Group Blog
 
All blogs
 

มิตรภาพออนไลน์กับ The Wrestler



ฉันได้รับดีวีดีหนังเรื่องนี้จากบล็อกเกอร์ คุณ “คนขับช้า” ส่งมาเพื่อแบ่งปันกันดู ไม่ต้องต่างคนต่างซื้อ ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน


เท่าที่อ่านบล็อกคุณ “คนขับช้า” ได้รับมิตรภาพจากการแชร์หนังสือกันอ่านหรือแชร์ดีวีกันดูกับบล็อกเกอร์ท่านอื่น

และแล้วคราวนี้ฉันก็เป็นหนึ่งในบล็อกเกอร์ที่ได้รับดีวีดีเรื่องนี้มาดู



พระเอกของเรื่องเป็นนักมวยปล้ำ สารภาพเลยว่าไม่ชอบดูกีฬาประเภทนี้สักเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันรุนแรง แม้ว่าได้ยินมาว่าเขาทำท่าให้มันโอเวอร์ แต่จริง ๆ ไม่เจ็บตัวเท่าไหร่



แต่ก็ได้แง่คิดในบางเรื่อง ว่าพระเอกเป็นนักมวยปล้ำที่มีแฟนคลับคลับคลั่ง ทำให้แฟนคลับมีความสุขในการดู แต่ว่าชีวิตจริงสอบตก คือไม่ค่อยได้ดูแลลูกสาว ลูกสาวเคยต่อว่าพระเอกว่า รู้มั้ยวันเกิดเขา พ่อไม่เคยอยู่ด้วย



ช่วงนี้เป็นประโยคกินใจที่สองพ่อลูกปรับความเข้าใจกัน

I just want to tell you.
I’m the one who was supposed to take care of everything.
I’m the one who was supposed to make everything okay.
But it just didn’t work out like that.
And I left . I left you.
I used to try to forget about you.
I used to try to pretend that you didn’t exist.
But I can’t.
You’re my girl.
You’re my little, you’re my little girl.

พระเอกจำต้องออกจากวงการมวยปล้ำเนื่องด้วยสุขภาพ Heart attack จึงมามีอาชีพใหม่ มุมขายสินค้าในซุปเปอร์มาร์เกต แต่เขาก็รู้สึกตลอดว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขา ฉันว่าคงเป็นด้วยเรื่องความภาคภูมิใจในอาชีพเดิม ในที่สุดเขาก็หวนกลับไปในวงการเดิม

ในภาพยนตร์มีตอนหนึ่งที่พระเอกกำลังเดินออกมาจากจุดทำงานของ staff มาที่มุมขายสินค้าในซุปเปอร์มาร์เกต เขากำลังนึกถึงบรรยากาศช่วงที่เขากำลังจะก้าวออกมาบนเวทีมวยปล้ำ ที่เริ่มมีเสียงคนโห่ร้องเรียกให้
ออกมาหน้าเวที

ระหว่างนั้นที่ฉันคิด.... พวกนักแสดง นักร้อง หรือใครที่ทำงานอยู่หน้าเวทีคงคิดแบบนี้



จริงนะ แต่ละคนก็มีพื้นที่ที่เหมาะกับของตัวเอง บางครั้งเราชอบไปตัดสินใจว่าเขาควรจะทำอย่างนั้น อย่างนี้นะ หรือคนอื่นมาตัดสินให้เรา แต่ใครจะรู้เท่ากับตัวเราเอง ความสุขในเรื่องหนึ่งของคนหนึ่ง อาจไม่ใช่ความสุขของอีกคนหนึ่ง



.....สิ่งสำคัญ … หาความสุขของตัวเองให้เจอ….




คุณ “คนขับช้า” บอกว่า หนังเรื่องนี้ได้อันดับ 110 ของ Top250 ใน IMDb และ Rottentomatoes ให้ 98 % สูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย



คะแนนความชอบ 7 เต็ม 10


ฉากเกี่ยวกับมวยปล้ำนี่ ไม่ได้ดูเลย





ว่าแล้วก็เลยแจ้งรายชื่อหนังสือที่ตัวเองมีส่งให้คุณ"คนขับช้า"ไป เผื่อว่าสนใจเล่มไหน แจ้งได้ จะส่งไปให้อ่าน


แต่ ท่านเงียบ ๆ ไป สงสัยแนวหนังสืออ่านจะต่างกัน


.....รัชชี่.....









Ratchee’s Grateful Journal
วันอาทิตย์ 27 ธ.ค. 52


นัดกับเจ้าหน้าที่ KTB ไปเอาเอกสารมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรื่องลดหย่อนภาษี


แวะเวียนไปศูนย์ DTAC ที่เซ็นทรัลบางนา ก็ต้องชมซะหน่อยกับเจ้าหน้าที่ 3 คนที่พบ ความที่ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเมียง ๆ มอง ๆ หา Smartphone ว่าจะซื้อดีมั้ย ถ้าซื้อจะเอายี่ห้ออะไรดี

ตอนนี้ DTAC จับมือกับ BlackBerry แล้ว…….

เล่าเท้าความครั้งก่อนซะหน่อย

เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันไปสาขาที่ใกล้บ้านซึ่งปกติเป็นสาขาที่จ่ายตังค์ค่ามือถือ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่รับชำระเงินไม่มีปัญหา

แต่…..สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เราสอบถามเรื่องราวบริการต่าง ๆ ได้รับคำตอบแล้วไม่ค่อยจะ happy เท่าไหร่
(ทั้ง 2 ครั้งเจอเจ้าหน้าที่คนเดียวกัน)


ครั้งแรกถามเรื่อง Nokia รุ่นหนึ่งที่วางในร้าน

“มีเครื่องให้ลองมั้ย” “ไม่มี”
“ถ้าซื้อแล้ว มีคนสอนเบื้องต้นให้มั้ย” “ไม่มี Nokia ใช้ง่ายออก”

ความจริงฉันค่อนข้างเป็นชมรมคนรัก Nokia อยู่สำหรับมือถือแต่ละเครื่องที่ผ่านมา แต่แหม เจ้าตัวนี้มีฟังก์ชั่นอะไรเพิ่มเติม ฉันก็เป็นคน low tech ซะด้วย ฉันแค่ต้องการคำอธิบายนิด ๆ หน่อย ๆ สำหรับการใช้ ที่เหลือไปอ่านคู่มือเอา


ครั้งที่สอง ฉันไปถามเรื่อง BlackBerry นี่แหละ

“รุ่นสีขาวที่โฆษณามีมั้ย” “ไม่มีที่ร้าน ถ้าจะเอา สั่งจอง ภายใน 2 สัปดาห์ได้”
“มีโทรศัพท์ให้ลองเล่นบ้างมั้ย” “ไม่มี ของมันแพง”

คือว่าเธอก็พูดมีคะขานะ แต่ว่ามันฟังแล้วไม่ค่อยเข้าหูน่ะ

…ฉันจะซื้อนะ ไม่ใช่มาขอ….



ศูนย์ DTAC เซ็นทรัล บางนา ไกลกว่าสาขาที่ฉันใช้บริการประจำ ก็เลยลอง ๆ ไปดู
ปรากฏว่าเจอเจ้าหน้าที่ 3 ท่าน friendly ดี โอเคล่ะ ที่นี่ก็ไม่มีโทรศัพท์ให้ลอง แต่การบริการมันแตกต่างกันเลย หลังจากฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ว่า ฉันถามว่าถ้าฉันใช้บริการ ควรใช้แพ็คเกจแบบไหนดี (ตอนนี้ก็ลืมไปแล้วตัวเองใช้แพ็คเกจอะไรอยู่)

เจ้าหน้าที่ถามว่าเอาโทรศัพท์มาหรือเปล่า ฉันยื่นให้ เธอก็เช็คข้อมูลแล้วบอกว่าปัจจุบันฉันใช้แพ็คเกจ…
จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยที่ใช้ต่อเดือน …….


