www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Knowing , วินาศภัยในปรัชญา , จิตวิทยา , ศาสนา และ ไซไฟ ( โอ้ววว จะผสมอะไรกันมากมาย)


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขอส่งเทียบเชิญเพื่อนๆผู้อ่านผ่านหน้านี้ ชวนแวะมาพบปะทักทายกัน และ เว้าวอนให้มารับลายเซ็นกลับไปเป็นที่ระทึก ในงานสัปดาห์หนังสือ วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม และ เสาร์ที่ 4 เมษายน เวลาบ่ายสองโมง โซน C1 บูธ N45 สนพ.4-letter word ศูนย์ประชุมสิริกิติติ์

พร้อมกับ ขอฝากหนังสือเล่มใหม่ที่ว่าด้วย การเดินทางสำรวจจิตใจมนุษย์ผ่านภาพยนตร์ ชื่อ มากกว่าที่ตาเห็น - LifeScan เปิดตัวในงานหนังสือครั้งนี้ครับผม








... ตอนดูหนังตัวอย่าง ผมไม่คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มาก แถมยังคิดว่า มีโอกาสออกทะเลหรือปาหมอนตอนจบเอาได้ง่ายๆ เพราะ พล็อตหนังไซไฟที่มีความทะเยอทะยานสูงเยี่ยงนี้ หากไม่ได้มีเขียนบทฝีมือดี ก็มีโอกาสประสบชะตากรรม เหมือน หนังอย่าง The Forgotten

คือ มีจุดเริ่มต้นที่น่าติดตามชะมัด แต่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่า มันจะคลี่คลายอย่างไรให้สมจริงน่าเชื่อถือ ก่อนที่สุดท้าย จะหักจบแบบ จะเอาแบบเนี่ย มีไรมั้ย ไปเสียดื้อๆ

อีกทั้งตัวผกก.อเล็กซ์ โพรยาส ถึงจะเคยทำหนังตลาดฟอร์มยักษ์อย่าง I, Robot ออกมาดี แต่จะว่าไปแล้ว ด้วยประเด็นเริ่มต้นที่ดีอยู่แล้ว หนังยังสามารถที่จะเล่นอะไรได้มากไปกว่าที่มีอยู่ (ลองไปเทียบกับการ์ตูน พลูโต ที่ขยายความ กฎสามข้อของหุ่นยนต์ได้น่าคิดกว่า) เพียงแต่ว่า อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอไว้ใจได้ หากจะต้องทำหนังซักเรื่องที่ต้องการขาย ความตูมตาม และ สอดใส่เนื้อหาที่ลึกซึ้งมากกว่าหนังแอคชั่นทั่วไป


หมายเหตุ (Spoiler alert) : เนื้อหาถัดจากนี้ บอกเล่าใจความสำคัญของหนัง



... อ่านความเห็นคนที่ได้ดูแล้วจะเห็นการเปรียบเทียบว่า Knowing เหมือนเรื่องโน้นเรื่องนี้ เช่น รู้อนาคตและพยายามหยุดยั้งแบบ Final destination หรือ เหมือนตรงมะนาวต่างดุ๊ตอุตส่าห์ถ่อมาแต่ไกลเพื่อเตือนภัยชาวโลกแบบ The Day the Earth Stood Still ฯลฯ

ส่วนผมก็คิดเช่นกัน ว่าหนังก็หยิบเล็กผสมน้อยมาหลายเรื่อง แต่ เป็นการผสมแบบเข้าท่า และส่วนตัวมองว่า หนังมีการผสมผสานระหว่าง ปรัชญา , ศาสนา , จิตวิทยา , วิทยาศาสตร์ เหมือน The Fountain

ในด้านโครงเรื่องมีความคล้ายคลึงกับหนังของ เฮียมาโนช - M. Night Shyamalan ที่หน้าหนัง หลอกให้คนดูคิดว่าเป็นหนังตื่นเต้นโครมครามประมาณหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ แต่พอดูจริงๆเนื้อใน กลับต้องการนำเสนอ ปรัชญา และทำให้คนดูแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน คือ ผิดหวังเสียอารมณ์ กับ ปลื้มและทึ่งในไอเดีย

