www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

กอด , เพราะ การกอด ทำให้รู้ว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก



... อ่านเจอมาว่า แรกเริ่มเดิมที ผู้กำกับคงเดช ไม่ได้ตั้งต้นที่ใช้ชื่อหนังเรื่องนี้ว่า กอด

เมื่อดูหนังจบ ผมยินดีที่หนังเรื่องนี้ชื่อ กอด เพราะ กอด คือชื่อที่เหมาะสม และ คำว่า กอด เองก็เป็นกริยาที่ผมรู้สึกว่าสวยงาม ใช้ได้กับทุกคนไม่จำกัดใช้เฉพาะกับคู่รัก

พ่อแม่กอดลูก เพื่อ ปลอบประโลมใจให้ความอบอุ่น

เพื่อนกอดกัน เพื่อ ยืนยันความสมัครสมานกลมเกลียว

คนรักกอดกัน เพื่อ ให้รู้ว่าเธอยังมีฉันอยู่ข้างกาย

คนที่จากลากอดกัน เพื่อ บอกให้รู้ว่าจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป

เรากอดตัวเองได้ในวันที่ไม่มีใคร เพื่อให้อย่างน้อยรู้ว่า เรายังรักตัวเอง และ การที่มีใครมากอดเรา ก็ทำให้อย่างน้อยรู้ได้รู้ว่า วินาทีนั้นเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก



...กอด คือ เรื่องราวชีวิตของ ขวาน กับ นา คนสองคนที่มีบางสิ่งเกินมาในชีวิต และ ก็มีบางอย่างที่ชีวิตนั้นขาดหายไป

ขวาน เกิดมามี 3 แขน มีคนล้อมีคนมองเป็นตัวประหลาด นา เกิดมาหน้าอกโต มีแต่ผู้ชายจ้องสนใจแต่นมกับข่มขืน

ขวาน ขาด คนที่เข้าใจและยอมรับ นา ขาด คนที่จะรักและห่วงใย




... ความแตกต่างในการมีส่วนเกินของทั้งคู่ อยู่ที่ ขวาน ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองมีและต้องการกำจัดมันออกไป ส่วน นา ถึงจะไม่ชอบให้คนสนใจแต่นม นาก็ไม่เคยคิดจะไปจัดการให้นมเล็กลง

ดังนั้น การเดินทางเข้ากรุงของสองคนนี้ มีความต่างกันก็ตรง คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น และเดินทางเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้คนรอบข้างยอมรับ ขณะที่ อีกคน สามารถยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น และเดินทางเพื่อตามหาคนที่เคยรัก

ชีวิตของ ขวาน กับ นา อาจดูห่างไกลเกินชีวิตของคนดูอยางเราๆ แขนที่สามอาจเป็นอะไรที่ดูสุดโต่งไกลตัว แต่ หากนั่งคิดดีๆ เราจะพบว่า ความเป็นขวานและนา อยู่ในตัวเราทุกคนไม่มากก็น้อยในแต่ละวัน


...เมื่อมองโลกผ่านสายตาของขวาน ก็ทำให้เราได้เห็น การมองตัวเอง

ขวาน เป็น ตัวแทนของการมองตัวเอง ที่มักจะผ่านสายตาเอ็กซเรย์ที่ส่องหาข้อบกพร่อง เช่น อ้วนเกินไป ดำมากไป แล้วพอเห็นจุดด้อยก็คอยแต่จะตำหนิ ฉันมันแย่ ฉันมันน่ารังเกียจ ทั้งที่ส่วนเกินที่เห็น มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราตลอดมา และ มันก็มีส่วนช่วยให้เราเติบโตจนถึงทุกวันนี้ เช่น แขนที่สามของขวาน เคยช่วยชีวิตเด็กให้รอดตาย เคยช่วยเขาทำงานหาเงินได้ในและวัน


แขนที่สามของขวาน ก็เหมือนกับขาที่โก่ง แขนที่โต ซึ่งเรามองว่าอัปลักษณ์ โดยลืมนึกไปว่า ขาที่โก่งก็ช่วยให้เราหยัดยืนและเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับแขนที่โตก็ช่วยเราหาข้าวหาปลา เลี้ยงพ่อแม่เลี้ยงลูกมาถึงปัจจุบัน

แขนที่สามของขวาน ก็เหมือนกับสิวฝ้า เหมือนพุง เหมือนรอยตีนกา ที่มนุษย์มัวแต่หมกมุ่นและเอาคุณค่าในตัวเองไปแขวนไว้กับสิ่งเหล่านั้น ทั้งที่จริงต่อให้ รักษาสิว ลดพุง ฉีดโบท๊อกซ์ แต่ทำตัวไม่น่ารัก ทำตัวน่ารังเกียจ คุณค่าในตัวเองก็ไม่ได้มีสูงขึ้นแต่อย่างใด


... เมื่อมองโลกผ่านสายตาของนา ก็ทำให้เราได้โอกาสสังเกตตัวเองใน การมองคนอื่น

นา เป็น ตัวแทนของการมองคนอื่น ที่เราเคยชินกับการมองรูปลักษณ์ภายนอกจนละเลยภายใน การเลือกกระแตมารับบทนี้เป็นความฉลาดสองต่อ เพราะ หนึ่ง คนส่วนใหญ่ก็เห็นกระแต แค่ เสื้อผ้าหน้าหุ่นกับอกอึ๋มๆที่ล่วงหน้ามาก่อน ตรงตามวัตถุประสงค์ของหนังต้องการให้รู้สึกกับนา และ สอง กระแตก็พิสูจน์ตัวเองให้คนดูได้เห็นว่า ตัวเองมีความสามารถในการแสดงจริงๆ เหมือน นาพิสูจน์ให้ขวานได้รู้ว่า หน้าอกใหญ่มีข้อดีแต่สิ่งที่ดีกว่าอยู่ข้างในหน้าอกคู่นั้น

