Group Blog
 
All blogs
 

ลำปาง เมืองต้อง (ห้าม) พลาด

  



ผ่านมา 2 เดือนแล้วที่ได้เวลา Slow life travelling อีกครั้ง

ครั้งนี้ตั้งใจมุ่งตรงไปลำปาง 

หลังจากไปแล้วพบว่า น่าน ลำปาง เป็นอีก 2 จังหวัดที่ประทับใจ และคิดว่าถ้ามีโอกาสไปเยือนอีกก็จะไป

ทริปนี้วางแผนบินตรงไปเชียงใหม่ เช่ารถขับไปลำปางซึ่งเป็นจังหวัดเป้าหมาย แต่ไหน ๆ ผ่านลำพูนแล้วก็แวะลำพูนสัก 3 ที่

คราวนี้บินไปเชียงใหม่ด้วยสายการบิน Bangkok Airways เลยได้เข้าใช้บริการ Bangkok Airways Lounge ทานของว่างสักเล็กน้อย ที่นี่บริเวณที่นั่ง  เก้าอี้นี่เหมาะกับนั่งนาน ๆ มาก เลยทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วจัง  อาหารว่างก็มีกาแฟ ชา  แซนวิส มัฟฟิน ข้าวต้มมัด (เท่าที่นึกออก)

ความจริงแล้วการบันทึกผ่าน FB ณ เวลาช่วงนั้นก็ดีเหมือนกันนะ เพราะบางทีเราก็ลืม Timeline ไปบ้าง

 

 

ถึงสนามบินเชียงใหม่ เราเช่ารถให้เรียบร้อย

ก่อนเข้าที่พักแวะทานอาหารที่ร้านเฮือนเพ็ญ ร้านอาหารพื้นเมืองก่อน 

 เราพักกันที่เชียงใหม่ก่อน 1 คืนแล้วรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางมุ่งสู่ลำปางโดยมีลำพูนเป็นทางผ่าน

เช้าวันถัดมาเราแวะตลาดวโรรสช่วงเช้าเพื่อซื้อพวงมาลัยไว้ไหว้พระ  แล้วจึงแวะร้านกาแฟอาข่า อ่ามา ร้านกาแฟแนว CSV (Create Share Value)  ร้านน่ารักดีออกแนวติสต์ มีเมนูซิกเนเจอร์ชื่อ "มานีมานะ"  เราเจอชาวต่างชาตินั่งทำงานกับ

โน้ตบุ๊คเงียบ ๆ

 

จากนั้นไปทานมื้อเช้าข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม  เป็นการทานข้าวซอยเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต คราวก่อนไปร้านนี้เหมือนกันแต่อีกสาขาหนึ่ง 

คราวนี้ก็ได้เวลาออกจากเชียงใหม่แล้ว  จากเชียงใหม่ไปลำพูนไม่ไกล  ได้แวะสักการะอนุสาวรีย์จามเทวี  ท่านต้องเป็นผู้หญิงเก่งมาก ๆ ในยุคนั้นแน่เลย ที่นี่เราได้ CD เพลงล้านนาเป็นเพลงบรรเลงกลับมาฟังที่บ้าน 1 แผ่น

 

 ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า  มีตำนานว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่นี่ ลูกศิษย์ซักผ้าและตากผ้า  มีกุฎิพระคูบาช่วงที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่  บรรยากาศสงบดีมากเลย

 

เจอป้ายหนึ่งสะกิดใจมาก

"จิตเรานี้เป็นใหญ่อยู่ในตัวของเราเป็นสิ่งสำคัญ  เป็นหัวหน้า คนเรานี้ถ้าใจดี กายวาจาก็จะพลอยดีไปตามกัน ถ้าจิตใจไม่ดี กายวาจาก็พลอยไม่ดีไปด้วย จงจำไว้ว่าใจเป็นสิ่งสำคัญ ศีล สมาธิ ปัญญาจะตั้งมั่นอยู่ได้ก็ต้องอาศัยมูลฐานอันสำคัญคือจิต"

แวะวัดพระธาตุหริภุญชัย

 

 

กว่าจะเสร็จจากวัดนี้ก็ถือว่าเย็นมากเหมือนกัน เดิมคิดว่าการแวะ 3 สถานที่ของ จ.ลำพูนจะใช้เวลาราวครึ่งวัน  แต่ slow life ของเรานานเกินกว่าที่คิด

มาถึงลำปางพักที่เกสท์เฮาส์ "บ้านอาลัมภางค์" ติดริมน้ำวัง ได้บ้านพักสบาย ๆ ตรงระเบียงมีเก้าอี้ 2 ตัวนั่งชิลชมวิวได้เลย   จนอยากจะสร้างบ้านสี ๆ สักหลัง

 

เป็นบ้านสี ๆ แนวฟ้้า เหลือง เขียวนี่แหละ ให้อารมณ์วินเทจ

 

 

 

ตรงนี้เป็นบ้านหลังที่เราพัก ติดริมแม่น้ำวังเลย เปิดประตูออกมานั่งตรงระเบียงได้เลย

 

เก็บของเข้าที่พักแล้วไปเดินถนนสายวัฒนธรรม  รู้สึกว่าที่ลำปางนะถ้าตั้งใจ

โปรโมทการท่องเที่ยวดี ๆ ละก็จะรุ่งแน่  เราถือว่างานที่จัดที่ถนนคนเดินเขาทำได้ดีนะ

 

 

ค่ำคืนแรกที่ลำปาง ไปทานที่ร้าน"ของกิ๋นบ้านเฮา" ร้านที่คุณชมพู่ สาวลำปางเพื่อนบล็อกแนะนำ  เพิ่งได้ลองทานแกงเห็ดถอบ (ใส่ใบเม่า) รสชาติน้ำอร่อยดี