ฉันถามว่าถ้าซื้อแล้ว มีคนสอนวิธีใช้มั้ย (อย่างว่านะ ฉันมัน low tech) เธอบอกว่ามี

ฉันเลยบอกไปว่างั้นเดี๋ยวขอไปตัดสินใจก่อน ขอเบอร์โทรที่สาขานี้ด้วย



ถ้าจะทำงานด้านบริการ คุณควรมี service mind







Ratchee's Grateful Journal
วันจันทร์ 28 ธ.ค. 52

ขอชมร้าน "ฮะเซ้งโภชนา" ขายพวกข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ขนมจีบ ซาลาเปา ยังบริการดีเหมือนเดิม ไม่ได้ไปทานมาประมาณ 5 ปีแล้วมั้ง

ที่แปลกใจคือทุกคนยังดูดี ดีกว่าเดิมด้วย ดูหน้าตาผ่องใสเหมือนคนออกกำลังกายสม่ำเสมอน่ะ

ฉันแอบสงสัยเล็ก ๆ แต่ไม่กล้าถาม พวกเขาออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊กกันหรือเปล่าหนอ

เพราะ...เวลาผ่านไป ... ทุกคนอายุมากขึ้น ....แต่ฉันว่าหน้าตาผ่องใสขึ้นกว่าเดิมด้วย

แต่บอกเจ้าของร้านไปแล้วหละว่า หน้าตาไม่เปลี่ยนไปเลย






Ratchee’ Grateful Journal
วันอังคาร 29 ธ.ค. 52

เมื่อวานเย็นทานข้าวต้ม จู่ ๆ ก็ทำให้คิดถึงก๋ง (ซึ่งไม่อยู่แล้ว) เมื่อก่อนบางทีก๋งจะชอบต้มข้าวต้มเอง แล้วให้ฉันไปซื้อหมูแดง ทำให้ฉันร่วมแจมหมูแดงกับก๋งบ่อย ๆ

จริง ๆ คนเราไม่ลืมเรื่องในอดีตนะ เราอาจคิดว่าเราลืม แต่เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นให้นึกถึง แสดงว่าเรายังจำมันได้ในจิตใต้สำนึก

วันนี้ได้เจอพี่ตุ่ม แวะเวียนมาบริษัทเพื่อเอาของที่ฝากหลานพี่เขาซื้อที่ฝรั่งเศสมาให้ ดีใจไม่ได้เจอกันนานแล้ว








Ratchee’s Grateful Journal
วันพุธ 30 ธ.ค. 52

ขอบคุณวันนี้ที่ได้ข้อคิดบางอย่าง เช้านี้งง ๆ กับฝนตกต้อนรับ
ปีใหม่ ปกติจะเป็นคุณหนูพกร่มตลอด ใช้ได้ทุกสถานการณ์ทั้งกันฝนและกันแดด

ก่อนหน้านี้มีร่มพับ 2 คันคู่ใจ คันหนึ่งไว้ที่ office อีกคันพกที่รถ ปรากฏว่าคู่ใจ 1 คันพังไปซะแล้ว ยังไม่ได้หาซื้อคันใหม่เลย

ดังนั้นร่มพับอีก 1 คันจึงกลายเป็นคู่ใจประจำตัวใส่กระเป๋าผ้าที่พกติดตัว

เมื่อวานหอบข้าวของส่วนหนึ่งจาก office กลับบ้าน ดังนั้นก็เลยทิ้งร่มไว้ที่ office


….ใครเลยจะคิดว่าฝนจะตกช่วงนี้…..


เช้านี้ตอนจะขับรถออกจากบ้าน ฝนแค่ตกนิด ๆ หันซ้ายหันขวาจะหยิบร่มคันยาว ซึ่งปกติมี 2-3 คัน (ไม่เคยซื้อเองเลยสักคัน เพราะได้ฟรีจากธนาคารทั้งนั้น)


ปรากฏว่าไม่มีติดบ้าน คาดว่าคนที่บ้านทยอยหยิบไปแล้วไว้ที่ office บ้าง

แต่ไม่เป็นไร กะว่าเช้านี้แวะซื้อของตอนเช้า
จะซื้อร่มที่ 7&11 สักคัน


….ไม่ใช่หน้าฝน เขาไม่มีขายค่ะ… สงสัยจะได้ไม่ต้อง
เก็บสต๊อก

เดินไปตลาดแถว 7&11 ได้ร่มพับมา 1 คัน

แต่สรุปถึง office ก็ไม่ได้ใช้ เพราะฝนหยุดตกแล้ว

…ข้อคิด …

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

บางครั้งมีตังค์แต่หาซื้อของไม่ได้ …
คาดหวังจาก 7&11 มากนะนี่







 

Create Date : 25 ธันวาคม 2552    
Last Update : 30 ธันวาคม 2552 17:45:14 น.
Counter : 1768 Pageviews.  

เกาะกระแส Twilight ด้วยคน



ขอฮิตตามกระแสกับเขาซะหน่อย แต่ความจริงก็ไม่ทันกระแสกับเขาเท่าไหร่นะ
เพราะว่าตอนนี้ Twilight ไปถึงภาคสองแล้ว ในขณะที่ฉันเพิ่งเคยดูหนังแค่
ภาคหนึ่งเท่านั้น


พอดูหนังแล้ว ก็สนุกล่ะนะ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงที่สุดของความรู้สึกที่ว่าจะ
ครองใจอันดับต้น ๆ ขนาดนั้น



เมื่อดูหนังแล้ว ก็ลองเข้าไปอ่านในเน็ต หลายคนพูดถึงหนังสือ โดยค่อนข้าง
กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าภาคหนึ่งสนุกที่สุด อ่านแล้วประทับใจ
จนฉันคิดว่างั้นลองอ่านซะหน่อย
ซึ่งปกติฉันไม่ใช่คนอ่านหนังสือแปลเลย ที่เคยอ่าน ๆ อยู่จนติดใจจะเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ยุโรปซะมากกว่า


ครั้นจะซื้อฉบับภาษาอังกฤษ ก็กระไรอยู่ เมื่อไหร่จะจบ เพราะว่านิยายเรื่องShopaholic ภาคภาษาอังกฤษที่มีอยู่ก็ยังอ่านไม่จบซะที








//images.google.co.th/url?source=imgres&ct=ref&q=//pirun.ku.ac.th/
~b5007201/page2.html&usg=AFQjCNEP3KDw6ule0z40vZQhPDRHUbnsBw

สเตเฟนี เมเยอร์ ผู้เขียน
เจนจิรา เสรีโยธิน ผู้แปล

ความหนา 452 หน้า
ราคา 285 บาท


หนังสือเล่มที่ฉันซื้อ เป็นหนังสือแปลที่พิมพ์ครั้งที่ 12 แล้ว
หนังสือเล่มนี้ติดอันดับขายดีที่สุดในอเมริกา ยอดขาย 1.3 ล้านเล่มภายใน 24 ชม.
ตีพิมพ์มาแล้ว 33 ประเทศทั่วโลก

ติดอันดับหนึ่งในสิบหนังสือที่ดีที่สุดสำหรับเยาวชน รับรองโดย
สมาคมห้องสมุดแห่งอเมริกา



คะแนนความชอบ 8 เต็ม 10



ถือว่าให้คะแนนเยอะนะ จริง ๆ ให้ 7 แต่ให้คะแนนตัวเองอีก 1 เพราะถือว่า
ค่อนข้างมีสมาธิกับการอ่าน 452 หน้าจบภายใน 3 วัน คือ 3 วันนี้ถ้านับเป็นจำนวนชั่วโมงก็คงไม่ถึง 3 วันหรอกค่ะ เพราะค่อนข้างจะเป้นคนอ่านหนังสือเร็ว


............................................................

ขอโยงไปถึงภาพยนตร์หน่อย ไม่ค่อยถูกใจบางตอนของ "เอ็ดเวิร์ด"ที่ช่างแต่งหน้าให้ขาววอกไปหน่อย รวมถึงสีที่ทาบนปาก

จากที่อ่านหนังสือ ได้บรรยายสีผิวของ "เอ็ดเวิร์ด" และ "เบลล่า" ดังนี้

"เอ็ดเวิร์ด" ผิวขาวซีดเหมือนชอล์ก"

"เบลล่า" ผิวสีขาวซีดเหมือนงาช้าง"








วิเคราะห์ Twilight ในความเห็นของฉันว่าทำไมทั้งหนังสือและหนังถึงดังมากมาย



เป็นหนังที่ตัวแสดงยังอยู่ในวัยรุ่น ดังนั้นไม่แปลกใจที่วัยรุ่นอเมริกัน
หรือวัยรุ่นทั่วโลกจะติดอกติดใจ

เป็นหนังที่แสดงถึงความรัก และการปกป้องของ"เอ็ดเวิร์ด"ที่มีต่อ
"เบลล่า" ซึ่งคงไม่ยากอีกเช่นกันที่ทำให้สาว ๆ ทั่วโลกประทับใจ

"เบลล่า" เป็นหญิงสาววัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งทำให้นักอ่านรู้สึกเข้าถึงและจินตนาการได้ง่าย

"เอ็ดเวิร์ด" หล่อ รวย แถมยังเป็นคนดีอีก

การสร้างความรักระหว่างคนและแวมไพร์ ก็เป็นเรื่องราวที่ผู้อ่านต้องจินตนาการต่อไปว่า
ตอนจบจะเป็นอย่างไร เรื่องแบบนี้วัยรุ่นชอบอยู่แล้ว เพราะยังเป็นวัยที่อยู่ในช่วงเพ้อฝัน


เบื้องหลังความเป็นมาของแวมไพร์แต่ละคน มีที่มาที่ไปจนน่าเห็นใจเหมือนกัน และแวมไพร์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มดีที่ตั้งใจจะไม่ไล่ล่าคน








หยิบบางเรื่องราวของหนังสือมาฝากสำหรับคนที่ดูเฉพาะหนังเท่านั้น
เพราะว่าจะไม่ทราบที่มาที่ไปหรือรายละเอียดมากนัก

"คาร์ไลล์" คนที่ในเรื่องคือพ่อ (บุญธรรม) ของพระเอกน่ะ
เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่น่าเห็นใจเมื่อทราบที่มา



//images.google.co.th/url?source=imgres&ct=ref&q=//
//www.newmoonthailand.com/newmoon_character.php&usg=AFQjCNF6PhEyMKtX_bxn-dlI8is_GeCISw