... หน้าอกของนาที่ใช้โบกรถได้ ก็เหมือนสังคมที่ให้คุณค่า กับ รูปร่างหน้าตา , ระบบเส้นสาย , ทรัพย์สินศักดินา โดยไม่ได้มอง คุณค่าหรือความสามารถภายในตัวคน


... เมื่อการเดินทางได้มาถึงที่หมาย ทั้งสองคนสมหวัง ขวานได้ตัดแขน นาได้เจอสามี แต่ทั้งคู่ก็หาได้ มีความสุข ดั่งที่หวัง ทั้งคู่ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆกว่าที่จะค้นพบ สิ่งที่ตัวเองค้นหาที่แท้จริง

นา สมหวังที่ตามหาผัวจนเจอ ได้เห็นด้วยตาว่าสามีของเธอหนีตามความฝันไปเป็นนักมายากลได้สำเร็จ และ แววตาที่เธอมองเขาเหมือนกับรู้ได้ในวินาทีนั้นว่า ภาพผู้ชายตรงหน้ามีความสุขในชีวิตเพียงพอแล้วโดยไม่ต้องมีเธอ และ หากเธอก้าวไปหาเขา เธอก็จะกลายเป็นส่วนเกิน

สิ่งที่เธอตามหาในวันนี้ไม่ใช่ สามี แต่ คือ คนที่รักและเห็นคุณค่า คนที่ต้องการมีเธออยู่ข้างกาย


...ส่วน ขวาน หลังจากสมหวังที่ได้ตัดแขนที่สามทิ้ง แต่ขวานกลับยังสับสน ไม่รู้ว่าตัวตนนั้นกำลังต้องการอะไร

ลองย้อนกลับไปตอนต้นเรื่อง หนังเปิดฉากที่ การตายของช่างตัดเสื้อ ซึ่งดูไม่สลักสำคัญอะไรในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ แต่ สำหรับ ขวาน หลังจากแม่จากไป ช่างตัดเสื้อคือ คนสุดท้ายในโลกที่มองแขนที่สามในตัวเขาอย่างเข้าใจ ไม่รังเกียจ ไม่เห็นเป็นของประหลาดเหมือนคนรอบข้างที่เขาเจอ

ดังนั้น เมื่อขวานไม่เหลือใครที่มองเขาเป็นคนพิเศษจากภายใน ไม่เหลือใครที่มองรูปลักษณ์ภายนอกเขาเหมือนคนธรรมดา จิตใต้สำนึกจึงส่งให้เขาออกเดินทาง เพราะคิดว่า การตัดแขนจะให้เป็นคนธรรมดา และ ทำให้คนอื่นๆหันมามองเขาอย่างคนปกติทั่วไป


แต่ แขน เป็น ปัญหาของ ขวาน จริงหรือ

สายตาคนอื่น คือ ต้นเหตุของความทุกข์ จริงหรือ




...เมื่อ ขวาน พบคำตอบของคำถามข้างต้น ก็จะพบว่า ปัญหาที่ขวานต้องแก้ไข ไม่ใช่ แก้การมองของคนอื่น เพราะ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนทั้งโลกให้มองอย่างที่ใจเราคิด แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเปลี่ยนโลกทัศน์ของตัวเอง เราจะสามารถมีความสุขในสังคมที่ไม่เป็นดั่งใจ

เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่เรายิ่งกระหน่ำซ้ำเติม ยิ่งตำหนิ ยิ่งดูถูกยิ่งต่อว่าตัวเอง มันจะยิ่งทำให้ตัวเรานั้นห่างไกลจากสิ่งที่ตามหามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะกลายเป็นว่า

เราวิ่งไขว่คว้าหาความสุขจากคนอื่นๆ แต่ตัวเองกลับสร้างความทุกข์ใจภายในไม่เว้นแต่ละวัน


สิ่งที่ ขวานและหลายคนๆ ควรเริ่มต้นทำก่อนเรื่องอื่นใด ไม่ใช่ การหาอ้อมกอดจากคนอื่น แต่ต้องรู้จัก กอดตัวเองให้เป็น เรียนรู้ที่จะยอมรับ และ รักตัวเองในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เรียนรู้ที่จะ Handle me with care เช่นชื่อหนังภาษาฝรั่งที่ตั้งไว้



..กว่าที่ ขวาน จะเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องตัดแขนไป ก็สายเกินที่เขาจะรักษาแขนไว้ได้ทัน แต่ การสูญเสียครั้งนี้แลกกับการได้พบคำตอบที่แท้จริงในชีวิตก็อาจจะคุ้มค่า

เหมือนเช่นขวาน เมื่อเขาเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง สายตาเขาก็จะมองเห็นโลกได้กว้างขึ้น มองเห็นความรักได้ชัดเจนขึ้น และ พบว่า เราต่างก็เหมือนต้นไม้ประหลาดกับนิทานที่ ขวานคุยกับนา

เราแต่ละคนก็เป็นต้นไม้ที่ไม่สมบูรณ์ ต้นไม้ที่ไม่เหมือนใคร ต้นไม้ที่อาจจะมีกิ่งก้านผิดปกติ มีผลเสียๆเน่าๆ มีใบวิ่นๆแหว่งๆ บางคนอาจเป็นต้นที่แปลกว่าชาวบ้านไปหน่อย แต่ไม่ได้แปลว่า เราเป็นต้นไม้ประหลาดที่หยั่งรากฝังลึกอยู่ต้นเดียวในโลก

