47 ปี ถึงจะต้องถูกบังคับจับให้โทรมแต่เธอก็ยังคงดูดีดูเด่นเป็นอย่างยิ่ง (ซึ่งบุคลิกตรงข้ามกับใน Inside man ที่ฉายแววฉลาดเฉียบคมและยังดูอ่อนกว่าวัยอย่างมาก) ในบทเอริก้า เบน เธอมอบการแสดงที่ดีๆอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบทแบบนี้ถ้าเล่นไม่ดีก็อาจจะออกเว่อร์เป็นอีสาวจอมโศก หรือ อีสาวจอมบู๊ ไปเลยได้ แต่เธอค่อยๆตีโจทย์ที่ได้รับอย่างละเอียดยิบ เธอค่อยๆทำให้เราได้เห็นรายละเอียดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นหลังการสูญเสียและ หลังการฆ่าคน ทำให้เราเชื่อถือการเปลี่ยนแปลงภายในตัวตนดีเจสาวคนนี้



อีกคนหนึ่งที่รับส่งบทกับโจดี้ ฟอสเตอร์ได้ยอดเยี่ยม คือ เทอเรนซ์ โฮเวิร์ด ในบทนายตำรวจเมอร์เซอร์ ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่เขียนมาได้ดีแถมนักแสดงก็ยังเล่นดีอีกต่างหาก บทของเขามีความน่าสนใจไม่แพ้ เอริก้า เบน เพราะ ถ้าเอริก้า เบน มีความลึกตรงผสม คนสูญเสีย + คนโศกเศร้า + คนหวาดกลัว + คนโกรธแค้น + คนแปลกหน้าที่คืบคลานเข้ามาแทนที่คนเดิม บท เมอร์เซอร์ก็มีความขัดแย้งในใจ ระหว่าง ความปรารถนากำจัดคนชั่วด้วยวิธีการนอกเหนือกฎหมาย แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะ อุดมการณ์และ Super ego ในตัวเอง




Spoiler Alert : เนื้อหาตัวสีเหลืองถัดจากนี้ มีเฉลยและพูดถึงตอนจบของหนัง


เมื่อหนังจบลง แว่บแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ไม่ค่อยชอบเพราะหนังพยายามยัดเยียดตอนจบแบบแฮปปี้ให้นางเอกรอด บวกกับ ความขัดเคืองที่ดูเหมือนหนังจะบอกกลายๆว่า ฝั่งแนวคิดผดุงตัวบทกฎหมาย เป็น ฝ่ายพ่ายแพ้ ฝั่งแนวคิดศาลเตี้ย

แต่พอลองคิดอีกรอบ ย้อนกลับไปตั้งแต่ดูหนังตัวอย่าง ผมเคยคิดล่วงหน้าไว้แล้วว่า พล็อตแบบนี้ หนังจะจบอีท่าไหน

นางเอกโดนจับ
นางเอกแก้แค้นสำเร็จแลกกับการตายของตัวเองเพราะถูกผู้ร้ายหรือตำรวจยิง
นางเอกลอยนวล
นางเอกแค่ฝันไป


ไม่ว่าจะเลือกจบทางใดมันก็ไม่พ้นข้อครหาว่า เก่าซ้ำซาก หรือ ไร้เหตุผลสิ้นดี

ดังนั้นการเลือกจบแบบในหนัง ลองคิดอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นการหาทางออกที่ฉลาดดีทีเดียว และ ก็ไม่ถึงกับเชิดชูแนวคิดศาลเตี้ยว่าถูกหรือเหมาะสม ยิ่งหนังขมวดความสัมพันธ์ของนางเอกและนายตำรวจไว้ตั้งแต่ต้น ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีตอนจบแบบไหนที่ดีไปกว่านี้

เป็นทางออกให้นายตำรวจเมอร์เซอร์ มีหลายอย่างที่เหมือน เอริก้า เบน ทั้งสองคนสูญเสียความรักไป ทั้งสองคนมีศัตรูเป็นคนชั่วที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ จะต่างก็ตรง แม้ เมอร์เซอร์ จะอยากกำจัดคนชั่วเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจเดินข้ามเส้นของกฎหมายไปได้ และ การตัดสินใจในตอนจบนี้เองก็เป็นสิ่งที่ลึกๆแล้ว เมอร์เซอร์ เองก็อยากทำมาตลอด