เช้าวันแรกในลำปาง ไปทาน"ป้อก๋วยจั๊บ" ร้านอาหารแนะนำอีกเหมือนกัน อยู่หน้าสถานีรถไฟลำปาง  ได้อุดหนุนหมูย่างและปาท่องโก๋ร้านข้าง ๆ

 

 

 เดินชมความสวยงามของสถานีรถไฟสักหน่อย

 

 

 แวะร้าน"โก๋กาแฟ" เป็นแฟนเพจร้านนี้มานานแล้ว เพิ่งได้มีโอกาสเห็นร้าน  ร้านออกแนวติสท์อีกเช่นกัน  ไม่มีแอร์แต่บรรยากาศร่มรื่นนะ  มีที่นั่งหลายโต๊ะเลย นอกจากขายกาแฟแล้วมีอาหารเช้าด้วยเหมือนกัน เช่น สปาเก็ตตี้ สลัด

 

 

 

 

 

ท้องอิ่มแล้วไปต่อที่วัดพระธาตุลำปางหลวง  อยู่วัดนี้นานเหมือนกัน งดงามอลังการยิ่งใหญ่กว่าภาพที่เคยเห็นในหนังสือ ในเน็ต หรือสวยกว่าภาพที่ถ่ายเอง เป็นวัดที่ควรได้มาเห็นด้วยตาตัวเองมากกว่า 

วัดนี้เป็นวัดไม้ สร้างสมัยพระนางจามเทวีปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เลียนแบบโครงสร้างจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา มีพระบรมธาตุลำปางหลวงเป็นตัวแทนเขาพระสุเมรุ  ทรายที่รายรอบเปรียบดังทะเลสีทันดร เจดีย์เป็นทรงกลมแบบล้านนา

 

 

 

ลืมไปว่ามีมุมที่สามารถดูการหักเหของแสง เป็นเงาพระธาตุและพระวิหารในด้านมุมกลับ พอดีเดินออกมาจากวัดแล้ว 

 

 

งวดนี้มีของเล่นจากน้อง"ป้อง"พกไปด้วยคือกล้องโพลารอยด์ เลยได้รูปนิดหน่อยมาแปะในสมุดบันทึกที่จดบันทึกการเดินทาง

โอกาสหน้ามีวาสนามาอีก ค่อยกลับมาดูใหม่นะ มาวัดนี้แล้วเห็นบางมุมนึกถึงวัดเชียงทองที่หลวงพระบางเหมือนกัน

 วัดพระธาตุจอมปิง  เลยได้มาสอบซ่อมที่นี่ดูการหักเหของแสง เห็นรอยกลับหัวของพระธาตุ งดงามมากเป็นบุญตาอย่างยิ่ง ขอบคุณคุณลุงท่านหนึ่งที่อธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ

 

วัดพระธาตุดอนเต้าสุชาดาราม  เคยเป็นแห่งกำเนิดและประดิษฐานพระแก้วมรกดช่วงเวลาหนึ่งถึง 32  ปี  วิหารลายคำฝีมือข่างเชียงแสน วัดนี้มีตำนานว่านางสุชาดาได้นำแก้วมรกตที่พบในผลแตงโมมาถวายเจ้าอาวาส เพื่อแกะสลักเป็นพระแก้วดอนเต้า

 

 

เหมือนเป็นการรวมกันของ 2 วัดคือเอ่ยถึงนางสุชาดาด้วย  นางสุชาดาได้รับโทษประหารชีวิตด้วยความเข้้าใจผิดว่าเป็นชู้กับพระเถระ 

แต่ด้วยการอธิษฐานของนางก่อนตาย ทำให้พบความจริงว่านางไม่ผิด ซึ่งเจ้าเมืองก็เสียใจที่สั่งประหาร

ชอบ 2 ป้ายที่วัดนี้

 

วัดเจดีย์ซาวหลัง เป็นเจดีย์ศิลปะพม่าผสมล้านนา มีเจดีย์ 20 องค์

 

เปลี่ยนบรรยากาศจากวัดมาช็อปปิ้งเล็กน้อยที่อินทราเอาท์เล็ต  เจอชามตราไก่หลายรุ่นทั้งรุ่นแรก ๆ รุ่นใหม่ ๆ ก็สวยดี สรุปแล้วได้ถ้วยกาแฟมา 1 ใบ อยากได้ชามตราไก่รุ่นใหม่แต่ดูแล้วจะลำบากขนของขึ้นเครื่องบินอีกเลยต้องตัดใจ

 

ชอบลวดลายตรงนี้มากเลย 

สวนพฤกษชาติ เหมืองแม่เมาะ ได้เห็นหลุมเหมืองเป็นครั้งแรก  และเห็นรถที่ขับตรงเหมืองคันใหญ่มาก  ยางรถเส้นใหญ่มากไปยืนถ่ายรูปด้วยสูงกว่าตัวเราอีก

 

 

ภาพล่างเป็นภาพโพลารอยด์ที่แสดงความสูงของรถ โดยเฉพาะยางรถ

ค่ำคืนที่ 2 เดินไม่ไกลจากบ้านอาลัมภางค์ไปร้าน"อร่อยบาทเดียว" อิ่มอร่อยกับยำหมูกรอบ ยำเห็ด ผัดกุ้ยช่ายขาวน้ำมันหอย  ดูแล้วคนส่วนใหญ่ที่มาในร้านน่าจะเป็น

นักท่องเที่ยว 

 

 

เดินถนนคนเดิน"กาดกองต้า" เป็นถนนเส้นเดียวกับบ้านพักเลย พอเดินแล้วถึงรู้มุมแผนที่ลำปางชัดเจนขึ้น  สุดทางถนนคือสะพานรัษฏาภิเศก ถนนเส้นนี้มีบ้านเก่าหลายหลังที่สวยงามมากโดยเฉพาะบ้านศิลปะแนว"ขนมปังขิง"