ยังมีต้นไม้อีกมากมายที่เป็นเหมือนๆกับเรา การที่เราแตกต่างไม่ได้แปลว่าเราจะแปลกแยก การที่เราอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าเป็นที่น่ารังเกียจ เพียงแค่ เราอาจจะอยู่ระหว่างการเดินทางของชีวิตที่ยังไม่พบเพื่อนร่วมเดินทางที่จะมาอยู่เคียงข้างเท่านั้นเอง

...ดังนั้น กอด จึงไม่ใช่ หนังรักโรแมนติกกุ๊กกิ๊กหวานชื่น แต่เป็น หนัง road movie ที่เล่าเรื่องการเดินทางของคนสองคน ที่บังเอิญได้มาพบกัน และ กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อเติมในส่วนที่แต่ละคนขาดหายไป

ขวานเข้าใจสิ่งที่ตัวเองโหยหา ได้พบคนที่เข้าใจและยอมรับ ส่วน นาได้ปล่อยวางรักในอดีตให้ทิ้งไป และพบคนที่รักและพร้อมอยู่เคียงข้างในปัจจุบัน


... ที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นว่า ชอบที่หนังเรื่องนี้ตั้งชื่อว่า กอด จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตามที เพราะถ้า กอด เป็น สัญลักษณ์ของการเติมเต็ม

การเดินทางของคนที่มีส่วนเกินส่วนล้นสองคน คือ การค่อยๆโอบกอดให้แก่กันและกันได้ในที่สุด เมื่อพวกเขาค้นพบสิ่งที่ค้นหาจากการเดินทาง ภายใต้ช่วงเวลาสองชั่วโมงในหนังของคงเดช





... คงเดช เป็น ผู้กำกับและนักดนตรีที่ผมเป็นแฟนประจำคนหนึ่ง เพราะติดตามงานของเขาตั้งแต่เป็นวงดนตรี โดยไม่เคยรู้ว่าเขาคือหนึ่งในวงสี่เต่าเธอ จากนั้นก็ติดตามงานหนังต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่ งานเขียนบทใน The Letter , Me...Myself ขอให้รักจงเจริญ งานกำกับหนัง สยิว และ เฉิ่ม หนังไทยที่ผมรักมากๆเรื่องหนึ่ง

...สังเกตว่าเมื่อใดก็ตามที่คงเดชเขียนบทหนังรักให้งานคนอื่น หนังรักของเขารับประกันได้ถึงความอ่อนหวานโรแมนติก แต่ น่าสนใจว่าเมื่อใดที่เขากำกับหนังของตัวเอง ทั้งสามเรื่องหาใช่หนังรักโรแมนติก แต่ ผสมผสานการวิพากษ์สังคม การเติบโตของตัวละคร และ การเติมเต็มในส่วนที่พร่องด้วยความรักของคนสองคน

ลายเซ็นของคงเดชที่ต่อเนื่องตั้งแต่ เฉิ่ม มาถึง กอด คือ การสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเอกให้เป็นคนชนชั้นแรงงานที่ถูกกระทำ ถูกเอาเปรียบ ถูกดูถูกเหยียดหยาม (คนขับแท็กซี่ , หมอนวด , คนสามแขน , คนถูกทิ้ง) เพียงแค่ ชะตากรรมของตัวละครในกอด ยังไม่ถูกกำหนดให้ต้องประสบความเลวร้ายหนักข้อเท่า เฉิ่ม และถูกนำเสนอให้มีความเหนือจริงมากกว่านิดๆ

...ใน กอด คงเดชยังเป็นผู้กำกับที่ขยันคิด (ใช้ลูกเล่นเป็นตัวอักษรแทนความคิดเหมือนหนังเงียบสไตล์ชาลี แชปลิน)

ขยันวิพากษ์สังคม (คนต่างด้าว ,ปัญหาสังคมติดการพนันหนี้บอล , รายการวนเวียนชีวิต – อันนี้ผมชอบมาก เมื่อพูดถึงรายการหลายรายการที่พยายามนำเสนอมุมด้อยของคนในสังคม แต่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกของคนในข่าวมัวแต่ใส่สีตีไข่ให้ดูน่าเห็นใจและเป็นข่าวเกินเหตุ , การให้คุณค่าแค่เปลือกของมนุษย์ , คนชนบทที่วิ่งไล่ความฝันกับภาพฝันจอมปลอม - ซูเปอร์แมน / หมอ / พิธีกร ที่สุดท้ายก็ทำเพื่อตัวเอง )

และ ขยันสร้างปมประเด็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆใส่ไว้ตามรายทาง แล้ว สุดท้ายก็สามารถหยิบที่ตัวเองโปรยไว้ตอนต้นมาปิดฉากจบได้ลงตัว (เช่นเรื่องนี้ ที่เปิดเรื่องของ ฝรั่งทำผิดกฎหมายกับความตายของใครที่ไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายกลายเป็น ส่วนสำคัญของเนื้อเรื่อง)

แต่ สิ่งที่ทำให้ กอด ยังไม่สามารถแย่งที่นั่งของ เฉิ่ม จากใจผม นั่นเป็นเพราะ ในแง่ความรู้สึกที่ได้จาก กอด ยังไม่มี impact ไม่กระแทกไม่ติดตรึงเท่า เฉิ่ม และ การเล่าเรื่องของ กอด ในช่วงกลางไปจนใกล้จะจบ เข้าข่ายเกือบๆจะน่าเบื่อ