ในขณะเดียวกัน หนังก็ไม่ได้สนับสนุนแนวคิดศาลเตี้ยจนเกินไป เพราะ การมีชีวิตรอดและแก้แค้นสำเร็จ ก็ดูเหมือนไม่ได้ทำให้ เอริก้า กลับมาอยู่เย็นเป็นสุข ดูจากการวิ่งกระเซอะกระเซิงแล้วหนังปล่อยตัวละครทิ้งไป กับคำบรรยายตอนท้ายที่เอริก้าบอกว่า ในที่สุดคนแปลกหน้าเข้ามาแทนที่เธออย่างสมบูรณ์แบบ



สรุป ... ชอบ ไม่ผิดหวัง เชื้อเชิญคอหนังดราม่าว่า น่าไปดู โครงเรื่องอาจจะเชย แต่หนังก็ดูสนุก มีรายละเอียดมากไปกว่าเรื่องเดิมๆแนวนี้ที่เคยสร้างมา และ นักแสดงก็มอบความลึกให้กับบทได้คุ้มค่าตั๋ว ทั้งโจดี้ ฟอสเตอร์ , เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด และ นีล จอร์แดน คือ สามปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังไม่ควรพลาด

Link ที่เกี่ยวข้องใน Blog

Death Note , สมุดเล่มนี้ ดี จริงหรือ?

Death Note 2: The Last Name , ได้เวลาเก็บสมุดคืนเจ้าของ

Inside man , คน(ดี/ชั่ว) ใน คน(ดี/ชั่ว)




ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 18 กันยายน 2550
Last Update : 19 กันยายน 2550 12:56:41 น. 14 comments
Counter : 2505 Pageviews.

 
ไปดูมาแล้วค่ะ หนังส่งอารมณ์ได้ดีมากๆ ชอบค่ะชอบ


โดย: pomise (pomise ) วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:0:57:25 น.  

 
ตอนแรกที่ผมดูตัวอย่างเรื่องนี้ผมก็คิดถึง Death Note มากๆนะครับ เพราะตัวอย่างตัดมาราวกับว่าระบบยุติธรรมไม่พยายามช่วยเหลือเธอในการตามล่าหาฆาตกร แต่หนังจริงกลับลึกล้ำกว่านั้นไปหลายสเต็ป

ผมชอบตรงที่หนังให้น้ำหนักของศาลเตี้ย กับ ระบบยุติธรรมเท่ากัน

เอริก้าต้องอาศัยอยู่ในสภาวะที่เจ็บปวด ภาพของแฟนเธอที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ แม้จะเป็นความทรงจำที่ดีแต่ก็ยิ่งตอกย้ำให้แผลในใจลึกลงไปเรื่อยๆ และแม้เธอจะอยากแก้แค้น แต่ก็ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี คิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่ตัวเองทำลงไปนั้นถูกหรือไม่ เห็นได้ว่าตัวละครเอริก้านั้นมี complexity ในตัวสูงมาก นักแสดงที่ฝีมือไม่ถึงไม่สามารถเล่นได้แน่ๆ...

บทของ Terrence Howard เห็นด้วยกับพี่มาก เพราะบทนี้ก็มี complexity ในตัวสูงเช่นกัน หนังเลยแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราทุกคนย่อมต้องการ "ศาลเตี้ย" อยู่ลึกๆ จริงๆ ด้วย

ฉากที่ผมชอบมากๆ มีหลายฉากเหลือเกิน ตั้งแต่การตัดภาพฉากเซ็กส์ของคนทั้งคู่ กับการเร่งรีบปลดเสื้อผ้าของทีมแพทย์ฉุกเฉิน มันเจ็บปวดเหลือเกิน ที่ภาพช็อตต่อช็อตมันคล้ายกัน แต่อารมณ์มันต่างกันสุดขั้ว

และอีกฉากก็คงไม่พ้นฉากจบครับ คลาสสิกมากๆ
(ตัวเหลือง สปอยล์จ้า)