 

 

ด้านในอาคารดังกล่าว มีศิลปะต่าง ๆ ให้ดู เราชอบรูปปั้นนี้

 

เรือนเก่านี้ classic มาก

 

เช้าวัดสุดท้ายในลำปาง นั่งรถม้าชมย่านถนนเก่าของลำปางครึ่งชั่วโมงในราคา 300 บาท ผ่านบ้านสมัยก่อนหลายจุด คนขับบอกว่าส่วนใหญ่บ้านเก่าก็ยังมีคนใช้ชีวิตอยู่   คนขับถามว่าจะไปบ้านหลุยส์ไหม  ก็ยังงงว่าหลุยส์ไหน  แต่ก็บอกไปซี สรุปคือบ้านหลุยส์ แอลที เลียวโนเวนส์ (คือลูกชายของแหม่มแอนนานี่เอง)  เป็นบ้านไม้โบราณ ครึ่งล่างเป็นตึก  ในอดีตคงสวยงามมาก 

ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือบน

บ้านหลุยส์

เสานัก

ผ่าน"เสานัก" เรือนโบราณอีกเช่นกัน จริง ๆ เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวชมนะ แต่เราไปถึงเช้าเกิน  ได้แต่ยืนมองไกล ๆ ริมรั้วและไปอ่านประวัติของบ้านที่หน้าบ้าน  ผู้สืบทอดรุ่นปัจจุบันคือเจ้าของโรงเรียนกัลยาณี

สรุปการท่องเที่ยวทริปนี้ชอบมาก  มีโอกาสก็จะกลับมาลำปางอีกนะ 

 สุดท้ายเราว่าลำปางเป็นเมืองติสท์นะ  เจอสะพานสวย ๆ

โดยเฉพาะสะพานสีขาวแห่งนี้ สะพานรัษฎาภิเศก

 

 

 ...รัชชี่...

 

 

 

 



  




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2558    
Last Update : 2 สิงหาคม 2558 21:57:28 น.
Counter : 5739 Pageviews.  

น่าน...เมืองเก่าที่มีชีวิต

   

 

 

 

 


เขาว่า"น่าน"เป็นดินแดนที่ต้องตั้งใจไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่น

จุดเริ่มต้นที่อยากไปน่านน่าจะเริ่มจากไปเชียงใหม่เมื่อเดือน พ.ย. 57

คนขับรถตู้พาเที่ยวเป็นคนจังหวัดน่าน

ประทับใจคนขับรถตู้คันนี้มาก  คงเป็นเพราะทีมที่ไปคราวนั้นมีแค่ 3 คน

ดังนั้นความใกล้ชิดกับคนขับจึงมีมากกว่าทริปอื่น

จากที่สังเกตคุณ ก.เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก

ทุกครั้ง ณ จุดแวะ คุณ ก. จะไปคุยกับคนอื่นเพื่อหาข้อมูลเผื่อมาแนะนำพวกเราด้วย

หรืออ่านหนังสือพิมพ์  เรียกได้ว่าเป็น"คนใฝ่รู้"มาก

แต่วิถีชีวิตของคุณ ก. เรียกได้ว่าค่อนข้างเจอชะตาชีวิตผ่านมาที่หนักโข

แต่เชื่อว่าด้วยบุคลิกลักษณะ ด้วยความรักในอาชีพที่ทำ

เชื่อว่าอนาคตชีวิตคุณ ก.ต้องดีแน่

ประมาณวันที่ 10 ม.ค. เริ่มดูว่าช่วงเวลาที่พอไปน่านได้น่าจะเป็นปลาย ม.ค. ต้น ก.พ.

เรียกได้ว่าอากาศทางเหนือยังดีอยู่

เริ่มจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า AVIS ผ่านอินเตอร์เน็ต

เหลืออย่างเดียวว่าจะไปไหนบ้าง

ปรากฎว่าชีวิตจริงไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลน่านเท่าไหร่

เคยเก็บ link เกี่ยวกับน่านไว้บ้าง  พอถึงวันใกล้ ๆ ได้แต่รีบ ๆ อ่าน

วันใกล้ ๆ ไปเริ่มทำแผนว่าจะไปไหนบ้าง  ร้านอาหารที่น่าแวะ

สรุปว่าสถานที่ที่ list ไว้ได้ไปหมดเลย

โชคดีที่ได้สถานที่แถมด้วยจากการใช้บริการนั่งรถราง

 และมาเก็บตกบางวัดเพิ่มเติมในวันเดินทางกลับ 

ช่วงที่จองตั๋วเครื่องบิน การบินตรงไปน่านมีแค่สายการบินนกแอร์

แอร์เอเซียจะเปิดตัวหลังจากนั้นในเดือน ก.พ.

เห็นว่านกแอร์ไปน่านเป็นเครื่องบินเล็ก และเคยมีข่าวว่าขากลับ กทม.เคยมีเที่ยวบิน

ที่ delay หลายชั่วโมงมาก เลยเปลี่ยนแผนเป็นบินไปลงเชียงราย

เช่ารถขับจากเชียงรายมาน่านแทน

................................................

เผื่อใครอยากเดินตามรอย  ได้เขียนบันทึกว่าแต่ละวันไปไหนบ้าง

ที่จริงแล้วหลังจากเดือน ก.พ. ที่มีแอร์เอเซียบินถึง

นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่น่าจะได้ประโยชน์มากขึ้นคือมีทางเลือก

เพราะทริปที่เราไปจะได้ไปน่านแค่พื้นราบเท่านั้น

เพราะถ้าจะไปดอย คงมีเวลาไม่พอ

เที่ยวแบบรัชชี่คือแนว slow life travelling

ดื่มด่ำ จมจ่อม ไม่รีบ ไม่ใช่ทัวร์เที่ยวเมืองไทยใน 5 นาที

ไม่ต้องเน้นจำนวนสถานที่

........................................................