...อีกทั้งความช่างคิดของคงเดช ในเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่ามีการใส่ประเด็นมากเกินไป เมื่อมองเป็นส่วนๆนั้นดีจริง แต่ เชื่อว่าถ้าตัดใจทิ้งบางส่วนออกไปบ้าง แล้วเพิ่มพลังงานความกระฉับกระเฉงให้กับครึ่งหลังได้สนุกเหมือนครึ่งแรก ภาพรวมของหนังน่าจะสนุกมากขึ้นและลงตัวมากกว่านี้

( ฉากที่ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินในหนัง เช่น ช่วงเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์เจอหมอดู , ช่วงเอาแขนคืน หรือ การเติมภาพครอบครัวที่รังเกียจแขนที่สามของขวาน ฯลฯ ซึ่ง ตอน เฉิ่ม ก็มีส่วนเกิน แต่เป็นแค่ตอนเดียวคือ คุณลุงในม่านรูด)


...จุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่เกือบลืมเขียนถึง คือ คงเดชเป็นผู้กำกับที่เก่งในการปั้นนักแสดงให้เล่นได้เป็นธรรมชาติและ ทำให้เหล่าดาราในหนังมอบฝีไม้ลายมือได้ดีมากกว่าทุกเรื่องที่เจ้าตัวเคยเล่น เช่น หม่ำ และ นุ่น

ใน กอด ก็เช่นกัน นักแสดงในหนังล้วนเล่นได้ดีเป็นธรรมชาติไล่ตั้งแต่นักแสดงนำไปจนถึงนักแสดงสมทบที่มีบทแค่ไม่กี่นาที

หาก หม่ำ คือตัวละครที่ผมประทับใจที่สุดจากเฉิ่ม ในเรื่องนี้ผมประทับใจในความน่ารักและเป็นธรรมชาติเหลือเกินของ กระแต ส่วน ตุ้ย เล่นดี แต่ การแสดงของเขายังขาดเสน่ห์ที่จะส่งอารมณ์มาสู่คนดูเหมือนกับที่หม่ำเคยทำได้




...ผมชอบการถ่ายภาพที่ออกมาแล้วสวยและให้ความรู้สึกจริงใจ ไม่เสแสร้งหรือจัดแต่งให้สวยเกินจริง ทั้งฉากเปิดเรื่องที่แปลกตา ฉากชนบททุ่งนาและชาวบ้าน ฯลฯ

มีสองฉากในหนังที่ผมชอบมากๆและคิดว่าโรแมนติกมากๆ หนึ่งคือฉากรอเสียงริงโทนของนา แล้วเธอคะยั้นคะยอให้ขวานโทรมาหา เป็น ฉากที่เศร้าเจือสุข ฉากแบบนี้เป็นอารมณ์ของหนังที่ผมประทับใจเหมือนตอนที่ได้ดูเฉิ่ม แถมเพลง เฝ้าคอย ที่เลือกมาเป็นใส่ก็ช่างลงตัวเหลือเกิน

อีกฉากหนึ่งคือ ฉากที่ทั้งสองคนไม่ยอมก้าวข้ามไปหาอีกฝั่งตรงทางรถไฟ ถึงแต่ละฝ่ายจะตัดสินใจไม่ได้และยืนในฝั่งของตัวเอง จนรถไฟมาวิ่งกั้นกลาง แต่ สุดท้ายก็ยังสุขใจและอบอุ่น ที่แม้จะเกิดความขัดแย้ง แต่เรายังเห็นใครอีกคนอยู่รอที่อีกฝั่งหนึ่งไม่ได้หนีหายจากเราไป


สรุป ... กอด ไม่ต่างจากหนังดีๆปีที่ผ่านมาอย่าง ไชยา กับ รักแห่งสยาม คือ เพียบพร้อมด้วยคุณภาพที่เกินค่ามาตรฐานเฉลี่ยของหนังไทยทั่วไป และ สามารถเข้าถึงคนดูแบบไม่ยากเย็น เป็นหนังไทยสไตล์ Road movie ที่ผสมดราม่าสอดไส้โรแมนติกและวิพากษ์สังคมได้ดี น่าประทับใจ

ตอนดูหนังเรื่องนี้จบ แทนที่ผมจะนึกถึง เฉิ่ม ผมกลับชมชอบและคิดถึงหนังไทยรุ่นพี่อีกเรื่องที่พูดถึง การเดินทางตามหาความหมายชีวิตที่เดินทางเสียไกลแต่คำตอบอยู่ใกล้ตัว บวก ภาพสะท้อนสังคมไทย คล้ายๆกันอย่าง มนต์รักทรานซิสเตอร์ เสียเหลือเกิน

ที่ไม่อยากจะให้เดินตามรอยรุ่นพี่เหมือนกัน คือประเด็นในแง่รายได้

ซึ่งน่าเป็นห่วงที่ว่า เมื่อ มีคนสร้างหนังไทยดีๆและก็ดูง่าย แต่ ไม่ได้รับโอกาสจากคนดูในบ้านเกิดของตัวเอง สุดท้ายหากผู้กำกับไม่ท้อใจ นายทุนก็อาจจะถอดใจ แล้วก็จะทำให้ หนังไทยบ้านเรากลายเป็นวงจรหนังตีหัวเข้าบ้านที่ขยายใหญ่ขึ้น แต่หนังคุณภาพหรือทางเลือกใหม่ๆก็จะลดน้อยถอยลง