ผมว่าตอนนั้นมันเหมือนกับเธอตัดสินใจแล้วนะว่า เธอจะใช้ปืนของเธอเป็นครั้งสุดท้าย (แม้เราจะไม่รู้หรอกว่าหลังจากหนังจบแล้วทุกอย่างจะเป็นยังไง) เพื่อปลดล็อกจิตใจจากความแค้น และความเจ็บปวดของอาการอยากฆ่า (สังเกตจากตอนที่เธอปฏิเสธระบบยุติธรรม ทั้งๆที่ตำรวจจับตัวเม็กซิกันวิปลาสคนนั้นได้แล้ว) ตอนแรกเธออาจคิดว่าเธอฆ่าแล้วก็นอนคุก หรือโดนยิงตายไปก็ดี จะได้พ้นทุกข์ และคนแปลกหน้าก็จะครอบงำเธออย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ผมกลับมองว่า เมื่อการณ์กลับมาเป็นว่าเมอร์เซอร์เองก็เข้าใจเจตนาของเธอ เพราะเขาเองก็มีส่วนลึกที่นึกถึงกระบวนการศาลเตี้ย และทำให้เรื่องจบแบบนี้ น่าจะเป็นการปลดล็อกอีกชั้นของตัวเอริก้า เหมือนกับว่า "ในที่สุดก็มีคนเข้าใจฉัน" และคนแปลกหน้าก็คงไม่ต้องทำหน้าที่อีกแล้ว เพราะคนที่เธอแค้นก็ตายด้วยมือของเธอไปหมด





แต่ถ้ามองในแง่ที่ใหญ่กว่า individual ผมว่าตัวเอริก้าเป็นตัวแทนอเมริกาที่โดน 9/11 แล้วก็ดำเนินการศาลเตี้ยกับอิรัก และอัฟกานิสถาน....

ทัศนคติเราจะเปลี่ยนไปจากการมองแบบปัจเจกทันทีเลยนะ....


โดย: nanoguy วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:1:08:37 น.  

 
ผมว่าจริงๆ หนังเรื่องนี้น่าจะใช้ชื่อเรื่องว่า The Stranger within มากกว่า (หรือกลัวว่าชื่อจะไปซ้ำหนังเก่าเรื่องหนึ่ง อิอิ) เพราะทรีมของหนังไม่ได้บอกให้เราเข้าใจว่านางเอกกล้าหาญ มากมายอะไรนัก แต่เป็นเพราะเธอกลัวมากจนต้องหาทางปกป้องตัวเองมากกว่า และเมื่อเริ่มหันหน้าเข้าสู่ด้านมืด เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ตัวตนแปลกหน้าด้านมืดนั้น ก็เข้ามาครอบงำเธอทีละนิดทีละน้อย จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น

*** Spoil ***

ส่วนตัวผมว่าหนังเรื่องนี้ตั้งคำถามกับด้านมืดของเราได้ดีนะ ทำให้คนดูได้ถามตัวเองว่า ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้วคุณจะทำยังไง แม้ว่ามันอาจจะดูเวอร์ๆ ไปนิด ที่พอได้ปืนมาแล้ว ก็บังเอิญให้ต้องมาเจอเหตุการณ์บีบคั้นเร่งส่งมากมาย ติดๆ กันขนาดนั้น แต่ก็ต้องเข้าใจเนอะ ว่าหนังมันมีเงื่อนไขของเวลาจำกัดอยู่ เล่านานไม่ได้ ก็ต้องรีบใส่ๆ ไป

สิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องนะ มันทำให้เรารู้สึกลุ้นตามไปด้วย ทั้งๆ ที่สามารถเดาตอนจบได้ไม่ยาก ว่ามันก็มีแค่สองหน้าแหละ คือไม่ได้ฆ่า กับได้ฆ่าล้างแค้นสมใจ แต่แม้จะรู้อย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าเบื่อเลย ยังคงความน่าลุ้นอยู่จนกระทั่งจบ

อีกอย่างหนึ่งที่ชอบก็คือเพลงประกอบ Answer ที่ผมว่าช่วยทำให้เราเข้าใจอารมณ์ของนางเอกมากขึ้นเยอะเลย


ส่วนที่ไม่ชอบก็คือตอนจบ ผมไม่ชอบเท่าไหร่ที่จะสรุปสั้นๆ ง่ายๆ แบบนี้ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตัวนางเอกที่วิ่งหนีกระเซิงไปแบบนั้น เธอจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป ในเมื่อสังคมที่เธออยู่ก็ยังเป็นสังคมแบบเดิมๆ และเธอก็ต้องเผชิญกับปัญหาเดิมๆ หากยังพาตัวเองไปเดินในจุดเสี่ยง ในเวลาเสี่ยงๆ แบบนั้น

สุดท้ายจะต้องหันหน้าไปหาปืนเถื่อนอีกหรือเปล่า อันนี้ก็น่าสงสัยอีกเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่าเธอจะก้าวผ่านออกมาจากด้านมืดที่ครอบงำได้หรือไม่


สรุปส่งท้ายว่าไม่ผิดหวังกับการดูหนังเรื่องนี้ครับ เป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่ง ในช่วงที่หนังดราม่าไม่ค่อยมีเข้าฉายสักเท่าไหร่ในช่วงนี้


โดย: Mr. Forever IP: 58.8.174.242 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:7:39:15 น.  

