www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

หนีตามกาลิเลโอ , ถึงภาพรวมจะผิดหวัง แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ชื่นชม



.. ผมคิดว่า ช่วงนี้ 'ต่อมรสนิยมมวลชน' ของผมคงจะมีปัญหา คล้ายๆกับ ตุ๊กกี้ที่มีปัญหาที่โพรงจมูก

เพราะ แฮรี่ 6 ที่คนบ่นๆกัน ผมชอบมาก , Public enemies ที่คนหาวๆกัน ผมชอบมาก , Transformer 2 ที่คนมันส์ๆกันมากๆ ผมดูแล้วเนือยๆ

พอมาถึงเรื่องนี้ คนที่เดินออกจากโรงข้างหน้าหันไปบอกเพื่อนว่า “ชอบจังเลยแก ซึ้งงงง” ส่วนผมกลับมีคำตอบเวลาคนถามถึงเรื่องนี้ว่า “ก็ดี”

ทั้งๆที่ ถ้าจะหาใครซักคน เป็นหน้าม้าเชียร์หนังของ ผู้กำกับ ต้น-นิธิวัฒน์ จาก ซีซั่นเช้นจ์ ต้องมีผมอยู่ในกลุ่มนั้น เพราะ ซีซั่นเช้นจ์ เป็นหนังของ GTH ที่ผมถึงขั้น รักและอินมากมาย

ชื่นชอบฝีมือของผู้กำกับคนนี้มากสุดในก๊วนแฟนฉัน เพราะชอบ หนังรักสไตล์อาดาจิผสมชุนจิ(อิวาอิ) ที่ เล่าน้อยพูดน้อย แต่ให้ภาพส่งอารมณ์มายังคนดู แถมแต่ละภาพที่ถ่าย ล้วนมีความหมายที่ต้องสังเกต หากคิดตามก็จะยิ่งซึ้งมากขึ้น (เช่น การกางร่มใน ซีซั่นเช้นจ์)



... หนีตามกาลิเลโอ ก็ยังมีสไตล์แบบนั้นอยู่ แต่ เป็นหนังที่จะชอบก็ชอบไม่สุด เพราะพอกำลังจะอินต่อเนื่อง หนังก็มีจุดสะดุดอยู่ตลอดทำให้รู้สึกว่ามันแปร่งๆ แต่ถ้าจะให้เกลียดก็คงเกลียดไม่ลง เพราะดูๆไปอีกแป๊บก็จะมีฉากที่ต้องชื่นชมผู้กำกับว่า ช่างคิด หรือ ขยันปล่อยฉากขยี้ ต่อมจี๊ด ให้สะเทือนใจ

ตอนดูแบบไม่คิด

-สองสาวน่ารักท่วมท้น เต้ยยิ้มทีใจละลาย ส่วนต่ายก็เล่นได้ดียิ่งขึ้นกว่าตอน ซีซั่น เช้นจ์

- ถ่ายภาพไม่ได้สวยมากขนาดที่ว่า ดูหนังแล้ว โอ้ววว อยากไปจัง เหมือนหนังหลายเรื่องที่ใช้โลเคชั่นได้คุ้ม เสียดายที่ อุตส่าห์ไปหลายประเทศ แต่ ถ้าเอาว่าดูเพลินๆแล้วก็เพลินดีที่ได้ไปเที่ยว

-ฉากยกป้าย น่ารักอีกแล้ว อยากไปทำแบบนั้นบ้างจัง




ตอนดูแบบคิด


สิ่งที่ชอบ

1.หนังพูดถึง การหนี ... มันจี๊ด ที่หนังทำให้เห็นว่าในชีวิตของคนทุกคน ต้องเคยหนีอะไรบางอย่าง หนีความรู้สึกผิด หนีความเจ็บปวด ฯลฯ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องเจอ แต่ ไม่อยากจะยอมรับ

ตอนเห็นตัวอย่างของหนังพูดถึง สองสาวหนีไปนอกเพราะ อกหัก กับ ติด F ทำให้ผมคิดถึงหนังอย่าง The Holiday ที่หนีความเจ็บปวดด้วยการย้ายที่พัก สาวๆจากหนังสองเรื่องนี้คิดว่า การเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนรูปแบบชีวิต จะทำให้อะไรๆดีขึ้น

ข้อคิดดีๆที่เราได้จาก การหนี ไม่ว่าจะเป็น The Holiday หรือ หนีตามกาลิเลโอ คือ เราไม่สามารถวิ่งหนีอะไรได้พ้น หากเพียงแค่ เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนคนอื่น ยกเว้น เราจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่น เปลี่ยนวิธีการคิด , เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ฯลฯ


2.หนังพูดถึง การทำผิด ... ช่างคิดดี กับ การเขียนบทให้ นางเอก ไม่ใช่คนดีแม่พระ แต่ติดนิสัยขี้โกง + ไม่เคยยอมรับผิด + ไม่คิดเปลี่ยนแปลง + ชอบโทษคนอื่น

ตั้งแต่ ทำผิดเรื่องใช้ห้องโดยไม่ขออนุญาตแล้วปลอมลายเซ็น พอโดนครูจับได้ก็ไปจ้องหาความผิดของครู , ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟก็ต่อว่าลูกค้าโดยลืมไปว่าตัวเองต้องปรับตัวในฐานะผู้ให้บริการ , เพื่อนบ้านมาตักเตือน ก็ไปหาข้อผิดของเขามาตอกกลับ , สนุกกับการโกงเล็กๆน้อยๆเช่น ไม่จ่ายค่าตั๋วรถไฟ , โกงเจ้าของร้านหาเงินไปสนุก ฯลฯ

หนังวาดภาพของ คนที่มักจะมองเห็นแต่ความผิดของคนรอบข้าง แต่ไม่ยอมมองเห็นความผิดตัวเอง เหมือน คนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

และ แอบสงสัยว่า ผกก.ไปได้ โมเดล ‘คนเก่งแต่โกง ไม่เคยยอมรับผิด คิดแต่ว่าคนอื่นผิดอยู่ร่ำไป จนต้องหนีไปเมืองนอก’ แบบนี้มาจากใครกัน