ป.ล. ขออภัยที่ blog งวดนี้ไม่ค่อยมีรูป เพราะรูปประกอบจากหนังเรื่องนี้หายากมาก



Link บทความที่อ้างอิงถึงจากใน blog

เฉิ่ม... , คุณ"สมบัติ" อาจไม่ "ดีพร้อม"แต่ก็ดีเพียงพอ

Me...Myself ขอให้รักจงเจริญ , แค่นี้ก็พอแล้ว

รักแห่งสยาม , ทุกชีวิตเติบโตได้ด้วยความรัก


ไม่ใช่ไข่เค็ม ไม่ใช่ต้มยำกุ้ง ไม่ใช่หนังชกมวย ( ไม่สปอยล์ ) <--- “ไชยา” --> หนังดีที่น่าชื่นชม



แจ้งข่าวจ้า : องศาที่ 361 คลอดอย่างเป็นทางการแล้ววววว




อ่านเบื้องหลัง ที่มาที่ไป ไขเบื้องหลังของหนังสือ คลิกได้ที่นี่เลยครับ

เบื้องหลัง 'องศาที่ 361' - พ็อกเก็ตบุ้คเล่มที่ 2 ของ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ”

อ่านจบเมื่อใด ขอเชิญชวนมาพูดคุยแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ คลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ

อ่านแล้วมาคุยกัน ... "องศาที่ 361


ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 8:31:14 น. 31 comments
Counter : 9601 Pageviews.

 
อยากดูซะแล้วสิ ขอบคุณมากนะคะ
เสี้ยวไม่มีใครกอด เลยอยากไปดูคนเค้ากอดกัน อิอิอิ
ขาดความอบอุ่นเล็กๆแฮะ


โดย: gluhp วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:08:29 น.  

 


โดย: Fullgold วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:17:38 น.  

 
ทีแรกกะจะมองข้ามหนังเรื่องนี้ไปซะแล้ว เพราะคิดว่าคงเป็นพรอตเดิมๆ ที่คนสองคนต่างมีปมปัญหา
ต่างที่มา มาเจอกันและเติมเต็มซึ่งกันและกัน

แต่พออ่านดูแล้วมีจุดที่น่าสนใจอีกอย่าง
ที่เปลี่ยนใจให้ผมอยากดู คือ "การวิพากษ์สังคม"

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ อีกครั้งที่ทำให้ผมคงไม่พลาดหนังดีๆไปอีกเรื่องครับ



โดย: hAmlet IP: 124.121.136.100 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:20:51 น.  

 
ไม่อยากกอดใคร

ชอบยิงมากกว่า


โดย: " คุณชายช่างฝัน " วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:4:10:42 น.  

 
อ่านแล้วอยากดูจังเลยยยย


โดย: s.o.s วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:24:25 น.  

 

รอรีวิวเรื่องนี้มาหลายวันแล้วค่ะ ดีใจที่ได้อ่าน
น่าเสียดายถ้าหนังไทยดีๆแบบนี้จะถูกมองข้ามไป

แอบเห็นด้วยเล็กๆที่ว่าหนังต้องการใส่อะไรมาจนบางทีอาจจะเยอะเกินไปจนทำให้หนังเอื่อยไปหน่อย
แต่ด้วยความที่เรามองหนังเรื่องนี้เป็นบวกอยู่แล้ว แล้วก็ให้ใจกับมันไปตั้งแต่ตอนที่หนังยังไม่ได้ฉายแล้ว เราก็เลยไม่รู้สึกว่ามันยาวหรือน่าเบื่อเลย กลับเสียดายฉากที่ถูกตัดไปด้วยซ้ำ (อย่างฉากพิพิธภัณฑ์ที่คุณบอกว่ามันหลุดอ่ะค่ะ เราทราบมาว่าจริงๆแล้วมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น แต่ตัดไปเพราะหนังยาวเกิน และเราก็ยังคิดว่ามันอาจจะเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งเลยก็ได้)

อย่างไรก็ดี ตอนนี้เราพูดได้เต็มปากว่าเรา 'รัก' หนังเรื่องนี้
มันทำให้เราได้มีช่วงเวลาดีๆที่นั่งกอดตัวเองแล้วนึกถึงเรื่องราวในหนัง
แล้วก็อมยิ้มไปกับบางภาพ และในขณะที่ขมขื่นไปกับบางฉาก

ขอเป็นกำลังใจให้คนทำหนังดีๆแบบนี้ได้ทำต่อไปนะคะ
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ทำเงิน แต่"มันขโมยหัวใจเราไปแล้ว"


ปล. กำลังจะเขียนรีวิวบ้างเหมือนกันค่ะ ไว้เราเขียนแล้วจะเอามาให้อ่าน (จะอ่านมั้ยเนี่ย55+) นะคะ ^^


โดย: n o O n * IP: 58.8.17.173 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:47:04 น.  