เช่น Signs คนดูนึกว่าจะได้ดู หนังมะนาวต่างดุ๊ตบุกโลกต่อสู้กัน แต่ เอาเข้าจริง กลับเห็น มนุษย์ต่างดาววิ่งไปวิ่งมาแว๊บๆเหมือนจิ้งจก มีโผล่เห็นชัดๆแค่ตอนจบ เพราะ มนุษย์ต่างดาว เป็นเพียง ตัวละครที่จะมาขับเน้นเรื่อง 'ศรัทธาและศาสนา' ที่ต้องการนำเสนอ

Knowing ก็เช่นกัน หน้าหนังชวนให้นึกถึง หนังมหันภัยถล่มโลกประมาณ Deep impact ที่พระเอกจะต้องหาทางกู้โลก ซึ่งหนังก็มอบความตูมตามโครมครามสมใจคนดู ไปสองสามฉาก แต่ สิ่งที่หนังอยากเล่าจริงๆคือ เนื้อหาที่ผสมผสานบางส่วนจากหนังเฮียมาโนช

เช่น การที่มนุษย์ถูกลงโทษจากธรรมชาติเหมือน The Happeningผสม ความเชื่อและศรัทธาในบางสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเช่น Lady in the Water และ Signs

และจุดที่ผมคิดว่า มันช่างถอดแบบออกมาจากบล็อกเดียวกันมากๆ คือ พัฒนาการของตัวละคร ซึ่งใกล้เคียงกันเหลือเกินระหว่าง Signs , Contact และ Knowing



ความน่าสนใจในจุดร่วมของ Signs , Contact และ Knowing ที่ผสมผสาน ความศรัทธา/ศาสนา + มนุษย์ต่างดาว

ตัวละครนำจากหนังทั้งสามเรื่อง ตั้งต้นจาก เป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของ ความศรัทธา ศาสนา หรือ อะไรก็ตามที่จับต้องไม่ได้

พวกเขาเชื่อว่า หลายๆอย่างเกิดขึ้นแบบบังเอิญ ไม่มีอะไรมาเป็นเหตุทั้งสิ้น ซึ่งความคิดเหล่านี้ เกิดขึ้นตามหลัง การสูญเสีย


บาทหลวง ใน Signs สูญเสียภรรยา จนกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือศาสนาอีกต่อไป และ ทำให้เขาเกือบมองข้ามคำใบ้ ที่ภรรยาบอกก่อนตาย หรือ คำใบ้จาก พฤติกรรมประหลาดของลูกๆ ก่อนที่สุดท้ายเมื่อเขาศรัทธา เขาก็พบว่า สิ่งที่ไร้ความหมายเหล่านั้น อาจเป็น สิ่งที่เบื้องบนพยายามจะบอกเขาอยู่ เพื่อช่วยเขาและลูกๆจากมนุษย์ต่างดาว

นักวิทยาศาสตร์สาว ใน Contact สูญเสียพ่อในวัยเด็ก เธอไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า เธอจะเชื่อก็เฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ จับต้องได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อครั้งหนึ่งที่ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเธอได้พบพ่อ ผ่านการเดินทางที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ด้วยความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว

นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ใน Knowing สูญเสียภรรยาจากอุบัติเหตุไฟไหม้ นับแต่นั้นมา เขาก็เชื่อว่าทุกๆอย่างล้วนเป็นเรื่องของเหตุบังเอิญแบบเดาสุ่ม ไม่มีที่มาที่ไป ให้อารมณ์ประมาณ shit happen จนเมื่อวันหนึ่งที่เขาได้รับตัวเลขประหลาดที่เขียนขึ้นมาเมื่อห้าสิบปีก่อน แล้วพบว่ามันมีส่วนสัมพันธ์กับการตายของภรรยา เขาก็พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาล้วนเป็นคำใบ้ที่กำลังจะบอกอะไรเขาบางอย่าง