3.ตัวละครของเรย์ ... เฉยๆกับการแสดงของเรย์ เพราะรู้สึกว่า เขาก็เล่นได้แค่ตามมาตรฐานของตัวเอง ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ ชอบบทหนังที่สร้างคาแรคเตอร์ของเขาให้มาตีแสกหน้าใส่คนที่ชอบ หนีปัญหา ได้ดี โดยทุกๆไดอะล็อกของเรย์ สามารถตอกกลับคนที่ชอบอ้างเหตุผลเพื่อหนีปัญหาได้เป็นอย่างดี


4.ซีนอารมณ์ ... พวกฉากที่สื่ออารมณ์ประมาณ ความรักหนุ่ม-สาว หรือ ความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ทำได้ดีมากๆ เช่น ฉากเปิดเรื่องต้นเหตุของการหนีของสองสาว อย่าง ตอนบอกเลิกเพราะปัญหา(จี๊ด) หรือ บอกลาพ่อพร้อมกลับมากอด(จี๊ด) แต่ พอมาถึงเมืองนอก อารมณ์ที่กำลังขึ้นๆก็ดร็อปลงทันที กลายเป็นเนือยๆ ทั้งที่ มันไม่ใช่จะต้องเนือย ก่อนจะมาจี๊ดเป็นพักๆเช่น ฉากโทรกลับบ้าน(จี๊ด) , ฉากยืนถือป้าย(จี๊ด)


สิ่งที่ไม่ชอบ

1. พัฒนาการของตัวละคร และ การคลี่คลาย ...... น่าเสียดายมากๆ ที่ สิบนาทีแรกของหนังที่นำเสนอปัญหาของแต่ละคน ผูกปมที่ทำให้สองคนต้องหนี คือ ‘ติด F’ กับ ‘อกหัก’ โดยปมที่แท้จริงนั้นคือ ‘ทำผิดไม่กล้ารับผิด’ กับ ‘มีปัญหาแต่ไม่คิดแก้ไข’ เป็น ปมที่หนักและน่าสนใจ

หนังร่ำๆ เหมือนจะแสดงให้เห็น การเรียนรู้และเติบโตของตัวละครผ่านการใช้ชีวิตเมืองนอกร่วมกัน แต่ ดูไปเรื่อยๆกลับไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร และ รู้สึกว่า หนังหาทางออกให้ตัวละครแบบ คิดง่ายๆทั้งๆที่ผูกปมยากๆไว้

เช่น คนทำผิดแบบต่าย ช่วงแรกทำให้เราคิดว่า ยายคนนี้นิสัยไม่ดี ตั้งแต่ การทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงตอนจบถึงขนาดทำให้เพื่อนเดือดร้อนก็ไม่คิดจะทำอะไร แล้วมาคลี่คลายด้วยการขอโทษหนึ่งครั้งตอนอยู่คนเดียวเหงาๆ โดยมีชีวิตแสนสบายทำงานเมืองนอกต่อหลังจากเพื่อนไม่อยู่

จากที่ไม่ชอบนิสัยของนางเอกตอนแรก หนังจบแล้วก็ไม่ได้ทำให้ ผมกลับใจมารักตัวละครตัวนี้มากขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนเธอยังไม่ได้สำนึกอะไรเลย



... ส่วน เต้ย เริ่มต้นเป็น ตัวละครสำคัญเท่าเทียมกับ ต่าย แต่ เรื่องผ่านๆไป ชีวิตของตัวละครตัวนี้กลับบางเบาเหลือเกิน จนแทบจะเป็นตัวสมทบให้ ต่าย โดดเด่นเสียมากกว่า

เพราะ เต้ย ก็ดูจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจาก ปัญหาความสัมพันธ์ของตัวเอง ที่หนังตั้งท่าได้ดี เหมือนจะบอกว่า เธอชอบรุกล้ำขอบเขตคนอื่น มีรูปวงกลมสองวง ดูราวกับจะพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ และ หนังก็พูดเหมือนกับยังมีเยื่อใยกับแฟนเก่าอยู่ตลอด

แต่หนังก็ทิ้งประเด็นนี้ไป แล้วให้ เธอหายเศร้าเพราะเจอคนใหม่แทน



2.ความทำให้ฟีลกู๊ด และ ความง่าย ... ปัญหาของผม ที่มีต่อหนัง GTH ระยะหลังๆ คือ รู้สึกตัวหนังพยายามมองโลกในแง่ดีมากเกินเหตุ ประมาณว่า อยากจะสร้างปีศาจ แต่ก็ลดทอนความน่ากลัวของปีศาจไม่ให้ชั่วร้ายหรือน่ากลัวจนเกินไป

คือ จะสร้างหนัง feel – good ก็เข้าใจ แต่บางกรณีเนื้อหามีความจริงจัง มีสถานการณ์เลวร้าย แต่ สุดท้ายก็ให้ลงเอยแบบ softๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกดี

หรือ เจอปัญหาเจอปม ก็คลี่คลายกันได้ง่ายๆ และ หลีกเลี่ยงความโหดร้ายตามที่ควรจะเป็นของชีวิต ไอ้ที่น่าจะโกรธก็ให้อภัยกันง่ายๆ , ไอ้ที่จะน่าจะผิดหวังก็หาทางให้สมหวังกันได้ ฯลฯ

คือ มันครึ่งๆกลางๆ เหมือนบางครั้ง ตัวผู้กำกับ อยากจะสร้างสะท้อนความเป็นจริงที่เลวร้าย เห็นชัดว่า พยายาม อยากระบายสีดำในชีวิตตัวละคร แต่ก็ไม่กล้าพอ เลยพยายามใส่สีขาวให้ออกมาเทาๆเพื่อความสบายใจ


3.ความโต้งของการโฆษณา ... ไม่ได้รังเกียจรังงอนการโฆษณาสินค้าในหนัง เพราะหนังฝรั่งก็ทำกัน แต่ในหนังไทยหลายเรื่องแล้ว(ไม่เฉพาะเรื่องนี้)มันดู โต้ง ไปมั้ย

น่าจะมีวิธีการที่เนียนกว่านี้หน่อย อย่างในเรื่อง ดูจงใจใส่ฉากบางฉากเพื่อโชว์สินค้ากันโต้งๆ เช่น โซนี่ วาโอ้ววว จะโผล่ทั้งที น่าจะมีที่มาที่ไปบ้าง เช่นให้เห็นว่า ตัวละครใช้มาก่อนที่สอดคล้องกับเนื้อหาก็ยังดี แต่ ฉากนี้โผล่มาดื้อๆ เหมือนเพื่อแสดงการขาย