 
เห็นล็อคอิน ของคุณแล้วดีใจ ที่พูดถึงหนังเรื่อง กอด
ในมุมนี้ค่ะ (เพราะเห็นว่าคุณค่อนข้างน่าเชื่อถือในพันทิบ)
ไม่เคยดูหนังไทย เพราะเบื่อ แต่เรื่องนี้ ต้องดูเพราะเป็น แฟนคลับ ตุ้ย เท่านั้น จริงๆ

แต่เมือ่ดูแล้ว ต้องหันกลับมาดู หนังไทยใหม่แล้วค่ะ
อย่างน้อย คนที่มีผลงานดีดี ก็มีอีกเยอะใช่ไหมคะ
เช่นคุณคงเดช

อ้อ อีกเรื่องค่ะ
ตอนที่ แฟนคนแรกของขวาน ขอเลิก แล้วมี คำพูด
เกี่ยวกับการให้ความสุข ด้วยมือขวาน หรือเครื่องมือจากอิตาลี
ยังนึกอยู่ว่า คนเขียนเค้า หมาย ถึงคนไทยดูหนังหรั่งแล้ว สนุก ชอบ ว่าหนังไทยรึเปล่า
แอบคิดว่าเค้ากัด เรา แต่กลายเป็นไม่ใช่
มันเป็นเรื่อง ของ เซ็ก ทอย จริงๆ หรือคะ
งงค่ะ


โดย: ไอ้นิล IP: 124.121.4.186 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:52:26 น.  

 
ผมดูรอบเดียว รู้สึกตอนออกจากโรงเลยว่า ยังเก็บอะไรที่ ผกก. ทิ้งไว้ให้ไม่หมดจริงๆ

เมื่อนั้นผมคงชอบหนังเรื่องนี้มากกว่านี้ (ถ้ามันมีอะไรอย่างที่ผมว่า)

แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยก็คือ

กระแตสุดน่ารัก น่าจดจำ มากๆๆ...





โดย: Seamsee IP: 58.9.204.107 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:05:10 น.  

 
+ อืม ... ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นหนังค่าย GTH และถึงแม้จะเชื่อมือ ผกก. คงเดช ... แต่ไอเดียเริ่มต้นของหนัง มันประหลาดโลกเกินกว่าที่จะทำให้ผมอยากดู (คน 3 แขน) ซึ่งก็คงทำนองเดียวกับเรื่อง Me ... Myself ที่ผมไม่เชื่อว่ากระเทยแต่งหญิงที่ความจำเสื่อม จะกลายมาเป็นผู้ชายได้อ่ะครับ ... แล้วก็อีกอย่างหวั่นๆ กับดารานำทั้งคู่ด้วย
+ แต่พอได้มาอ่านที่คุณ จขบ. เขียน เรื่องดาราคงหมดปัญหา ส่วนธีมหลักของเรื่อง ก็ดูน่าจะอบอุ่นดีและมีอะไรชวนให้คิด ... ก็เด๋วถ้ามีเวลาว่าง คงได้ดูและจะมาเขียนเพิ่มเติมอีกทีนะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:26:13 น.  

 
ผมอินกับ "กอด" มากๆ (อาจจะถือว่าเป็น guilty pleasure หน่อยๆก็ได้ ที่มองข้ามส่วนด้อยบางจุดของหนังไปอย่างไม่ลังเล) และเป็นหนังเรื่องแรกถัดจาก Hula Girls และ Memories of Matsuko ที่ผมร้องไห้ให้มัน

หนังมีลูกเล่น มีความตลก แต่ภาพของสังคมในหนังที่เราเห็นนั้นไม่ตลกเลย... มันคือความโหดร้ายชัดๆ


โดย: nanoguy IP: 125.24.87.79 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:31:56 น.  

 
ตอนแรกไม่รู้สึกสนใจเลยค่ะ
แต่แอบชอบซาวน์แทร็คที่ปุ๊อัญชลีร้อง
ความหมายดี ฟังแล้วอบอุ่นชะมัด

แต่อ่านรีวิวอันนี้แล้วรู้สึกอยากดูขึ้นมาตะหงิดเลยล่ะค่ะ


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:03:59 น.  

 
ชอบความหมายของชื่อเหมือนกันค่ะ

"กอด" ฟังดูอบอุ่น มั่นคง

"Handle me wiht care" ฟังแล้วรู้สึกปลอดภัย อุ่นหัวใจว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะไม่ถูกโดดเดี่ยว


โดย: สมุดธนาคาร IP: 125.27.165.157 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:08:19 น.  

 
แค่อ่านก็รู้สึกดีแล้วค่ะ

เป็นหนังที่น่าดูมากๆเรื่องนึงเลยนะเนี่ย


โดย: สวยเปล่งปลั่ง(จนแทบปริ) (chunny ) วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:47:40 น.  

 
จริงๆแล้วคงเดชเป็นเพื่อนร่วมรุ่น รร มัธยมด้วยกัน เค้าเป็นคนดีและมีความคิดที่ดีมากๆ
แต่ อย่างเรื่องสยิว ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยซักนิดเลย
ผู้ชายจะเข้าใจอะไรมากมายในผู้หญิง จริงหรือ?

แต่กลับกัน อย่างเรื่อง Me Myself ผมกลับรู้สึกว่า นี่แหล่ะ คือตัวมันจริงๆ จากเด็กที่จบมาจาก รร ชายล้วน


โดย: ผมนี่แหล่ะ IP: 58.9.78.133 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:56:42 น.  

 
เป็นหนังที่ชอบมากอีกเรื่องในรอบหลายปี
ชอบจัง Handle me with care มีคำนี้เมื่อไหร่พังเมื่อนั้นเจ๋งจริงๆ


โดย: สามแขนหนึ่งใจ IP: 124.120.95.226 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:59:31 น.  

 
ไปดูมาแล้วค่า สดๆร้อนเมื่อวาน
อยากบอกว่า "ชอบ" หนังเรื่องนี้มากค่ะ ดีใจที่ได้ไปดู
ถึงกุ้งจะไม่ได้จับประเด็นวิพากษ์สังคมที่แทรกไว้ได้เท่าที่พี่จขบ.เห็นก็ตาม
(พอพี่บอกประเด็นมา กุ้งเลยยิ่งรู้สึกชอบไปใหญ่)
และก็มีหลายตอนที่ทำเอาน้ำตาซึมไปยันน้ำตาไหลเลยค่ะ


โดย: ลิปดา-พิลิปดา IP: 58.9.9.62 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:50:14 น.  