วันแรก : เชียงราย วัดร่องขุ่น

ภาพในความคิดก่อนมาวัดร่องขุ่นคือเป็นวัดพื้นที่ปิด อยู่ในรั้ว พื้นที่ใหญ่

อยู่ในซอยเข้าไป

แต่กลายเป็นว่าเป็นสถานที่ open air และอยู่ค่อนข้างติดถนนสายหลักอีก

วันที่ไปนักท่องเที่ยวเยอะมาก 

ภาพแกะสลักบางจุดเรารู้สึกเหมือนเป็นปริศนาธรรมที่อาจารย์เฉลิมชัยซ่อนไว้

อยู่ที่ใครจะมองเห็นหรือไม่

 

เสียดายที่ช่วงแผ่นดินไหวกระทบบางส่วนของวัด

 

อย่างด้านในโบสถ์เห็นรอยแยกบางส่วนเหมือนกัน

อาหารกลางวันร้านสลุงคำ (ร้านพื้นเมืองเก่าแก่)

เดินทางไปน่าน

ผ่านเส้นทาง อ.ดอกคำใต้ อ.เชียงม่วน จ.พะเยา

ไปถึง อ.บ้านหลวง จ.น่าน เข้าตัวเมืองน่าน

ถึงน่าน อาหารมื้อเย็น ร้านเฮือนเจ้านาง (เจ้าของที่พักแนะนำ)

.........................................................................

วันที่สอง : น่าน

เซอร์ไพรส์กับตัวเองนิดหน่อยคือวันนี้แวะถึง 9 แห่ง

ธรรมชาติไปไหนจะแวะไม่เกิน 4 แห่ง/วัน

แต่ด้วยน่านในตัวเมือง แต่ละสถานที่ไม่ไกลกันมาก

แต่ละที่ก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรเลย

เพราะน่านเป็นสถานที่สถาปัตยกรรมวัดเยอะ วัดสวย

หลักใหญ่คือถ้าวัดมีบทสวดมนต์ ก็จะสวดมนต์ด้วย

หลังจากนั้นก็ใช้ตาดูภาพจิตรกรรมฝาผนัง

เพราะภาพวาดเล่าเรื่องได้

1. วัดพระธาตุเขาน้อย

2.วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร

3.วัดหัวข่วง

วัดนี้ไม่ได้อยู่ใน list แต่เป็นช่วงเดินผ่านแถว ๆ พิพิธภัณฑ์ เห็นด้านนอกสวยเลยเดินข้ามถนนเข้าไปชมดีกว่า

4. วัดภูมินทร์

ไม่พลาดกับดูภาพจิตรกรรมฝาผนังคือปู่ม่าน ย่าม่าน และในช่วงที่เลือกซื้อโปสการ์ดด้านหน้าวัดมีภาพที่เขาตั้งชื่อว่า"โมนาลิซ่าเมืองน่าน"

เลยบอกกับตัวเองเป็นอีกภาพที่ต้องอย่าลืมดูของจริง

5.ศาลหลักเมืองน่าน

นั่งรถรางชมเมือง 1 ชม. 30 บาททำให้ได้แวะ 2 จุดคือวัดสวนตาลและโฮงเจ้าฟองคำ 

ตอนบ่ายรถรางจะมี 2 รอบ  อย่าลืมซื้อตั๋วรถรางก่อนนะคะ แล้วจะเดินไปเที่ยวเล่นที่ไหน

ก่อนก็ได้

6. วัดสวนตาล

ที่วัดนี้จะมีมัคคุเทศก์วัยเด็ก 2 คนมาบรรยายด้วย

7. โฮงเจ้าฟองคำ

เป็นบ้านที่มีอายุ 188 ปีของเจ้าฟองคำ ท่านมีชีวิตอยุ่ในช่วง 2452-2533

ภาษาที่แปลว่าบ้านมี 3 ระดับคือ คุ้ม เป็นของเจ้าเมือง

โฮง บ้านของลูกหลานเจ้าเมือง

และเฮือน เป็นบ้านของสามัญชน

ปัจจุบันลูกสาวคนที่ 6 ของเจ้าฟองคำใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

8. หอศิลป์เมืองน่าน

ภาพไฮไลท์ของ จ.น่านคือภาพกระซิบของปู่ม่าน ย่าม่าน

ภาพที่แปะ 2 ภาพแรกนี้คือภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพเกี่ยวกับปู่ม่าน ย่าม่าน

แต่ภาพที่แสดงถึงพระอารมณ์ขันของท่านคือภาพ"ตะโกน" ความหมายคือ

อายุมากแล้ว กระซิบแล้วไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงต้องตะโกน

9. วัดพระธาตุแช่แห้ง

อาหารกลางวัน : ร้านข้าวซอยต้นน้ำ

อาหารเย็น : ครัวเฮือนฮอม

ยามค่ำ มีงานถนนคนเดิน เลยได้เยี่ยมชมวัดภูมินทร์ภายนอกอีกครั้ง

หัวค่ำ แวะร้านของหวานป้านิ่ม อยู่ตรงข้ามวัดศรีพันต้น

..............................

แนะนำสถานที่ บางจุดสามารถเดินถึงต่อกันได้ 

สามารถจอดรถที่วัดช้างค้ำวรวิหาร แล้วเดินข้ามไปถนนไปยังพิพิธภัณฑ์น่าน

แต่พอดีช่วงที่ไปปิดซ่อมบำรุง

เลยได้แค่ถ่ายรูปลานต้นลีลาวดี

สามารถเดินต่อไปยังวัดหัวข่วง

และเดินกลับมายังวัดภูมินทร์ได้

ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์  มีร้านข้าวซอยต้นน้ำเจ้าแนะนำอยู่ 1 ร้าน

 (อยู่ใกล้ ๆ ศาลหลักเมืองน่าน) 

ฝั่งตรงข้ามข้าวซอยต้นน้ำคือร้านอาหารเฮือนฮอม ร้านนี้ก็อร่อย

.............................. 