"คาร์ไลล์" เกิดที่ลอนดอนประมาณปี 1640 เขาเป็นลูกชายคนเดียวของ
บาทหลวงนิกายแองกลิแกน แม่ของเขาตายตอนให้กำเนิดเขา
พ่อของคาร์ไลล์ไม่ใช่คนเปิดกว้างกับศาสนาหรือลัทธิอื่น เมื่อพวกโปรเตสแตนท์มีอำนาจ
ท่านเป็นหัวแรงใหญ่ในการกวาดล้างพวกโรมันคาทอลิกและศาสนาอื่น

ท่านยังเชื่ออย่างแนบแน่นว่าปีศาจและความชั่วร้ายทั้งหลายมีตัวตนจริง
ท่านจึงเป็นผู้นำในการล่าแม่มด มนุษย์หมาป่า และแวมไพร์

เมื่อท่านบาทหลวงเริ่มชรา ท่านมอบหมายให้บุตรชายรับหน้าที่ต่อ ตอนแรก
คาร์ไลล์ทำให้พ่อผิดหวัง เพราะเขาไม่ยอมกล่าวหาใครในทันที
หรือทำเป็นเห็นปีศาจในที่ที่มีไม่มีพวกมันอยู่จริง ๆ

เขาพบแวมไพร์จริง ๆ ที่ซ่อนตัวในท่อระบายน้ำของเมือง
ตอนนั้นเขาถูกแวมไพร์กระโจนใส่ เขาบาดเจ็บโชกเลือดอยู่ที่ถนน

คาร์ไลล์รู้ว่าพ่อของเขาจะต้องทำอะไร อะไรที่ถูกสัมผัสกับปีศาจจะต้องถูกเผา
ถูกทำลาย เขาจึงต้องปกป้องชีวิตตัวเองตามสัญชาติญาณ

เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ติน หลบอยู่ใต้กองฝรั่งเน่าอยู่สามวัน
และเมื่อเวลาผ่านไป เขาจึงรู้ตัวว่าตัวเองกลายเป็นอะไรไปแล้ว


....เห็นที่มาแล้วน่าเห็นใจมั้ย??? ยิ่งเขาเป็นคนดีหาโอกาสเรียนต่อจนได้ทำ
อาชีพที่ชอบ คือเป็นหมอ เขาเป็นที่รักของชาวเมือง "ฟอร์คส์"ด้วย








อลิซ ตัวละครในเรื่องที่มีความสามารถในการมองเห็นอนาคต





//mrspriss.com/wp-content/uploads/alice-cullen-twilight-movie-2185809-1024-768.jpg

"เบลล่า" ถาม "อลิซ" ว่า "เอ็ดเวิร์ดบอกว่ามันไม่แน่นอน เพราะเหตุการณ์มันเปลี่ยนได้"

...ที่ "เบลล่า" ถามอย่างนี้เพราะว่าในบางครั้ง "อลิซ" เห็นเหตุการณ์อย่างหนึ่งล่วงหน้า แต่เมื่อผู้นั้นเปลี่ยนการตัดสินใจใหม่ เหตุการณ์ที่ "อลิซ" เคยเห็นไว้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว


"อลิซ" ตอบว่า "ใช่ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงได้ บางอย่างก็
แน่นอนกว่าเรื่องอื่น เช่น อากาศ แต่เรื่องของคนจะไม่แน่นอนกว่า ฉันเห็นได้เฉพาะจุดจบของทางที่พวกเขาเลือก เมื่อไหร่ที่เขา
เปลี่ยนใจ ตัดสินใจเลือกใหม่ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน
อนาคตก็จะเปลี่ยนไปหมด"


.........................................................

ฉันชอบเนื้อหาตรงจุดนี้ เพราะมันสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่ตลอดเวลา และคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำ
(ในปัจจุบัน) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง (ในอนาคต) ได้



.....รัชชี่......








Ratchee’s Grateful Journal
วันจันทร์ 14 ธ.ค. 2552

วันหยุดไปห้างเซ็นทรัล วัตถุประสงค์แรกคือไปแบงค์ก่อน ไปจัดการเงินประเภทลดหย่อนภาษีได้ เป็นแบบนี้ทุกปีที่จะต้องทำตอนเดือน ธ.ค. (ไม่เข้าใจตัวเอง เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่คงมีพฤติกรรมเหมือนเรา) ทำไมตอนมีเวลาไม่คิดทำ


จากนั้นช็อปปิ้งต่อ ชอบพนักงานของที่นี่ที่มักเตือนเรื่องแลกแต้มสะสม (เขาดีก็ต้องชมล่ะนะ เพราะว่าบางที่ไม่ค่อยเตือน ทำเอาบางทีเราเสียสิทธิ์ที่ควรจะได้)
นำบัตร The one card ไปแลกแต้ม

ระหว่างทางเกิดนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้สักพักได้รับ sms จากเซ็นทรัลนี่แหละว่าให้นำ sms นี้ไปโชว์เพื่อรับส่วนลด 20%

....เกือบลืมอีกแล้ว....

........................................................



ได้ประโยคดี ๆ จากบล็อกคุณ “Aston 27”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า


“คำที่ไม่จริง ไม่แท้ พูดแล้วไม่มีประโยชน์
คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านไม่พูด


คำที่จริง แท้ แต่พูดแล้วไม่มีประโยชน์
คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านก็ไม่พูด

คำที่จริง แท้ พูดแล้วมีประโยชน์ แต่คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านก็จะพูดต่อเมื่อโอกาสเหมาะสม

คำที่ไม่จริง ไม่แท้ พูดแล้วไม่มีประโยชน์
ต่อให้พูดแล้วคนชอบใจ ท่านก็ไม่พูด


คำที่จริง แท้ แต่พูดแล้วไม่มีประโยชน์
ต่อให้พูดแล้วคนชอบใจ ท่านก็ไม่พูด”






Ratchee’s Grateful Journal
วันอังคาร 15 ธ.ค. 52

ความตั้งใจของฉันที่จะบันทึก Grateful Journal คือบันทึกถึงสิ่งที่รู้สึก happy แต่ว่าวันนี้ขอตั้งกระทู้เล็ก ๆ เพราะชักสงสัยค่ะ


“จริงหรือไม่ ที่ต้องวีนถึงจะได้รับบริการที่ดีในบางครั้ง”

สืบเนื่องจากฉันเคยคิดเล่น ๆ ว่า
“สมัครบัตรเครดิตง่ายกว่าการยกเลิกบัตรเครดิตหรือเปล่า???”


ซึ่งหลายบัตรที่เคยใช้บริการ พบว่ายกเลิกยากกว่าสมัครค่ะ



เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ต้นปีนี้ ฉันแจ้งยกเลิกทางโทรศัพท์สำหรับบัตรเครดิตยี่ห้อหนึ่ง เจ้าหน้าที่รับเรื่องพร้อมบอกให้ฉันส่งแฟ็กซ์สำเนาบัตรประชาชนเพื่อคอนเฟิร์มการยกเลิก
ฉันก็แฟ็กซ์ไปเรียบร้อย

สัญญาณการส่งทุกอย่างเรียบร้อย ฉันจึงเข้าใจว่ากระบวนการยกเลิกเสร็จสิ้น จึงไม่ได้โทรไปถาม call center ว่าได้รับแฟ็กซ์หรือเปล่า (เพราะว่าบางยี่ห้อ ก็ไม่เห็นต้องโทรไปถาม)

............................................................

ปลายเดือน พ.ย. ฉันได้รับ statement จากบัตรเครดิตที่ฉันแจ้งยกเลิกพร้อมทำลายบัตรไปเรียบร้อย
แจ้งเก็บค่าธรรมเนียมงวดปีใหม่

วันที่ 1 ธ.ค. ฉันโทรแจ้ง call center อีกครั้ง เจ้าหน้าที่บอกว่าได้รับการแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์แล้วเมื่อวันที่ 2 ก.พ. แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันทางแฟ็กซ์จากฉัน


เจ้าหน้าที่บอกว่าระบบแฟ็กซ์เป็นการตั้งรับอัตโนมัติ
เมื่อแฟ็กซ์ไปแล้ว หลังจากนั้น 1 ชม.
ให้ฉันโทรกลับไปถามอีกครั้งว่าได้รับหรือไม่

ที่ผ่านมาฉันยังไม่สะดวก จึงยังไม่ได้ซีร็อกซ์บัตรประชาชน (เป็นคนที่ไม่สำรองการซีร็อกซ์บัตรประเภทนี้ไว้
จะใช้เมื่อไหร่ค่อยทำ)

.............................................................

วันนี้ฉันเพิ่งสะดวกในการส่งแฟ็กซ์ และได้ทำการส่งไปเมื่อเวลา 13.30 น. ฉันโทรไปที่ call center เจ้าหน้าที่บอกว่า
อีก 1 ชม. ให้โทรไปอีกครั้ง จะเช็คให้ว่าได้รับหรือยัง

....เวลาผ่านไป 1 ชม..... 14.30 น..

ฉันโทรไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่อีกคนบอกว่า ภายใน 2 ชม.
หลังจากส่งแฟ็กซ์ ให้โทรไปอีกครั้ง

คราวนี้ ตบะแตกค่ะ...........


ฉันเลยบอกเจ้าหน้าที่ว่า “ขอบ่นหน่อยเถอะ” พร้อมชี้แจงความเป็นมาตั้งแต่สมัยแจ้งเรื่องเมื่อเดือน ก.พ. สำหรับวันนี้เจ้าหน้าที่คนก่อนบอกว่าภายใน 1 ชม. ให้โทรกลับ ก็โทรกลับมาแล้ว

ทำไมถึงเปลี่ยนใหม่ ต้องบอกว่า
“ภายใน 2 ชม.หลังจากส่งแฟ็กซ์ให้โทรกลับ”

เจ้าหน้าที่บอกว่า งั้นขอไปดูเครื่องแฟ็กซ์

สรุป เธอได้รับเรียบร้อย พร้อมแจ้งว่าจะจัดการการ
ยกเลิกให้เสร็จสิ้น

ดังนั้นคำถามที่ฉันสงสัยคือ

....ทำไมต้องให้ลูกค้าวีน ถ้าลูกค้าไม่วีน ประมาณ 15.30 น. ฉันก็ต้องคอยจำว่าเดี๋ยวต้องโทรถามว่าได้รับแฟ็กซ์มั้ย

ทั้ง ๆ ที่มันควรจะจบไปเรียบร้อยตั้งแต่เดือน ก.พ.แล้ว.......







Ratchee’s Grateful Journal
วันพุธ 16 ธ.ค. 52

ขำ ๆ กับ 7&11



ความจริง ความสุขก็หาไม่ยากรอบตัวเรา ถ้าจะมองนะ
วันนี้ฉันซื้อของที่ 7&11 พนักงานคนหนึ่งกำลังเช็ดด้านนอกหน้าร้านอยู่

ขณะที่พนักงานอีกคนกำลังหยิบของใส่ถุงให้ฉัน

เพื่อนพนักงานของเธอก็เปิดประตูเข้าร้าน เมื่อมีเสียงดังสัญลักษณ์คนเข้าร้าน

พนักงานคนที่อยู่ด้านหน้าฉัน ก็พูดขึ้นว่า สวัสดีค่ะ โดยไม่หันไปมอง

ไม่มีอะไรหรอก ฟังแล้วขำ ๆ น่ะค่ะว่า สวัสดีโดยอัตโนมัติทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกค้าหรือเพื่อนตัวเองน่ะ







 

Create Date : 11 ธันวาคม 2552    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 16:42:05 น.
Counter : 3882 Pageviews.  

Edward Norton พระเอกในใจอีกคนกับ The Painted Veil



ฉันเพิ่งได้โอกาสดูหนังเรื่อง The Painted Veil ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่มอง ๆ ชื่อนักแสดง อ้อ คุ้น ๆ ชื่อ Naomi Watts นางเอก
แต่จำไม่ได้ว่าเธอเคยเล่นเรื่องอะไร มาทราบที่หลัง อ๋อ! เธอเคยเล่นเรื่องKingkong นี่เอง



Kitty Fane is a frivolous young English woman who longs for romance and excitement, trapped in a loveless marriage to a staid Shanghai researcher. When her husband learnsshe has had an affair, he volunteers to fight a cholera epidemic in China's war-torn interior. Dr. Fane forces his wife to accompany him on the difficult and hazardous journey, endangering her life in the process.




//goldstars.files.wordpress.com/2008/04/painted_veil_-_naomi_watts___ed_norton_1.jpg

ส่วนพระเอกบอกตามตรง อ่านชื่อในแผ่นดีวีดีแล้วไม่รู้จักค่ะ

ดูเรื่องนี้แล้ว พระเอกได้ใจไปเลยจริง ๆ ค่ะ
แต่ดูแล้วก็คุ้น ๆ กับสายตาของพระเอกว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหน เราน่าจะเคยดูหนังของเขา



//sonyarehman.files.wordpress.com/2007/02/174332__the_painted_veil_l.jpg


เช็คในเน็ตเพิ่ม จึงทำให้รู้ว่า Edward Norton เคยเล่นหนังเรื่อง Primal fear สมัยเขายังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย




//images.fanpop.com/images/image_uploads/The-Painted-Veil-edward-norton-146727_1024_768.jpg




The Painted Veil ได้รางวัล Golden globe award winner เป็นเรื่องยุคปี 1920
(ชอบดูหนังโบราณเพื่อดูบรรยากาศหรือการแต่งตัวสมัยก่อนอยู่แล้ว)



ถูกใจพระเอกค่ะ แสดงสีหน้าออกมาได้ดีกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นในใจจากการที่รู้ว่าภรรยามีชู้



//cdn.buzznet.com/media-cdn/jj1/headlines/2006/12/painted-veil-stills.jpg



เหตุการณ์เกิดในเซี่ยงไฮ้ ปี 1925 ยุคที่อหิวาตกโรคระบาด



//www.calendarlive.com/media/photo/2006-11/26200605.jpg

หนังโชว์ความสวยงามของวิวที่ประเทศจีน ทำเอานึกถึงกุ้ยหลินเมืองจีน (ซึ่งยังไม่เคยไปค่ะ) เคยไปกุ้ยหลินเมืองลาว
(เส้นทางไปหลวงพระบาง) และ
กุ้ยหลินเมืองไทย (เขื่อนเชี่ยวหลาน)



//www.celebritywonder.com/wp/Edward_Norton_in_The_Painted_Veil_Wallpaper_4_1280.jpg



และทำให้เห็นความทุกข์ ความยากลำบากของผู้คนสมัยที่อหิวาตกโรคระบาด



//us.movies1.yimg.com/movies.yahoo.com/images/hv/photo/movie_pix/warner_independent
/the_painted_veil/edward_norton/veil.jpg



ปิดฉากด้วยตอนจบ พระเอกตาย (เศร้า) เพราะติดเชื้ออหิวาตกโรคด้วยเช่นกัน



Slogan ของหนังเรื่องนี้ ฉันชอบนะ

"Sometimes the greatest journey is the distance between two people."






คะแนนความชอบ 9 เต็ม 10

เป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่งทีเดียวค่ะ จะว่าไปถ้าดูในโรงหนัง มันเป็นหนังเรื่อย ๆ
เป็นหนังที่น่าจะเหมาะกับดูยามตั้งใจที่จะดูจริง ๆ แบบชิลชิลที่บ้านค่ะ




//images.amazon.com/images/P/B000NOIX48.01.LZZZZZZZ.jpg


......รัชชี่.....








Ratchee's Grateful Journal
วันจันทร์ 7 ธ.ค. 52

ช่วงนี้ดัชนีความสุขของคนไทยเพิ่มขึ้นสูงสุด
ใช่แล้วฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


แค่เห็นพระเจ้าอยู่หัวออกมหาสมาคม
สุขภาพแข็งแรง เสียงดังชัด

ประกอบกับงาน 4D Visual Light & Sound
ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม แม้ไม่ได้ไปดูถึงสถานที่จริง ก็ทำเอาประทับใจด้วยเช่นกัน

ขอเป็นส่วนหนึ่งในการ post คำว่า WeLoveKing
ที่ Twitter และ Facebook


ได้อ่าน "Twilight" (452 หน้า) จบภายในช่วงวันหยุดนี้ รวมถึง "ลับแลแก่งคอย" (444 หน้า) (รางวัล The S.E.A. Write Award) อ่านแบบ scan เพื่อรู้ภาพรวม

ไม่น่าเชื่อ เพราะว่าปกติฉันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแปลเท่าไหร่ รวมถึง"ลับแลแก่งคอย" ก็ยังไม่คิดจะอ่าน แต่ที่แน่ ๆ มีบุคคล
2 ท่านรับประกันความสนุกของเล่มหลัง เลยต้องอ่านซะหน่อย

ถ้ามีโอกาสจะเอามาเขียนในบล็อกภายหลัง






Ratchee's Grateful Journal
วันอังคาร 8 ธ.ค. 52

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือเขียนรีวิวหนัง The Painted Veil หรือเพราะหนังน่าดูอยู่แล้ว มีน้องที่ Office ตอนนี้ 2 คนต่อคิวดูแผ่นดีวีดีอยู่ รวมถึง
คนหนึ่งเป็นแฟน Edward Norton เหมือนกัน







 

Create Date : 04 ธันวาคม 2552    
Last Update : 8 ธันวาคม 2552 20:12:23 น.
Counter : 3649 Pageviews.  