 
ตั้งใจจะไปดูหนังเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว แต่ไม่ว่างซักที พรุ่งนี้วันหยุด ต้องหาเวลาไปดูให้ได้ ยิ่งได้อ่านที่คุณเขียนไว้...ยิ่งมั่นใจว่า คงเลือกหนังดีๆ ดูสักเรื่องไม่ผิดแน่...ขอบคุณที่แนะนำนะคะ ตามมาจากกระทู้ค่ะ


โดย: คาร์เนชั่นวันแรกรัก วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:29:36 น.  

 
รอรีวีวถอดรหัสวิญญาณนะคะ อิอิ


โดย: 121 IP: 125.27.14.208 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:10:46:21 น.  

 
ไปดูมาแล้ว รอบแรกของวันสุดท้ายที่หนังจะเข้าโรง ด้วยกลัวจะพลาดหนังไทยดีๆไป

ด้วยติดตามหนังไทยมาพอสมควร ก็พอจะรู้ทางของคุณคงเดช ทั้งเรื่องที่กำกับเอง และที่เขียนบทให้คนอื่น จึงไปดูด้วยความคาดหวังว่าน่าจะดีในระดับหนึ่ง แต่หลังจากออกโรง พูดได้เลยว่าเป็นหนังที่น่าผิดหวังที่สุดของคุณคงเดช
คุณคงเดชอาจจะเป็นคนช่างคิด แฝงนัยยะ ต่างๆ+สะท้อนสังคม ซึ่งหากมองเป็นส่วนๆก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว แต่เมื่อมันเรียงร้อยต่อกัน กลับดูประดักประเดิด อ่อนด้อยทั้งความบันเทิง และการชี้นำเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ตัวผกก.กำลังจะบอก เพราะเล่นบอกกันโต้งๆและย้ำเป็นระยะๆ ความรื่นไหลของเหตุการณ์ต่างๆ Timeline เละเทะอาทิ
1.ขวานจะรีบไปตัดแขน เพราะเดี๋ยวจะเลยวันนัดหมอ แต่พอเกิดมีปัญหาไม่เป็นไปตามแผน แทนที่จะรีบหาทางไปกรุงเทพกลับมีเวลาชมนกชมไม้เล่นนิทานเรื่องต้นไม้ออกใบสีทอง

2.ติงลี่รับขวานไปกรุงเทพฯเพราะจะเอารถไปส่งเถ้าแก่ กลับขับรถอ้อมไปเล่นพนันที่อีสาน หนำซ้ำดูเถ้าแก่คงไม่ค่ยรีบใช้งานรถ เพราะจนกระทั่งขวานหลงทาง+ตัดแขนเสร็จ+พักฟื้น ขากลับดันเจอรถคันนี้ตกอยู่ข้างทาง (หรือว่าคนอื่นขับ?)

คุณคงเดชอาจจะสนุกกับการแฝงนัยยะ มากซะจนละเลยความสมเหตุสมผล และสมจริงอาทิถามจริงๆเวลาโบกรถเนี่ย คำแรกที่เราพูดกับคนหยุดจอดรถเนี่ยคือ "ไปด้วยได้ไหม" หรือคำว่า"พี่ไปไหนครับ....งั้นขอติดรถไปลงที่...นะครับ"
อย่างไหนน่าจะสมจริงกว่ากัน


สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ผมเห็นด้วยว่าคือกระแต ฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่งคือฉากที่กระแตอู้กำเมือง (เออเนอะคนต่างจังหวัดในเรื่องนี้เค๊าแทบจะไม่พูดภาษาท้องถิ่นเลยเนอะ)

ปัญหาของคุณคงเดชที่ มีมายาวนานแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่หายคือการOver Write คือมักจะสื่อสารด้วยการพูด มากกว่าใช้ภาษาภาพ (แม้แต่ความคิดของขวานก็ต้องเขียนให้คนดูรู้กันไปเลย)
ดังนั้นจึงเหลือพื้นที่ให้คนดูคิดเอง หรือเชื่อมต่อข้อมูลเองน้อย

หลังจากอ่านจากหลายๆที่ในเนททำให้ทราบว่าผกก.แฝงนัยยะทางการเมือง ชาติ และอีกหลายๆอย่างไว้ซึ่งเข้าท่าทีเดียวเสียแต่ว่า มันไม่ได้ช่วยให้พล๊อตหลักแข็งแรง และน่าติดตามแต่อย่างใด

ที่บ่นๆมานี่เพราะติดตามหนังไทยนะครับ ไม่อยากจะเป็นพวกเอาแต่ด่าหรือมีอคติ แต่นี่ก็คงเกิดจากการประเมินข้อมูลพลาดไปนึกว่าจะดี พอเดินออกโรงพูดได้คำเดียวว่าเสียดายตังค์+เวลาครับ
และที่มาเขียนในBlogของคุณผมอยู่ข้างหลังคุณเพราะถ้าลงเวปเด็กหนังดูท่าผมจะกลายเป็น "ขวาน" เข้าให้น่ะครับ


โดย: zzz IP: 124.157.156.100 วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:0:10:14 น.  