วันที่สาม

1.วัดหัวเวียงใต้

วัดนี้ได้ไปเพราะว่าขับรถวนไปวนมาเจอวัดนี้หลายรอบ

รู้แต่ว่าสวยดี มีสีแดงเยอะ แต่จำชื่อวัดไม่ได้

เลยมาเก็บตกเอาวันสุดท้ายก่อนออกจากน่าน

2. วัดศรีพันต้น

(ตรงข้ามวัดคือร้าน"ของหวานป้านิ่ม")

เพลิดเพลินกับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นี่ แสดงความเป็นมาของเมืองน่านโดยแท้ตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างเมือง ยังสงบสุข

ต่อมาน่านขึ้นกับเชียงใหม่ และเคยอยู่ภายในการปกครองพม่า

มีช่วงหนึ่งที่น่านสมคบกับลาวแข็งข้อกับพม่า

เลยถูกพม่ายกทัพมาตีเมือง 

ท้ายที่สุดน่านขึ้นตรงกับราชวงศ์จักรี

ปี 2474 เป็นปีที่สุดท้ายที่น่านมีเจ้าครองนคร

แวะชิมกาแฟร้านภูพยัคฆ์ เจ้าของที่พักแนะนำ อร่อยจริง อยู่ใกล้ ๆ เทคนิคน่าน

เดินทางออกจากน่านกลับเชียงราย

กลับอีกเส้นทาง ผ่าน อ.บ้านหลวง จ.น่าน อ.ปง อ.เชียงม่วน จ.พะเยาและ

อ.เทิง จ.เชียงราย 

3. ไร่เชิญตะวัน

อันนี้เป็นของแถม ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะไป

วิธีหาจุดเส้นทางไปไร่เชิญตะวันแบบง่าย ๆ  ตั้ง GPS ไปที่ ธกส.ห้วยสัก

ฝั่งทางเข้าไร่เชิญตะวันจะอยู่ฝั่งเดียวกับ ธกส. ใกล้ ๆ เลย

  ถนนทางเข้าจะเห็นสัญลักษณ์นี้ ขับเข้าไปราวเกือบ 10 กม.ค่ะ

โชคดีมากที่ได้เจอท่าน ว.วชิรเมธีด้วย เดิมคิดว่าคงไม่เจอเพราะท่านมีงานเยอะ

 

 สรุปงบในการเดินทางมายังเชียงราย น่าน 3 วัน 2 คืน ประมาณ 8,200 บาท/คน

เป็นค่าเครื่องบินนกแอร์ไป-กลับเชียงราย 3,600 บาท/คน

ค่ารถเช่า AVIS ประมาณ 1,000 บาท/วัน

ค่าที่พัก 1,000 บาท/ห้อง/คืน

ค่าน้ำมันราว 1,200 บาท (รวม 3 วัน)

 

ที่พัก : บ้านสวนเฮือนน่าน  อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว

เที่ยวเหนื่อย  ๆ สามารถขับรถกลับมาล้างหน้าล้างตาพักผ่อนสักพักแล้วออกไปเที่ยวใหม่ได้

 

 

 

....รัชชี่....

ป.ล. ขอบคุณกนกศักดิ์ เพื่อนวัยเด็กที่ส่งหนังสือท่องเที่ยวน่านมาให้

ขอบคุณเพื่อนบล็อก คุณ Zayne LittleNight ชาวเชียงรายที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเชียงรายและเส้นทางการเดินทางเชียงราย - น่านด้วยค่ะ

 

 




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 19:35:01 น.
Counter : 1940 Pageviews.  

เดินเรื่อยเปื่อยแต่มีจุดหมายที่อุดร หนองคาย

   



ครบ 1 ไตรมาสพอดีที่ไปเยือนทางภาคอิสานของไทย เอามาบันทึกความทรงจำเก็บไว้สักหน่อย

ทริปนี้เป็นการตัดสินใจที่ไวมาก  รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับการวางแผนเที่ยวแบบมีระยะเวลาให้เตรียมตัวมาก   ดังนั้นช่วงหลังเลยทำให้ไม่ค่อยอยากวางแผนนาน ๆ แล้วเอาเป็นว่าเมื่อทุกอย่างลงตัว  อารมณ์ติสต์อยากไปก็ไป

พรรคพวกวางแผนการเที่ยวมาสักระยะหนึ่งแล้วล่ะ   แต่เราเพิ่งตัดสินใจว่าจะไปด้วยก็สักวันจันทร์ก่อนหน้าวันเสาร์ที่จะเดินทาง   ที่ไม่คิดมากเพราะเป็นการเดินทางแบบขับรถไปเอง  ส่วนที่พักก็กะว่าถ้ายังมีที่พักเหลือก็ค่อยจอง  ถ้าไม่มีไม่สะดวก ก็ไม่ไป

 (ชิลไปไหม)

มาเขียนจากความทรงจำ เปิดรูปที่ถ่ายจากกล้องตัวเองรู้สึกมีไม่มากนะ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่างของตัวเองคือถ่ายรูปน้อยลง  แต่จะพยายามมองสิ่งรอบข้างและตรงหน้าให้มากขึ้น   เพราะเราพบว่าหลายครั้งเราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่  เพราะมัวแต่ห่วงถ่ายรูป 