... สิ่งที่เราจะเห็นคือ หนังใช้ การสูญเสีย(loss) เป็นจุดเริ่มต้นเหมือนๆกัน เพราะสามตัวละครนำจากหนังทั้งสามเรื่อง พบกับ ความสูญเสียตั้งแต่ต้นเรื่อง

ซึ่งตามทฤษฎีของจิตแพทย์ Elisabeth Kübler-Ross บอกไว้ว่า เมื่อเราพบกับการสูญเสียคนใกล้ตัว ความรู้สึกแรกสุดคือ Shock stage คือ ความรู้สึกช็อคหรือเหมือนเป็นอัมพาตเมื่อได้ยินข่าวร้าย

จากนั้นจะมี 5 ระยะของการปรับตัว

•Denial stage: ปฏิเสธความจริง
•Anger stage: โกรธ
•Bargaining stage: ต่อรอง
•Depression stage: ซึมเศร้า
•Acceptance stage: ยอมรับ


... ตัวละครทั้งสามคนจากหนังทั้งสามเรื่อง ยังไม่สามารถผ่านขั้นตอนการทำใจในระดับยอมรับได้จริง แต่ยังวนเวียนอยู่ในขั้นตอนของ ความโกรธ และ ความโกรธทำให้เลือกแพะ

แพะที่ถูกโยนใส่คือ พระเจ้า




... ตัวละครนำในหนังทั้งสาม เลิกศรัทธาในศาสนา กลายเป็นคนที่เชื่ออะไรต้องมีหลักฐานพิสูจน์ชัด

และ นั่นเกือบทำให้ บาทหลวงใน Signs เกือบไม่สามารถช่วยลูกชายได้สำเร็จ หากเขายังคงมองว่า คำใบ้ ที่ได้รับมาไม่มีความหมาย และ ตัวเลขมากมายใน Knowing ก็จะกลายเป็นเศษขยะ ถ้าพระเอกยังคงความคิดแบบเดิม โดยเขาไม่ทันมองว่า เขาเองก็ได้รับคำใบ้มากมายมากับตัวตั้งแต่ต้น

แต่ส่วนหนึ่งเพราะ กระบวนการทำใจ หรือ Grief process ยังไม่ลุล่วงผ่านไปด้วยดี เขาจึงมีชีวิตแบบเหมือนมีเมฆหมอกบดบังการตัดสินใจอย่างเช่นที่เพื่อนเตือนเสมอ ที่เห็นได้ชัดคือ การเลี้ยงลูก ที่พยายามปกป้องแบบมากเกินไป และ ไม่คิดที่จะหันไปสนใจครอบครัวตัวเองที่เหลืออยู่

ซึ่งลึกๆในใจของพระเอก คงมี ความกลัว ที่ตัวเองจะปกป้องลูกชายไม่ได้ ผสม ความรู้สึกผิดและคอยตำหนิตัวเองจากการตายของภรรยา

พฤติกรรมบ้าคลั่งเข้าไปช่วยคนกลางกองไฟ อาจดูไร้เหตุผล แต่ถ้าเรารู้ประวัติของเขามาก่อน ก็พอจะอธิบายได้ถึง แทบทุกสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฝ่ากองไฟไปช่วยคน หรือ ปกป้องลูกแบบมากเกินเหตุ ล้วนเป็น การชดเชยความรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดเสมอว่าไม่สามารถดูแลภรรยาได้ถึงที่สุด

จากแง่มุมของตัวละคร มาถึงตัวหนัง



... Knowing ต่างจากสองเรื่องที่เปรียบเทียบก็ตรง ตัวหนังนำเสนอประเด็นของศาสนาชัดเจนโจ่งแจ้งไม่กระมิดกระเมี้ยน ตั้งแต่ การเลือกคู่หญิงชาย , การเลือกสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งคู่เดินทางไปกับพาหนะเพื่อหลีกหนีภัยพิบัติ ราวกับ กำลังจะขึ้นเรือโนอาห์ , มนุษย์ต่างดาวที่มารับสี่ตนเสมือนเทวทูตทั้งสี่ , การใช้ภาพวาดหรือไฟ ซึ่งสอดคล้องกับในคัมภีร์ไบเบิ้ลหรือเรื่องราวของวันพิพากษา ฯลฯ

ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ชวนให้ตีความอีกแง่ได้ว่า หรือ พระเจ้า ผู้สร้างโลกที่เราศรัทธาใน ศาสนา มาตลอด แท้จริงคือ คือ มนุษย์ต่างดาว หรือ จุดกำเนิดของโลกที่เราอาศัยจะมีที่มาเหมือนเช่นที่เห็นในหนัง ว่า มนุษย์คู่แรกถูกย้ายมาจากดาวดวงอื่นก่อนจะเกิดภัยพิบัติ

หากคิดในแง่เทียบเคียง มนุษย์ต่างดาว(วิทยาศาสตร์) = พระเจ้า(ศาสนา) อาจจะดูคับแคบเกินไป แต่ มันก็สามารถอธิบายทุกอย่างในหนังได้ครบกระบวนความ

นั่นคือ เหตุการณ์ทุกอย่างในโลกไม่ได้เกิดแบบโยนลูกเต๋าเดาสุ่มแต่ เป็น การถูกกำหนดและมีที่มาที่ไป (Deterministic) เพียงแต่ ใครจะเลือกเชื่อหรือศรัทธา ด้านไหน(วิทยาศาสตร์ /ศาสนา) เท่านั้นเอง


... และ ต่อให้อธิบายได้ มีเหตุมีผล สัจธรรมที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นคือ ความตาย


พวกเขา(มนุษย์ต่างดาว/พระเจ้า) รู้ทุกอย่างล่วงหน้า พวกเขาตัดสินใจเลือกคนที่จะอยู่รอดไว้อยู่แล้ว พวกเขาพยายามเตือนมนุษย์ แต่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไม่สามารถไปหยุดยั้งได้

รหัสวินาศภัยอื่นๆ ไม่ได้ส่งมา เพื่อให้มนุษย์ป้องกัน แต่ เป็น การส่งมาเพื่อให้โยงไปถึง วันสิ้นโลก

คำเตือนถึง วันสิ้นโลก ไม่ได้ส่งมาเพื่อให้หาทางรอด เพราะอย่างไรก็ไม่รอดอยู่ดี แต่ ส่งมาเพื่อเตือนว่า มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างไรในวันสุดท้ายของชีวิต ยิ่งถ้านำไปเทียบเคียงกับ ศาสนา ยิ่งย้ำชัดถึง บางสิ่งที่เราไม่มีวันหนีพ้น นั่นก็คือ 'ความตาย'

จะเข่นฆ่าเอาตัวรอด ไม่ยอมรับความเป็นจริงต่อไป หรือ ยอมรับสัจธรรม กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัว






... หนังซ่อนความสำคัญของ ความศรัทธา อย่างแยบยลในฉากสุดท้าย ผ่านความเชื่อของตัวละคร เพราะ สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่า

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา จะเชื่อ(พระเอก) หรือ ไม่เชื่อ(นางเอก) สุดท้ายก็ไม่อาจหนีความตายได้พ้น

แต่ คนที่เชื่อและศรัทธา สุดท้ายจะจากไปอย่างเป็นสุขมากกว่า คนที่ทอดทิ้งความเชื่อนั้นไป

ซึ่งจุดนี้ ก็ตรงกับข้อเท็จจริงจากการศึกษาผู้ป่วยใกล้ตายส่วนใหญ่ ที่แพทย์มักจะพบว่า ผู้ป่วยที่มีความเชื่อหรือศรัทธาในศาสนาของตัวเอง เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง มักจะสงบและทำใจได้มากกว่า คนที่ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวไว้ในชีวิต



สิ่งที่ชอบ


1.ฉากวินาศภัย ... โอ้วแหมน โว้ววว ว้าวววว มันช่างให้อารมณ์สมจริงอะไรเช่นนี้ โดยเฉพาะฉากลองเทคสองนาที ที่เครื่องบินดิ่งลงมาแล้วพระเอกวิ่งเข้าไปช่วยคน มันแจ่มมากมาย เป็นงานโชว์ของโดยแท้ ที่ทำให้เห็นว่า ถ้า ผกก.มีฝีมือ หนังตลาดๆก็สามารถใช้เทคนิการถ่ายทำระดับเมพขิงๆได้