ลองเทียบกันชัดกับ The Taking of Pelham 1 2 3 ที่ฉายอยู่ที่ขาย โซนี่ วาโอ้ววว เหมือนกัน แต่ มีวิธีนำเสนอได้แนบเนียนไปกับเนื้อเรื่องกว่าจนไม่รู้สึกว่า โดด ออกมา



สรุป ... ข้อดีโดดเด่นที่พอจะกลบข้อด้อยของหนัง คือ ความน่าร้ากกกก ของ ต่ายกับเต้ย + ข้อคิดและจุดจี๊ด ที่แทรกอยู่เป็นพักๆ จนพอจะทำให้มองข้ามข้อด้อยไปได้

แต่เมื่อใดก็ตามที่เริ่มไม่เพลิน หรือ กลับมาคิดตาม มันไม่สมูธราบรื่น เหมือนตอนดู ซีซั่น เช้นจ์ ที่พาอารมณ์ของคนดูเดินทางไปกับหนังได้อย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องนี้บางช่วงก็ดร็อปลง บางช่วงก้เนือยๆ แถมยังรู้สึกขัดๆไม่คล้อยตามอีกต่างหากในบางสถานการณ์

(เดาว่าปัญหาส่วนหนึ่งจากที่อ่านสัมภาษณ์ มาจาก ขนาดของหนังที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ การถ่ายทำแบบกองโจรต้องรีบๆแอบถ่ายกับโยกย้ายสถานที่บ่อยๆ เป็น ส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถ เกลี่ยหนัง หรือ กลับมาถ่ายแก้ เพื่อให้ได้ความลงตัว ง่ายเท่าเรื่องที่แล้วที่ถ่ายเฉพาะในไทย)

ส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่ ดูหนังตัวอย่าง ดูชื่อผู้กำกับและนักแสดง ทำให้คาดหวังสูง(ระดับ เพื่อนสนิท หรือ ซีซั่นเช้นจ์) จึงผิดหวังมาก เป็นหนังดีดูเพลินระดับ ดีใช้ได้ ไม่เสียดายตังค์ แต่ยังไม่โดนถึงขั้นรัก แต่ อย่างน้อยก็ยังเห็นว่า ความตั้งใจและสไตล์ของผู้กำกับ ต้น - นิธิวัฒน์ ยังคงมีอยู่ ชวนให้ยินดีตามติดเป็นแฟนคลับหนังของเขาต่อไปอีก



Link บทความที่เกี่ยวข้อง

Seasons change, เมื่อ"เพื่อนสนิท"กลายมาเป็น"แฟนฉัน"ในวันที่"อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย"

เพื่อนสนิท , เมื่อเส้นแบ่งของ "คนรัก" กับ "เพื่อน" เริ่มเลือนราง

The Holiday , จะทำอย่างไรในวันที่ใจเจ็บ








Create Date : 27 กรกฎาคม 2552
Last Update : 29 กรกฎาคม 2552 21:15:53 น. 24 comments
Counter : 13797 Pageviews.

 
ในเรื่องที่กล่าวถึงมา ผมเคยดู transformers เรื่องเดียวเองครับ ซึ่งก็ดูเพลินๆ ไป แต่หนังจบก็จบ ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ^^ แหะๆ

ส่วนเรื่องหนีตามกาลิเลโอนี่ ยังไม่ได้ไปดู ส่วนหนึ่งเพราะคนรอบข้างมองด้วยความหวาดระแวงว่านางเองทั้งสองคนจะหันรักกันเองหรือเปล่า


โดย: เจรามี วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:44:41 น.  

 
เห็นด้วยค่ะ คือดูเรื่องนี้แล้วพูดตรงๆว่าผิดหวัง ไม่ได้เกลียดในเรื่องของการโฆษณา แต่สิ่งที่ถ่ายทำมาในภาพยนตร์เรื่องนี้มันมากเกินไป และจงใจเกินไปจนน่าเกลียดด้วย ในส่วนของบทบาทการแสดงของตัวละครทั้งสองคน ตอนเล่นซีนอารมณ์ทำให้รู้สึกอินแบบสูงปรี๊ด(เพราะดิฉันเองก็เจอกับเหตุการณ์แบบนั้น รู้ดีว่ารู้สึกยังไง) แต่ก็เช่นเดียวกัน ทำให้อารมณ์ตกลงอย่างรวดเร็วเช่นกันจากนั้นก็ตัดไปยังฉากที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยส่วนตัวคิดว่าหนังมีการตัดทอนออกไปเยอะมาก จนไม่ค่อยจะเห็นถึงความสัมพันธ์และพัฒนาการของตัวละคร คือดูจากชื่อผู้กำกับแล้วคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ค่ะ


โดย: hedzaa IP: 125.27.48.187 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:11:52 น.  

 
คิดเหมือนผมเลยครับ
รู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้
ไม่เหมือนตอนที่ดุซีซั่นเชนจ์เลย


โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:17:57 น.  

 
ไม่สนุกเลยค่ะ ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ

แต่ชอบมากๆ โดนมากๆ

แต่คงไม่ดูซ้ำ

วิว ถูกบดบังด้วยความเศร้า ทำไมหนังเศร้า ชอบไปถ่ายที่วิวสวยๆยังงี้ไม่รู้ และเน้นเนื้อหาการทำงานของสองคนนี้มากไปหน่อย เยิ่นเย้อ

แต่ชอบตอนเรย์ ยกป้ายท่ามกลางผู้คน แล้วมีคนยกมือ มันคลายความเหงาและเศร้าไปเยอะเลย

ไม่ชอบตัวละครที่ต่ายเลย แต่ต่ายเล่นดี ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นคนยังงั้นจริงๆ

น้ำเสียงและหน้าตาของพ่อเชอรรี่ ออกมาแต่ละครั้งเล่นเอาสายฝนน้ำตาซึมเลยค่ะ กระแทกใจอย่างแรง
ชอบholiday มากกว่ามากๆ

ชอบประเด็นทีคุณเขียนเรื่องการหนีนะคะ คิดอยู่เหมือนกัน
เรื่องนี้ให้อะไรสายฝนเยอะเลยค่ะ


โดย: i am saifon IP: 125.26.79.242 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:07:30 น.  