ทริปนี้เริ่มต้นออกเดินทางแบบไม่เช้ามาก  กะว่าจะไปทานมื้อกลางวันกันที่ร้านครูยอด โคราช  ปุ๊กกี้หาข้อมูลจากพันทิปว่าอร่อย  แล้วก็อร่อยจริง ๆ  อากาศในวันเดินทางดีมาก  เย็นสบายกำลังดีเลย

 

 

 

 

เรื่องเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากนุ่นอยากไปเห็นความเจริญที่เปลี่ยนไปของจังหวัดทางภาคอิสานหลังเตรียมพร้อมรับ AEC ซึ่งได้ข่าวว่าถนนหนทางหรือหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก

เป้าหมายครั้งนี้จึงมุ่งตรงไปยัง 2 จังหวัดคืออุดรธานีและหนองคาย

เราเองเคยไปหนองคายเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่จะข้ามไปยังหลวงพระบาง

ส่วนอุดรธานีเป็นครั้งแรกที่ไป  และพบว่าเป็นจังหวัดใหญ่มากกว่าที่คิด  เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจครึกครื้นทีเดียว

ที่พักคืนแรกที่อุดร "มัชเฌ มันตา" ขนาดไม่ใหญ่มาก   คนไม่พลุกพล่าน   ตกแต่งเก๋ดี  พื้นที่ห้องพักขนาด 19 ตร.ม.  ไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่ทำเป็นคล้าย ๆ บันไดพาดเพื่อแขวนเสื้อผ้าได้  (ตามแนวการตกแต่งสมัยที่เราเห็นภาพในเน็ตสำหรับคนอยู่คอนโด)  ชอบประตูห้องน้ำที่ปิดประตูห้องน้ำแล้วเอาไม้วางด้านขวางเพื่อปิดประตูแบบบ้านสมัยก่อน   

 

 

ปุ๊กกี้หาข้อมูลว่ามาอุดรต้องมาดูอะไร โชคดีที่เป็นช่วงเทศกาล"ทะเลบัวแดง" พอดี  พวกเราเลยต้องตื่นกันแต่เช้าหน่อย   ขับรถออกมาไม่ไกลมากจากที่พัก อากาศดีมากค่อนข้างเย็นหน่อย  ช่วงที่ล่องเรืออยู่กลางบัวนั้น อุณหภูมิราว 13 องศา เวลาเจอลมพัดมาก็สะท้านเหมือนกัน

 

 

 

 

ก่อนเดินทางสาว  ๆ คุยกันว่าจะไปดูเป็ดเหลือง  เคยได้อ่านข่าวมาบ้างว่าเป็ดเหลืองลอยไปตามประเทศต่าง ๆ   พวกเราก็นึกว่าคือเป็ดเหลืองตัวนั้น  พอไปจริง ๆ เพิ่งรู้ว่าคนละตัวกัน  ตัวนี้คือผู้ว่านำมาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยว

เมื่อไปถึงเขาลากเป็ดเหลืองมานอนตะแคงแล้วล่ะ  เตรียมแต่งตัวให้เป็ดเหลืองด้วยการผูกพันคอให้

 

ทำไปด๊าย พร็อพแว่นกันแดดหลากหลายอันจากกระเป๋าเป้ของอายุ้ย

ที่พักอีกคืนที่หนองคายที่ชอบ ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน  ปุ๊กกี้อยากได้ที่พักที่หนองคายแนวอยู่ติดแม่น้ำโขงเลย  อายุ้ยเลยจัดการหาที่พักในเน็ตและแล้วก็ได้

โฮมสเตย์ของคุณลุงที่ดัดแปลงบ้านมาทำเป็นห้องพัก 3 ห้อง  เพิ่งเปิดมาไม่นาน แล้วคุณลุงก็ขายกาแฟด้วย   คุณลุงเคยทำงานในเมืองมาก่อน  ถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าอยากกลับบ้านเกิด  มีอัธยาศัยดีมาก  ตอนที่มาถึงก็เห็นมีฝรั่งกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดื่มกาแฟริมโขงอยู่ 

 

 

 

 

 

อายุ้ยกับปุ๊กกี้อยากปั่นจักรยานตอนเช้า  คุณลุงเลยจัดให้

แวะสักการะพระใสที่วัดโพธิ์ชัย วัดคู่บ้านคู่เมืองของหนองคาย อ่านประวัติที่ฝาผนังแล้วสนุกมาก  ธิดาของพระไขยเชษฐามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา  สร้างพระ 3 องค์คือพระเสริม พระสุก และพระใส 

มีช่วงที่เคลื่อนย้ายองค์พระ  แต่เกิดเหตุทำให้พระเสริมปัจจุบันยังอยู่ใต้น้ำ  ส่วนพระสุกอยู่ที่วัดปทุม

 

เดินต๊อกต๋อยริมถนนดูบ้านโบราณ

 

 

 

 

 

 

 "ศาลาแก้วกู่" หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า"วัดแขก" สร้างประมาณปี 2521  








 

 

เราเตรียมจะเดินขึ้นไปชมบรรยากาศด้านบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วนะคะ


เซอร์ไพรส์ที่เจอรถไฟสายหนึ่งด้านบน

มาแล้วทะเบียนรถป้ายลาว กำลังเดินทางข้ามจากฝั่งไทยกลับลาว

 

แอบงงว่าถ้านี่คือสัญลักษณ์ไม่เกิน 50 กม./ชม. แล้วทำไมรถที่ขับผ่านไปแต่ละคันเรารู้สึกว่าเร็วมากจนรู้สึกตัวจะปลิวตาม


 

ปิดท้ายด้วยภาพครบทีม 4 สาวที่หนองประจักษ์ อุดรธานีค่ะ

ณ ธ.ค. 2556





....รัชชี่.....