ควันหลงสัปดาห์หนังสือ



ฉันไปงานสัปดาห์หนังสือเมื่อบ่ายวันอังคาร (20 ต.ค.) เพราะกะว่าไม่ไปวันหยุดแน่ ๆ เพราะไม่ชอบคนเยอะ ๆ แต่สรุปว่าหนีไม่รอดเหมือนกัน ประชากรเยอะพอดู บางบูธจำนวนคนยืนปิดหน้าบูธ (ยังกะแจกฟรี)
จนแทรกตัวเข้าไปหาหนังสือไม่ได้



คราวนี้ค่อนข้างทำการบ้านก่อนไป หาข้อมูลในเน็ตก่อนว่าสำนักพิมพ์ที่ตามหามีหมายเลขบูธอะไรบ้าง เพราะเมื่อก่อนเวลาไปเดินนี่ นิสัยผู้หญิงจริง ๆ เดินไปเรื่อย ๆ เจอถูกใจก็ซื้อ เจอสิ่งไม่คาดหมายบางเล่มก็ซื้อ



คราวนี้กะว่าตรงดิ่งไปสำนักพิมพ์ในใจก่อน เมื่อได้หนังสือที่ต้องใจ คราวนี้ละเดินเรื่อย ๆ สบาย ๆ ได้แล้ว



ตั้งเป้าคราวนี้ว่าในงานนี้ห้ามซื้อเกิน 10 เล่ม และต้องเป็นหนังสือที่ตอนนี้หายากหรือหาไม่ได้ตามร้านหนังสือ เพราะระหว่างทางก็มีซื้อบ้างประปราย หากเปรียบการเดินห้างในกรณีต้องการไปช็อปปิ้งของเป็นอาหารหลักแล้ว ร้านหนังสือในห้างก็คือขนมหวานหรือไอศครีมน่ะแหละ




ผลสรุป สิ่งที่เป็นจริงไม่เป็นไปตามแผน ........ ก็คงเหมือนธุรกิจหรือชีวิตนะ
วางแผนอย่าง ของจริงอาจเป็นอีกอย่าง



ก่อนหน้านั้นคุณหนิง แห่งบล็อก Heart&Home แนะนำว่าน่าซื้อของประภาส
ชลศรานนท์นะ แต่ฉันเล็ง ๆ ดูรายการแล้ว เกิน 10 เล่มที่ตั้งไว้ ก็เลยคิดว่าของประภาส งั้นซื้องวดหน้าแล้วกัน



ปรากฎว่าหลายเล่มที่อยากได้ สำนักพิมพ์บอกหมด ..... จ๋อย สรุปลิสต์ของประภาส ซึ่งเดิมเป็น waiting list กะซื้อในงานสัปดาห์หนังสือปีหน้า
ก็ร่นลำดับขึ้นมาแทน


สรุปได้มาแค่ 5 เล่มเท่านั้น ค่าเสียหายไม่มาก 700 กว่าบาท (หลังลดแล้ว)







..............................................................................


....หนังสือที่ซื้อตามร้านหนังสือก่อนประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ไปงานสัปดาห์หนังสือ....

"Happy & Healthy" และ “แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม” เฉพาะ 2 เล่มนี้ เล่มแรกก็ 300 กว่าบาท เล่มหลังก็ 500 กว่าบาท พอดีโชคดีได้บัตร Gift Voucher จากบัตรเครดิตมูลค่า 200 บาท ใช้ได้ที่ร้านนายอินทร์ เลยได้ส่วนลดพอสมควร




.........................................................................


.......เมื่อหยุดตามหา....เราจะเจอ.....

วันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือ ฉันไปช็อปปิ้งที่เซ็นทรัล และแวะร้านซีเอ็ด กะเดินดูเล่น ไม่คิดซื้อหรอก



ฉันไปเจอ “สองเงาในเกาหลี” ของ ทรงกลด บางยี่ขัน (เล่มนี้ สำนักพิมพ์
A book ในงานหนังสือบอกหนังสือหมด) มาซ่อนตัวตามร้านหนังสือนี่เอง กับอีกเล่ม “Wake up” เล่มนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เกิดจากเข้าไปอ่านข้อมูลที่บล็อก “Jewnid” ซึ่งดูท่าทางแล้วเราอ่านหนังสือคอเดียวกัน




ว่าแต่.....จากการเข้าร้านซีเอ็ดงวดนี้ (สาขานี้ค่อนข้างใหญ่) ทำให้เห็นว่ายังมีอีกหลายเล่มที่น่าสนใจทีเดียว ...... ทำไงดีเนี่ย..........


emo




.....รัชชี่....












........บันทึกปิดท้าย ..........




รีวิวหนังสือในมุมมองของฉัน จากการอ่านแบบ scan
เป็นคนอ่านหนังสือไว (ถ้าอยากจะอ่าน)

(อาจจะยาวนิดนึง ใครสนใจเล่มไหนก็ลองไปอ่านเฉพาะเรื่องนั้นค่ะ)



.......งานเขียนของ “นิ้วกลม” 3 เล่ม.......






//www.bloggang.com/mainblog.php?id=a-wild-sheep-chase&month=12-10-2009&group=1&gblog=176


........ผม มูราคามิ........
ราคาปก 185 บาท

เล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจซื้อในงานเหมือนกัน

เล่มนี้ไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ เลยคิดว่า “นิ้วกลม” น่าจะเหมาะกับ
งานเขียนแนวท่องเที่ยวหรือความเรียง มากกว่านวนิยาย


อ้อ! อีกอย่างหรือว่าเราไม่เคยอ่านเรื่องของ”มูราคามิ” มาก่อน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจแกนหลักบางเรื่องที่ “นิ้วกลม” นำเสนอ


......................................................................................



//www.roundfinger.com/blog/?m=200903


............กัมพูชาพริบตาเดียว.........
ราคาปก 150 บาท

อ่านแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างจากงานเขียนของ "นิ้วกลม ที่ฉันอ่านเป็นเล่มแรก ๆ คือ “ลอนดอนไดอารี่” ตามด้วย “โตเกียวไม่มีขา” คือเล่มนี้บางตอนให้ความรู้สึกหดหู่นิด ๆ หรือจะเป็นเพราะงวดนี้เป็นการเดินทางคนเดียวของ “นิ้วกลม” หรือเปล่าหนอ??? เพราะ 2 เล่มที่กล่าวถึงยังให้ความรู้สึกที่เปิด
โลกทรรศน์ และมองโลกสดใสกว่าเยอะ

เอ! มามองอีกมุมหรือเป็นเพราะลักษณะหรือความเป็นมาของประเทศหรือเปล่า ที่ส่งผลต่องานเขียน



............................................................................



//viteethumb.files.wordpress.com/2009/09/cover-cookie.jpg



......อาจารย์ในร้านคุ้กกี้....
ราคาปก 190 บาท


เล่มนี้เดิมทีไม่คิดซื้อในงาน เพราะเป็นหนังสือออกใหม่สด ๆ ซิง ๆ ของสำนักพิมพ์มติชน แต่เนื่องจากลิสต์รายการหนังสือที่เจอจริงไม่เป็นไปตามที่หวัง ฉันเปิด ๆ ดูเนื้อหาน่าสนใจ ก็เลยซื้อมา

เล่มนี้ไม่ได้หมายถึงอาจารย์ (แบบตัวเป็น ๆ) หรือ “นิ้วกลม” ไปทำร้านคุกกี้แล้วค่ะ แต่หมายถึง
“นิ้วกลม” สามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเปรียบเสมือนอาจารย์ที่สอนเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ให้เราได้

แต่ฉันคิดว่าที่ “นิ้วกลม” พูดถึงร้านคุกกี้ น่าจะมาจากตอนท้าย ๆ ของหนังสือเล่มนี้ ที่เขาพูดถึงการดูแผ่น DVD เรื่อง Stranger Than Fiction

เจ้าของร้านคุกกี้ เคยเรียนหนังสือที่ฮาร์วาร์ด โดยเหตุผลที่เธอได้เข้าไปเรียนมาจากเรียงความเรื่อง
“จะใช้ความรู้อะไรที่ทำให้สังคมโลกน่าอยู่ขึ้น”

ระหว่างเรียน มีการติวกัน อยู่กันจนดึก เธอชอบทำขนมไป ติวกันไปมีความสุขดี ผลก็คือสอบได้ดีด้วย

จึงทำให้เธอมาได้แนวคิดว่า ถ้าจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ฉันจะทำมันด้วย “คุกกี้”นี่แหละ

I figured if I was gonna make the world a better place, I will do it with cookies.

“นิ้วกลม” ช่วงเวลาที่เขานั่งลงเขียนหนังสือ เขาคิดว่าคล้ายกับการอบคุกกี้ เขาคิดว่า “ตัวหนังสือก็เป็นแบบนั้น รอให้คนเดินผ่านมาแล้วกวาดสายตาลิ้มรสมัน”

……ขอบคุณค่ะ…. ที่ตัวหนังสือของคุณทำให้ฉันมีความสุข

……ในทำนองเดียวกัน…..ฉันก็มีความสุขขณะเขียน …และคงจะดีใจเช่นกันถ้ามีใครที่หลงเข้ามาอ่านบล็อกแล้วมีความสุขกับตัวหนังสือของฉัน…..



.............................................................................

.......งานเขียนของ “ประภาส ชลศรานนท์” 2 เล่ม........