 
สิ่งที่ไม่ชอบข้อ 1 ผมเห็นด้วยทั้งหมดครับ
โดยเฉพาะเรื่องอีรี่ไม่สำนึกเนี่ย ใช่เลย
แต่โดยรวมก็ ok นะ ดูเพลิน ๆ


โดย: เอ IP: 203.156.64.33 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:25:42 น.  

 
ไม่ได้ไปดูเรื่องนี้คะ
กะว่าค่อยหาแผ่นมาดู อิอิ


โดย: fondakelly วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:59:59 น.  

 
โดยส่วนตัวรู้สึกว่า อารมณ์ของหนังมันโดดๆ ไปหน่อย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่ามีเวลาในการถ่ายทำจำกัดด้วยรึเปล่า เพราะถ้าเทียบกับเรื่องก่อนหน้า ผมคิดว่าบางฉากน่าจะทำได้ดีกว่านี้


อีกส่วนที่อยากจะพูดถึงคือเรื่องบทภาพยนตร์ บางช่วงผมรู้สึกเหมือนเอาหนังสือแฉชีวิตนักเรียนนอกมาทำเป็นหนัง(แค่นั้น) ซึ่งคิดว่าถ้า ผกก ทำการบ้าน หรือหาคนเขียนบทที่มีประสพการณ์ต่างประเทศมากกว่านี้หน่อย หนังเรื่องนี้ดูจะมีแง่มุมที่น่าสนใจมากกว่าหนังของคุณหนูสองคนหนีไปเที่ยวเมืองนอก แค่นั้นเอง



สรุปโดยรวม ผลงานเรื่องที่สอง ของ คุณนิธิวัฒน์
ก็ถือว่าสอบผ่านเมื่อเทียบกับมาตรฐาน GTH
แต่สอบตกเมื่อเทียบกับงานเรื่องก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง


โดย: Deisel Boy IP: 112.143.34.229 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:01:26 น.  

 
เห็นด้วยกับเรื่อง วาโอ้ว


โดย: FU IP: 124.120.219.69 วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:28:02 น.  

 
ความเห็นผม สปอยล์นะครับ เคยโพสต์ไว้ในพันทิป

---------------------------------------------------------
หนีตามกาลิเลโอ ปมที่ผูกไว้ แต่ยังมิได้แก้

เมื่อดูหน้าหนังและเรื่องย่อของ หนีตามกาลิเลโอ คิดว่าคนที่ดูหนังบ่อยๆ ก็คงไม่ต้องสงสัยว่า มันน่าจะเป็นแนวเรื่องเกี่ยวกับการ พัฒนาการของการเรียนรู้ในการใช้ชีวิต ซึ่งเมื่อดูแล้วเรื่องก็เป็นแนวทางตามที่คิดไว้นี่แหละ โดยตอนเริ่มเรื่อง ได้เปิดปมที่น่าสนใจของตัวละครหลักสองคนไว้คือ

เชอรี่ นศ.สถาปัตย์ ซึ่งเรียนเก่งมาก แต่ต้องมาได้ F เนื่องจากปลอมลายเซ็นอาจารย์ ไปใช้ห้องเขียนแบบ ทำให้โดนพักการเรียนถึง 1 ปี และไม่สามารถเรียนจบพร้อมกับเพื่อนๆได้ บุคลิกเป็นคน เชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่สนใจเรื่องกฎระเบียบ ทำอะไรโดยคำนึงถึงผลมากกว่าวิธีการ และไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่น

นุ่น เพื่อนสนิทเชอรี่ เป็นเด็กสาวที่ดูง้องแง้ง แอ๊บแบ๊ว ขี้งอน ตามสไตล์วัยรุ่นสมัยใหม่ มีเหตุให้เลิกกับแฟน เนื่องจากทำตัวติดแฟนมากเกินไป จนฝ่ายชายรำคาญที่รู้สึกว่าเธอล้ำเส้น ผมชอบฉากที่วาดรูปวงกลมสองวงซ้อนกันมากๆ คือ ภาพเดียวแทนความหมายได้หมดเลยว่า ระหว่างคนสองคนที่คบกัน มันก็มีทั้งส่วนที่ Intersection กัน และส่วนที่ทั้งสองฝ่ายต้องมีชีวิตเป็นส่วนตัวของกันและกัน

ข้อดีของหนังอย่างหนึ่งคือ การที่มันไม่ทำให้ดูเป็นหนังสารคดีท่องเที่ยว โดยการเที่ยวถือเป็นองค์ประกอบเล็กๆในหนังเท่านั้น เนื่องจากพวกเธอสองคนต้องทำงานเก็บเงินตลอด เรียกว่าไม่ได้ไปสบาย อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมคาดหวังว่าจะได้จากหนังเรื่องนี้ คือ พัฒนาการ และการเรียนรู้ของตัวละคร ผมคิดว่า มันยังไปได้ไม่สุด คือ มีความรู้สึกว่า ผูกปมไว้แต่ยังไม่ได้แก้

เริ่มจากของนุ่นก่อน จริงๆปมของนุ่นค่อนข้างเบา จึงเหมือนถูกกลืนหายไปซะหมด ปมเรื่องอกหักอันเนื่องจากเธอดูเป็นเด็กสาวที่ยังไม่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อดูจากภาพยนตร์จริงๆแล้ว จะพบว่าแทบไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้จากการใช้ชีวิตต่างแดน เธอก็ถือว่า เป็นเด็กสาวที่รู้จักรับผิดชอบพอสมควรเลยทีเดียว ทั้งการทำกับข้าว ทำงานบ้าน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เธอมีครบหมด อาจจะมีบ้างตอนที่โดดงานไปเที่ยวกันจนโดนไล่ออกนั่นแหละ แต่โดยภาพรวมแล้ว ถือว่านุ่น เป็นเด็กดีใช้ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว ต่างจากภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างตอนต้น ที่ดูแล้วนึกว่า เป็นเด็กที่ทำอะไรไม่เป็น ง้องแง้งไปวันๆ แต่ปมที่ไม่ถูกแก้ของนุ่น ก็คือ เรื่อง ความรักของเธอที่หายไปไหนไม่รู้ ยังแอบดูคลิปแฟนเก่าอยู่ดีๆ มาเจอตั้มทีเดียว อ้าวเธอจะเปลี่ยนใจกันง่ายๆแบบนี้รึ จริงๆสำหรับแนวทางของนุ่น ผมคิดว่าน่าจะให้เธอเรียนรู้ในการรู้จักกรอบของการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากกว่า ว่าเส้นแบ่งของชีวิตเรากับเค้าอยู่ตรงไหน ทำอย่างไรจึงจะคบกันได้อย่างสบายใจ โดยไม่ล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของซึ่งกันและกัน ในขณะที่ยังเป็นเพียงแฟนกัน คือ รู้สึกมันไม่ใช่แนวว่า เธอจะมาพบรักใหม่ในต่างประเทศ ก่อนที่เธอจะมีรักใหม่ หนังน่าจะคลี่คลายปมให้เธอก่อนว่า เธอจะจัดการกับความรู้สึกของความรักที่จบลงไปอย่างไรดี ก็เลยรู้สึกว่าปมของเธอยังถูกผูกอยู่ แถมหนังก็ยังมาผูกปมใหม่ให้เธอซะอีก