2. คำใบ้ ... ชอบที่รายละเอียดยิบย่อยที่หนังใส่มา ล้วนมีความหมายในท้ายที่สุด เช่น คำใบ้ที่พระเอกได้รับมาตลอดทั้งชีวิต

ไฟ --> เมียถูกไฟคลอก --> อนาคตไฟล้างโลก
ลูกชอบสารคดีสัตว์โลก -->อนาคตต้องไปอยู่กับสัตว์โลก
อาชีพพระเอกเกี่ยวข้องกับ ตัวเลข + ดาราศาสตร์ --> อนาคตดวงอาทิตย์เกิดปฏิกิริยาเผาผลาญและต้องใช้ตัวเลขถอดรหัส

3. นิโคลาส เคจ ... เลือกทรงผมยอมรับสัจธรรมได้ดี ไม่เหมือนตอนเล่นหนังไซไฟอย่าง Next และ ไม่แสดงสีหน้าแบบ เมียทิ้ง เหมือนหลายๆเรื่องที่เล่นในระยะหลัง ทำให้รู้สึกอินไปกับตัวเขาและพอที่จะให้หวนคิดถึงฝีมือการแสดงวันเก่าๆที่เคยได้รางวัล

4. Symphony No. 7 ของ Beethoven ... เป็นการเลือกดนตรีประกอบที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ในหนังอย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง โดยเฉพาะการใช้เพลงนี้ครั้งสุดท้าย เคียงคู่ ภาพที่มนุษย์ยังคงเข่นฆ่ากันแม้วันสิ้นโลกมาถึง ก่อนจะไปจบลง ภาพมนุษย์ที่กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัว มันให้อารมณ์ทั้งหมองหม่น เศร้าโศก แต่ ลึกๆก็ยังมีความหวังอยู่ภายใน

5.การผสมผสานความเป็นหนังระเบิดตูมตามกับความคิดเชิงปรัชญาได้กำลังดี ... หน้าหนังเป็นหนังมหันตภัยวินาศสันตะโรโชว์เอฟเฟคต์เต็มที่ แต่ เนื้อแท้ของหนังแสดงถึงเทคนิกทางภาพยนตร์ชั้นดีมีฝีมือ และ สอดแทรกความคิดมากมายท้าทายคนดู

ซึ่ง การมีมะนาวต่างดุ๊ตโผล่เข้ามาผสมกับเรื่องศาสนา มันทำให้หนังปริ่มๆที่จะล้นจนไม่น่าเชื่อถือ แต่ สุดท้ายแล้ว หนังก็คุมตัวเองได้อยู่หมัดในระดับที่ทำให้คนดูคล้อยตามแบบไม่ขัดเขินจนเกินไป

และ ชอบที่หนังเลือกจบอย่างที่ควรจะเป็น ไม่พยายามบีบตัวเองให้เป็นสูตรสำเร็จมากเกิน เช่น ถ้าให้ นางเอกฟื้นเฮือกหรือพระเอกกู้โลกสำเร็จ ซึ่งมันอาจจะคุ้นเคยคนดูส่วนใหญ่มากกว่า และ อาจขายได้มากกว่าเพราะหลายคนเชื่อว่าหนังที่จบแบบคู่พระนางตายจะขายไม่ดี

แต่ ถ้าจบแบบที่ว่า ประเด็นก็จะเขวและหนังเรื่องนี้ก็จะไร้ความน่าสนใจโดยสิ้นเชิง

บวกกับในส่วนของจุดที่ต้องขาย เช่น ฉากโชว์เอฟเฟคต์ทั้งหลาย หนังก็ทำได้เกรดเอ แทบทุกฉาก