 
ตอนจบผมซึ้งจนน้ำตาจะไหลอะคิดดู
ยิ่งเพลง answer ของเจ๊ซาร่าห์ขึ้นมาอีก บิ๊วท์ซะ...

ชอบการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ พาเราเข้าใจจิตใจของเอริก้า
โดยเฉพาะตอนที่เธอยิงปืนครั้งแรกในซูเปอร์มาเก็ต


โดย: dog mulder IP: 203.144.230.209 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:8:59:24 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลยค่ะ แฮะ..แฮะ...

เข้ามาเพราะเจอคำว่า DeathNote ค่ะ

แต่ก็เห็นด้วยเลยนะคะ กับ "แต่นานวันผ่านไป สังคมกลับไม่ได้อะไรจาก อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของไลท์ และ จะว่าไป สังคมก็ไม่เคยได้อะไรจากการกระทำของผู้นำหรือกลุ่มคนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นนี้ เพราะสุดท้ายพวกเขาหรือเธอเหล่านั้นก็ลงเอยด้วยการพยายาม ปกป้องอำนาจหรือปกป้องตัวเองและพวกพ้อง"

ขอบคุณมากๆนะคะที่เขียนให้อ่าน ^ ^


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:9:22:33 น.  

 
เห็นหน้าเจ๊โจดี้ ก็พาลไม่อยากดูหนัง เพราะเบื่อสาวเก่งโคตร คนนี้เหลือเกิน แถมเสื้อผ้าหน้าผมแอ๊บแบ๊วอีก เฮ้อ ยิ่งอคติกับเจ๊ไปกันใหญ่เลย

อ่านเนื้อหาด้านบนแล้ว รู้สึกว่า หนังเข้าไทยได้จังหวะดีจริงๆ ทั้งคดี หมูแฮม มาม่า และอีกคดีคล้ายๆ กัน ดูแล้วคงรู้สึกเหมือนได้ระบายไอ้ความหงุดหงิดกับกฎหมายบ้านเรา

ชอบไอเดียที่ เมืองที่เธอรัก กลายเป็น เมืองที่เธอกลัว


โดย: ban_ri (ban_ri ) วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:13:53:33 น.  

 
ชอบ Jodie Foster ครับ ไม่เหมือนใครบางคน ต้องดูเพราะ Jodie Foster เพราะการแสดงของเธอไม่แบอย่างใครบางคนด่า (ว่า)


โดย: tOK IP: 125.24.52.235 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:15:15:50 น.  

 
+ "ดูจากคะแนนวิจารณ์จากเว็บก็ไม่สูงเท่าไหร่, พล็อตรึก็ดูเชยๆ คุ้นๆ ... ที่น่าดูของเรื่องนี้ก็คง ผกก.นีล จอร์แดน กับโจดี้ ฟอสเตอร์นั่นแหละ" ... อันนี้คือความคิดผมก่อนที่จะได้อ่านที่คุณจขบ. และ คห. บนๆ เขียนไว้ ... และจากที่ลังเลและตั้งใจจะบอกผ่านไปในตอนแรก เลยกลายเป็นว่าผมอ่านข้ามตัวเหลืองและส่วนสปอยล์ของทุกคนไป ... ถ้ามีเวลา คงจะต้องแว้บไปดูซะแล้วครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:15:26:33 น.  

 
เจ้ จูดี้ โชว์พลังมากครับในเรื่องนี้ สามารถเปลี่ยน look ของตัวเองจากตอนต้นเรื่อง จนมาท้ายเรื่อง คล้ายๆ complex จึงถือได้ว่าหากไม่ได้เจ้มานี่คงอยากที่จะหาใครมารับบทนี้

เนื้อเรื่องแม้นเดาง่าย แต่ก็สมแล้วที่เป็นหนังดราม่าที่สามารถจะพยายามสื่อ อะไรหลายๆอย่างให้กับคนดูว่า " หากเป็นเรา แล้วเราจะทำแบบนั้นหรือเปล่า " หรือ " ต่อไปจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ทำแบบนั้น "

สำหรับตอนจบ ผมว่าจบได้ดีมาก ถึงมากที่สุด เพราะผมไม่ต้องการคำตอบที่เสร็จสรรพ แค่ให้รู้ว่าคุณ ตำรวจนั้น ตัดสินใจอย่างไรในตอนสุดท้าย ถือว่า หนังทำได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ส่วนอนาคตของ เอริก้า จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ให้ไปคิดเอาเองจะดีกว่า

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆอีกครั้งครับ


โดย: Story of Winter IP: 58.10.198.222 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:9:46:24 น.  