สำหรับเชอรี่ เนื่องจากหนังจะเล่นกับปมของกฎมากเป็นพิเศษ หนังเรื่องนี้จึงเหมือนเป็นหนังของเชอรี่ ตั้งแต่ชื่อเรื่องมาเลยทีเดียว เพราะกาลิเลโอเป็นผู้แหกกฎของศาสนจักรโรมในยุคนั้น ซึ่งยังยึดถือคำสอนของอริสโตเติ้ลซึ่งมีมานับพันปี เชอรี่คิดว่า กฎไม่มีความหมาย ถ้าสุดท้ายได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ จริงๆ แล้วกฎไม่ใช่สิ่งตายตัว มันเปลี่ยนแปลงกันได้ หากเป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะทางทฤษฏี รัฐเกิดจากการที่คนแต่ละคนยอมสละสิทธิส่วนบุคคลบางประการ เพื่อมาอยู่ร่วมกันภายในกฎระเบียบที่คนในสังคมสร้างขึ้น แต่สิ่งที่เชอรี่เชื่อว่า ไม่ผิด มันยังคงผิดในสายตาของสังคม ดังนั้นเชอรี่จึงมิใช่กาลิเลโอที่เป็นผู้แหกกฎเดิม สร้างกฎใหม่ให้เป็นที่ยอมรับ เพราะสิ่งที่เชอรี่เชื่อ ไม่มีใครยอมรับ

การที่เชอรี่ไม่สนใจกฎ ทำให้ถึงส่งผลไปถึงความคิดที่ว่า การโกงนั้นไม่ผิด จึงทำได้ตั้งแต่การปลอมลายเซ็นอาจารย์ โกงขึ้นรถไฟฟ้าโดยแอบเข้าทีละสองคน หรือหนักที่สุดก็ตอนท้าย ที่โกงเจ้าของร้านพาสต้าที่อิตาลี ซึ่งปมนี้ถือว่าสร้างมาได้ดี ปมนี้ถือเป็นสุดยอดที่จะทำให้เธอต้องกลับใจ แต่ดันไม่คลายให้ดี ปมนี้ทำให้ เพื่อนรักที่สุดของเธอ ต้องโดนตำรวจจับ และโดนส่งกลับประเทศ ในความเป็นจริง นุ่นอาจจะโดนถึงขึ้นระงับวีซ่า เป็นแบล็คลิสต์เข้ากลุ่มประเทศเชงเก้นเลยก็ได้ แต่หนังกลับมอบบทให้เธอเพียงแสดงความเสียใจ ซึ่งผมคิดว่า ยังไม่เพียงพอนะ เพราะมันไม่มีตรงไหนที่บอกว่า “เธอสำนึกผิด” และเธอก็ยังคงทำงานอยู่ในอิตาลีต่อไป โดยปล่อยนุ่นกลับเมืองไทยคนเดียว

ผมคิดว่า ณ ฉากท้ายนี้ เชอรี่ ควรจะเข้าไปสารภาพผิดกับทั้งเจ้าของร้าน ตำรวจ รวมถึงเจ้าของบริษัทสถาปนิกมากกว่า ว่าเธอเป็นคนผิดเอง ทำแบบนี้เหมือนเป็นการโยนความผิดให้นุ่น ถ้าเราเป็นนุ่น เราจะให้อภัยเพื่อนที่ถือว่าเป็นเพื่อนรักได้หรือ หากการลงโทษที่เราได้รับ มิใช่สิ่งที่เราเป็นผู้ก่อเลย ถึงจะให้อภัยได้ แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริง ความสัมพันธ์มันจะไม่เหมือนเดิมแน่ๆ อย่างน้อยๆ นะ ถึงจะไม่สารภาพผิด ผมก็คิดว่า เชอรี่ควรจะตัดสินใจกลับมาพร้อมนุ่น เป็นเพื่อนรักกันยังไง ทิ้งเพื่อนอยู่ได้ตั้งหลายเดือน และการตัดสินใจกลับบ้าน ก็ไม่ได้มาจากตัวเอง แต่มาจากเพื่อนรักที่ตนเองเป็นคนทำร้ายและทิ้งเค้า ปมที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ชื่อเรื่องอันสื่อถึงเรื่องกฎ กลับถูกเบี่ยงประเด็นไปจบที่กลับบ้านเพราะคิดถึงเพื่อน ทำให้หนังเรื่องนี้ มันขาดความสมบูรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย


โดย: โอบ๊อท IP: 210.86.180.56 วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:19:54 น.  

 
+ อืม ... ตอนผมดู ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่คาๆ ใจ แต่แล้วก็มาคลี่คลายจากคุณ จขบ. และเม้นต์บนๆ นี่เองว่าสิ่งที่กวนความรู้สึกมันคืออะไร

+ ต่ายเล่นซีนอารมณ์ได้ดี, เต้ยน่ารัก, เรย์เป็นตัวของตัวเอง ... แต่จุดที่ทะแม่งๆ ก็คือบางส่วนในบทหนังอย่างที่ว่าๆ กันมานั่นแลครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:29:23 น.  