สิ่งที่ไม่ชอบ

1.โต้งๆไปนิด จบปลายปิดไปหน่อย ... ถึงจะเป็นหนังที่ใช้ เครื่องแบบ ภายนอก มาล่อหลอกคนดูเข้าโรงหนัง ก่อนที่จะเฉลยในโรงไปพร้อมๆกันว่า ตัวหนังสอดไส้เนื้อหาอะไรอยู่ เหมือน หนังของเฮียมาโนชแทบทุกเรื่องที่ใช้ เครื่องแบบหนังผี,หนังเขย่าขวัญ,หนังไซไฟ เพื่อซ่อน แก่นของปรัชญา ที่ต้องการนำเสนอ

แต่ผมก็ยังชอบหนังของมาโนชมากกว่า ตรงที่รู้สึกว่า หนังของโพรยาสเรื่องนี้ บอกโต้งๆโจ่งแจ้ง ชัดเจนไปหน่อย และ เมื่อถึงตอนจบ มันคล้ายๆโจทย์ปลายปิดที่ไม่ได้ปล่อยช่องว่างให้ คิดต่อ ได้มากเท่าหนังของมาโนช

2. คุณลูกสาว ... ดูขัดใจตอนท้าย ที่บทจะเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ แล้วก็ไปจากแม่ได้ง่ายไปหน่อย ไม่ค่อยอาลัยเท่าไหร่ แม้จะได้ยินว่าแม่ปลอดภัย แต่พอไปถึงที่ใหม่ก็เริงร่าลั๊ลลา ลืมแม่ไปซะงั้น



สรุป … เหมาะสำหรับคนชอบหนังคิดเล็กๆ หนังอาจไม่ได้อัดแน่นฉากแอคชั่น และ หลายตอนส่วนใหญ่ก็ออกดราม่า

อาจไม่ผสมผสานได้ลึกซึ้งน่าอัศจรรย์เหมือน The Fountain , ไม่ลงตัวเจ๋งจ๊าบเท่า Contact หรือ หักมุมเก๋ไก๋ชวนขบคิดเท่าหนังของพี่มาโนช แต่ก็ชอบค่อนข้างมาก และ อยากเชียร์ให้ไปดู



Link ของ บทความที่อ้างอิงถึง และ เกี่ยวข้อง

The Fountain , เรารู้จักความตายมากมายแค่ไหนกัน (ศาสนา+จิตวิทยา+วิทยาศาสตร์)

The Day The Earth Stood Still , โลกสวยด้วยมือเรา โลกเน่าด้วยมือคุณ

The Happening , จดหมายถึงมาโนช (มาโนช นะ มาโนช)

Next , ทรงผมชวนกลุ้มใจกับหนังไซไฟดูเพลินๆ






บทสรุปแห่งปี 2008

9 หนังดี(วีดี)น่าดู ประจำปี 2008

10 ตัวละครประทับใจ ประจำปี 2008

10 ฉากประทับใจ ประจำปี 2008

50 หนังประทับใจ ประจำปี 2008(ตอน 1)

5 หนังไม่ชอบ + 50 อันดับหนังประทับใจ ประจำปี 2008 (ตอนจบ)





พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป



Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 1 เมษายน 2552 11:39:04 น. 22 comments
Counter : 5964 Pageviews.

 
แง๊! อาชีพในฝันของผม


โดย: เทราโอะ IP: 118.174.43.38 วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:11:28:33 น.  

 

มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมบล็อคนี้ ผมอ่านเนื้อเรื่องในบล็อคนี้แล้วก็ประทับตัว จขบ. ในฐานะที่เป็นนักเขียนที่นำเสนอเรื่องราวที่มีสาระน่าสนใจดีครับ

ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ดูหนังเลย แต่เมื่อวานขึ้นรถไฟฟ้าเห็นตัวอย่างภาพยนต์เรื่องนี้ ผมเลยสนใจครับ ตั้งแต่ว่าปลายสัปดาห์นี้จะหาเวลาว่างไปดูหนังเรื่องนี้ครับ จะไปดูว่าแนวคิดของพล็อตเรื่องมีที่มาเหมือนเรื่อง Sings และ Contact อ่ะป่ะ? เพราะว่าทั้งสองนี้นี้ได้ดูนานแล้วเหมือนกันครับ

ไม่มีโอกาสได้ไปขอลายเซ็นต์ที่งานหนังสือนะครับ เพราะว่าผมจะได้ไปวันธรรมดา แล้วผมจะลองไปตามหาผลงานดูครับ

อิอิ


โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:11:58:27 น.  