 
หวัดดีค่ะ
เราก็ซื้อหนังสือคุณอ่านนะคะ
ในหนังสือมีหลายเรื่องที่เรายังไม่ได้ดู..เราก็ไปหามาดู
หนังสือของคุณก็เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆเล่มหนึ่ง
ที่ทำให้เราลุกขึ้นมาหัดทำบลอคของตัวเองบ้าง
แต่เราเขียนเกี่ยวกับซี่รี่ย์ค่ะ..เกาหลีญี่ปุ่นส่วนใหญ่
เราเองก็ชอบดูหนังเกือบจะทุกประเภท
แต่ไม่บังอาจเขียนวิจารณ์หรอกค่ะ
เลยเขียนแต่มุมมองดีๆที่ได้จากละครแต่ละเรื่อง
หนังศาลเตี้ย โดนผู้หญิงเป็นหัวหน้าศาลก็ชอบนะ
พอดีตอนนี้เรากำลังชอบซี่รี่ย์เกาหลีเรื่องหนึ่ง
เป็นแนวศาลเตี้ยเหมือนกันค่ะ ชื่อเรื่อง The Devil แต่เป็น
A (เด็กชายคนซื่อ) --> ถูกกระทำย่ำยี --> B (นักวางแผนฆ่าจอมเลือดเย็น)
เค้าไม่ได้ลงมือทำเองหรอกค่ะ..แต่ยืมความเกลียดชังของคนอื่นมาแก้แค้นแทนเค้า
เค้าแค่วางหมากให้คนอื่นเดินไปตามที่เค้าต้องการแค่นั้น
เราชอบเพราะหนังเรื่องนี้ใชสัญลักษณ์แทนคำพูดได้มากมาย คำคมให้คิดก็เยอะและจริงใจดี
สรุปว่าชอบมากค่ะ

แล้วจะแวะมาอ่านอีกนะคะ


โดย: NanCy_T วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:14:31:24 น.  

 
+ เมื่อวานพอดีผมมีเวลาว่างนิดนึง มีโควต้าดูได้ 1 เรื่อง ... ชั่งใจระหว่าง สายลับจับกิ๊ก กับเรื่องนี้ และสุดท้าย ก็เลือกดู The brave one ตามแรงเชียร์ของเหล่าบล็อกเกอร์หลายๆ ท่าน
+ ดูแล้วก็เหมือนเป็นเรื่อง 'ล่า' ฉบับ realistic เลยนะครับเนี่ย ... เพราะหนังที่มีพล็อตศาลเตี้ยและการย้อนกลับไปแก้แค้นแบบนี้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญของการประเด็นทางจิตวิทยาและการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของตัวเอกเท่าไหร่ ... แต่เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน (ถึงแม้ว่าหลายๆ สถานการณ์ที่ใส่เข้ามา จะดู 'บังเอิญ' ไปนิดนึง) ... ก็ถือว่าโจดี้ ฟอสเตอร์ ยังเอาหนังเรื่องนี้อยู่เช่นเคย เพราะถึงแม้เธอจะรับบท 'หญิงเก่งหัวใจแกร่ง' อีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่แนวเดิมๆ ซะทีเดียว ... ส่วนเทอเรนซ์ ฮาเวิร์ด หลังจากถูกจับตามองจากหนังก่อนหน้านี้หลายๆ เรื่อง ก็สามารถรับส่งอารมณ์กับโจดี้ได้ดี โดยไม่ถูกข่มรัศมี

### Spoil (นิดๆ) จ้า ###
+ หนังคลี่คลายแบบนั้น เหนือความคาดหมายผมเหมือนกันนะครับ และถือว่าสามารถหาทางออกได้ดีตามธีมของ 'คนแปลกหน้าอีกคนในตัวเรา' และ 'เมืองคุ้นเคยที่กลายเป็นเมืองไม่คุ้นเคย' ที่หนังปูมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ... รวมทั้งทำให้จบได้ไม่ซ้ำแบบใครอีกด้วย
+ สำหรับประเด็น 'ศาลเตี้ย' จริงๆ แล้วแทบทุกคนก็อาจมีความรู้สึกนี้อยู่ลึกๆ ก็ได้ครับ ... เพราะคนชั่วบางคน เงื้อมือของกฎหมายก็เอื้อมไปไม่ถึงพวกเค้าจริงๆ จะรอให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ก็อาจจะช้าเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจต้องล้มตายอีกหลายชีวิต ... ถ้าในชีวิตจริง เป็นได้แบบนี้ก็อาจจะดีเหมือนกันนะครับ
### จบ spoil ###


+ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอคุยโยงไปถึงประเด็นทางสังคมหน่อยนะครับ ... พอดูหนังเรื่องนี้จบ เลยทำให้ผมคิดเลยเถิดไปถึงประเด็นเกี่ยวกับการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยฝ่ายเชิดชูสิทธิมนุษยชนที่เป็นข่าวในช่วงก่อน ซึ่งอ้างว่ารัฐธรรมนูญใหม่ระบุว่าโทษประหารชีวิตถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
... ถ้าถามผม (และอาจรวมถึงคนดีๆ อีกหลายๆ คน) ก็คงต้องบอกว่าไม่เห็นด้วย (คงไม่ต้องถึงขั้นพูดว่า "รอให้ญาติของผู้เรียกร้องโดนก่อน แล้วถึงจะคิดกลับใจเปลี่ยนคำพูด") ... ใจจริงทุกคนก็คงไม่อยากให้ใครตาย แต่ผมว่ากฎหมายนี้มันเอาไว้สำหรับ "ป้องปราม" ใครบางคนที่มีหิริโอตตัปปะในใจในระดับต่ำ ว่าอย่างน้อยถึงจะไม่รู้สึกผิด แต่ก็ยังยำเกรงกฎหมายอยู่บ้าง ... ไม่งั้นสังคมไทยในวันข้างหน้า อาจจะน่ากลัวกว่าเมืองนิวยอร์กที่เห็นในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ที่คนชั่วทุกคนอยากทำอะไรก็ทำ อย่างมากก็แค่ติดคุกเอง ... แต่ก็คนที่จะซวย ก็คือคนดีๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:17:25:34 น.  

 
^
^
พวกนั้นแกเป็นฝ่ายสิทธิมนุษยชนจ๋าน่ะครับ สุดโต่งไปหน่อย คือไปเอามาจากรัฐธรรมนูญอเมริกันที่เขียนไว้ว่า "คนทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่" อะไรแบบนั้น
ไปๆมาๆ นักโทษก็เลยมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่เช่นกัน แม้ว่าโทษจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตามที ตามความคิดของคนกลุ่มนั้น...

ส่วนตัวก็เห็นด้วยเรื่องสิทธินักโทษ แต่โทษประหารชีวิตก็ยังต้องมีนะ (เอาแค่ตอนนี้ตัดสินประหารไปกี่คดี เดี๋ยวในหลวงท่านก็อภัยโทษลดโทษอยู่ดี ไปๆมาๆ ก็ติดแค่ 20 ปีเองมั้ง)


โดย: nanoguy วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:0:50:49 น.  

 
เพิ่งไปดูมาเองครับ ชอบตอนจบ เพราะมันหักมุมในความคิดผม

สปอยล์***************

ตอนแรกผมคิดว่า ยังไงซะตำรวจต้องจับเธอแน่ เพราะตอนกลางเรื่องพระเอกบอกแล้วว่ายังไงก็ไม่ปล่อยคนทำผิดลอยนวลแน่ แม้จะเป็นคนใกล้ชิดกันก็ตาม

แต่ที่น่าผิดหวังนิดหน่อยคือเรื่องความไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 911

ผมเชื่อว่าอเมริกา โดยเฉพาะนิวยอร์ค ต้องมีกล้องรักษาความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ

แต่นี่ไม่มีภาพหลักฐานจากกล้องบันทึกเหตุการณ์หน้าร้านซูเปอร์มาร์เกต สถานีรถไฟใต้ดิน หรือกล้องวงจรปิดภายในลานจอดรถของผู้ร้ายเลยหรือ?

นี่จึงทำให้เนื้อเรื่องอ่อนลงหน่อย

แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นหนังที่คุ้มค่าต่อการดูอยู่ดี

ปล.ช่วงหลังไม่รู้เป็นไง เริ่มรู้สึกเห็นด้วยกับศาลเตี้ยมากขึ้นทุกที


โดย: ฆ่าไม่นับสับไม่เลี้ยง IP: 124.121.104.184 วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:4:42:11 น.  

 


สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม
หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง
ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน


โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:16:45:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
18 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.