 
เห็นด้วยกับกับคุณหมอในหลายๆเรื่องค่ะ ชอบฉากชูป้าย และซีนเกี่ยวกับพ่อ-ลูก แต่ก็เสียดายในหลายๆเรื่องเหมือนกันที่คาดหวังไว้ว่าจะทำได้ดีกว่านี้

ชอบปมที่ผูกไว้ตอนแรกมาก แต่สุดท้ายก้อจบแบบง่ายๆ เสียดายเรื่องวงกลม 2 วงที่ อินเตอร์เซคชั่นกัน (ว่าด้วยเรื่องโลกของฉัน ของเธอ และของเรา) ตอนแรกคิดว่าหนังจะเอาเรื่องนี้มาย้ำอีกครั้งตอนที่พบตั้ม(ปารีส) และทำให้นุ่นได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเธอกับตั้ม(แฟนเก่า) แต่กลายเป็นว่านุ่นพบคนใหม่ แฮปปี้แล้วก็จบ (ดูเหมือนการมาของตั้ม(ปารีส) ไปมีผลกับเรื่องของเชอรี่มากกว่า เรื่องของนุ่นซะอีก)
ส่วนเรื่องของเชอรี่ เหมือนจะมีการย้ำในเรื่องของการที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ชอบหนีปัญหา และอีกหลายๆเรื่องที่เห็นได้ชัดในหนัง แต่กลับจบแบบเฉยๆโดยที่เชอรี่ไม่ได้เข้าใจตัวเอง และปัญหาที่ตัวเองเจอเลยว่าเป็นเพราะอะไร เธอถึงเจอปัญหาแบบเดิม ทั้งๆที่หนีมาไกลซะขนาดนี้

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วไม่ได้รู้สึกว่าอยากแบกเป้ ออกไปเที่ยวค่ะ แต่อยากโทรไปบอกเพื่อนมากกว่า ว่า"คิดถึง" (พอดีเพิ่งเรียนจบค่ะ ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน) เลยซึ้งกับฉากชูป้าย “ใครคิดถึงเพื่อนยกมือขึ้น” ในฉากจบมาก


โดย: แอม IP: 202.149.25.234 วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:08:06 น.  

 
อ่านมาสักพัก ขอแสดงความคิดเห็นบ้างล่ะกันครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ

ผมชอบหนังเรื่องนี้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ไม่ใช่แบบประทับใจอะไรมาก มาว่ากันเรื่อง Plot อย่างเดียว ไม่นับเรื่องคนแสดงนะครับ
เพราะรู้สึกว่า ผมและหลายคนที่ไปดูมา ก็บอกว่า หนังก็ดีดูเพลิน เต้ยน่ารัก ต่ายแสดงดี ประมาณนี้ครับ แต่ไม่มีใครออกมา ประทับใจเวอร์ๆสักคน

ผมว่าหนังเรื่องนี้มันแปลกๆมาตั้งแต่ต้นแล้วครับ plotเรื่องแบบนี้ มันน่าจะทำเป็นหนังเศร้าๆได้เลยนะครับ ไม่ใช่หนัง feel good แบบดูเอาสนุก ยิ้มๆ

หนังเรื่องนี้ พูดเกี่ยวกับพัฒนาการเรียนรู้ของคนสองคนที่มีปัญหา ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิต โดยมีหลายๆเหตุการณ์เป็นตัวสอนให้กับเด็กทั้งสองคน ซึ่งประสบการณ์แต่ล่ะอย่างนั้น ไม่สนุกเลย ทั้งเรื่องโดนจับ ทะเลาะกับเพื่อน เงินหมด ซึ่งหนังเล่นกับจุดสอนพวกนี้ไม่แรงเลย (เพราะเป็นหนัง feel good) ทำให้อารมณ์ของหนัง ไปไม่สุด เหมือนกับที่หลายคนได้วิจารณ์กันไว้นะครับ และ ไม่ได้สอนเด็กให้เข้าใจอะไรมากขึ้นนัก

หนังเรื่องนี้ ในตอนต้นเรื่องนั้น มีการชวนให้คนดูและตัวแสดงเลือกที่จะ หนี ปัญหา (ตามชื่อเรื่อง) แล้วไปเจออะไรที่มันดีกว่า แต่ไม่ได้สอนให้หนีปัญหา แล้วกลับไปแก้ปัญหา ทำให้รู้สึกแปลกๆ เมื่อการคลายปมจากต้นเรื่องนั้น (ทั้งเรื่องการล้ำเส้นวงกลมของนุ่น และ การไม่ยอมรับผิดของรี่) กลับเป็นการไปเจออะไรใหม่ๆดีๆแทนที่ เช่น นุ่นได้เจอแฟนใหม่ แล้วลืมแฟนเก่าทันที (ซึ่งชีวิตจริง มันไม่ได้ทำใจง่ายขนาดนั้น) ต่ายได้งานใหม่ที่ดี (แต่ไม่ได้กลับมาแก้ปัญหา กลับมาขอโทษอาจารย์ ขอโทษร้านค้า ขอโทษตำรวจ) แล้วตอนจบที่กลับมานั้น กลับมาเพราะอะไร ในหนังบอกไม่ชัดเจน กลับมาเพราะคิดถึงเพื่อน
คิดถึงบ้าน หรือ กลับมาเรียนต่อ หรือยังไง (ตรงนี้ผมว่ามันจบไวไปนิด)

ส่วนตัวชอบฉากพ่อกับลูกครับ ดูแล้วมันอบอุ่นดีครับ ดูว่ามีการคิดถึงกันนะ รักกันนะ แต่...ผมสงสารพ่อรี่ครับ ลองคิดดูว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรสักอย่าง ลูกหนีไปอยู่เมืองนอก แล้วคนเป็นพ่อล่ะ จะรู้สึกยังไง จริงๆแล้วเมื่อเรามีปัญหา ครอบครัวคือที่สุดท้ายที่เรามีอยู่นะ นี่เล่นหนีไปอยู่เมืองนอกไปเป็นปี ติดต่อกันน้อยมาก ทำให้ผมรู้สึกว่า เมื่อเราเศร้า ทำไมครอบครัวแก้ปัญหาตรงนี้ให้ไม่ได้

