งวดนี้ซื้อหนังสือไม่มากมาย แค่ขอไปเดินเล่นดูสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของคนรักหนังสือซะหน่อย เป็นคนหาความสุขได้ง่าย ๆ จากการมองการตกแต่งของบางบูธ การดูคนหลายวัยเลือกหนังสือของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ การเห็นเด็ก ๆ รวมถึงนักศึกษาเดินหาซื้อหนังสืออยู่ แม้ว่าในยุคพวกเขาอาจจะถูกกระแสเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น smartphone หรือ Tablet ดึงวิถีชีวิตออกไปจากการอ่านหนังสือเป็นเล่ม แต่เรายังคงเชื่อว่าหนังสือมีจุดเด่นที่แตกต่างในการสร้างความคิดความอ่านของคนหนึ่งคนได้ รวมถึงสร้างสมาธิให้ ผู้อ่านมุ่งมั่นกับเรื่องเรื่องหนึ่งได้ดี เราซื้อหนังสือมาทั้งหมด 6 เล่ม เป็นของนิ้วกลม , หนุ่มเมืองจันท์ กับผลงานเล่มล่าสุด มายาตวัน / แจแปน ปู๊น ปู๊น ฉึก / Les Miserables / ตราบจนสิ้นกรรม
ตั้งใจไปหาถุงผ้าใบใหม่อยู่เหมือนกัน ได้มา 1 ใบจากสำนักพิมพ์ a book ส่วนใบ OSAKA ใบซ้ายมือนั้นเห็นแล้วอยากได้ แต่ที่สำนักพิมพ์นั้นมีข้อแม้ว่าต้องเลือกซื้อหนังสือที่เขาวางที่มุมหนึ่งไป1 เล่มก่อนจึงจะมีสิทธิ์ซื้อได้ ก็เลยเลือก เจแปน ปู๊น ปู๊น ฉึก มา 1 เล่ม ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาได้มีโอกาสหยิบหนังสือ 2 เล่มที่ซื้อมาอ่าน ยังอ่านไม่จบทีเดียว แต่อยากเล่า .....มายาตวัน.... ผู้แต่ง "กิ่งฉัตร" คะแนนความชอบ 9/10 เล่มนี้เคยเช่าอ่านในช่วงแรก ๆ ที่กิ่งฉัตรเขียนเสร็จ พอมาเห็นในงานสัปดาห์หนังสือประกอบกับช่อง 3 มาทำละครโทรทัศน์พอดี "กิ่งฉัตร" ถือเป็นนักเขียนที่มีพัฒนาการทางการเขียนที่ดี เป็นนักเขียนนวนิยายที่ทำให้เรามีทางเลือกของการหานิยายอ่าน เมื่อก่อนส่วนใหญ่จะอ่านของ โสภาค สุวรรณ / ว.วินิจฉัยกุล แต่ช่วงหลังเราเองก็อ่านหนังสือน้อยลงเต็มทีเหมือนกัน รู้ตัวเองอยู่ว่าสมาธิสั้นลง อ่านได้ไม่นาน ดีใจที่การหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้ง แล้วสามารถอ่านได้นานพอสมควร หลังจากร้างลาการอ่านไปนานทีเดียว เปรียบเทียบกับการดูละคร พบว่าเรามีความสุขกับการจินตนาการจากตัวหนังสือ มากกว่านะ ตอนที่อ่านหนังสือเมื่อครั้งก่อน อั้ม อธิชาติอยู่ในวงการแล้ว เราก็ไม่ได้จินตนาการถึงอั้มเลย ส่วนญาญ่ายังไม่ได้เข้ามาในวงการละคร แต่ที่แน่ ๆ หลังจากได้ดูละครมา 2 คืน เปรียบเทียบแล้วการอ่านหนังสือสนุกว่าในละครที่ถ่ายทอดมา สำหรับอั้ม พอได้นะ แต่ว่าบุคลิกญาญ่าไม่ใช่มัทนาในจินตนาการของเรา แต่ด้วยความน่ารักของญาญ่าก็ถือว่าสอบผ่าน ใบหน้านั้นคือดวงตา .................................................................................... ....ตราบจนสิ้นกรรม... ผู้แต่ง ปองพล อดิเรกสาร คะแนนความชอบ 8/10 จากที่เคยอ่าน"แม่โขง"ที่แต่งโดยคุณปองพลแล้วชอบมาก พอมาเดินในงานสัปดาห์หนังสือเห็นร้านหนึ่งวางเล่มนี้อยู่ รีบซื้อเลยเพราะท่าทางจะหายาก (ที่สำคัญถูกมาก 99 บาทเท่านั้น) จากราคาหน้าปก 198 บาท เรื่องนี้เป็นนวนิยายจารกรรมอิงประวัติศาสตร์การเมืองของพม่า ต้องบอกก่อนว่าสำหรับตัวเองแม้ว่าพอจะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยู่บ้างทั้งของไทยเอง ของทางตะวันตก แต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับทางรัฐศาสตร์การเมืองไม่ค่อยมีความสนใจเท่าไหร่นัก