//www.mixxbooks.com/shop/mixxbook/images/syjkbf454yhyja45ox5b1022552162.jpg



......เชือกกล้วยมัดต้นกล้วย....
ราคาปก 185 บาท





//www.pramool.com/cgi-bin/dispitem.cgi?4670123


........ตัวหนังสือคุยกัน.........
ราคาปก 195 บาท


เป็นการอ่านงานเขียนของประภาสจริง ๆ จัง ๆ เพราะที่ผ่านได้ยินแต่ว่าเขามีความสามารถหลายด้านทั้งงานเขียน แต่งเพลง และอื่น ๆ ทั้ง 2 เล่ม จะเป็นการหยิบยกบางประเด็นหรือเป็นการตอบจดหมาย แต่ให้ความเห็นที่ได้แง่คิด



ซึ่งเมื่ออ่านแล้ว ฉันก็เข้าใจแล้วว่า นักเขียนรุ่นหลัง ๆ เช่น “นิ้วกลม” ซึ่งเป็นรุ่นน้องสถาปัตย์ จุฬา และคนอื่น ๆ ที่ชอบกล่าวถึงงานเขียนของประภาสนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน



ถ้าใครนึกถึงประภาสไม่ออก ก็ลองนึกถึงเพลง “ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน” หรือ "พี่ชายที่แสนดี" ประภาสคนนี้ล่ะค่ะที่เป็นผู้แตง คงพอจะร้องอ๋อนะคะ


ตัวอย่างในหนังสือของประภาส

…คำถาม…

“ความสุขอยู่ตรงไหนครับ หาซื้อได้ไหมครับ ห้ามตอบว่าอยู่ที่ใจนะครับ
เพราะไปยากกว่าตลาดเยอะเลย”

ประภาส ตอบ “ผมชอบดูผีเสื้อบินเท่า ๆ กับชอบดูแมงมุมดักเหยื่อ และเช่นเดียวกัน ในวัยเด็กทุกครั้งที่ผมวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป ยิ่งพยายามวิ่งไล่มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งผิดหวังไปเรื่อย ๆ

แต่เมื่อไรก็ตามที่เรานั่งลงเงียบ ๆ นิ่งทั้งกิริยาและนิ่งทั้งหัวใจ ผีเสื้อแสนสวยจะโบยบินมา
อยู่รอบ ๆ ตัวเราเสมอ

ความสุขก็เป็นอย่างนั้น”




...............................................................................





//www.bloggang.com/data/kotaroz/picture/1239088062.jpg


...........แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม.............
ราคาปก 595 บาท


ปกติฉันชอบอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์ (ยุโรป) งานของ “นิดา” แต่คงเป็นเพราะควันหลงจากการไปเยือน “พระที่นั่งวิมานเมฆ” เมื่อเดือน ส.ค. และอ่านบล็อกของคุณ “ศรีสุรางค์” ทำให้อยากได้หนังสือเล่มนี้ จนเมื่อเข้าร้านหนังสือ เจอเล่มนี้อยู่เล่มเดียวในร้าน จึงตัดสินใจซื้อมา



อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตเจ้าฟ้าทั้งหลาย ก็มิต่างจากชีวิตคนธรรมดา สุขและทุกข์ประปราย สิ่งที่แตกต่างจากคนทั่วไปคือ วิถีการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบาย ผู้เขียนคือ ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ (รุ่นหลาน) และ ไอลีน ฮันเตอร์ พี่สาวของลิสบา มารดาของ ม.ร.ว. นริศรา




ไอลีน ฮันเตอร์ เขียนไว้ว่ามีช่วงหนึ่งที่เธอมาจากต่างประเทศ มาเยี่ยมน้องสาว และได้พักที่
"บ้านจักรพงษ์" จากชีวิตที่ทำอะไรเองจากเมืองนอก เมื่ออยู่ที่นั่น เพียงแค่จะขยับตัวก็พร้อมจะมีข้าราชบริพารรองรับ


เธอได้สาวใช้ประจำตัว 1 คน คอยติดตามรับใช้ตลอดเวลา


100 ปีที่ผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไป แคทยาคงใช้ชีวิตในเมืองไทยอย่างลำบากทีเดียว ในเรื่องวัฒนธรรม ประกอบกับเธอเป็นสามัญชน และเป็นชาวต่างชาติที่มาแต่งงานกับเจ้าฟ้าอีกต่างหาก


แคทยาเป็นชาวรัสเซีย มีศักดิ์เป็นย่าของผู้แต่ง (ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์) พบรักกับ
สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี บรมราชินีนาถ และต่อมาได้ให้กำเนิดพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ บิดาของผู้แต่งนั่นเอง

แน่นอน ..... เนื่องจากเรื่องราวเป็นการเขียนของคนในตระกูล ดังนั้นบางเนื้อหาอาจเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของความเห็นอกเห็นใจคนในตระกูล


แต่..... สิ่งที่ฉันต้องการได้จากเล่มนี้คือ ความคิดและวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นต่างหาก


…..ส่วนหนึ่งจากคำนำของ ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์…..

“ประสบการณ์จากการมีส่วนร่วมในการเขียนหนังสือเล่มนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตวัยเด็กของพ่อมากขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเห็นใจชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดชอกช้ำของท่านในวัยเด็ก และเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ท่านดูห่างเหินไม่ค่อยแสดงความรักหรือความใกล้ชิด
อย่างที่ข้าพเจ้าคิดว่าคนเป็นพ่อควรให้ลูก

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว งานเขียนหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นเสมือนการปลดพันธนาการบางอย่างออกของข้าพเจ้า ช่วยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพ่อ ทูลหม่อมปู่และหม่อมย่า ซึ่งทั้งสองท่านนี้
ข้าพเจ้าไม่มีบุญวาสนาที่เกิดพาทันรู้จักท่าน”



…..ส่วนหนึ่งจากเนื้อหาในหนังสือ……

ที่ทำให้ฉันเดาว่าการปลดพันธนาการของเธอคือเหตุการณ์อะไร

“หลายปีต่อมา พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงกล่าวหาแคทยาว่าได้ “ทอดทิ้ง” พระองค์ไปและไม่ยอมรับฟังคำแก้ตัวของเธอที่ว่า ที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะสถานการณ์อันซับซ้อนที่บีบบังคับให้เธอต้องเดินทางออกจากเมืองไทย

ความทรงจำอันขมขื่นของเด็กชายวัย 11 ขวบ ที่ต้องเดินอยู่คนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอยู่ในสวนของวังปารุสกวันหลังจากที่เธอออกจากเมืองไทย ไม่เคยจางหายไปไหน แต่ติดแน่นกลายเป็น
บาดแผลลึกอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองต่อมาอีกนาน”


ฉันอ่านแล้วทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง

"การอ่านทำให้เข้าใจคนอื่น การเขียนทำให้เข้าใจตัวเอง"


เพราะหลายครั้ง ฉันก็เข้าใจตัวเองจากการเขียนนี่แหละ

......................................................................................





//www.chulabook.com/images/book-400/9786161000004.gif

............Happy & Healthy...............
ราคาปก 385 บาท

อาจจะสงสัยว่าถ้าอยากซื้อหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ทำไมไม่เดินไปตรงมุมพวกหนังสือสุขภาพโดยตรง เขียนโดยหมอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น



แต่เป็นเพราะฉันชอบสไตล์การเขียนของคุณพลอย จริยะเวช (หนึ่งในนักเขียนในดวงใจ) ประกอบกับเธอเป็นคนทำการบ้านดี อ่านหนังสือหลากหลายทั้งไทยและเทศ รวมถึงปฏิบัติตัวเอง
(เรียนรู้จากของจริงด้วย)



คุณพลอยเอง เมื่อก่อนเธอเคยภูมิใจกับความตุ้ยนุ้ย (เล็ก ๆ ) ประกอบกับเป็นคนชอบขนมหวาน เช่น เค้ก แต่เนื่องด้วยการใช้วิถีชีวิตที่ไม่ค่อยจะถูกสุขลักษณะมาเป็นแรมปี นอนดึก เครียด ก็กินขนมหวาน วันหนึ่งเธอพบว่าความตุ้ยนุ้ย (เล็ก ๆ) อันนี้ ไม่ได้ดูน่ารักอีกต่อไป เธอเริ่มประสบปัญหาสุขภาพ

คุณพลอยเคยใช้ชีวิตอย่างเสียศูนย์มาหลายปี ทำงานเยอะเกิน นอนผิดเวลา นอนไม่พอ กินผิด
(ทั้งอาหารและยา) รับฮอร์โมนต่าง ๆ เข้าไป เครียดสะสม

อ่าน ๆ ดูแล้ว คุ้น ๆ มั้ยคะ ว่าไลฟ์สไตล์เธอก็เร่งรีบตามประสาคนทำงานยุคนี้



เธอทดลองหลากหลายวิธีการ โดยวัตถุประสงค์แรกไม่ได้ตั้งใจลดความอ้วน แต่ต้องการให้สุขภาพดีมาก่อน และทำแบบไม่ต้องฝืนใจตัวเองมาก นาน ๆ ทีอาจให้รางวัลตัวเองเป็นขนมหวาน (อย่างที่ชอบ)



เธอพบว่าวิธีที่เหมาะของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่เหมาะกับคนอีกคนหนึ่ง (อย่างเช่นสูตรสำเร็จของดารา) เธอเรียนรู้การลองผิดลองถูก สิ่งสำคัญเธอต้องไป find out พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเธอก่อน



ในที่สุดผลที่ได้ เธอได้การลดน้ำหนักถึง 15 กก.เป็นของแถม สิ่งสำคัญคือดู Healthy ด้วย
เพราะคนผอม ไม่จำเป็นต้อง Healthy



ดังนั้น Happy & Healthy จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้


กระซิบอีกนิด เป็นปลื้มคุณพลอย ฉันเขียน Email ไปถึงเธอ (ตาม Email ที่แจ้งในหนังสือ) ไม่คาดหวังว่าเธอจะตอบมา เพราะคิดว่าคงมีแฟน ๆ เยอะที่เขียนไป ปรากฎว่าเธอตอบกลับมาด้วย

และเธออนุญาต add ให้ฉันติดต่อกับเธอได้ผ่าน Hi5 เพราะปกติเธอก็ไม่ได้ add ใครซี้ซั้ว

Hi5 จึงเป็นหนึ่งในช่องทางที่ฉันติดต่อกับคุณพลอยได้ เผื่อถามเธอถึงหนังสือเล่มใหม่ที่จะออก ที่ผ่านมามีถามเธอบ้างถึงหนังสือเล่มเก่า ๆ ซึ่งพลาดการซื้อ ถามเธอว่าเป็นของสำนักพิมพ์อะไร


..................................................................................