 
ชอบเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ


โดย: หนีแม่มาอาร์ซีเอ วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:13:36:21 น.  

 
เรื่องนี้ก็สนุกดีครับ แต่อาจจะมีอะไรบ้างที่ดูแปลก ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับในเรื่องการฉากที่สมจริง อลังการงานสร้างครับ


โดย: เอ IP: 202.91.23.4 วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:15:27:24 น.  

 


โดย: Ghoeby วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:16:18:13 น.  

 
ดูแล้วชอบเหมือนกันครับ


ยิ่งถ้าพอรู้เรื่อง ศาสนานิดๆ จะยิ่งสนุกมากครับ


โดย: BIZZARE วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:19:51:53 น.  

 
จุ๊บุ จุ๊บุ

ฉากโศกนาฎกรรม ได้ใจมากๆ
^^


โดย: ไอ้วู่ IP: 58.8.112.121 วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:20:45:37 น.  

 
ฉากเครื่องบินตกนี่สะเทือนอารมณ์มากเลยอ่ะ


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:0:40:18 น.  

 
ผมเป็นคริสต์ครับ และผมก็ชอบดูหนังความคิดพอสมควรด้วย แต่ผมดูยังไงก็ขัดใจแห่ะ

คือ จุดบอดของหนังมันมีเยอะเกินกว่าที่ผมจะทำใจรับได้จริงๆนะ

ผมคิดตรงข้ามกับคุณ BIZZARE เลยล่ะ ว่าบางทีคนรู้ศาสนามาดูอาจจะไม่สนุกซะยิ่งกว่า มันเหมือนหักประเด็นหนังเข้ามาทื่อๆ ผมคาดหวังกับอะไรที่ท้าทายกว่านี้ ต้องคิดมากกว่านี้ และมีจุดบอดที่ทำให้ผมต้องถามว่า "ทำไมมันเป็นงั้นล่ะ?" น้อยกว่านี้


โดย: ใหม่น้อย IP: 58.9.228.221 วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:10:11:12 น.  

 
เขียนซะอยากไปดูเลยครับ...555


โดย: granun วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:11:34:42 น.  

 
อ้อ...วันที่ 4 เจอกันนะครับ
จะแวะไปเยี่ยมที่บู้ทครับ


โดย: granun วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:11:36:36 น.  

 
ภาพที่เด็กผู้ชายเห็นมันไม่ค่อยตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นะครับ
แล้วผู้หญิงที่ดูโรคจิตขนาดนั้นไปมีสามีอีท่าไหน ผมจินตนาการไม่ออก
รายละเอียดต่างๆ ค่อนข้างขัดใจพอสมควรครับ


โดย: ไปดูมาแล้ว IP: 124.122.164.195 วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:16:05:24 น.  

 
ผมดูเรื่องนี้ต่อจาก the song of sparrow ความเห็นส่วนตัว หนังมีประเด็นที่เหมือนกันอยู่หลายส่วน (เหมือนเติมเต็มกันและกันอย่างสมบูรณ์) อย่างน้อยก็สัญลักษณ์เรื่องเครื่องช่วยฟังที่เหน็บแนมคนหัวใจคับแคบที่เชื่อในอะไรบางอย่างและปฏิเสธอะไรบางอย่างแบบชัดเจน หนังจบแบบขยายหลอดเลือดหัวใจของตัวละครผู้เป็นพ่อให้เปิดกว้างขึ้นเหมือนๆ กัน (ดูแล้วอบอุ่นหัวใจเหมือนกันด้วยน่ะ)
...ดนตรีประกอบใน knowing นี่เพลงเดียวกับฉากเปิดเรื่องของ the fall ใช่ม่ะ


โดย: beerled วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:17:29:49 น.  

 
รออ่านรีวิวเพื่อตัดสินใจว่าจะดูดีหรือไม่ ได้อ่านแล้ว อืม.. น่าดูแฮะ
ขอบคุณที่รีวิวให้อ่านครับ


โดย: gonz IP: 118.173.58.62 วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:19:08:33 น.  