แต่เล่มนี้เมื่อเริ่มต้นอ่านไปเล็กน้อย ตอนนี้อ่านไป 124 หน้าจาก 477 หน้า ก็พบว่าเนื้อหาชวนติดตามไม่น้อย อีกทั้งทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมืองด้วยเหมือนกัน ปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์จราจลในพม่า มีการเดินขบวนประท้วงในสมัยประธานาธิบดีนายพลเส่งลวิน การเดินขบวนครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลทหารภายใต้การนำของเนวินขึ้นครองอำนาจนับถอยหลังไป 26 ปีจากปี 2531 รัฐบาลพม่าประกาศว่าทางการจะไม่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทหารเริ่มมีการยิงประชาชนบ้าง คริส คอลลินสัน จูเนียร์ นักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางออกจากพม่าแต่ขอแวะไปรับของเก่าที่ตนเองสั่งไว้จากร้านขายของโบราณอยู่ แต่ระหว่างนั้นมีทหารพม่ามาตั้งข้อหาจับกุมเขา คิดว่าเขาทำงานให้กับองค์การซีไอเอ เขาวางแผนที่จะหนีแต่ศีรษะของเขาถูกกระทบอย่างรุนแรงด้วยของแข็งบางอย่าง 4 วันต่อมานายทหารพม่านำหนังสือเดินทางอเมริกันพร้อมโกศบรรจุกระดูกของเขาไปยังสถานฑูตอเมริกัน พร้อมบอกว่า"คริส เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทางเราได้เผาศพเขาให้แล้ว โปรดส่งกระดูกของเขาไปยังครอบครัวของเขาด้วย" และนี่เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้น ทำไมถึงชื่อ"ตราบจนสิ้นกรรม" ร.ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ผู้เขียนคำนิยมให้กับหนังสือเล่มนี้ให้ความเห็นว่าผู้แต่งเจตนาจะชี้ให้เห็นว่า การที่ประชาชนพม่าต้องประสบกับความทุกข์ร้อนบ้านแตกสาแหรกขาดไม่รู้จบสิ้นเป็นเพราะกรรมแต่ปางบรรพ์ ในนวนิยายเรื่องนี้ ซีไอเอวางแผนแบ่งแยกประเทศเมียนมาร์ โดยให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยผลัดกันเป็นประมุขของประเทศเกิดใหม่ แต่ประสบความล้มเหลว ผู้เขียนถ่ายทอดความคิดผ่านตัวละครหนึ่งว่า ความล้มเหลวของภารกิจไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ เท่านั้น แต่เกิดจากลักษณะเฉพาะของชุมขนเหล่านี้ ที่ไม่มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความเกลียดชังกันและกัน และต่างมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำสูงสุด ประวัติศาสตร์พม่าที่ทำลายล้างกันเองระหว่างพม่าและมอญ จนกระทั่งพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ดังนั้นไม่ว่ายุคใดสมัยใดจะเห็นได้ว่าผู้นำของพม่ามักเลือกหนทางครองความเป็นใหญ่แต่เพียงกลุ่มเดียว โดยทำลายล้างประชาชนและชุมชนกลุ่มอื่น ๆ บนแผ่นดินเดียวกันอย่างโหดเหี้ยม ในแง่พุทธศาสนา วิถีทางของการเข่นฆ่าทำลายเผ่าพันธุ์กันและกันเช่นนี้จึงเป็นการสร้างกรรมและต่างรับผลของกรรมต่อเนื่องกันมิรู้จบสิ้น แผ่นดินพม่าจึงร้อนเป็นไฟและประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยากสูญเสียไม่สิ้นสุด ราวกับว่าไม่มีหนทางใดจะยุติการเข่นฆ่าทำลายล้างของเหล่าชุมชนในพม่าลงได้จนกว่าจะสิ้นกรรมของพวกเขาเหล่านั้น ................................... วันนี้คุณอ่านหนังสือหรือยังคะ ....รัชชี่.... |
อ่านสรุปของคุณรัชชี่แล้ว อยากหยิบหนังสือทั้งสองเล่มมาอ่านบ้าง
โดนเฉพาะตราบจนสิ้นกรรม ที่นักเขียนเป็นนักการเมืองด้วย