//needbooks.net/bookstore/wp-content/uploads/wpsc/product_images/t012.jpg



......สองเงาในเกาหลี.......
ราคาปก 180 บาท


เขียนโดย ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร A day เดิมทีไม่เคยคิดซื้อเล่มนี้มาก่อน เคยซื้อเล่มหนึ่งของ ทรงกลด คือ “ต้นไม้ใต้โลก” แต่อ่านดูแล้วไม่ค่อยใช่แนวเรา ได้ไปอ่านเรื่องหนังสือเล่มนี้ที่บล็อกคุณ Jewnid ซึ่งค่อนข้างชอบหนังสือแนวเดียวกัน และเจอคนชมจากที่อื่น เลยทำให้อยาก
ลองอ่าน พออ่านแล้วก็วางไม่ลงเหมือนกัน ตัวหนังสือของเขาเรียบง่ายแต่นุ่มนวล น่าติดตาม


.........................................................................................





//aomst-ives.exteen.com/images/BookS/10-2-2551%2020-19-43_0006.jpg

.........Wake up ! .........
ราคาปก 120 บาท


ขอบอกว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าไม่ได้อ่านจากบล็อกคุณ Jewnid เจอที่ไหนก็คงไม่คิดจะซื้อค่ะ เพราะดูหน้าตาหนังสือน่าจะเหมาะกับวัยเด็กกว่าเราอ่าน หรือดูเป็นหนังสือแนว ๆ นิดนึง พออ่านแล้วมีความสุขค่ะ เป็นการรวบรวมบทบรรณาธิการของนิตยสาร A day ของบรรณาธิการ 3 คน คือ

วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ A day’s editor 2002-2004
วชิรา รุธิรกนก 2004 – 2006
ทรงกลด บางยี่ขัน 2006- present

ซึ่งแต่ละคนก็ต่างแนวกันบ้าง


แต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์เชื่อมกันของ 3 หนุ่มนี้คือการมองโลกในแง่ดี และการมีความฝันอยู่เสมอ และที่สำคัญพวกเขาค่อนข้างทำตาม (สิ่งที่ฝัน) ด้วย อีกสิ่งหนึ่งคือ 3 หนุ่มค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองมาก
ในการทำอะไรโดยไม่ได้อิงตามกระแสสังคมนัก



ต้องยอมรับว่าเป็นบทบรรณาธิการที่ไม่เหมือนนิตยสารต่าง ๆ ที่เคยอ่านมาค่ะ แตกต่างจริง ๆ









 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2552 21:19:38 น.
Counter : 2778 Pageviews.  

......วันนี้คุณลืมการเขียนจดหมาย (กระดาษ) แล้วหรือยังคะ.....



ฉันไปไปรษณีย์เพื่อส่งเอกสารเมื่อวันเสาร์หนึ่ง เห็นมีโบร์ชัวร์วางอยู่ที่เคาน์เตอร์ให้หยิบได้ เป็นเรื่องงานสัปดาห์จดหมายแห่งปี


......"50 ปี ..จดหมายที่รัก".........






จัดที่ ศูนย์การค้าจัตุรัสจามจุรี วันที่ 9-15 ตุลาคม

อ่าน ๆ ดูจะมีการโต้วาทีเรื่อง "อวสานจดหมายแล้วจริงหรือ?????"


นั่นสินะ เมื่อปีที่แล้วก็เป็นการปิดฉากการให้บริการ"โทรเลข" อย่างเป็นทางการ


วัยเด็ก ฉันเคยเขียนจดหมายถึงเพื่อน และได้รับจดหมาย (กระดาษ) ตอบจากเพื่อน ปัจจุบันจดหมายเหล่านั้นยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีค่าที่ฉันเก็บไว้


ฉันเคยอ่านหนังสือของคุณพลอย จริยะเวช ในวัยเด็กคุณพลอยกับเพื่อนสนิทต้องแยกห้องเรียนกัน สองคนรู้สึกคิดถึงกัน จึงเขียนจดหมายหากัน เวลาผ่านไปการเขียนของเธอเริ่มลื่นไหลมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาการเขียนตั้งแต่วันนั้นมีส่วนทำให้เธอกลายมาเป็นนักเขียนในวันนี้


ฉันขอโยงใยไปถึงหนังสือที่เคยอ่านที่เขียนในรูปแบบการเขียนจดหมาย






//www.welovebook.com/BookDet.php?bID=20919


........“รัตนาวดี “ ...........
ผู้แต่ง : ว.ณ ประมวญมารค
ราคา 135 บาท


นักอ่านหลายคนต้องรู้จักดี รัตนาวดี คือน้องสาวของท่านชายพจน์แห่ง “ปริศนา” ผู้แต่งคือ ว.ณ ประมวญมารค เมื่อครั้งตามสามีไปอยู่ต่างประเทศ อยากบันทึกเรื่องราวของการเดินทางแต่ไม่อยากให้น่าเบื่อ จึงแต่งเป็นนิยาย
ต่อเนื่องจาก “ปริศนา” และ "เจ้าสาวของอานนท์"

เรื่องนี้เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2496 (แต่เป็นบันทึกของผู้เขียนในช่วง พ.ศ. 2490 หลังสงครามเลิกไม่นานนัก)


ฉันอ่านแล้วฉันยังอยากเดินตามรอยสถานที่ที่รัตนาวดีไปเยือนเลย



เป็นจดหมายที่รัตนาวดีเขียนถึงพี่ชาย (หม่อมเจ้าพจนปรีชา) และหม่อมปริศนา (พี่สะใภ้) เมื่อครั้งเดินทางไปลอนดอน

กำหนดการเดิม ท่านชายพจน์โทรเลขไปบอกหม่อมเจ้าดนัยวัฒนา (พระเอก) ให้มารับรัตนาวดี แต่หม่อมเจ้าดนัยวัฒนาไปที่เมืองอื่น ไม่ได้รับโทรเลข

ต่อมา รัตนาวดีไปเจอพระเอก แต่เข้าใจผิดว่าคือนายเล็ก
(มหาดเล็กของท่านดนัย)

พระเอกชอบนางเอกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และอาสาที่จะขับรถให้ไปตาม
เมืองต่าง ๆ โดยปลอมตัวเป็นนายเล็ก





siambookcenter.com


.........“บทเพลงแห่งคิมหันต์” ...........
ผู้แต่ง : ว.วินิจฉัยกุล
ราคา 200 บาท


นักเขียนในดวงใจฉันอีกท่าน ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่าน รัตนาวดี ในวัยเด็ก และเมื่อมีโอกาสไปประเทศนั้น จึงได้เดินตามรอยสถานที่ดังกล่าว ที่
ว.ณ ประมวญมารคไปมา เธอเล่าว่าสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาจากที่ ว. ณ ประมวลมารคกล่าวไว้ใน
“รัตนาวดี

ว.วินิจฉัยกุล ไปประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2544 ดั้นด้นตระเวณไปหลายเมืองในชนบท เมืองต่าง ๆ ที่เอ่ยไว้ใน "รัตนาวดี"


แต่เป็นจดหมายที่ทันสมัยขึ้นมาคือเรื่องนี้เป็นจดหมายแบบ Email

พร้อมกับนิยายเล่มนี้มีการโชว์รูปภาพสถานที่ต่าง ๆ ให้เห็นด้วย

คิมหันต์ (นางเอก) ไปเรียนต่อที่อังกฤษ นัดพี่ชายซึ่งเรียนที่นั่นให้มารับ แต่
พี่ชายเกิดอุบัติเหตุจากการขี่จักรยานเร็ว

คิมหันต์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เอื้อย (พี่สาวของ "โอม" พระเอกของเรื่อง) ก่อนไปอังกฤษ อาจารย์เอื้อยให้จดเบอร์โทรของ "โอม" ซึ่งทำงานที่อังกฤษไว้

เมื่อไม่มีคนมารับที่สนามบิน คิมหันต์จึงต้องโทรหา "โอม"