 
ถ้าได้ดู Dark City, The Crow, และเรื่องนี้ จะเห็นเลยครับว่าใน I, Robot นั้น อเล็กซ์ โปรยาส คงโดนวิลล์ สมิธ ปรามไว้ หนังเลยไม่ออกมาอย่างที่มันควรจะเป็น

แค่ฉากหายนะสองฉากก็เห็นแล้วครับ ทั้งที่ซีจีออกจะหลอกตา แต่กลับทำให้ตื่นเต้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งบวกกับการดำเนินเรื่องที่ยอดเยี่ยม, การแสดงที่ได้มาตรฐาน และวิชั่นเจ๋งๆในตอนท้ายๆ ทำให้เห็นเลยครับว่า อเล็กซ์ โปรยาส นั้น เชื่อมือได้จริงๆ


โดย: tHecHamp IP: 168.120.74.47 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:9:50:07 น.  

 
ใครก็ได้ช่วยผมตอบทีครับ

-ทำไมมนุษย์ต่างดาวต้องมาบอกคุณเด็กหลอนในยุคก่อนด้วยอะครับ? ไม่เอาน้องไปหลอนดาวอื่นตั้งแต่ตอนนู้นเลย

-แล้วน้องลูกพระเอกของเรา ตอนผีเข้าเขียนตัวเลข ตัวเลขนั้นคืออะไรครับ คือวันที่จะเกิดภัยพิบัติที่ดาวโกโก้ครันช์!?


โดย: PeTe IP: 58.8.236.29 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:10:32:33 น.  

 
+ ไปดูมาเมื่อคืน และเห็นด้วยกับที่คุณ จขบ. ว่าไว้ในหลายๆ ประการ นับเป็นหนังหายนภัย - ไซ-ไฟ - ดราม่า แล้วเอาโยงกับความเชื่อทางศาสนา และเรื่องลึกลับอย่างมะนาวต่างดุ๊ด ได้ดีอีกเรื่องหนึ่งทีเดียวเนอะครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:14:46:59 น.  

 
เพิ่งไปดูเมื่อวานค่ะ

บอกตรงๆเลยว่า "ไม่เข้าใจ" อิอิ
เลยต้องมาอ่านใน Blog คุณหมอนี่แหละค่ะ ^_^


โดย: Zhen_x2 IP: 58.8.183.36 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:16:00:34 น.  

 
เพิ่งได้ดู the departure มาครับ แนะนำพี่หมอมาก ๆ เลย เชียร์สุดตัว

ถ้าเรื่องนี้พูดอังกฤษ slumdogไม่แน่ว่าจะได้ osgarครับ


โดย: littlebean IP: 98.27.135.87 วันที่: 4 เมษายน 2552 เวลา:12:59:37 น.  

 
มาขอบคุณ คุณbeerled ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องเพลงค่ะ (-/|\\-)
ฟังแล้วชอบมาก มิน่าถึงคุ้นมากๆว่าเคยได้ยินที่ไหน


โดย: Underhill IP: 202.28.181.11 วันที่: 5 เมษายน 2552 เวลา:20:35:41 น.  

 
คนแสดงเป็น Lucinda (เด็ก) กับ Abbey รู้สึกจะเป็นคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับข้อที่ไม่ชอบข้อที่ 2. ของคุณผู้เขียนบทความหรือเปล่านะครับ :)


โดย: Zero_Zero IP: 203.156.60.196 วันที่: 7 เมษายน 2552 เวลา:0:10:57 น.  

 
ชอบฉากรถไฟฟ้ามากกว่าเครื่องบินตกอีกค่ะ

ทามได้เหมือนและน่ากลัวมากๆๆ

แต่ไม่ค่อยชอบตอนจบอะค่ะ มันดูเปนอามาเกดดอนอะไรซะไม่มี แบบถอดศาสนามาเดี้ยะๆ


โดย: SHIT* IP: 125.25.28.78 วันที่: 11 เมษายน 2552 เวลา:10:25:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
31 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.