ผมว่าหนังเรื่องนี้มันจะเข้าตามสูตร ถ้าตั้งใจแบบนี้ครับ (หรือหนังอาจจะตั้งใจสูตรที่แปลกออกๆไป)
คือ ตอนแรกชวนให้เราหนี....หนีไปเจอเหตุการณ์ที่เป็นครูสอนเรา...เรียนรู้ว่าการหนีไม่ใช่สิ่งที่ดี....กลับมาแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำไว้ สู้ปัญหา...แก้ปัญหาได้แล้ว Happy Ending

แต่ผมว่าหนังเรื่องนี้มันไม่สุดตรงนี้แหละครับ ทั้ง Step ต่างๆ เช่น
-ตอนเกิ่นเรื่องที่ทำให้เป็นปมให้หนี มันสั้นๆไป ดูไม่เร้าอารมณ์เลย เศร้าก็เศร้าไม่สุด เสียใจแบบไม่สุด ดูไม่เห็นชวนหนีไปไหนไกลเลย
-พอไปเมืองนอกก็เจอปัญหาแต่แก้กันไวมาก เช่น เรื่องการทำงานโดนไล่ออก เรื่องกระเป๋าตังค์หาย เรื่องโดนจับ ก็มีการแก้กันง่ายๆ ยังไม่ทันจะอินเลย แก้ปัญหาได้ล่ะ ไวมาก
-การแก้ไขปัญหา เช่น การทำให้เห็นพัฒนาการของเด็กสองคนนั้น ก็ไมค่อยชัด นุ่นได้แฟนใหม่ รี่ได้งานใหม่ แล้ว การแก้ปมจากต้นเรื่องล่ะ หายไปไหน?
-ตอนจบ มันจบไวไปหน่อยครับ ยังไม่ทันจะอินกับการพัฒนาของเด็กสองคนเลย เจอกันสนามบินก็จบแล้ว
-แถม ผมว่าบางเรื่องหนังดูจงใจไปครับ เช่น เรื่องเจอคนใส่เสื้อบอลในรถไฟ โอ่วแม่เจ้า อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น

สรุปคือ ผมว่า หนังเล่าเรื่องไม่ค่อยต่อเนื่องจากต้นเรื่องเท่าไหร่อ่ะ คลายปมได้ไม่ชัดเจน และ เล่าอะไรได้ ไม่สุด มันแบบขาดๆเกินๆยังไงไม่รู้
ไหนจะส่วนที่หนังจะปล่อยให้เราคิดต่อหายไปไหน หรือ ข้อคิดจากหนัง...ตกลง หนังเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรครับ

ส่วนที่อยากจะชมเรื่องนี้
- มันเป็นหนังที่ถ่ายทำเมืองนอก ถึงสามประเทศด้วยกัน ซึ่งหนังฟอร์มไม่ใหญ่ ถ่ายแบบนี้ได้ก็สุดยอดมากแล้วครับ ทีมงานทำงานได้ดีมาก
- การเลือกนักแสดงที่ดึงคนดูได้มากมายเหลือเกิน คือ ดึงความน่ารักของสองคนออกมาให้ผมหลงรักตัวละครเอาง่ายๆ และชวนคล้อยตามการหนีของทั้งสอง
- plot เรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งการนำเรื่องง่ายๆมาเล่าให้สนุกเป็นจุดขายของ GTH อยู่แล้ว ถ้าบทได้เกลาหลายๆครั้ง ผมว่าบทมันน่าสนใจมาก
- หนังหยิบเอาประเด็นคนไทยกับเมิองนอกมาเล่นได้ดี เพราะ การไปเมืองนอกกับคนไทย เคยเป็นแฟชั่นของคนไทยช่วงหนึ่ง หนังจะได้คนดูจากคนกลุ่มนี้
ซึ่งมีอารมณ์มากกว่า อารมณ์แบบดูแล้ว อยากไป Work & Travel ขึ้นมาเลย สนับสนุนการท่องเที่ยวต่างประเทศซะอย่างงั้น
- ขอชมคนออกแบบโปสเตอร์ และ ตีมภาพหน่อยครับ ผมว่ามันน่ารักดีอ่ะ น่าสนใจด้วย ผมโครตชอบเลยอ่ะ อยากได้โปสเตอร์สองสาวมาติดที่ห้องจริงๆ สวยๆ
- ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วอารมณ์ดีนะครับ มันเป็นหนัง Feel good ที่ดูในวันเหงาๆได้ดีเลย เพลินดี และ อยากไปเที่ยวๆ แม้ว่าจะพลาดเรื่องบทที่มันไม่สุดๆ

ปล. ที่เขียนมาซะยาว ไม่มีอะไรครับ ผมอยากลองแลกเปลี่ยนความคิดดูกับ เจ้าของบล็อกซึ่งผมประทับใจมากครับ ผมเพิ่งรู้จักเวปนี้เมื่อวาน และ ชอบมาก
ผมว่าคุณวิจารณ์หนังได้ดี และ ไม่วิชาการมากเกินไปแบบนักวิจารณ์หนังดังๆ ที่มัวพูดถึงอารมณ์ศิลป์อะไรมากมาย แต่แบบนี้อ่านแล้วสนุกครับ
สุดท้ายนี้ผมไม่ใช่นักดูหนังตัวยง ภาษาอะไรอาจจะชาวบ้าน และ อาจจะมองประเด็นของหนังผิดไป เพราะ ผมเป็นคนธรรมดา ที่ไปดูหนังแบบไม่มีความรู้ด้านนี้
เอาเป็นว่า ผมขอบคุณเจ้าของบล็อกและComment ที่ช่วยทำให้ การดูหนัง เป็นอะไรที่ต้องคิดมากกว่าแค่ดูแล้วจบกันไปเป็นเรื่องๆครับ ^^


โดย: ิBoatmaster IP: 112.142.125.97 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:1:33:07 น.  

 
ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลยแต่มาสะดุดคประโยค"เก่งแต่โกง"

"เก่งแต่โกง" หนีไปอยู่เมืองนอกแล้ว นึกว่าจะหมดเคราะห์

ดันมาเจอ "โง่แต่โกงเก่ง(ชิบ....)" เลยหนักเข้าไปใหญ่เลย
"โง่"ที่ปล่อยให้คนตายไป (หกสิบกว่ารายแล้ว)เพียงเพราะต้องการรักษาภาพพจน์ทางการท่องเที่ยว(เศรษฐกิจ) และimageของรัฐบาล
"โกงเก่ง"ที่โกงได้แม้กระทั่งงบโครงการชุมชนพอเพียงซึ่งเป็นงบที่ใช้ช่วยเหลือชาวบ้านได้โดยตรง



โดย: ผมกำลังจะเป็นหวัด 2009 IP: 125.26.83.100 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:2:47:01 น.  