 
^
^
ผมว่าไอ้หลอลี่ไม่ได้จะเอารถไปส่งเถ้าแก่ด้วยซ้ำล่ะมั้งครับ
เผลอๆ บางทีรถคันนี้มันไปขโมยใครมา แล้วกะเอาลงไปขายหาเงินมาเล่นพนันต่อก็อาจจะเป็นได้

ส่วนเรื่องอื่น อันนี้ก็แล้วแต่จะคิดกันล่ะครับ เพราะผมรู้สึกว่านอกจากการแฝงนัยยะเรื่องการเมือง ฯลฯ อันนี้ผมว่าเรื่องของพล็อตหลักหนังก็ยังมีประเด็นที่แข็งแรงอยู่

หรือว่าผมอินกับเรื่องนี้มากเกินไป 5555


โดย: nanoguy IP: 125.24.77.177 วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:12:51:34 น.  

 
+ จากที่ผมได้เกริ่นไว้ที่ #9 แล้วว่าตอนแรกผมคิดจะบายหนังเรื่องนี้เพราะเหตุใด ... แต่หลังจากทนเสียงร่ำลือถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้จากผู้คนรอบๆ ตัว (ในเน็ต-บล็อก) ไม่ไหว จึงได้ไปลองสัมผัสงานชิ้นนี้ ... แล้วก็พบว่าสิ่งที่ผมเกรงทั้ง 2 ข้อ ไม่ได้เป็นจุดอ่อนของหนังแต่อย่างใดครับ

เอ็ฟเฟ็กต์ 3 แขน ไม่ถึงกับดูโดดออกมาจนดู 'ไม่จริง', ในขณะที่ดารานำทั้ง 2 คนก็เป็นธรรมชาติกับบทบาทแบบเนียนๆ
และสิ่งอื่นที่ผมได้รับนอกเหนือจากนั้น ก็คือ ความอิ่มเอมใจ ที่หนังมอบให้คนดู กับประเด็นของ 'คนที่เกิน' เลยต้องตัดออก (ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นอาจมีประโยชน์ก็เป็นได้) กับ 'คนที่ขาด' และต้องการเติมเต็ม ... ซึ่งจบลงด้วยการที่ตัวละครอย่างขวาน เข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้นอ่ะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:17:36:58 น.  

 
+ เมื่อวานลืมเขียนไปอีกอย่างนึงว่า ผมชอบการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้ ... ดูสวย (จนบางครั้งเกินจริง) ตั้งแต่ฉากแรกๆ เลย และก็คุ้นๆ ตามาก ตั้งแต่ตอนฉากเปิดเรื่องแถวๆ สถานีรถไฟ พอยิ่งดูไปๆ จนมาถึงฉากสะพาน ก็รู้แล้วว่านั่นมัน ... บ้าน (ตจว.) ผมเองนี่นา แหะๆ ... เป็นการนำภาพ 'เมืองลำปาง' มาขึ้นจอได้อย่างงดงามเป็นที่สุด (ผมชอบฉากมุมสูง แล้วมองลงไปที่ห้าแยกหอนาฬิกามากๆ ) ขอชื่นชมเพิ่มเติมแก่ ผกก. ภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:16:19:11 น.  

 
เรื่องนี้เสียดายฉากกอดน้อยไปนิด ไม่สมชื่อเรื่องเลย

เนื้อหนังดูเบาลงกว่าเรื่องก่อนๆของผกก.คนนี้ แต่ถึงยังไงก็ยังจะดูต่อไปครับ


โดย: ice/ice/baby IP: 125.24.202.48 วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:8:18:15 น.  

 


สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม
หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง
ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน


โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:17:28:00 น.  

 
อืม เด๋วต้องไปหามาดูซักกะหน่อย


โดย: kikkok IP: 202.28.183.9 วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:11:21:20 น.  

 


โดย: ออย IP: 118.173.10.230 วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:12:09:38 น.  

 
กระแตน่ารักมาก จริงๆนะครับ


โดย: 111 IP: 58.9.247.188 วันที่: 16 เมษายน 2551 เวลา:23:41:03 น.  

 
ผมดูจาก DVD
แนวหนังจะเป็นรักอบอุ่น เทียบกับ เฉิ่ม ซึ่งเป็นหนังรักที่หมองหม่นกว่ามาก
นึกว่า DVD จะมี director commentary แต่กลับไม่มี
มี deleted scene แทน 2-3 ฉาก
สงสัยหนังไม่ค่อยได้ตัง


โดย: 111 IP: 58.9.247.188 วันที่: 16 เมษายน 2551 เวลา:23:47:26 น.  

 
ตอนดูเฉิมครั้งแรก ผมไม่รู้ว่า
การอาบ อบ นวด ไม่ใช่แค่การให้สาวๆมานั่งๆนวดๆเพียงแต่อย่างเดียว....

ทำให้ผมรู้สึกว่า หนังไรเนี่ย เศร้าไปไหม ไม่เห็นน่าเศร้า
สงสัยผมต้องกลับไปดูใหม่ซะแล้ว ๕๕๕


โดย: cza IP: 202.28.78.177 วันที่: 5 สิงหาคม 2551 เวลา:4:12:46 น.  

 
ชอบฉากที่นางเอกให้พระเอกโทรเข้ามือถือตัวเองเหมือนกันเลยค่ะ




โดย: " น้ำแข็งอุ่น " วันที่: 8 สิงหาคม 2551 เวลา:3:27:34 น.  

 
ตามมาจากเฉลิมไทย

ชอบบทความที่คุณเขียนจังเลยค่ะ


โดย: ผิง IP: 60.240.27.27 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:15:42:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
27 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.