 

 






 

Create Date : 15 เมษายน 2557    
Last Update : 15 เมษายน 2557 11:44:42 น.
Counter : 2565 Pageviews.  

จาก"โรงนา"สู่"โรงหมอ" ณ วังพญาไท




อีกสถานที่หนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยที่มีความงดงามทางศิลปะของสถาปัตยกรรม

จาก "โรงนา" สู่ "โรงหมอ"

เราคงนึกภาพไม่ออกว่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ท่ามกลางความเจริญของบริเวณนี้

ณ ปัจจุบัน

ณ ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นทุ่งนา

"วังพญาไท" ปัจจุบันอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงพยาบาลพระมงกุฎ

เข้าใจว่าคนไทยส่วนหนึ่งน่าจะไม่รู้จัก

 

 

ความเป็นมาของ"วังพญาไท"

เดิมเป็น"พระตำหนักพญาไท" สร้างในปี 2452 (103 ปีมาแล้ว)

เป็นที่ประทับสำราญพระราชอิริยาบทในสมัย รัชกาลที่ 5

ปี 2453 รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ทรงพระประชวร

พระอนามัยทรุดโทรมลง 

รัชกาลที่ 6 ทรงวิตกห่วงใย ได้กราบบังคมทูลแนะนำให้แปรพระราชฐาน

จากในพระบรมมหาราชวังมาประทับที่วังพญาไทเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

 

 เมื่อ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เสด็จสวรรคตในปี 2462 รัชกาลที่ 6 จึงได้ทรงพระราชดำริที่จะสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่ประทับในวังพญาไท และได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกวังพญาไท

ขึ้นเป็นพระราชวังพญาไท

 

รัชกาลที่ 6 ท่านได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษและชื่นชอบศิลปะยุคอิตาลีมาก  ๆ

ดังนั้นวังพญาไทแห่งนี้ส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอิตาลี 

 

เราชอบพระที่นั่งเมขลารูจี เป็นที่แรกที่ทรงสร้างขึ้น เป็นที่พระทับชั่วคราวในระยะแรก

ตอนหลังเป็นที่ทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ของรัชกาลที่ 6

 

 

มุมนี้คือที่ทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม)



เป็นที่สรงน้ำ 

อยู่ในระหว่างปรับปรุง





ด้านหน้าของพระที่นั่งเมขลารูจี  ชอบมาก










สวนโรมันด้านข้าง

 




สวนดุสิตธานี

ร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทำเป็นเมืองจำลองสอนให้เรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย โดยพระองค์ และข้าราชบริพาร ทดลองทำตัวเป็นพลเมืองของดุสิตธานีด้วยตนเอง มีการจัดการเลือกตั้ง ประชุมสภา มีการจัดเก็บภาษี ออกหนังสือพิมพ์

ดุสิตธานี ย้ายมาจากพระราชวังดุสิต  ปัจจุบันไม่มีแล้ว
 




พระที่นั่งเทวราชสภารมย์

เป็นท้องพระโรงเดิมในสมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ

 พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

 เคยเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาในงานพระราชกุศล เช่นงานเฉลิมพระชนมพรรษา วันธรรมดาใช้รับรองแขกส่วนพระองค์ที่มาเข้าเฝ้า บางครั้งเป็นโรงละคร หรือโรงภาพยนตร์แล้วแต่โอกาส


 



ด้านในพระที่นั่งเทวราชสภารมย์

งดงามตระการตา



 



เก้าอี้จำลองในสมัยก่อน สังเกตเห็นพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่ 6

 

เพดานที่พระราชแห่งนี้สวยทั้งนั้นเลย  ส่วนใหญ่ศิลปะบนเพดานจะเป็นของดั้งเดิม แต่

ฝาผนังอาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นของใหม่บ้าง

เพราะของบางอย่างก็ไม่อยู่คงทนมาเป็นร้อยปี 

กองเสนารักษ์จังหวัดทหารบกกรุงเทพฯ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่พระราชวังพญาไท เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2475

 และต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้มีการ พัฒนากองเสนารักษ์มณฑลทหารบก ที่ 1

เป็นโรงพยาบาลทหารบกโดยใช้เขต พระราชฐานทั้งหมด

กองทัพบกจึงได้ขอพระราชทานนาม โรงพยาบาลทหารบกใหม่ว่า

 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ซึ่งได้ประกอบพิธีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2495 อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต    

นี่คือที่มาของ "จาก"โรงนา"สู่"  โรงหมอ"

 


นี่คือวิทยากรในรอบที่เราไป

ประทับใจกับการบรรยายของวิทยากรพิเศษมากค่ะ วิทยากรที่ประจำที่วังพญาไททุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  วันละ 2 เวลาเช้าและบ่ายนี้เป็นวิทยากรจิตอาสา

ทำด้วยใจรัก  ไม่มีเงินเดือน

แต่เรารู้สึกว่าเธอทำงานเหมือนกับได้รับเงินเดือนและทำมากกว่าเงินเดือนด้วยซ้ำ

 

เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่พวกเราคนไทยควรไปเยี่ยมชม 

 ไม่คิดค่าเข้าชม (แต่น่าจะเก็บนะ)

แต่เนื่องจากงบประมาณในการบูรณะจากราชการมีน้อย ดังนั้นการซื้อของที่ระลึก

เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของชาวไทยเราค่ะ



....รัชชี่....







 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2556 22:42:40 น.
Counter : 2825 Pageviews.  