 
ก็พอได้อยู่นะ แต่ยังห่างไกลจากซีซั่นเช้น


โดย: concept IP: 125.25.34.117 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:21:30:02 น.  

 
ก็พอได้อยู่นะ แต่ยังห่างไกลจากซีซั่นเช้น


โดย: concept IP: 125.25.34.117 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:21:30:09 น.  

 
เห็นด้วยกับจขบ.ในหลายๆ จุดเลยครับ
สรุปสั้นๆ ว่า "ตกม้าตาย" กับ "บทพูดยัดใส่ปาก"

- ตกม้าตาย ไม่อิน ไม่แก้ปัญหา ไม่ได้อยากเอาใจช่วยเลย
- บทพูดยัดใส่ปาก ที่เห็นชัดๆ ก็ตอนที่รี่ได้งานแล้วก็ต้องถามว่าจะใช้ "ห้อง" ต้อง "ขอ" มั้ย
ขอเหอะ เนียนกว่านี้ได้มั้ย

แต่

+ น้องเต้ยน่ารักมากกกกกกกกกก
--
Oakyman's Blog


โดย: Oakyman วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:3:51:57 น.  

 
ผมก็รู้สึกว่ามันไม่สุดเหมือนกัน

รู้สึกว่าง่ายไปหน่อย

ปล.เต้ยชโมยซีนน่ารัก 555+


โดย: ORKS IP: 124.120.184.234 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:1:49:34 น.  

 
ผมชอบเรื่องนี้มากเลย ชอบมากกว่า ซีซั่นเชนจ์อีก

สงสัยผมคงมีปัญหาที่โพรงจมูกแน่ๆเลย-*-


โดย: tuummeng IP: 125.25.43.25 วันที่: 7 สิงหาคม 2552 เวลา:12:04:49 น.  

 
คิดว่าปมเรื่องล้ำเส้นของนุ่น คนเขียนบทยังพยายามให้มันมีอยู่ตลอดเรื่องนะคะ
แต่ไปพูดถึงเรื่องนุ่น ล้ำเส้นเรื่องส่วนตัวเชอรรี่แทน
จากหลายๆฉาก เช่น ตากกางเกงใน
แต่ก็ยังเห็นด้วยเรื่องปมคลี่คลายจงใจไปค่ะ


โดย: rnukook IP: 58.8.14.14 วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:23:58:12 น.  

 
"จนถึงตอนจบถึงขนาดทำให้เพื่อนเดือดร้อนก็ไม่คิดจะทำอะไร แล้วมาคลี่คลายด้วยการขอโทษหนึ่งครั้งตอนอยู่คนเดียวเหงาๆ โดยมีชีวิตแสนสบายทำงานเมืองนอกต่อหลังจากเพื่อนไม่อยู่
จากที่ไม่ ชอบนิสัยของนางเอกตอนแรก หนังจบแล้วก็ไม่ได้ทำให้ ผมกลับใจมารักตัวละครตัวนี้มากขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนเธอยังไม่ได้สำนึกอะไรเลย"

อันนี้เห็นด้วยสุดๆ เลยครับ คิดเหมือนกันเลย
โดยรวมผมว่าบทมันแหม่งๆ ดูแล้วไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ต่ายก็ไม่เห็นจะสำนึกผิดซักเท่าไหร่ เรือ่งที่เที่ยวไปเรือ่ยดูไม่ค่อยมีเหตุผลสำหรับผมครับ
เจอเรย์แล้วก็ไปเที่ยวต่อ อารมณ์มันสะดุดแปลกๆ ครับ ยังมีอีกหลายตอนที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล

เรื่องวิวก็เห็นด้วยครับ ดูธรรมดาไปหน่อย
น่าจะถ่ายออกมาได้สวยกว่านี้ครับ


ผมว่าหนังที่ผมดูโดนตัดไปเหมือนกัน
เพราะเห็นตัวอย่างมีฉากให้ยืมเสื้อโค้ท
ในเรื่องจริงไม่เห็นมีเลย แหะ O_o''


โดย: lkunl IP: 58.11.85.42 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:23:47:40 น.  

 
คนเก่งแต่โกง ไม่เคยยอมรับผิด คิดแต่ว่าคนอื่นผิดอยู่ร่ำไป จนต้องหนีไปเมืองนอก’ """แหมประโยคนี้ได้ใจจริงๆนะคะ คุฯหมอ...ชอบมากๆค่า


โดย: แอบมาอ่าน IP: 115.67.244.234 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:0:42:20 น.  

 
ไม่ได้ดู แต่เป็นแฟนหนังgthอยู่แล้วช่วงนี้รสนิยมเปลี่ยนไปอยากดูอะไรที่ไม่ต้องคิดมาก เพราะชีวิตคิดมามากแล้วเหนื่อยเหลือเกิน เวลามันฆ่าคนได้เหมือนฆาตกรเลย หนังก็เป็นการช่วยให้เราได้หนีจากความจริงไปสู่โลกแห่งความสุขแค่แวบเดียวก็ยังดีว่ามั้ย ขอแค่ช่วยให้เรายิ้มได้ก็พอแล้วละ สองสาวถ้าในชีวิตจริงก็คงเลือกที่จะทำแบบในหนังรึแค่ไปเดินสยามก็พอแล้วไม่รู้สินะ
7271


โดย: oui IP: 58.9.75.41 วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:21:39:17 น.  

 
เพิ่งเช่าแผ่นมาดูครับ ความเห็นคล้ายข้างบนมากเลยครับ เอาเป็นว่า น้องเต้ย น่ารักมากๆๆๆ

ม๊าวววววววววว


โดย: แมวกักขฬะ IP: 58.8.99.187 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:44:37 น.  

 
คนเก่งแต่โกง ไม่เคยยอมรับผิด คิดแต่ว่าคนอื่นผิดอยู่ร่ำไป จนต้องหนีไปเมืองนอก

ชอบประโยคนี้อ่ะคะ โดนใจจริงๆ


โดย: pat IP: 124.122.190.25 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:21:00:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.