แต่สถานที่ที่คิมหันต์จะไปเรียนอยู่คนละเมืองกับพี่ชาย คิมหันต์วางแผนจะเดินทางไปโดยรถไฟ แต่พี่ชายซึ่งใกล้จะเรียนจบแล้ว อีกไม่นานก็จะกลับเมืองไทย จึงวางแผนขับรถเที่ยว

แต่เนื่องด้วยสภาพร่างกายในขณะนั้นขับรถไม่ได้ พอดีเป็นช่วงเดียวกับที่ "โอม" ต้องการหนีจากแฟนเก่าที่เคยเลิกลากันไป แต่กลับมาหา "โอม" อีก

เรื่องราวการเดินทางจึงเกิดขึ้น





paraday.exteen.com



...........“ระยะทางอันห่างใกล้”............
ผู้แต่ง : นิ้วกลม / พิมปาย
ราคา 200 บาท

เป็นจดหมายเขียนตอบโต้กันของ “นิ้วกลม” และ “พิมปาย” ฉบับแรกยังเป็นจดหมายกระดาษ ฉบับต่อ ๆ มาเริ่มเป็น Email

"นิ้วกลม" และ "พิมปาย" เกิดปีเดียวกัน ชอบนวนิยายเล่มเดียวกัน มีหนังเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาเหมือนกัน งานเขียนตีพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกในชีวิต
เล่มเดียวกัน

"นิ่วกลม" msn ถึง "พิมปาย" ว่าเคยอ่านนิยายเรื่อง Blu & Rosso ไหม แล้วลองชวน "พิมปาย" ว่า งั้นเรามาเขียนหนังสือด้วยกันอย่างเล่มนั้นไหม


การเขียนจดหมายเป็นหนึ่งในการเรียนรู้ความคิดอ่านของคน 2 คน
ไปพร้อม ๆ กัน



3 เล่มนี้คือหนังสือที่มีในครอบครองปัจจุบัน




...........................................................................

จู่ ๆ ก็ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยอ่านในวัยเด็ก


“จดหมายจากเมืองไทย”

เป็นหนังสือของพี่ แต่ฉันหยิบมาอ่านในวัยที่ยังเด็กมาก
(เด็กกว่าวัยที่โรงเรียนให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลาจริง ๆ)
เรื่องนี้ชอบนะ





//www.su-usedbook.com/shop/s/su-usedbook/img-lib/spd_2009072712932_b.jpg






ปัจจุบันคนที่ยังเขียนจดหมายในรูป (กระดาษ) คงหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ฉันเองก็ไม่ได้ใช้ แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการเขียนโปสการ์ดแทน ซึ่งเปรียบเสมือนจดหมายย่อ + ภาพสวย ๆ ของสถานที่ และคำบรรยายความรู้สึกที่อิงเรื่องราวขณะที่เราอยู่สถานที่นั้น ๆ


เมื่อเวลาผ่านไป ยามหยิบมาอ่านใหม่ ก็ทำให้เรานึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ณ ที่แห่งนั้น หลายคนติดอกติดใจการเขียนโปสการ์ดอยู่ไม่น้อย


โดยเฉพาะฉันถือเป็นประเพณีเลยคือส่งโปสการ์ดกลับถึงตัวเอง
เมื่อไปต่างประเทศ หรือไปต่างจังหวัด จะพกแสตมป์ติดกระเป๋าไว้ ถ้าเจอโปสการ์ด บวกกับสะดวกหาตู้ไปรษณีย์ ก็ไม่พลาดที่จะเขียนและส่งกลับเช่นกัน

......วันนี้คุณลืมการเขียนจดหมาย (กระดาษ) แล้วหรือยังคะ.....


......รัชชี่.....

emo


.....มีใครจะแชร์หนังสือที่กล่าวถึงการเขียนจดหมายเพิ่มเติมมั้ยคะ?????









รู้สึกนึกคิด

บางส่วนจาก “บทเพลงแห่งคิมหันต์ “


หนังสือ : “ถนนสายเล็ก ๆ อยู่เรียงขนานกัน แต่ละสายมีต้นไม้ขึ้นเขียวร่มรื่น แฟลตชองคุณโอมเป็นตึกรุ่นเก่าทาสีครีมสะอาด หน้าต่างกระจก ใต้หน้าต่างเป็นวินโดว์บอกซ์ปลูกดอกไม้สีสวย หน้าตาเกือบจะก๊อปปี้กันมาทั้งสาย คิมเป็นโรคบ้าตึกเก่าอยู่แล้ว คิดถึงหนังเรื่อง Mary Poppins ถ้าไม่เหนื่อยเท่าวันนี้ คิมอาจจะเดินวนดูเล่นอีกหลายรอบก่อนจะหาแฟลตคุณโอม”

รัชชี่ : ญาติผู้พี่เคยเอ่ยถึงหนัง Mary Poppins ว่าเคยดูมั้ย ซึ่งฉันไม่เคยรู้จัก การหยิบหนังสือมาเปิดผ่าน ๆ อีกรอบทำให้เห็นชื่อหนังเรื่องนี้อีกครั้ง
เดี๋ยวคงต้องไป search google ดูซะหน่อย

ว่าแต่….จะไปหาซื้อหนังเก่าได้ที่ไหนเนี่ย…. ร้านเจ้าประจำที่เคยไปหาซื้อดีวีดีหนังเก่า ๆ ที่เสรีเซ็นเตอร์ ตอนนี้เขาก็ย้ายไปไหนแล้วไม่รู้

.............................................................................


หนังสือ : “เพราะงั้นในทุ่งดาร์ดมัวร์ เราก็ต้องตระเวนหาป้ายชื่อสถานที่ให้ได้ กว่ามาม้าแกจะตกลงให้ถ่ายรูป ส่วนอื่น ๆ ต่อให้วิวสวยหรือมีธรรมชาติแปลกตายังไง ถ้าไม่มีป้ายบอกซะอย่าง มาม้าแกไม่ยอมเสียฟิล์ม”

รัชชี่ : ทำให้ย้อนนึกถึงเมื่อก่อนที่เขาถ่ายรูปที่ใช้ฟิล์มกัน
ขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่พัฒนากล้องจนกลายเป็นดิจิตอล ไม่เช่นนั้นฉันก็คงไม่คิดจะสนใจการถ่ายรูปหรอก

.............................................................................

หนังสือ : “จากเมืองนี้ เราไปกันต่อถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ
"มาราซิออน" ที่นั่นมีทางเดินเรียกว่า คอสเวย์
(The Causeway) เลียบหาดไปสู่เกาะเล็ก ๆ ที่เรียกว่า
"เซนต์ไมเคิลเมาท์" ที่เก๋ไม่ซ้ำใครก็คือขาไปเรานั่งเรือไปที่เกาะ แต่พอสักสี่โมงเย็น น้ำทะเลก็ลงรวด มองเห็นทางเดินโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ เดินข้ามกลับไปที่หมู่บ้านได้สบาย ไม่ต้องลุยน้ำเลยครับ”

รัชชี่ : อ่านแล้วคุ้น ๆ ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand ทางภาคใต้ของไทยสักที่ แต่จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหนน้อ

..............................................................................


หนังสือ : “"รอยัล พาวิลเลียน" เดิมเป็นพระตำหนักของพระเจ้าจอร์จที่ 4 เมื่อครั้งทรงเป็นมกุฎราชกุมารอังกฤษ ทรงสำเร็จราชการแทนพระราขบิดาคือพระเจ้าจอร์จที่ 3 ผู้วิกลจริต ในช่วงทศวรรษ 1780 เจ้าฟ้าชายทรงซื้อบ้านนาจากขาวบ้านแล้วมาปลูกสร้างเสียใหม่ เพื่อจะเอาไว้แปรพระราชฐานมาพักร้อนและสรงน้ำทะเล

ทรงทุ่มเงินร่วมสองแสนปอนด์ขยายต่อเติมจนใหญ่โตอย่างที่ห็นกันทุกวันนี้ ข้าราชบริพารผู้ดีในราชสำนักแห่กันตามเสด็จมาพักร้อน ทำให้ไปรตันซึ่งเป็นแค่เมืองชายทะเลเล็ก ๆ กลายเป็นเมืองไฮโซหรูหราขึ้นมาทันทีในปลายศตวรรษ ต่อมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 19

ทุกวันนี้ก็ยังมีอาคารแบบจอร์เจียนโอ่อ่าให้เห็นหลายแห่ง หลังจากนั้นอีกนาน เมื่อพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์ กลับไม่ค่อยจะโปรดที่นี่ ก็เลยไปสร้างพระตำหนักที่เกาะไวท์ที่เราไปเที่ยวกันมาแล้ว ต่อมาชาวเมืองก็เลยรวมกันซื้อพระตำหนักมาเป็นสมบัติของเมืองด้วยราคาแค่ 50,000 ปอนด์”

รัชชี่ : การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม ที่ใดที่หนึ่งที่เคยรุ่งโรจน์ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน มูลค่าเงินที่ทุ่มเทสร้างก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นสมบัติของชุมชนชาวเมืองแทน









 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552    
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 19:31:21 น.
Counter : 1542 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.