การเดินทางนอกกรอบ


ปกติในช่วงระยะสิบปีหลัง  เราจะเที่ยวต่างประเทศทุกปี  จนเป็นความเคยชิน  แต่ปีที่แล้วไม่ได้ไป ความเคยชินของการไปทุกปีที่ผ่านมาสร้างความรู้สึกแปลก ๆ ว่ามีอะไรบางอย่างหายไป

 

หมดเขตเดือนตุลาคม  ย่างเข้าหน้าหนาวของหลายประเทศ ยิ่งรู้สึกว่าหมดโอกาสที่จะไปเพราะตัวเองเป็นคนขี้หนาว  เจออากาศเย็นมากไม่ได้  อุณหภูมิจึงเป็นข้อจำกัดหนึ่งของการเดินทาง

 

แต่จะว่าไป “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ”  ประโยคนี้มาจากหน้าปกหนังสือของคุณหมอท่านหนึ่ง  ก็เป็นสิ่งที่เรามักใช้สอนตัวเองอยู่บ่อย ๆ

 

 

 

ปลายเดือนพฤศจิกายนในปีที่แล้ว  เราเริ่มวางแผนการเดินทางนอกกรอบ 

คือการขับรถ (ด้วยตัวเอง) ออกนอกพื้นที่

 

 

 คนที่อ่านอาจจะงงในสิ่งที่เราจะกล่าวต่อ เพราะมันคงเป็นเรื่องปกติหรือธรรมดาของหลายคนที่ขับรถไปต่างจังหวัด  

 

 

แต่สำหรับเราแล้ว  ต้องบอกที่มาคือปกติที่ผ่านมาเราไม่ใช่คนที่จะขับรถ (ด้วยตัวเอง) ไปต่างจังหวัด    โดยเฉพาะออกนอกถิ่น     เท่าที่จำได้คือ เขาใหญ่  ปราจีนบุรี  (แต่ก็จะมีเพื่อนคอยบอกทางไปด้วย)

 

เราเป็นคนไม่ชำนาญเรื่องแผนที่  เป็นประเภทกลัวหลง

 

และที่สำคัญในช่วงสามปีหลังเราขับรถน้อยมาก  และนิยมใช้รถไฟฟ้ามากกว่า

 ดังนั้นความเชื่อมั่นในการขับรถทางไกลก็ลดน้อยลง

 

การไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศในปีที่แล้ว  ถือเป็นแรงผลักดันให้เราเดินทางนอกกรอบ    และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการขับรถ (ด้วยตัวเอง) ไปอยุธยาและตราด

 

 

ช่วงวันหยุด 3 วันในเดือนธันวาคม    วันที่ 8 ธ.ค. เราบอกแม่ว่าพรุ่งนี้ไปอยุธยากัน    จะขับรถไปเอง    แม่ถามว่า “ขับได้เหรอ”   เราบอกว่า “ได้ ก็ดูตามป้ายเส้นทางไป”

 

9 ธ.ค. ขับรถผ่านเส้นทางวงแหวน (ด้วยตัวเอง) เป็นครั้งแรก  ความจริงถนนนี้ก็ผ่านบ่อย ๆ แต่เป็นในฐานะคนนั่ง  และด้วยความเป็นคนนั่งก็เลยทำให้เป็นคนไม่มองทาง 

 

 

แม่ก็ไม่ชำนาญทางเหมือนกัน  ดังนั้นเท่ากับว่าวันนั้นเราจึงเป็นคนสังเกตป้ายเส้นทางด้วยตัวเอง 

 

เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองอยุธยา และแวะตามสถานที่ต่าง ๆ  ก็ต้องขอบคุณป้ายต่าง ๆ ในอยุธยาที่ช่วยให้เราไปถึงที่หมายของแต่ละแห่งได้        อาจจะมีหลง ๆ บ้างเล็กน้อยตอนที่ต้องการจะไปวัดไชยวัฒนาราม  ถามคนแถวนั้นแล้วเขาบอกให้ข้ามสะพานไป  แต่พอถึงจุดสะพานตรงนั้น  เราเห็นป้ายไปจังหวัดอื่นต่อ  เลยไม่แน่ใจ   ไม่ข้ามสะพานไป  มาเอะใจเมื่อเห็นวังที่อยู่ตรงข้ามวัดนั้น  (อยุธยาเป็นที่ที่เคยไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน)    ก็เลยย้อนกลับไปข้ามสะพานนั้นใหม่

 

 

 

 

วันนั้นก็ให้คะแนนตัวเองถือว่าสอบผ่านในการออกเดินทางนอกกรอบ

 

 

กลางเดือนธันวาคม  เราวางแผนจะไปต่อที่จังหวัดตราด     คราวนี้มีลูกพี่ลูกน้องนั่งไปด้วย   แต่โดยส่วนใหญ่เราก็จะเป็นคนมองเส้นทาง มองป้ายเอง   

 

 

  

 

…..บางทีการที่เราไม่ได้สิ่งหนึ่ง 

ก็ทำให้เราไปพบสิ่งดี ๆ อีกสิ่งหนึ่งได้เหมือนกัน……..

 

 

ท้ายนี้สำหรับใครที่อยากขับรถ (ด้วยตัวเอง) บ้าง แต่ยังกลัว ๆ อยู่   เอาอยุธยาเป็นจังหวัดแรกก่อนก็ได้   ถ้าเราไปได้ คนอื่นก็น่าจะไปได้เหมือนกัน  เป็นกำลังใจค่ะ

 

อ้อ!  กลับจากทริปอยุธยาทำให้เราคิดว่าเราน่าจะซื้อ GPS สักอันเผื่อไปไหน   (จะบอกว่าเรื่อง GPS เมื่อก่อนก็ไม่เคยอยู่ในหัวสมองเหมือนกัน) 

ตอนนี้เราก็มี GPS เป็นของเล่นใหม่  แต่จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่

 ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินทางนอกกรอบอีกเมื่อไหร่

 

….รัชชี่….  

 

 





 

 

 






 




 

Create Date : 26 มกราคม 2556    
Last Update : 26 มกราคม 2556 19:06:39 น.
Counter : 1397 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.